จาก แรดบิน IP:58.8.153.125
พฤหัสบดีที่ , 9/4/2552
เวลา : 20:38
อ่านแล้ว = 24076 ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
Rainforest Challenge Terenggnu 2008
5-14 DEC 2008
ใจความสรุปของเรื่องราวฉากต่างๆการผจญภัยของของบรรดาจอมยุทธออฟโรดนานาชาติ Rainforest Challenge 2008
นั่นไงห่าฝนมากระหน่ำอีกครั้ง!
34 ชั่วโมงของฝนที่กระหน่ำลงมาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน จากเวลากลางคืนวันที่ 5ธันวาคม จนถึงเช้าวันที่ 8 ธันวาคม นั่นคือความหฤโหดของมรสุมนั่นเอง! ในคืนวันที่ 7 ธันวาคม นับว่ามันคือจุดสูงสุดของพายุฝนช่วงมรสุมช่วงนี้ ซึ่งเกือบทำความเสียหายให้กับแคมป์ไซค์ที่ อูลู สุไหง เลาะ (Ulu Sg Loh) และต้องนับถือขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าป่าเจ้าเขาสุไหง เลาะช์ ที่ช่วยให้รอดมาได้ เนื่องจากเวลานั้นรถยนต์แข่งที่มาด้วยกัน ถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ยังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึนจนสุดขอบฟ้า
โหมโรงเปิดฉาก
ช่วงสองสามอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงวันดีเดย์เผด็จศึกออฟโรด 5 ธันวาคม มรสุมได้กำลังก่อตัวเคลื่อนที่สร้างความเสียหาย เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในหลายๆพื้นที่ ทั้งในรัฐกะลันตัน(Kelantan)และรัฐเทรังกานู(Terengganu) ด้วยพายุฝนตกเรื่อยๆตลอดเวลา 24 ชั่วโมง จนเกินกว่าระดับฝนตกปกติ ทำให้ทั้งสองรัฐถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินถึงขั้น เตือนภัยสีแดง เตรียมพร้อมเพื่ออพยบหนีภัยน้ำท่วม ซึ่งกรมระบายน้ำและการชลประทานของรัฐ (State Drainage and Irrigation Department) (DID) ได้วินิจฉัยคาดการณ์จากประสบการณ์น้ำท่วมปีที่ผ่านมา และจัดเตรียมแผนป้องกันหายนะที่กำลังจะมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นฝนได้ถูกติดตามคาดการณ์เอาใว้ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม 2009 สำหรับเหล่าจอมยุทธออฟโรดที่เคยผ่านโชกโชนสมรภูมิศึกหฤโหดRFCต่างก็รู้ซึ้งถึงขั้วหัวใจทั้งหมดนี้ว่า นับต่อนี้ไปวันข้างหน้าจะต้องเจออะไรกันบ้าง !
วันเปิดศึกสมรภูมิออฟโรดหฤโหด
แต่ว่า! เทวดาฟ้าดินกลับเป็นใจวันเผด็จศึกดีเดย์เปิดศึกสมรภูมิหฤโหดออฟโรด ปราศจากเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ถึงแม้นจะมีเมฆครึ้มหนาทึบไปทั่วท้องฟ้า และมีสายลมเย็นมรสุมพัดโชยมาจากทะเลจีนใต้ ต้องนับว่าสภาพอากาศขณะนี้ทำให้รอดพ้นอุปสรรคในช่วงพิธีเปิด!
รายการRainforestChallenge (RFC)ได้ใช้เมืองชูไค(Chukai)ดำเนินการเปิดศึกสมรภูมิสงครามออฟโรดอย่างเต็มที่ด้วยความมีสีสันต์ประกอบการแสดงเสียงดังอึกทึก รวมทั้งโชว์ความสวยงามของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมาเลเซียจากรัฐเทรังกานู(The state of Terengganu) ซึ่งทำได้ดีปราศจากความผิดพลาดใดๆ โดยมีฯพณท่านฯ วายบี ดาตั๊ก ซา อะบาร์ บิน ดาโต๊ะ โมฮะหมัด อาดิบ ทำพิธีเปิดสมรภูมิแข่งขัน (The Right Honourable State Minister for Tourism, YB Datuk Zaabar bin Dato Mohd Adib)
พีธีตีธงเปิดการแข่งขัน เริ่มต้นด้วยสี่ทีมรถยนต์โตโยต้าไฮลักซ์แต่งออฟโรดเต็มสูตรลุยซึ่งมาเป็นปีแรก ตามด้วยเหล่าจอมยุทธนักบู๊ออฟโรดต่างชาติได้แก่ทีมโปแลนด์ (ทีมที่มีจอมยุทธออฟโรดมาร่วมบู๊มากที่สุดถึง 6 ทีม และ 3 ทีมสนับสนุน และ2 ทีมรถมอเตอร์ไซค์สี่ล้อเอทีวีคู่ฝาแฝด) , รัสเซีย , นิวซีแลนด์ , เดนมาร์ค , ศรีลังกา , อินโดนีเซีย , ไทย ,สหรัฐอเมริกา , ออสเตรีย และเจ้าถิ่นมาเลเซีย สุดยอดรถยนต์ออฟโรดจำนวน 38 ทีม ได้พากันเคลื่อนที่ไปจนเสียงดังสนั่นลั่นทั่วเมือง พร้อมกับตามด้วยกลุ่มรถยนต์ออฟโรดกองทัพผู้สื่อข่าว กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสนับสนุน และกลุ่มกรรมการเจ้าหน้าที่ ซึ่งปีนี้สมรภูมิออฟโรดหฤโหดRFCยังคงมีรถยนต์ออฟโรดเข้าร่วมบู๊ในป่าอายุนับล้านๆปีทั้งหมดจำนวนมากถึง 110 คัน
สนามโชว์โปรล็อค SS Prologue special stages
ช่วงเวลากลางวัน สงครามออฟโรดRFCได้เริ่มต้นโรมรันพันตูพร้อมๆกัน 6 SS ตามริมถนนหลักจากโรงแรมอะวาน่าคีจาล(Awana Kijal)ถึงชายหาดคีมาซิค(Kemasik) จากการสังเกตเห็นพบว่า บรรดาแฟนๆพันธ์แท้ออฟโรด , ผู้สนับสนุน , ผู้คลั่งออฟโรด รวมทั้งชาวบ้านที่นิยมชมชอบออฟโรด ต่างมันส์เร้าใจเชียร์กันสนุกสุดเหวี่ยง แต่ที่นับว่าออกรสออกชาดมากกว่าใครๆ เป็นสาวร่างเล็ก ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ทำคะแนนโอลิมปิคของอินโดนีเซีย ผู้มากับทีวีช่อง 3 และในช่วงเวลาที่สมรภูมิออฟโรดได้ดำเนินทั้งหมดสองวันเต็มๆ ได้ทำให้เส้นทางถนนตรงจากชูไค(Chukai)จนถึงปาคา(Paka) เกิดปัญหาจราจรติดขัดขนาดหนักยาวเหยียด รถยนต์เคลื่อนตัวไปได้ช้ามากๆเหมือนเต่าคลานอยู่บนถนน การแข่งขันได้จบลงวันที่สองด้วยดีสำหรับทุกๆทีม ถึงแม้นว่าบางทีมจะต้องใช้ความพยา ยามบู๊สู้สุดตัวมากกว่าทีมอื่นๆ แต่ทุกคนก็รู้เต็มอกว่า นี่เป็นเพียงการอุ่นเครื่องสำหรับทดสอบรถยนต์และคน ซึ่งเป็นช่วงเวลาบู๊ต่อหน้าผู้เฝ้าชมมากมาย และผู้ชมแฟนๆออฟโรดส่วนใหญ่มาอยู่เบียดเสียดกันหนาแน่นที่บู้ธศูนย์อำนวยการRFCและบู้ธของโตโยต้า
สายฝน แมวและหมา
คืนนั้นราวๆสี่ทุ่มของคืนวันที่ 5 ธันวาคม เมฆบนท้องฟ้าตั้งท้องหนักสีดำทะมึนทำท่าอีกไม่นานจะมีฝนตก ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดประตูเทกระหน่ำฝนตกลงมาหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นช่วงวันที่สองของการแข่งขันโปรล้อค แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่สามารถลดบั่นทอนจิตใจความคึกคนองพร้อมสู้ศึกธรรมชาติของเหล่าจอมยุทธออฟโรดทั้งหลายได้ และมันกลับกลายเป็นช่วงเวลาบู๊เล่นกันในสายฝนอย่างสนุกสนานเสียอีก! ดังนั้นสมรภูมิโปรล็อคกลางสายฝนที่เหลืออีก 2SSวันนั้น ได้บู๊กันได้จนหมด ทำให้แข่งขันสองวันได้ครบ 8SS ตามแผนที่วางเอาใว้
กลางคืนที่โค-ตะ-ระหฤโหดยาวนาน
หลังจากบ่ายแก่ๆของวันที่ 6 ธันวาคม การแข่งขันได้บู๊กันเสร็จสิ้นทุกSS คอนวอยจอมยุทธนักบู๊ออฟโรดนานาชาติ ก็ได้เริ่มต้นเคลื่อนที่ออกไปหลายกลุ่ม มุ่งหน้าตรงไปยังที่พักแคมป์ไซค์ปลูกป่าของสุไหง อูลู เลาะห์(Sg Ulu Loh) แต่มันช่างเป็นคืนที่พลิกผันไปจากที่ควรจะเป็น! ครั้งแรก เส้นทางถนนคดโค้งไปยังปากา(Paka) ได้ถูกน้ำท่วมจากฝนที่ตกลงมาหนัก ดังนั้นจึงได้มีการจัดเส้นทางเลี่ยงไปเส้นทางอื่น จากเวลาบ่ายแก่ๆได้เสียเวลาล่วงเลยไปจนถึงมืดค่ำ ก่อนจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดทั้งหมดได้มาถึงเส้นทางออฟโรดของจริงนำไปที่แคมป์ไซค์ที่พัก
ความประหลาดใจยิ่งมากขึ้น!เดิมการคาดเอาใว้ว่าเส้นทางไปแคมป์ไซค์ที่พักยาวไกลประมาณเพียง15 ก.ม.นั้นง่ายๆ บัดนี้ฝนได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว หลายส่วนของเส้นทางถนนได้กลับกลายเป็น จ้าวแห่งร่องถนนลึกหฤโหด และทางขึ้นภูเขาได้กลายเป็นการไต่ต่อสู้ดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นไปบนยอดเขา รวมผสมกับเสียงโอดครวญผิดหวังของเหล่าบรรดาจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรด เมื่อได้เจอดินถล่มขัดขวางอยู่ที่ระหว่างกลางทางของแคมป์ไซค์ที่พัก มันเป็นทั้งการขับรถและกู้รถยนต์ตลอดคืนอันยาวนาน
คืนนั้นกลุ่มคอนวอยได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งบางทีมได้ติดหนึบแน่นตกอยู่ในร่องโคลน พยายามดิ้นรนต่อสู้ตั้งแต่สี่ทุ่มจนกระทั่งถึงตอนเช้าตรู่ ขณะที่หลายทีมได้ยอมหยุดบู๊สู้แค่ครึ่งทางนี้ และตั้งแคมป์นอนกันข้างทาง บางทีมได้หันรถยนต์ถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ และตั้งแคมป์ที่ปากทางถนนที่ลุยเข้ามา บางทีมใช้เวลา 9 ชั่วโมงมาถึงจุดนัดพบแคมป์ไซค์ บางทีมใช้เวลาถึง 13 ชั่วโมง และบางทีมไม่สามารถมาถึงจุดนัดพบแคมป์ไซค์ได้ นี่คือรสชาติของสิ่งที่ต้องการมา และในที่สุดเมื่อเส้นทางการเดินทางส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเป็นการต่อสู้ดิ้นรนแสนสาหัส ผู้จัดการแข่งขันจึงเห็นสมควรให้มีคำสั่งเดินทางย้อนกลับและรวมกลุ่มกันใหม่
ต่อจากนั้นการมาถึงของพายุฝน
สุไหง อูลู เลาะห์(Sg Ulu Loh)เป็นทางเข้าของป่าต้นไม้ยักษ์พาเซียร์ราชา ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งขนาดยักษ์ในพื้นที่แถวนี้ของฮูลู ดันกุน(Hulu Dungun) แต่ว่าเหมือนแม่น้ำได้กลั่นแกล้งขยายกว้างใหญ่จากฤทธิ์เดชกระแสน้ำเชี่ยวกราก และระดับน้ำสูงขึ้นเด่นชัดทุกชั่วโมง ดังนั้นเพื่อเป้าหมายให้เกิดความปลอดภัยจึงมีการรวมกลุ่มใหม่ และการกระทำทุกอย่างได้ถูกระงับยับยั้งชั่วคราวสำหรับวันนี้
ฝนได้ตกกระหน่ำไม่หยุดหย่อน! ในคืนนั้นพายุฝนบ้าคลั่งได้พัดกวาดแคมป์ไซค์ที่พัก แตกกระจายไปตามเส้นทางที่มาทั้งหมด พายุแบบนี้ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน! มันเป็นพายุมรสุมรุนแรงซึ่งพัดกวาดทุกสิ่งข้ามผ่านคาบสมุทรจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก นี่คืออีกหนึ่งในเหตุผลความน่าสะพรึงกลัวของอุปสรรคหลายอย่างเช่นกระแสน้ำเชี่ยวกรากในแม่น้ำกว้างใหญ่ , ห้วยน้ำใหญ่ , ต้นไผ่ล้ม , การเลื่อนไถลในที่สูงๆ , ทางลาดลงชันที่อันตรายที่สุด , ดินถล่มหนักๆ , ซึ่งผู้เข้าร่วมเดินทางจะได้พบต่อไปในอีกไม่ช้า
อาร์วี กัวลา เบรัง(RV Kuala Berang)
ตอนเช้าของวันที่ 8 ธันวาคม ได้มีคำสั่งนัดพบกันที่ในตัวเมืองกัวลา เบรัง(Kuala Berang) การออกมาจากแคมป์ไซค์ที่พักมาที่ถนนลาดยาง เป็นอีกเรื่องของการดิ้นรนต่อสู้ บางทีมใช้เวลายาวนานกว่าทีมอื่นๆ ทำให้ล่าช้ากันไปถึงตอนเย็น กว่าที่ทีมจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดทุกทีม และครึ่งหนึ่งของรถยนต์ทีมนักข่าวจึงอออกมาถึงในเมืองจนได้ หลังจากเติมน้ำมันและซื้อเสบียงน้ำอาหารตุนกันเสร็จแล้ว ทั้งหมดได้เคลื่อนที่ต่อไปยังสุไหง เคอเทียช์(Sg Kertiah)แคมป์ไซค์ที่พัก ทางเข้ามีสองจุด จุดแรกสำหรับเหล่าจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรด อีกจุดสำหรับนักข่าวและทีมสนับสนุน ที่ล้วนมุ่งหน้าไปสู่คืนหฤโหดการขับรถยนต์ผจญภัย ซึ่งไม่มีรถยนต์ของใครที่จะขับไปถึงแคมป์ไซค์ได้ง่ายๆ โดยบางทีมทำได้ในขณะที่บางทีมก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเส้นทางที่เข้าไปยังแคมป์ไซค์ได้กลับมาเป็นการดิ้นรนต่อสู้ผจญภัยอย่างดุเดือดเพื่อเข้าไปให้จงได้
SS 11, 12 & 13 สุไหง เคอเทียช์(Sg Kertiah)
ในที่สุดตอนเวลากลางวันของวันที่ 9 ธันวาคม คอนวอยทั้งหมดได้มาถึงแคมป์ไซค์ที่พัก ฝนที่ตกกระหน่ำลงมาหนัก ตอนนี้ไม่ค่อยเทลงมาแล้ว เหลือเพียงตกเป็นพักๆสำหรับผู้มาเยือนป่า แต่ท้องฟ้าก็ยังปกคลุมไปด้วยเมฆดำถมึน หลังจากรวมกลุ่ม ในที่สุดก็สามารถสรุปทำ SS ต่อได้ โดยอยู่ในพื้นที่ใกล้บริเวณโปรล็อคของพวกจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดที่ได้จากมา ซึ่งเวลาทั้งหมดจนถึงขณะนี้ได้หมดไปกับการดิ้นรนต่อสู้เดินทางผจญภัยย้อนทางกลับและการรวมกลุ่ม
SS 11 & 12 เป็นการขับรถยนต์บู๊ลุยในแม่น้ำ , ปีนป่ายทางสูงชันเอียงหฤโหดอันตราย ซึ่งบังคับให้ใช้วิ้นช์
SSสุดท้าย 13 เป็นการทำให้ทุกๆคนกลับมาหัวเราะสนุกสนานขำๆกันอีกครั้ง หลังจากตึงเครียดกันมาตลอดวัน ในการช่วยพาเดินทางมายังสมรภูมิบู๊
ตะลุยแดนสนธยา(Entry to the Twilight Zone)
กลางคืนของวันที่ 10 ธันวาคม มีการประชุมการแข่งขันที่ศูนย์บัญชาการแข่งขัน ที่ซึ่งทีมจอมยุทธนักบู๊ออฟโรดทั้งหลาย และสองทีมมอเตอร์ไซค์เอทีวี ได้ถูกแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม รถยนต์ออฟโรดจำนวน 22 คัน และเอทีวี 2 คัน(โปแลนด์)ได้ถูกคัดเลือกขึ้นบัญชีรถยนต์พร้อมบู๊สำหรับเข้าไปลุยแดนสนธยาในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งพวกเขาทุกคนถูกสั่งให้ความเคารพการเดินทางแบบเป็นกลุ่มจากทางเข้าจนถึงทางออก และต้องไม่ทิ้งเพื่อนร่วมทีมใว้ข้างหลัง พวกเขาจะได้คะแนนโบนัส 200 คะแนน สำหรับการผ่านผจญภัยเส้นทางนี้ไปได้ มันเป็นช่วงที่ยากอภิมหาโหด การช่วยกันเป็นทีมด้วยน้ำใจรวมทั้งคนและรถยนต์ต้องเป็นหนึ่งเดียวจึงจะทำให้ผ่านออกมาได้
เช้าวันที่ 11 ธันวาคม เป็นวันเผด็จศึกดีเดย์สมรภูมิออฟโรดเดือดสำหรับแดนสนธยา กลุ่มแรกที่ลุยได้ออกเดินทางโดยใช้ช่วงเวลาค่อยๆปล่อยออกไปประมาณ 15 นาที และปิดท้ายเอทีวี 2 คันก็ได้ติดตามกลุ่มแรกเข้าไปติดๆ ความตื่นเต้นเร้าใจสะท้านระเบิดอยู่ในทุกรูขุมขนของทุกคนแล้ว ซึ่งกติกาวันนี้นั้นง่ายๆการพยายามบุกลุยสู้ในเส้นทางอภิหฤโหดนี้ให้ได้ คือคะแนนโบนัสที่มากเพียงพอรอคอยล่อใจ , อีกทั้งยังได้มีโอกาศต่อสู้ผจญภัยด้วยตัวเอง และการเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของแดนสนธยาหฤโหด ไม่ว่าจะเข้าหรือออก ล้วนเป็นสุดยอดความเร้าใจทั้งนั้น
ภูเขาไม่มีวันหวลกลับ(The Hill Of No Return)
ภูเขาไม่มีวันหวลกลับเป็นสมรภูมิจุดแรกของการบู๊ในแดนสนธยา การขึ้นภูเขาสูงติดต่อกันซึ่งถูกบังคับให้จำเป็นต้องใช้วิ้นช์ในหลายๆแห่ง บางทีมต้องใช้วิ้นช์ดึงสู้ถึง 3 ชั่วโมง กว่าจะพาตัวเองหลุดผ่านพ้นไปได้ ฝนที่บรรเทาเบาบางลงไปเริ่มต้นตกอีกครั้ง และทำท่ากำลังตกหนักมากกว่าเดิมเสียอีก หลายส่วนของพื้นถนนเปียกโชกและเฉอะแฉะด้วยน้ำ หลังจากผ่านฝนหนักมาสองสามสัปดาห์ และสภาวะเลวร้ายกว่านี้นั้นมาแน่
ในฤดูมรสุมต้นไผ่ล้มขวางทางเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ นี่เป็นความพยายามต้องเพิ่มเป็นสองเท่าที่จะทำให้หมดปัญหาไป ข่าวล่าสุดมีดินถล่มรออยู่ข้างหน้า เป็นสาเหตุปิดช่องทางถนนมากกว่า 50 ฟุต พร้อมกับโคลนเหนียว ที่เพิ่มมากขึ้นบนเส้นทางถนน และคือข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าภูเขามันอุ้มดินเอาใว้ไม่อยู่ นี่เป็นรายงานจากหัวหน้าหน่วยทะลวงล่วงหน้ากล้าตายสเก๊าท์กลุ่มซีที่ต้องหันหลังกลับมา ดังนั้นการฝ่าลุยข้ามดินถล่มอาจต้องใช้ถึงเวลามากถึง 2 วันสำหรับทุกคน และพวกจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดทั้งหลายยังอาจจะต้องมีอุปสรรคหฤโหดอีกมากมายตลอดเส้นทาง 60 กิโลเมตรนี้ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดมาได้สำเร็จไกลสุดเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง , เวลา และสภาพภูมิประเทศที่ดีเลิศ จะเป็นข้อพิจารณาเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าทุกๆคนสามารถทำมันได้ ถึงจะเพียงพอเข้าไปลุยพื้นที่สมรภูมินรกภูเขาคนเหล็ก(Terminator Hill) และแล้วต่อมาก็ได้นัดพบเจอกับหน่วยทะลวงล่วงหน้ากล้าตายสะเก๊าท์กลุ่มซีที่สุไหงพัวท์(SgPuah)ตรงที่บริเวณทางออก
กลยุทธคีมปากคีบ(The Pincer Strategy)
แผนกลยุทธเคลื่อนที่แบบคีบคีมปากนกแก้วถูกวางแผนใช้บุกไปแดนภูเขาคนเหล็ก แต่ไม่อาจสามารถเคลื่อนพลลุยได้ ถูกอธิบายจากรายงานหน่วยทะลวงล่วงหน้ากล้าตายสะเก๊าท์กลุ่มซีที่แค้มป์พักแรมสุไหงพัวท์(SgPuah) แผนต่อมาจึงได้ให้สะเก๊าท์กลุ่มซี ต้องไปนำทีมเหล่าจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดจากจุดภูเขาไม่มีวันหวลกลับทางด้านทิศใต้ ขณะที่หน่วยทะลวงล่วงหน้ากล้าตายสะเก๊าท์กลุ่มเอและบี ต้องเคลื่อนที่บุกตะลุยจากทางด้านทิศเหนือผ่านสุไหงพัวท์(SgPuah) ดังนั้นจึงไม่สามารถลุยบู๊ผ่านเข้าไปแดนคนเหล็กหฤโหดได้ ด้วยเหตุพายุฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหลายสัปดาห์ได้ทำให้ธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปหมดจากการที่ได้วางแผนเอาใว้!
แม่น้ำสองสาย(สุไหง เทรังกานู มาติSg Terengganu Mati และสุไหง เพลากองSg Pelaggong)ได้พิสูจน์ความหฤโหดมากยิ่งกว่าความเก่งกล้าบ้าบิ่นของสองหน่วยทะลวงล่วงหน้ากล้าตายสะเก๊าท์กลุ่มเอและบี จนไม่อาจทัดเทียมธรรมชาติได้ ตั้งแต่ความสูงชันของฝั่งแม่น้ำมีทั้งโคลนลึกและหน้าตัดเป็นทางยาวสูงเกือบหนึ่งเมตร ซึ่งสามารถจมรถยนต์ออฟโรดขนาดใหญ่หนักร่วม 2 ตันได้อย่างง่ายๆ จึงต้องใช้เวลาสู้ยาวนานนับชั่วโมงถึงผ่านไปได้ เมื่อรวมกับการเดี้ยงของรถยนต์ออฟโรดที่สู้จนพังด้วย ตอนนี้เส้นทางเดินทางหฤโหดได้ทำโทษทั้งคนและรถยนต์ที่กล้าท้าทายเข้าให้แล้ว และสะเก๊าท์กลุ่มบีนี้ได้เป็นกลุ่มที่รอดักคอยช่วยเหลือสะเก๊าท์กลุ่มซี และเหล่าจอมยุทธนักบู๊ออฟโรดซึ่งกำลังเดินทางลุยมาทางใต้
ภารกิจล้มเหลว
ขณะเวลาเดียวกัน, ที่จุดภูเขาไม่มีวันหวลคืนกลับบริเวณด้านทิศใต้ , คำสั่งจากศูนย์ควบคุมการแข่งขันวันที่ 11 ธันวาคม เป็นการสั่งให้ถอนตัวล่าถอยออกจากแดนสนธยาหฤโหด ด้วยเหตุผลมันดีกว่าที่จะพากันลุยต่อไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัย แล้วค่อยกลับมาต่อสู้ใหม่ในวันข้างหน้า การเดินหน้าลุยต่อไปมันหมายถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้รถยนต์พังกันระเนระนาดมากขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ซึ่งรถยนต์ออฟโรดต่างชาติ มีตารางแน่นอนที่จะต้องขึ้นเรือกลับตามเวลาที่กำหนดเอาใว้ และนอกจากนั้นมันจะเกิดประวัติศาสตร์รถยนต์ติดอยู่กลางป่าซ้ำรอยเดิมปีที่แล้ว
อาร์วี สุไหงปัวช์(RV Sg Puah)
ดังนั้นการถอนตัวออกจากป่าทั้งหมดเป็นทางเลือกของคืนนั้น และการล่าถอยจากแดนสนธยาหฤโหดมาถึงสุไหง เคเทียช์(Sg Kertiah) ได้พิสูจน์ว่าเป็นการต่อสู้ผจญภัยเหมือนกับสมรภูมิหฤโหดของการแข่งขัน เนื่องจากเหล่าจอมยุทธและนักบู๊ออฟโรดที่เคลื่อนที่กลับ ต้องหันหน้าเผชิญสู้กับอุปสรรคหฤโหดของเดิมหลายอย่าง แต่เวลานี้เป็นการไหลลงภูเขาถือว่าอันตรายสุดขีด ดังนั้น, บางทีมต้องใช้เวลาฝ่ากลับออกมามากกว่า 8 ชั่วโมง ขณะที่ยังมีทีมอื่นๆบางทีมใช้เวลามากกว่านั้น บางทีมจึงต้องพักค้างแรมที่สุไหง เคเทียช์อีกหน เพื่อรอให้ถึงรุ่งเช้าจะได้สามารถไปต่อยังจุดนัดพบกับคอนวอยส่วนใหญ่ที่สุไหง ปัวช์(Sg Puah)
12 ธันวาคม ยังคงเป็นเวลาการกลับมารวมกลุ่มของสมรภูมิออฟโรดอภิมหาโหดของRFCปีนี้ แต่ต้องรอถึงเวลากลางคืนทุกๆคนจึงฝ่ากลับออกมาได้ทั้งหมด
SS14-17 และฉากจบที่ชายหาด
วันที่ 13 ธันวาคม , ฉากบู๊ออฟโรดสุดท้ายเป็นสมรภูมิที่อยู่ในใกล้กับสุไหง ปัวช์แคมป์ไซค์ที่พัก หลังจากการล่าถอยทั้งหมดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ตอนนี้มันถึงเวลายืดเส้นยืดสายลงบู๊สมรภูมิในSSอีกครั้งหนึ่ง ที่ตามมาด้วยไนท์SS ซึ่งให้ทีมที่ยังคงเหลืออยู่ ได้บู๊สู้ด้วยความสนุกสุดเหวี่ยง และสำหรับบางทีม , มันเป็นช่วงเวลาการผ่อนคลาย , หลังจากเหนื่อยสายตัวแทบขาด , ความตื่นเต้นหวาดเสียวเร้าใจจนทะลักล้นจากการรับมือผจญภัยการเดินทางหฤโหดในป่าดงดิบล้านๆปี!
ฉากยิ่งใหญ่สุดท้าย 2008 RFC เป็นการรวมกลุ่มถ่ายภาพหมู่ที่บาตู บูร็อค(Batu Burok) , กัวลาเทรังกานู(Kuala Terengganu)
โดยสรุป
การกำหนดเป้าหมายในการแข่งขัน2008 RFCครั้งนี้ไม่อยู่ในเป้าหมายที่กำหนดเอาใว้ , แต่การเดินทางผจญภัยทั้งเข้าและออกจากป่าดงดิบอายุนับล้านๆปี ความยากหฤโหดจากเส้นทางอันตรายได้กลายมาเป็นแก่นแท้ของสมรภูมิออฟโรดRFCของปีนี้ ซึ่งการจัดการแข่งขันยังคงทำไม่สำเร็จทั้งหมด แต่มันก็แตกต่างจากRFCปีที่แล้ว , และขอยอมยืดอกยอมรับหันหน้าสู้ที่จะไม่ปฎิเสธความจริง นั่นคือกฎเกณฑ์ธรรมชาตินั้นคือผู้ลิขิตสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝนเป็นกุญแจสำคัญของทุกสิ่งในสมรภูมิการแข่งขันออฟโรด ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงทั้งเส้นทางการเดินทางและสภาพสมรภูมิแข่งขันทุกวินาที!
|