คำตอบที่ 91
ถ้าพยายามปิดประตูระบายน้ำ หรือให้ระบายออกทะเลได้น้อย
และคิดว่าการปิดประตูระบายน้ำแล้วน้ำจะไม่ท่วม
อาจจะมีผลที่ไม่คาดคิดเช่น นครสวรรค์โมเดล
เมือมวลน้ำปิง 100 ล้านลูกบาตรเมตร ก้อนแรกมาถึงนครสวรรค์
จริงๆ แล้ว ผมก็ทำใจอยู่แล้วว่าเขตเศรษฐกิจ นครสวรรค์ คงราบเป็นหน้ากลอง
แต่ผลมันไม่เป็นเช่นนั้น....
น้ำมันไม่ไหลตามเส้นทางที่เป็นแม่น้ำอีกต่อไป (ดูรูปประกอบ)
นครสวรรค์มีน้ำไหลผ่านวันละ 400 ล้านลูกบาตรเมตร
แบ่งเป็น น้ำปิงประมาณ 50 ล้านลูกบาตรเมตร น้ำน่าน 350 ล้านลูกบาตรเมตร
น้ำน่านจะเป็นแม่น้ำอยู่ทางขวา น้ำปิงอยู่ทางซ้าย
น้ำน่านล้นไปทางด้านขวาจนท่วมบึงบอระเพ็ตจนเป็นผืนน้ำเดียวกัน ส่วนด้านซ้ายล้นไปท่วมน้ำปิง จนดันน้ำขึ้นเหนือไปอีกมาก
พอเขื่อนปล่อยน้ำ 100 ล้านลูกบาตรเมตร เท่ากับว่า น้ำเติมระบบฝั่งน้ำปิง 50 ล้านลูกบาตรเมตร
ทำให้น้ำปิงมีปริมาณน้ำประมาณ 100 ล้าน ส่วนฝั่งน้ำน่าน 350 ล้าน
กระแสน้ำปิง สู้กระแสน้ำน่านไม่ไหว ทำให้น้ำเปลี่ยนทิศ น้ำไม่ได้วิ่งตามเส้นทางแม่น้ำอีกต่อไป
น้ำใช้วิธีลัดตัดอีกฝั่งของเมือง แล้วไหลกลับเข้าเจ้าพระยาอย่างเดิม
ทำให้น้ำเข้าฝั่งเมืองน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ... กลายเป็นน้ำฝั่งเขตเศรษฐกิจไม่ท่วม แต่ไปท่วมฝั่งหมู่บ้าน
ทำให้น้ำท่วมบ้านไป 3000 หลัง ระดับน้ำ 1.5 - 2 เมตร
ความสูงของน้ำขนาดนี้ ทำให้น้ำวิ่งไปได้ทุกที่
ผมเลยได้ข้อสรุปอีกข้อ ถ้าเราทำให้น้ำไม่ไหล หรือไหลได้ช้า หรือพยายามจะกักกัน น้ำจะเปลี่ยนทิศทาง !!!!!