คำตอบที่ 15
เพื่อความเข้าใจ ในเรื่องค่าอ๊อกเทน
ขออณุญาติท่าน รศ.ด้วยครับ
ค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินมีความสำคัญอย่างไร
รองศาสตราจารย์บัญญัติ สุขศรีงาม
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันยานพาหนะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของคนไทยไปแล้ว เพราะช่วยให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง แต่เนื่องจากยานพาหนะเหล่านี้ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นแหล่งพลัง-งาน ในแต่ละวันคนไทยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกับพาหนะและกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มจากวันละ 22,956 ล้านลิตร
เป็น 35,553 ล้านลิตร น้ำมันเหล่านี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมากถึงร้อยละ 97 คิดเป็นมูลค่าปีละ 200,000 - 300,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดความรั่วไหลของเงินตราออกไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
จึงมีการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากมาย แต่ที่พบกันบ่อยๆ ได้แก่ การเติมน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ถูกประเภทของรถยนต์จะช่วยให้ประหยัดได้เป็นอย่างมาก ยิ่งประหยัดมากเท่าใดก็จะลดการสูญเสีย
เงินตราต่างได้มากตามไปด้วย
น้ำมันเบนซินที่ใช้กับรถยนต์จะมีการกำหนดค่าออกเทนเอาไว้ เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์แต่ละประเภท ค่าออกเทนนี้เป็นค่าแสดงการต้านทานการชิงจุดระเบิดในเครื่องยนต์ ไม่เกี่ยวข้องกับการเพิ่ม
ความแรงของเครื่องยนต์ น้ำมันเบนซินที่มีจำหน่ายตามสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือปั๊มน้ำมันจะเป็น
น้ำมันไร้สารตะกั่วและจำแนกตามค่าออกเทนเพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 87 เป็นน้ำมันเบนซินที่มีสีเขียวนำไปใช้กับมอเตอร์ไซด์เครื่องยนต์
สองจังหวะและรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เบนซินรุ่นเก่าที่มีกำลังอัดในห้องเผาไหม้น้อยกว่า 8.5 ต่อ 1
2. น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 91 เป็นน้ำมันเบนซินที่มีสีแดงนำไปใช้กับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์
สี่จังหวะและมีกำลังอัดในห้องเผาไหม้ตั้งแต่ 8.5 - 10.0 ต่อ 1
3. น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 95 เป็นน้ำมันเบนซินที่มีสีเหลืองนำไปใช้กับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เบนซินสี่จังหวะและมีกำลังอัดในห้องเผาไหม้มากกว่า 10.0 ต่อ 1
การที่มีน้ำมันเบนซินค่าออกเทนหลายชนิดดังกล่าวแล้ว ทำให้ผู้ใช้รถยนต์เกิดปัญหาว่าจะทราบได้อย่างไรว่ารถยนต์ของตนเองจะใช้น้ำมันเบนซินชนิดใด คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือในรถยนต์รุ่นใหม่ก็จะมีคู่มือบอกไว้ว่าจะใช้น้ำมันเบนซินค่าออกเทนแบบใดเอาไว้ ส่วนในรถยนต์รุ่นเก่าที่ไม่มีข้อมูลของคู่มือรถยนต์
เอาไว้เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ได้สูญหายไปแล้วนั้น ก็สามารถติดต่อสอบถามได้จากบริษัทผู้จำหน่ายหรือ
ผู้ผลิตเครื่องยนต์จะได้ข้อมูลที่แน่นอนและน่าเชื่อถืออย่างยิ่งหรือทราบได้โดยการนำรถยนต์ไปที่อู่ซ่อม
ที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ตรวจสอบกำลังอัดของกระบอกสูบในห้องเผาไหม้แล้วนำค่าที่ได้มาเป็นตัวกำหนด
ค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ดังนี้
1. ถ้ามีกำลังอัดในแต่ละกระบอกสูบต่ำกว่า 125 ปอนด์ หมายถึง มีกำลังอัด 8.5 ต่อ 1 จึงใช้น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 87
2. ถ้ามีกำลังอัดในแต่ละกระบอกสูบระหว่าง 125 - 140 ปอนด์ หมายถึง มีกำลังอัดสูงกว่า 8.5
ต่อ 1 ขึ้นไป (แต่ไม่เกิน 10.0 ต่อ 1) จึงใช้น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 91
3. ถ้ามีกำลังอัดในแต่ละกระบอกสูบสูงกว่า 140 ปอนด์ขึ้นไป หมายถึง มีกำลังอัดสูงกว่า 10.0
ต่อ 1 ขึ้นไป จึงใช้น้ำมันเบนซินค่าออกเทน 95
อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่รถยนต์หลายท่านมีความเชื่อว่าถ้าใช้น้ำมันเบนซินค่าออกเทนสูงกว่าที่กำหนดไว้จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มขึ้น รถยนต์จะขับขี่ได้เร็วขึ้นด้วย แต่จากการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามความเชื่อนี้ ดังนั้นการใช้น้ำมันเบนซินกับรถยนต์จึงมีหลักการว่าจะใช้น้ำมันเบนซินออกเทนใดขึ้นอยู่กับรถยนต์แต่ละชนิดจะกำหนดไว้ เช่น ถ้าบริษัทผู้ผลิตได้กำหนดให้เครื่องยนต์มีค่าออกเทน 91 ก็ควรเติมน้ำมันเบนซินให้ตรงกับค่าออกเทนของเครื่องยนต์ ไม่ควรใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่านี้ เนื่องจากไม่ได้
ทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้นและไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับความเสียหายของเครื่องยนต์ เพราะไม่มีผลเสียใดๆ เพียงแต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์แพงกว่าเท่านั้น ยิ่งในยุควิกฤตทางเศรษฐกิจเช่นนี้เราจะจ่ายแพงกว่าทำไมครับ นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนต่ำกว่าที่กำหนดไว้ของเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ จึงขอให้ผู้ขับขี่รถยนต์ได้คำนึงถึงว่าถ้าหากขับรถยนต์ที่เครื่องยนต์มีค่าออกเทน 91 ก็ควรเติมน้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 91 ส่วนผู้ที่ขับรถยนต์ที่เครื่องยนต์มีค่าออกเทน 95 ก็ควรเติม
น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 95 เช่นกัน ดังการประชาสัมพันธ์ที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ได้แก่ ขับ 91 เติม 91 หรือขับ 95 เติม 95 นั่นเอง
ในขณะนี้มีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือปั๊มน้ำมันได้แข่งขันกันในการจำหน่ายน้ำมันให้กับ
ผู้ขับขี่รถยนต์ แต่ละบริษัทผู้ผลิตน้ำมันก็มักจะโฆษณาให้จุดเด่นของน้ำมันบริษัทตนเองเพื่อชักจูงใจให้มาใช้บริการ ได้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันพบว่าแม้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละยี่ห้อจะมีการเติมสารปรุงแต่ง
เพื่อเพิ่มคุณภาพแตกต่างกันไป แต่ก็มักเป็นชนิดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่และน้ำมันพื้นฐานก็มีคุณภาพ
ใกล้เคียงกันหรือมาจากแหล่งเดียวกัน เมื่อนำไปทดสอบด้วยเครื่องวัดแรงม้า พบว่าน้ำมันส่วนใหญ่ไม่ให้ความแตกต่างกันและถ้าหากมีความแตกต่างก็น้อยมากหรือน้อยกว่ากันเพียง 1 - 2 เปอร์เซนต์ของแรงม้า
ที่วัดได้เท่านั้น เมื่อขับรถยนต์ด้วยน้ำมันที่มีแรงม้าต่างกันเพียงเล็กน้อยก็แทบจะไม่มีผลให้รู้สึกว่า
แตกต่างกัน เพียงแต่ว่าผู้ขับขี่รถยนต์อาจเกิดความอุปทานไปเองก็ได้ครับ
ท่านผู้ฟังที่เคารพครับ การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับความต้องการของเครื่องยนต์ใน
ยานพาหนะแต่ละชนิด นอกจากจะเป็นผลดีต่อเครื่องยนต์แล้ว ยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดน้ำมันอีกด้วย ซึ่งการประหยัดน้ำมันเป็นความจำเป็นอย่างมากของประเทศไทย เพราะในแต่ละปีประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันทุกประเภทเป็นเงินหลายแสนล้านบาทและจากการที่ต้องนำน้ำมันเข้าจาก
ต่างประเทศแล้วจึงทำให้ราคาน้ำมันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของโลกและตลาดสิงคโปร์ เช่น
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบได้มีการปรับเพิ่มราคาขึ้นมาจึงส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ซึ่งประเทศไทยใช้อ้างอิงต้องมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ ของโลกยังคงมีความรุนแรงอยู่หลายกรณี เช่น เหตุการณ์สงครามในอัฟกานีสถาน ปัญหาการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ จึงคาดว่าจะทำให้ราคาน้ำมัน
มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอีก การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงจะทำให้ลดการสูญเสียเงินตราออกต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเราทุกคนควรร่วมมือกันประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกรูปแบบ นอกจากจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายของตนเองแล้ว ยังช่วยประเทศชาติประหยัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจาก
ต่างประเทศด้วยครับ
http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=240
แก้ไขเมื่อ : 29/5/2554 10:12:15