WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


ห้องเงียบๆอ่านนิยายกันดีกว่า "ทหารรับจ้างเดนตาย"
phumjai
จาก PhumJai
IP:171.6.106.138

จันทร์ที่ , 17/6/2556
เวลา : 18:33

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       ทหารรับจ้างเดนตาย เรื่องของทหารรับจ้างชาวไทย ในสมรภูมิลาว งานเขียนของสยุมภู ทศพล

ที่มา : THAIAIRSOFTGUN






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 31
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 2/11
กระสุนปืนทุกชนิดสงบเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง แสงไฟฉายกระพริบเป็นจังหวะรหัสมอสล์พุ่งออกจากจุดยิงที่อยู่คนละฟากถนน
ผมกลั้นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือกำลังเคลื่อนที่เข้ามาตรวจค้นเต๊นท์สนามของพวกเราแล้ว
และปัญหาที่ใหญ่หลวงก็คือ รังปืนกลหนักที่ตั้งฐานยิงอยู่บนเนินเขาเหนือศรีษะของพวกเรานี่เอง
ส.ต. อาษา จิตตเที่ยงธรรมกับมือพิฆาตอีก 4 คน คลานเข้ามารับอาษาเก็บรังปืนหนักกระบอกนั้น หลังจากวางแผนกันชั่วครู่ มือพิฆาตทั้ง 5 คนก็คืบคลานขึ้นไปบนเนินอย่างเงียบเชียบ
มีเสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ในบริเวณขอบถนนเบื้องล่าง เมื่อผมเพ่งสายตามองดูก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของทหารเวียดนามเหนือ คลานยั้วเยี้ยอยู่เต็มไปหมด แน่ยิ่งกว่าแน่ พวกมันจะต้องทิ้งหน่วยอาวุธหนัก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันเอาไว้ ณ จุดเดิมอย่างแน่นอน
ผมบังเกิดอาการพะว้าพะวังขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วน ขระนี้เวลานี้เป็นโอกาสของผมที่จะยิงถล่มลงไปยังจุดพักแรมเบื้องล่าง
และในขณะเดียวกัน ทหารชุดพิฆาตของผมทั้ง 5 คน ซึ่งปีนขึ้นไปเก็บรังปืนกลหนักก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างบน
ถ้าลูกน้องผมพลาด งานทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทะลายลงไม่มีชิ้นดี เจ้าปืนกลหนักกระบอกนั้นจะต้องหันทิศทางยิงลงมาจวกพวกผมแหลกรานเป็นธุลีไปเท่านั้นเอง
ไม่มีคราใดที่ผมจะวุ่นวายใจเท่ากับครั้งนี้ อา ทหารรับจ้างเดนตายอย่างผมจะพบกับจุดจบเอาอย่างง่ายๆบนเส้นทางนรกแห่งนี้เชียวหรือนี่...
ไม่มีวิธีใดๆที่ผมจะเลือกปฏิบัติอีกแล้วหรือ ร่างของทหารเวียดนามเหนือที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ภายในเต๊นท์สนามเบื้องล่างทำให้ผมตัดสินใจสั่งยิง “เอ็ม-72” ทันที
ตามแผนการที่วางเอาไว้อย่างรัดกุม ผมจะใช้ “เอ็ม-72” 10 กระบอกยิงทำลายที่ตั้งอาวุธหนักของข้าศึกที่อยู่บนเนินเหนือของถนนตามที่หมายที่ “ล็อค” เอาไว้แล้วในขณะที่สังเกตุเห็นแสงไฟตั้งแต่ข้าศึกเริ่มระดมยิง
“เอ็ม.72” ชุดที่ 2 อีก 15 กระบอกยิงถล่มจุดพักแรมในลักษณะการยิงด้วยระยะ 5 เมตรต่อหนึ่งนัด
“เอ็ม.60” ทั้ง 3 กระบอกประสานการยิงคลุมพื้นที่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจุดพักแรมหรือว่าที่ตั้งอาวุธหนักของข้าศึก ให้ทั้งหมดอยู่ในดุลยพินิจของพลยิงซึ่งเจนสงครามพอสมควร
สำหรับปืนกลหนักกระบอกนั้น ผมไม่มีโอกาสที่จะวางแผนเอาไว้เสียแล้ว
เหมือนกับโชคมันจะอุ้มสม มนุษย์เดนตายหยั่งผมให้มีชีวิตยืนยาว เพื่อผจญกับสงครามลาวที่เส็งเคร็งอีกต่อไป
ผมมองเห็นประกายไฟสีส้มสว่างแว๊บอยู่เหนือศรีษะ เสียงระเบิดที่ผมจำได้อย่างฝังจิตฝังใจดังแหวกความเงียบขึ้นมาก้องขุนเขา
ใช่ครับ มันเป็นเสียงระเบิดผิวเกลี้ยงชนิด “เอ็ม-26” อันทรงอานุภาพที่พวกผมใช้กันในปัจจุบันนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเสียงปืน เอ็ม.16 ระรัวเป็นเสียงข้าวตอกแตกครางระงมอยู่ไม่น้อยกว่า 2 แม็กกาซีนขึ้นไป
“ที่หมาย ตามแผน...ยิง”
ผมแหกปากตะโกนลั่น
บัดดลนั้นเอง ดนตรีสงครามก็กระหึ่มขึ้นมาเหมือนกับได้นัดกันเอาไว้ ห่ากระสุน “เอ็ม.16” พรั่งพรูออกจากลำกล้องด้วยระบบออโต
“เอ็ม.60” ส่ายลำกล้องไล่เดี๊ยะตั้งแต่บริเวณหัวเต๊นท์สนามยันท้ายสลับกันไปมาทั้งสามกระบอก
“เอ็ม.72” ถล่มโครมลงไปลูกแล้วลูกเล่าในช่วงระยะการยิงที่แม่แต่หนูก้ไม่เหลือหลอ
เป้าหมายอาวุธหนักของข้าศึกโดนถล่มอย่างไม่ทันรู้ตัว เอ็ม.72 ถูกระดมยิงออกไปอย่างจักรผันลูกแล้วลูกเล่าที่สลับยิงถล่มขึ้นไปโดยไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าศึกตั้งหลักแม้แต่วินาทีเดียว
“ปึง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงปืนกลหนักคำรามขึ้นมาอย่างหูดับตับไหม้ ชั่วอึดใจมันก็เงียบเป็นปลิดทิ้ง พร้อมๆกับมีเสียงตะโกนแหวกเสียงระเบิดเข้ามาได้ยินแว่วๆ
“บิ๊กแมน ปืนกลหนัก ห้องลูกเลื่อนแตก ผมขออนุญาตลงไปข้างล่างครับ”
“โอเค...น้องชาย...ลงมาโลด”
ผมตะโกนตอบขึ้นไปพร้อมกับตะแคงปืน เอ็ม.16 ให้แม้กกาซีนขนานกับพื้น ขยับมือซ้ายที่กำครอบท่อแก๊สให้หลวม เหนี่ยวไกด้วยระบบอัตโนมัติเต็มตัว
จากลักษณะการยิงที่พิเรนพิเรนแบบนี้ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงขึ้นมาในขณะลูกกระสุนออกจากปากลำกล้อง
แรงเหวี่ยงทำให้ปืนส่ายออกไปเป็นมุมกว้างโดยไม่ต้องออกแรงบังคับ
ให้ตายเถอะครับ การยิงอัตโนมัติเต็มตัวแบบนี้ เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต มองเห็นแม้กระทั่งปลอกกระสุนที่กระเด็นฉิวขึ้นมาเป็นแถวๆอย่างถนัดหูถนัดตา
ขออย่างเดียวอย่าไปยิงในขณะที่กำลังเกิดการประทะกับข้าศึกในระยะเกินร้อยเมตรเป็นอันขาด ระยะขนาดนั้นเราจะต้องจวกกับมันด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ อันเป็นระยะที่เอ็ม.16 ทำงานอย่างนิ่มนวลที่สุด...โดยที่ปืนไม่ส่ายจนวิถีกระสุนพลาดจากเป้าหมายเป็นวาๆ
เท่าที่ผมยิงพิเนรๆแบบนี้ก้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ สภาพของเหตุการณ์ที่ผมกำลังเป็นต่อข้าศึกอยู่ในขณะนี้ทำให้ผมเกิดอาการลำพองใจและ “มัน” ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
ท่านผู้อ่านน่าจะเห็นใจผมบ้างนะครับ..หลายต่อหลายครั้งที่ผมโดนไอ้แกวไล่จวกไล่ขยี้ จนต้องวิ่งหนีอย่างชนิดขี้หดตดหาย เมื่อมีโอกาส “ล่า” พวกมันบ้าง ก็ขอเป็นพระเอกหนังไทยสักเรื่องเถอะครับ
ไม่มีเสียงปืยยิงโต้ตอบจากทหารเวียดนามเหนือแม้แต่นัดเดียว
ฮี่ธ่อ... พวกมันจะโงหัวขึ้นมายิงสู้กับพวกผมได้ยังไงกัน ทั้งจรวดเอย, ปืนกลเอย, เอ็ม.16เอย ยิงถล่มเข้าใส่เป็นพายุบุแคม แทบจะไม่มีเวลาหยุดหายใจแบบนี้ ขืนพวกมันสะเออะหน้าขึ้นมาจากที่กำบังก็ “สวัสดียมบาล” กันเท่านั้น
บอกกับใคร-ใครก็คงหัวเราะ ผมยิง เอ็ม.16 หมดไป 40 แม็กพอดิบพอดี
กระสุน 720 นัดหายวับไปในชั่วพริบตา ผมเขียนมาถึงตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่าน และท่านผู้ที่สนใจในอาวุธปืน คงจะเอะใจ ร้องขึ้นมาว่า เอ๊ะ ก็กระสุนหมดไปตั้ง 40 แม็ก จำนวนกระสุนมันจะต้องมี 800 นัดถ้วนๆไม่ใช่?
ครับ...ถูกต้องครับ ตามหลักทฤษฎี “เอ็ม.16 มีแม็กกาซีนบรรจุกระสุนได้ 2 ชนิดคือ 20 นัด และ 30 นัด
อย่างที่ผมใช้ในสมรภูมิลาวส่วนมากใช้แบบ 20 นัดครับ และตามความเป็นจริง ไม่มีทหารรับจ้างคนไหน อุตริบรรจุลูกกระสุนครบตามจำนวน 20 นัดหรอกครับ
ขัดข้อง แหนบส่งกระสุนไม่มีแรงป้อนลุกเข้ารังเพลิง เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวบ่อยครั้งในการยิงต่อสู้ข้าศึกในระยะประชิดตัว
เรื่องทั้งเรื่องทหารรับจ้างก็เลยบรรจุกระสุนลงไปในแม็กกาซีนเพียง 18 นัดเท่านั้นเอง
เรื่องอาวุธปืน ถ้าผู้เขียนสารคดีหรือว่านวนิยายคนใดไม่สันทัดหรือว่าคลุกคลีกับปืนมาก่อนแล้ว ก็มักจะเขียนผิดความจริงออกมาให้ท่านผู้อ่านที่รู้จริงทักท้วงอยู่เสมอ
แม้แต่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งที่เคยเขียนลงในหนังสือรายสัปดาห์ฉบับหนึ่งเป็นประจำก็ยังปล่อยไก่ออกมาตัวเบ้อเร่อ พี่แกดันเขียนว่า ปืน เอ็ม.16 บรรจุกระสุนเต็มแม็กกาซีนได้เพียง 15 นัดเสียนี่ เล่นเอาโดนเพื่อนๆทหารอำกันไปตั้งหลายวัน
และก้ในหนังสือฉบับเดียวกันนั้น ในนวนิยายเกี่ยวกับ สงครามในลาวเรื่องหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะชื่อ “วีระบุรุษสีเขียว” นี่แหละครับ ผู้แต่งเรื่องนี้อาจจะเคยเข้าไปปฏิบัติการในลาว แต่ผมเชื่อแน่ว่า พี่แกไม่เคยออกรบกับกองพันทหารรับจ้างแหง๋ๆ เพราะเพื่อนๆทหารของผมอ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้วก็พากันถกเถียงกันอยู่เสมอๆว่าผิดจากความเป็นจริง
ผู้แต่งวาดภาพพจน์ทหารรับจ้างในลาวผิดความจริงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
กองพันทหารรับจ้างมีรถถัง เอ็ม.24 ใช้วะด้วย แถมเวลาจะเคลื่อนที่ก็มีธงโบกสะบัดยังกับกองทัพกฐินผ้าป่ายังไงยังงั้น
ตามปกติปืนครก 4.2 หนักขนาดไหน ทหารราบทุกคนย่อมรู้ แต่ในนวนิยายดังกล่าวใช้พลยิงสองคนอุ้มปืนครกไปวางอย่างสะดวกโยธิน แถมคนหนึ่งยังขยับให้ฐานปืนเข้าที่ซะอีก ยังไงครับ...มันเป็นไปได้หรือเปล่า…
สนุกครับ พล็อตเรื่องสนุกมาก ผมก็ยังติดใจอ่านเป็นประจำ แต่ข้อเท็จจริงนี่ซิ ประเดี๋ยวใครๆเขาไม่รู้ก็จะพากันทึกทักเอากันว่า ขนาดกองพันทหารรับจ้างมีรถถังใช้ตั้ง 2-3 คันก็ยังถูกพวกไอ้แกวไล่จวกเสียกระเจิง
ตัวของผมเองก็เถอะน่า ยังปล่อยไก่เข้าอย่างจังเบอร์ ก็ในเรื่องสงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ที่ลงในจักรวาลรายสัปดาห์นี่แหละครับ ผมสะเออะไปเขียนเกี่ยวกับความเร็วของเครื่องบินที่ผิดจากความจริงจนโดนท่านผู้อ่านจวกมา จนเขียนหนังสือไม่ออกไปตั้งหลายสัปดาห์มาแล้ว
เรื่องทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา ใครๆจะหาว่าผมเป็นคนค่อนข้างจะปากหมา ผมก็ยอมรับ...และตามเหตุผลดังกล่าวแล้ว มันก็เป็นความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่หรือครับ...
ความผิดพลาดย่อมบังเกิดขึ้นได้ทุกขณะ สิ่งใดที่ผมเขียนเลยเถิดหรือว่าผิดไปจากความเป็นจริง กรุณาทักท้วงสิ่งนั้นจะเป็นบทเรียนและเครื่องเตือนสติของผมต่อไป หวังว่าแฟนๆหนังสือที่ติดตามผลงานของผมคงจะเข้าใจนะครับ
ยิง...ยิง... จนนิ้วชี้ที่อยู่ในโก่งไกรแข็งทื่อเหมือนกับจะเป็นะคิว
1 ชั่วโมง 45 นาที ที่พวกผมระดมยิงพวกมันอย่างบ้าคลั่ง
03.05 น. กระสุนทุกชนิดเงียบเสียงลงเป็นปลิดทิ้ง
ผมออกคำสั่งทางวิทยุ HT-2 ให้กระแทกแฟลร์กระทุ้งขึ้ไปอย่างชนิดต่อเนื่องกัน
“พรึบ”
แฟลร์กระทุ้งลอยฟ่องอยู่บนเส้นทางมรณะแห่งนั้น อำนาจของดวงไฟขนาด 5000 แรงเทียน ที่กลังลอยลงอย่างช้าๆ สาดออกไปออกไปรอบบริเวณ ความสว่างไสวของมันทำให้บริเวณดังกล่าวสว่างจ้าคล้ายๆกับมีงานเฉลิมฉลอง
“พรึบ”
แฟลร์กระทุ้งดวงที่สองถูกกระแทกขึ้นไปลอยฟ่องอีกในช่วงระยะที่แฟลร์ดวงแรกกำลังจะตกลงมากระทบพื้นพอดิบพอดี
จากลักษณะดังกล่าว ทำให้พื้นที่สังหารสว่างไสวต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา
เต็นท์สนามหายไปจากที่เดิมเกือบหมดสิ้น ซากศพของทหารเวียดนามเหนือนอนระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
ผมไม่สามารถที่จะเช็คจำนวนของทหารเวียดนามเหนือที่ตายได้ถูกต้อง เนื่องจากซากศพขาดออกเป็นท่อนๆเกลื่อนพื้นถนน
เพื่อความรอบคอบ และเพื่อความปลอดภัยผม ออกคำสั่งให้ทุกคนสงบเงียบอยู่บนแนวพร้อมกับกระทุ้งแฟลร์ขึ้นไปทุกๆ 10 นาที
05.50 น. แฟลร์กระทุ้ง 100 อันก็เรียบวุธไม่เหลือหลอ และพร้อมๆกันนั้น รัศมีอันเรืองรองของดวงสุริยะก็ค่อยๆพ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 10:10  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19273

คำตอบที่ 32
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 3/11
อากาศแจ่มใส ทัศนวิสัยโล่งไปหมดทั้งขุนเขา สภาพอันแหลกรานเบื้องล่างปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน และพร้อมๆกันนั้นประสาทหูของผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์บินอยู่สูงลิบเหนือยอดเนินมรณะแห่งนั้น
วิทยุพีอาร์ซี.77 ที่นอร์แมนมอบให้ผมไม่มีความหมายเลยในสภาพของภูมิประเทศเช่นนี้
จุดพักแรมของผมอยู่ในหุบซึ่งมียอดเขา “ภูหินซับ” และยอด “ภูงาม” ขนาบเอาไว้ทั้งสองข้าง จากลักษณะดังกล่าว ทำให้ผมติดต่อวิทยุกับสถานีใดๆไม่ได้เลย
ผมขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือเกือบ 15 ชั่วโมงเต็ม โชคเท่านั้นที่ทำให้พวกผมมีชีวิตรอดอยู่ได้จนกระทั่งได้เห็นแสงสุริยะอีกครั้ง ของเช้าวันรุ่งขึ้น
ผมใช้ “แอร์ ทู กราวน์ด” ติดต่อชอร์ปเปอร์ขอส่งข่าวผ่านไปให้นอร์แมนด้วยรหัสสั้นๆ อย่างง่ายว่า “อีเมอร์เจนซี่” (ฉุกเฉิน) พร้อมทั้งแจ้งพิกัดที่ตั้งของผมไปพร้อมเสร็จ
ชอร์ปเปอร์เครื่องนั้นเป็นชอร์ปเปอร์เที่ยวแรกจากอุดร และบังเอิญนอร์แมนก็โดยสารมากับเครื่องดังกล่าวนั้นเสียด้วย
“บิ๊กแมนจากนอร์แมน มันบัดซบอะไรที่ต้องหยุดพักแรมกัน ณ บริเวณ พิกัดดังกล่าว อีก 5-6 กิโลก็จะถึงสนามบินนาซูอยู่แล้ว พัง...พังชิบหายหมด แผนงานของผม”
นอร์แมนวิทยุลงมาด่าผมด้วยสำเนียงที่แสดงออกถึงความฉุนเฉียวขนาดหนัก
ความโมโหพรุ่งพรวดขึ้นมาเหมือนกับทำนบแตก ผมตะดกนกรอกวิทยุตอบนอร์แมนขึ้นไปด้วยน้ำเสียงพอๆกัน
“ลองบินมาดูให้ต่ำๆหน่อยซีโว้ย ไอ้หัวล้าน...ไอ้ห่า สักแต่ว่าสั่งงาน แล้วไม่เคยติดตามหรือสนับสนุนลูกน้องเลยว่ามันจะตายโหงตายห่าแบบไหน แผนงานของลื้อมันจะวิเศษวิโสขนาดไหน อั้วไม่สน ลื้อลองบินลงมาต่ำๆ แล้วจะเห็นเพื่อนของลื้อนอนตายโหงตายห่าเป็นผีเฝ้าถนนอยู่นี่ บินลงมาซีโว้ย ไอ้นรกจกเปรต”
เป็นครั้งแรกที่ผมด่าฝรั่งออกไปด้วยความลืมตัว และแถมเป็นฝรั่งที่เป็น ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผมเสียด้วย
ความลืมตัวอาจจะทำให้อาชีพทหารรับจ้างของผมสะดุดลงในวันนี้เสียแล้วละกระมัง
ชอร์ปเปอร์ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มเมฆ มันร่อนเป็นวงกว้าง ต่ำลง...ต่ำลงทุกที ทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งจะค้นหาที่อยูของพวกผมตามพิกัดที่ส่งขึ้นไป
“บิ๊กแมนจากนอร์แมน นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกที่นอนตายอยู่เป็นใคร...แล้วเต๊นท์สนามนั่นของใคร ขณะนี้พวกคุณอยู่ที่ใหน โชว์สโม๊คด้วย”
ผมดึงสลักขว้างควันสัญญาณสีเหลืองลงกับพื้นเต็มแรง ควันสโม๊คสีเหลืองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นสาย ผมกดสวิทช์ตอบวิทยุนอร์แมนขึ้นไปอีกครั้ง
“นอร์แมน...ฟัง พวกที่ตายเป็นทหารเวียดนามเหนือทั้งสิ้น เป็นพวกเดียวกับพวกที่จะก่อวินาศกรรมสนามบินนาซู ตามข่าวกรองของคุณนั่นแหละ ไอ้วิทยุ PRC-77 เฮงซวยของคุณทำให้ผมขาดการติดต่อและสนับสนุนจากหน่วยเหนือเกือบ 15 ชั่วโมงเต็ม ผมจะลงไปเคลียร์พื้นที่ ต่อจากนนั้น ผมจะพาทหารทั้งหมดเดินทางไปนาซู ผมจะไม่กลับล่องแจ้งอีกแล้ว พอกันที...ไอ้สงครามฉิบหาย ไอ้สงครามเฮงซวย”
ผมสบถออกไปพร้อมกับหันมาพยักเพยิดให้ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ลงไปข้างล่าง
“บิ๊กแมน...บิ๊กแมน... บิ๊กแมนผมอนุมัติให้พักผ่อน 3 วัน พร้อมด้วยโอเวอร์ไทมส์ 1500 ดอลล่าห์ ได้ยินไหม บิ๊กแมน นี่ นอร์แมนพูด ตอนเที่ยงพบกันที่สนามบินนาซู”
ผมไม่ตอบนอร์แมนหรอกครับ คำว่า “โอเวอร์ไทมส์” กับกำหนดการ “พักผ่อน” ทำให้ความโมโหของผมปลิวหายไปในชั่วพริบตา
ผมจะบอกความลับให้ก็ได้ อีตอนที่ผมด่าไอ้นอร์แมน แล้วเล่นตัวจะขอลาออก ผมคิดยังไงรู้ไหมครับ
โธ่...ผมกลัวไอ้นอร์แมนจะไล่ผมออกจริงๆ ใจจะขาด ขืนออกแล้วผมจะทำมาหากินอะไรเล่าครับ อาชีพรับจ้างฆ่าคนก็เห็นจะมีอยู่ที่เพชรบุรีอยู่เมืองเดียวเท่านั้น...เกือบตกงานเสียแล้วสิเรา
ชอร์ปเปอร์ของนอร์แมนบินกลับไปล่องแจ้งแล้ว ผมและทหารรับจ้างปีนลงไปเคลียร์พื้นที่บริเวณจุดพักแรมด้วยความระมัดระวัง
ลูกระเบิดที่ผมถอดสลักนิรภัยแล้ววาง “อ่อยเหยื่อ” เอาไว้ในเต๊นท์สนามเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เต๊นท์สนามเกือบ 50 หลัง (ทหารนอนเต๊นท์ละ 2 คน) เหลือปรากฏอยู่บนถนนเพียง 5-6 หลังเท่านั้น
เมื่อผมใช้ “M-72” เคลียร์ลงไปอีกครั้ง “M-26” ที่หลงเหลืออยู่อีก 2-3 ลูก ก็ระเบิดตูมตามขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว เล่นเอาทหารรับจ้างที่กำลังจะเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าวทำหน้าตาเหรอหราเหมือนกับโดนผีหลอกกลางวัน
ทหารเวียดนามเหนือเสียชีวิตในจุดพักแรม 10 คน
ฐานยิงอาวุธหนักทั้งสองฐานที่อยู่คนละฟากถนนไม่สามารถที่จะทราบจำนวนที่แน่นอนได้เนื่องจาก “M-72” ถล่มพื้นดินกลบร่างอันแหลกเหลวของพวกมันเอาไว้จนหมดสิ้น
ส่วนรังปืนกลที่ตั้งฐานยิงอยู่เหนือแนวยิงของพวกเราตายเรียบทั้ง 3 คน ด้วยอำนาจระเบิดมือและกระสุน M-16 จากน้ำมือของทหารรับจ้างที่จู่โจมเข้าประชิดรังปืนด้วยความกล้าเกินมนุษย์
ปืนกลหนัก “ปลอด” จากสะเก็ดระเบิดอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ดี พอใช้ชิงไปได้ชั่วครู่ ห้องลูกเลื่อนของมัน ก็ระเบิดพังออกไปอย่างชนิดไม่มีทางแก้ไข นอกจากช่างอาวุธที่มีเครื่องมือซ่อมครบครันเท่านั้น
ทหารรับจ้างพิเนรบางคนตัดหูของทหารเวียดนามเหนือ ร้อยเป็นพวงด้วยสายเคลย์โมว์แล้วคล้องกับปลายกระบอกปืน เอ็ม.16 ด้วยอาการยิ้มหัวเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนั้นเป็นการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
กระสุนเอ็ม.16 หมดไปเกือบค่อนจำนวน ส่วนกระสุนเอ็ม.60 ยังเหลืออยู่เพียงสองสายเท่านั้น ลูกระเบิดมือเรียบวุธ เพราะใช้ดักที่เต๊นท์สนามเกือบร้อยลูก
เอ็ม.72 เหลืออยู่ 20 กระบอก แฟลร์กระทุ้งหมดพอดีในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
ผมเสียเวลาอยู่ ณ จุดพักแรมประมาน 2 ชั่วโมง เมื่อสำรวจยอดเสียหายก็ปรากฏว่าทหารรับจ้างของผมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย 2 คน เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดของตัวเองในขณะจู่โจมเข้าทำลายรังปืนกลหนักเหนือแนว
ทหารเวียดนามเหนือจะเหลือรอดชีวิตอยู่หรือไม่ ผมไม่สน พอถึงเวลา 08.30 น. ขบวนทหารรับจ้างเดนตายของพวกผมก้เคลื่อนที่ขึ้นไปบนยอด “ภูงาม” ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้า
เส้นทางเริ่มชันและวกวนขึ้นทุกขณะ พอขบวนของผมถึงมุมหักข้อศอก ครอบครัวของแม้วอพยพก็ออกมายืนออกันแน่นด้วยดวงหน้าที่แสดงออกถึงความวิตกกังวล
มันเป็นภาพที่ตราตรึงหัวใจของผมไปจนชั่วชีวิต สาวแม้วผวาเข้าหาทหารรับจ้างที่เคยเป็นคู่ขากันมาก่อนด้วยความลิงโลดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเป็นสาย ผมดูไม่ออกว่า เธอเหล่านั้นดีใจหรือเสียใจกันแน่
ความสนิทสนมกันในระหว่างเดินทางและเหตุการณ์ที่เลวร้ายทำให้บังเกิดความสนิทสนมและความเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาอย่างแนบแน่น
ครั้งแรกสาวแม้วเหล่านี้ ขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเงิน
แต่ขณะนี้มองหน้าด้วยสายตาเพียงแวบเดียว ผมก็สามารถบอกกับตัวเองว่า สาวแม้วเหล่านี้บังเกิดความรักอย่างชนิดฝังอกฝังใจกับทหารเดนตายเหล่านี้ขึ้นมาเสียแล้ว
สาวแม้วคนหนึ่งวิ่งควบฝ่ากลุ่มทหารรับจ้างตรงเข้ามายังทิศทางที่ผมกำลังเดินอยู่ มองเห็นผ้าสีชมพูที่คาดประดับทับอยู่บนชุดสีน้ำเงินของเธอปลิวไสว เสียงกำไลเงินกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ไม่ขาดระยะ
เธอเบรคพรืดอยู่ตรงหน้าผมชั่วอึดใจ แล้วผวาเข้ากอดคอผมเอาดื้อๆ
ผมจำเธอไม่ผิดหรอกครับ เธอเป็นคนเดียวกับสาวแม้วที่คนรักถูกทหารเวียดนามฆ่าตาย ที่ผมเอารองเท้าไปวางที่หลุมศพนั่นเอง
“อ้าย อ้ายปลอดภัย นีนาดีใจหลายหลาย วันนี้อ้ายพักบ้านนีนาที่นาซูนะอ้ายนะ”
ภาษาลาวที่ระรื่นหูอู้อี้อยู่ใกล้ๆซอกคอของผม ส.ต.อาษาซึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ อมยิ้มแถมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่บริเวณลูกกระเดือก แล้วตะหวัดไปด้านข้างอันเป็นโค้ดลับให้ผม “เชือด” สาวแม้วคนนี้อยู่ในที
ฮีท่อ... เกือบเดือนเต็มๆที่ไม่ได้เจอะเจอไอ้ของพรรค์ยังงี้ เลือดลมของผมมชักจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเสียแล้วไหม๊ล่ะ
“นีนา” ปล่อยมือจากคอผมแล้วขยับตัวมาด้านข้าง ใช้มือโอบสะเอวของผมเดินชวนคุยไม่ขาดปาก
“แฟนของนีนาบ่ใช่คนแม้ว เป็นคนลาวเกิดที่นาซู เราเพิ่งหมั้นกันได้หนึ่งเดือน ก็ต้องมาพลัดพรากจากกัน นีนาสงสารทองเพชรเหลือเกิน”
กลิ่นสาบสาวอบอวลอยู่ข้างๆ นีนาเป็นสาวแม้วที่สวยผุดผาดกว่าคนอื่นๆ ลักษณะการแต่งตัวของเธอก็ดูสะอาดสะอ้าน ผิดแปลกไปจากชาวแม้วคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
ดวงหน้ารูปไข่ ถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆจนดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ผมที่ยาวสลวยถูกถูกรวบเป็นพุ่มด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนขนาดใหญ่
ว้า... ผมบรรยายเป็นน้ำท่วมทุ่งมาตั้งนานสองนาน รวบรัดเอาสั้นๆเลยว่า แม่นีนาของผม สวยจับจิตจับใจก็แล้วกันนะครับ แฮ่...แฮ่...แฮ่
พอขบวนของพวกผม ขึ้นมาบนยอด “ภูงาม” วิทยุ PRC-77 ก็สามารถติดต่อกับ บก.ล่องแจ้งได้อย่างถนัดชัดเจน
กองสิงห์กับนอร์แมน ผลัดกันซักถามผมถึงเหตุการณ์ณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
แล้วจะให้ผมฝอยด้วยตัวของผมเองได้อย่างไรกันครับ ทางออกของผมก็คือยัดเยียดให้ “จ่าสรศักดิ์ พุทรา” เป็นผู้บรรยายเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นให้ตัว ผบ.พันของเขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ส่วนผมก็ฉากแวบออกไปเดินกระจู๋กระจี๋กับ “นีนา” สบายอารมณ์ไปเท่านั้น
“ภูงาม” เป็นยอดเขาที่สูงเกือบ 6000 ฟิตจากระดับน้ำทะเล (ประมาน 1800 เมตร) อากาศเย็นยะเยือก พืชพรรณเมืองหนาวจำพวก “สน” และ “หญ้ามอส” ที่อ่อนนุ่มเหมือนกับพื้นสักหลาดราบเรียบขนานกับพื้นถนนมองดูสวยงามเหมือนกับภาพวาดของจิตกรเอกแห่งยุค
ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลงจากยอดภูงามเข้าไปยังเมืองนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาน 2 กิโลเมตร
นีนาพาผมเดินไปตามถนนจนกระทั่งถึงด้านหลังสุดของยอดเขา ภาพของเมืองนาซูก็ปรากฏลิบอยู่ในแอ่งกระทะเบื้องล่าง
ทัศนะวิสัยแจ่มใสเป็นพิเศษ ผมสามารถมองเห็นแม้กระทั่งจุดเล็กๆ ของคนที่เดินสับสนวุ่นวายอยู่ภายในสนามบิน
เครื่องบินชนิดต่างๆจอดระเกะระกะเต็มไปหมด แม้กระทั่งบนท้องฟ้าก็ปรากฏเครื่องบิน บินวนเวียนรอจังหวะลงอยู่ 2-3 ลำ
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 11:55  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19276

คำตอบที่ 33
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 4/11
สนามบินล่องแจ้งปิดตายเนื่องจากอำนาจ “ลูกยาว” ของข้าศึก สนามบินนาซูก็เลยคับคั่งจอแจเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกครั้ง
เสบียงอาหาร,อาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่ส่งไปล่องแจ้ง ต้องเปลี่ยนทิศทางมาลงที่สนามบินนาซูอย่างกระทันหัน ต่อจากนั้นก็ใช้ชอปเปอร์ทะยอยขนถ่ายไปลงที่ล่องแจ้งในโอกาสต่อไป
เมืองนาซูเป็นเมืองที่มีความเจริญเหนือกว่าเมืองล่องแจ้งอย่างเห็นได้ชัด ถนนหลายสายที่ตัดกันผ่านเมือง ปรากฏภาพรถยนต์นานาชนิดวิ่งขวักไขว่ลานตา
“บ้านของนีนาอยู่ท้ายสนามบิน พ่อของทองเพชรสร้างให้เมื่อตอนหมั้นกันใหม่ๆ คืนนี้อ้ายพักกับนีนานะ”
นีนาเกาะไหล่ผมพร้อมกับจีบปากจีบคอชี้ให้ผมมองดูตำแหน่งที่ตั้งบ้านของเธอ ด้วยท่าทางน่ารัก
ผมไม่ได้มองตามมือของเธอหรอกครับ สายตาของผม มองดูขบวนรถบรรทุกขนาดใหญ่ 5 คันที่กำลังห้อตะบึงฝุ่นคลุ้ง ออกจากเมืองนาซู มุ่งหน้าขึ้นมาตามเส้นทางที่ลัดเลาะ ขึ้นมาบนยอดภูงามด้วยความสนใจ
“บิ๊กแมน บิ๊กแมน นอร์แมนขอพูดวิทยุด้วยครับ”
เสียงจ่าสรศักดิ์ตะโกนแว่วๆ อยู่ทางเบื้องหลัง เมื่อผมหันหลังกลับไปดูก็มองเห็น ผบ.หมวดเลือดทหารม้า กับทหารรับจ้างคนหนึ่งเดินสะพายวิทยุ “PRC 77” เดินตรงเข้ามาหาผมด้วยอาการเร่งรีบ
“ผมนั่งแอบดูตั้งนาน ว้า... คุณบิ๊กแมนนี่จุดไฟไม่ค่อยจะติดเอาเลยนะครับ เป็นผมละก้เสร็จไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วครับ”
จ่าสรศักดิ์กระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับส่งปากพูดหูฟังของ PRC-77 มาให้ผมแล้วเปิดฉาก “อำ” ผมต่อไปอีก
“สวยขาดใจเลยครับ บิ๊กแมน หุ่นแบบนี้จะโดนกระรอกแม้วเจาะหรือยังก้ไม่รู้ ยังไงๆอย่าให้เสียชื่อชายไทยนะครับ แฮ่ๆ แล้วก็อย่าลืมคิดถึงจ่าแก่ๆหยั่งผมมั่งก็แล้วกัน”
ผมอมยิ้ม ยกปากพูดหูฟังเรียกหานอร์แมนออกไปทันที
“นอร์แมนจากบิ๊กแมน เปลี่ยน”
“โอเค ผมได้ยินเสียงของคุณแล้ว ขณะนี้ผมอยู่ที่นาซู มีข่าวด่วนถึงคุณหนึ่งฉบับ พร้อมแล้วบอกด้วย”
ด้วยนหัสของ FAG (แฟ็ก) นอร์แมนส่งข่าวลับสุดยอดให้ผมทราบถึงการเดินทางของขบวนรถบรรทุก 5 คันที่บรรทุกทหารลาว พร้อมด้วยอาวุธหนักขึ้นมาตั้งฐานปฏิบัติการบนยอด “ภูงาม” ท้ายสุดของข่าว นอร์แมนสั่งให้ทหารรับจ้างขึ้นรถบรรทุกทั้ง 5 คันกลับลงไปยังสนามบินนาซูด่วน
ในข่าวสารฉบับนั้นไม่ได้กล่าวถึงพวกแม้วอพยพแต่อย่างใด
ผมฉุนไอ้นอร์แมนขึ้นมาทันที ความสำคัญของพวกแม้วอพยพเหล่านี้ อาจจะไม่มีคุณค่าสำหรับนอร์แมนก็จริง แต่สำหรับผมและทหารรับจ้างทุกคน แม้วเหล่านี้ คือเพื่อนตายที่หาได้ยากที่สุดในยุคสงครามลาวที่บัดซบเช่นนี้
แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะปล่อยให้ พวกแม้วเหล่านี้เดินทางเข้าไปเมืองนาซูโดยลำพัง
รถบรรทุกทั้ง 5 คัน เดินทางขึ้นมาบนยอดภูงามในอีก 20 นาทีต่อมา
ด้วยการประสานงานกันมาเรียบร้อยแล้ว นายทหารลาวหน้าตาอ่อนเหมือนกับเด็กที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนทหารกระโดดลงจากรภ เดินตรงเข้ามาสัมผัสมือกับผม แล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยคำจนผมเอะใจ
“ผม ร.ต. ธงชัย นุธภักดี แห่งกองร้อยอิสระที่ 290 ได้รับคำสั่งให้นำทหาร 60 คน พร้อมด้วยอาวุธหนักขึ้นมาตั้งฐานปฏิบัติการบนยอดภูงาม คนไหนชื่อ “บิ๊กแมน” ครับ”
“ผมเองครับ”
ผมแนะนำตัวออกไป
ผู้หมวดธงชัยถอดหมวกปีกกว้างออกจากศีรษะ ยกมือไหว้ผมแล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“พี่ ...ผมเป็นคนไทย สอบตกจากนักเรียนนายสิบที่ปราณบุรี ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหนีข้ามมาอยู่ลาว มีอะไรช่วยแนะนำผมด้วยครับ”
มันเป็นการฝากเนื้อฝากตัวที่น่ารักที่สุดของทหารรุ่นน้องชาวไทยที่จับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาเผชิญโชคที่ไร้กติกาของเมืองลาว
ผมลากข้อมือหมวดธงชัยไปแนะนำภูมิประเทศที่จะตั้งฐานปฏิบัติการ ตามความสังเกตุของผม ปฏิภาณและไหวพริบของอดีตนักเรียนนายสิบผู้นี้อยูในเกณท์ใช้ได้ทีเดียว
กองร้อยทหารลาวเข้าประจำแนวเรียบร้อยแล้ว ผมต้อนชาวแม้วทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกท่ามกลางความแปลกใจของพลขับชาวไทยที่ขยับปากจะถามผมตั้งหลายครั้งหลายครา
“น้องชาย พวกแม้วเหล่านี้ไม่ใช่แม้วธรรมดา พวกเขาเป็นแม้วหน่วยกล้าตายที่หันหลังชนกับพวกเรามาอย่างโชกโชน เว้ากันซื่อๆ ถ้าไม่มีแม้วกลุ่มนี้ พวกผมจะไม่มีโอกาสเดินทางมาถึงที่นี่อย่างเด็ดขาด ผมรู้ว่าคุณกำลังจะพูดอะไรออกมา ไม่จำเป็น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างเดินทางผมรับผิดชอบเอง”
ผมตัดบทออกไปดื้อๆ ทำให้พลขับหมดความกังขาแถมยังออกแรงด้วยการช่วยชาวแม้วยกของขึ้นรถด้วยอาการสนิทใจซะอีกด้วย
รถบรรทุกทั้ง 5 คัน เกาะขบวนกันลงจากยอดภูงามมุ่งหน้าเข้าเมืองนาซู ทิ้งเหตุการณ์ละเลงเลือดเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใยดี
เส้นทางลงจากยอดภูงาม ค่อนข้างจะสูงชัน ขอบถนนที่หมิ่นเหม่ถูกแรงเหวี่ยงของล้อรถในขระหักเลี้ยวเศษดินร่วงเกรียวกราว ลงไปในหุบเบื้องล่างท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทหารรับจ้างบางคนที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่บนกระบะท้าย
ไม่ถึง 20 นาที รถบรรทุกทั้ง 5 คันก้เลี้ยวขวับเข้าไปจอดอยู่หน้ากองรักษาการณ์ของสนามบินนาซู
นอร์แมน กองสิงห์ ยืนยิ้มเผล่อยู่ก่อนแล้ว ทหารรับจ้างร้องเรียกชื่อผู้พันของเขาดังลั่น ทุกคนพรูลงมาจากรถวิ่งเข้าไปรุมล้อมกระทำความเคารพกองสิงห์ด้วยความจงรักภักดีอย่างจริงใจ
กองสิงห์ชะเง้อคอมองผมอยู่ ท่ามกลางกลุ่มทหารรรับจ้าง เมื่อสายตาของเราเจอะกัน กองสิงห์ก็พยักเพยิดให้ผม ทำอากัปกริยาเหมือนหนึ่งจะต้องการพูดกับผมอยู่ในที...
“นีนาไปรอพี่อยู่ที่ตลาดท้ายสนามบินโน่นก่อน เสร็จธุระพี่จะไปหา”
นีนาปล่อยมือจากแขนเสื้อของผม แล้วกลับดึงแขนผมเข้าไปกอดอีกครั้ง พร้อมด้วยออดอ้อนขึ้นมาเหมือนเด็กๆ
“อย่าโกหกนีนานะคะอ้าย นีนาจะรอ...นีนาจะทำอาหารลาวให้อ้ายกิน นีนาไปก่อนนคะ”
ร่างของนีนาสะพายกระชุเดินข้ามรันเวย์สนามบินไปแล้ว กองสิงห์ผละจากลูกน้องเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว
“ไปหิ้วมาจากไหน บิ๊กแมน หน้าตาสวยดีนี่ครับ เมื่อเช้านึกยังไงถึงด่ากราดไอ้นอร์แมนเข้าไปหยั่งงั้น มันมาฟ้องกับผมว่า F.A.G. ประจำกองพัน 616 ปากจัดหยั่งกับกรรไกรโรงพยาบาล เป็นยังไงบ้างครับ ทหารของเราสูญเสียมากมั้ย”
“ใครจะไปทนไหวผู้พัน ยังไม่ทันจะรู้เรื่องรู้ราว ก็เสือกแหกปากตะโกนด่าผมเสียลั่นวิทยุไปหมด หน๊อย พอผมยั๊วะเข้าจริงๆก็เสือกดันให้ลาพักผ่อนเสียนี่ โน่นครับ เดินลิ่วมาโน่นแล้ว สงสัยจะมีงานให้ผมทำอีกละกระมัง”
นอร์แมนเดินยิ้มเข้ามาหา เขายื่นซองน้ำตาลหนาปึกมาให้ผมพร้อมเอ่ยขึ้นมาห้วนๆ
“งานอยู่ในซอง ผมมีธุระต้องบินไปวังเวียง โชคดี...บิ๊กแมน”
ผมขยับปากจะเอ่ยทวงถามคำสัญญาของเขาก็ไม่ทันเสียแล้ว นอร์แมนหันหลังกลับเดินดุ่มๆมุ่งหน้าไปยังชอปเปอร์ที่จอดอุ่นเครื่องอยู่ ณ บริเวณลานจอดด้วยท่าทางรีบร้อนเอาการ
ผมยัดซองเอกสารลงกระเป๋าหลัง กองสิงห์ยกมือตบหลังผมป๊าบใหญ่
“บิ๊กแมนไปล่อเบียร์กระป๋องกันดีกว่า อ้อ บก.ล่องแจ้ง อภัยโทษให้ลูกน้องของผมหมดแล้ว แถมให้พักผ่อนที่นาซูอีกหนึ่งคืน ผมเห็นจะอยู่ไม่ได้หรอกครับ เป็นห่วงลูกน้องที่อยู่ทางโน้น รองผู้พันก็ยังไม่กลับจากลาพัก ยังไงๆ คืนนี้ก็ช่วยปรามลูกน้องของผมด้วย”
กองสิงห์เรียก ผบ.หมวด 5 กับรองเข้าไปสั่งการอยู่ชั่วครู่ก็เดินทางกลับล่องแจ้ง
ทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งประมาน 10 คนเดินเตร่ๆอยู่ข้างๆผม พวกเขาทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งอยากจะปรึกษาอะไรบางอย่างกับผมอยู่ในที
“มีอะไรน้องชาย”
ผมพูดเปิดทางออกไป ทหารรับจ้างกลุ่มนั้นเดินเข้ามารายล้อมผม คนหนึ่งซึ่งคงจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้า เอ่ยกับผมขึ้นมาด้วยทีท่าที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
“คุณบิ๊กแมนครับ ก่อนอื่นพวกผมขออกตัวเสียก่อนว่า พวกผมไม่ใช่พวกขี้ขลาด พฤติการณ์ต่างๆที่พวกผมปฏิบัติ คุณบิ๊กแมนคงจะเห็นด้วยตาของคุณเองแล้ว”
เขาหยุดพูดไปเฉยๆเหมือนกับบังเกิดอาการกริ่งเกรงอะไรขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
“มีอะไรพูดมาเลยน้องชาย เกือบสองอาทิตย์ที่ผมคลุกคลีร่วมเป็นร่วมตายกับพวกคุณมา พวกคุณก็ย่อมรู้ว่าผมเป็นคนเช่นไร มีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมพร้อมเสมอ”
ทหารรับจ้างคนนั้นก้มหน้าเหมือนอย่างจะชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก้เงยหน้าขึ้น หลุดคำพูดที่ผมคาดไม่ถึงออกมาเบาๆ
“พวกผมทั้งหมดจะหนีเข้าเวียงจันทร์เดี๋ยวนี้ คุณบิ๊กแมนต้องเข้าใจนะครับ พวกผมเซ็งและเบื่อหน่ายต่อสงครามห่าเหวนี้จนทนไม่ไหวแล้ว ชีวิตของพวกผมต้องมีภาระ พ่อ แม่ พี่น้อง ลูกเมียที่อยู่เบื้องหลังคงจะไม่รู้ว่า ชีวิตของพวกผมเสี่ยงตายขนาดไหน เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ ผมส่งให้ทางบ้านหมดแล้ว เหลือฝากอยู่ที่ บก.333 ไม่ถึงพันบาท คุณบิ๊กแมนเป็นคนแรกที่ผมมาปรึกษา แม้แต่ผู้พันของผม – ผมยังไม่กล้าที่จะแบกหน้าเข้าไปพบกับท่าน ผมกลัวโดนเตะครับ สำหรับการเดินทางไปเวียงจันทร์ ผมเช่ารถสองแถวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้วอพยพคนหนึ่งสงสารพวกเรา เขารับภาระติดสินบนทหารลาวที่รักษาการณ์อยู่ตามจุดต่างๆให้เอง พวกผมอาจจะหนีไปโดยไม่บอกให้คุณบิ๊กแมนเลยก็ได้ ความรักและความเคารพทำให้พวกผมต้องหันมาปรึกษาคุณเป็นคนแรก”
ผมอึ้งไปชั่วครู่ เหตุผลของทหารรับจ้างก็เป็นเหตุผลที่ควรแก่การเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนได้รับอภัยโทษ โทษหนีทัพต่อหน้าอริราชศัตรูหมดสิ้นลงไป เพราะการปฏิบัติการรบที่ดุเดือดเลือดพล่านบนเส้นทางมรณะ ทหารรับจ้างทุกคนจะต้องเดินทางกลับไปล่องแจ้ง เดินทางกลับไปรวบรวมกำลังเข้าบดขยี้กองทหารเวียดนามเหนืออีกครั้ง
ความเบื่อหน่าย ความเซ็งต่อสภาพอันโหดร้ายทารุณของสงครามทำให้ทหารรับจ้างเหล่านี้ คิดหลบหนีเข้าชายแดนไทยในทันทีทันใดที่โอกาสเปิดทางให้เขา
“แล้วพวกคุณจะข้ามจากเวียงจันท์ได้ยังไงกัน บัตรประจำตัวของคุณก้ไม่มี ผมว่า ท่าทางมันจะยุ่งนา ดีไม่ดีคุณอาจโดนหน่วยตรวจคนเข้าเมืองจับด้วยข้อหาเข้าเมืองโดยไม่มีพาสปอร์ตละก็เรื่องมันจะหนักยิ่งกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้นะคุณ”
“ขอให้ถึงเวียงจันทร์เถอะน่า ไอ้เรื่องข้ามแม่น้ำโขงตอนกลางคืนผมถนัดนัก ก็บ้านผมอยู่ที่หนองคายนี่ครับ คุณบิ๊กแมน ผมเคยข้ามไปข้ามมา วันหนึ่งๆตั้งหลายเที่ยว... มีเงินซะอย่าง พวกมันไม่หือหรอกครับ”
ตกลงผมก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจนรู้เห็นเป็นใจไปกับทหารรับจ้างกลุ่มนั้นด้วย
ทุกคนร่ำลาผมอย่างอาลัยอาวรณ์ บางคนถึงกับน้ำตาซึมออกมาด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจากกัน พวกเขาเหล่านั้น กระซิบกระซาบให้ผม ช่วยจำหน่ายยอดให้พวกเขา “สาบสูญ” ในการสู้รบอีกด้วย
- X –X – X –X – X – X – X – X -



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 12:16  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19277

คำตอบที่ 34
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 5/11
รถสองแถวขนาดกลาง พากลุ่มทหารรับจ้างเดนตายแล่นลับโค้งถนนไปแล้ว ผมยืนมองดูฝุ่นที่คลุ้งขึ้นมาเต็มถนน ด้วยอาการเหม่อลอย ในใจภาวนาให้เหล่าทหารเหล่านั้นเดินทางกลับประเทศไทยด้วยความปลอดภัย กลับไปเป็นหลักของครอบครัวซึ่งยากจนข้นแค้นแทบเลือดตากระเด็น
เมื่อหันมาสำรวจดูตัวผมเอง น่าสมเพชนัก ชั่วชีวิตที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเป้นชิ้นเป็นอันพอที่จะแสดงให้เห็นว่าตั้งหลักได้ เงินเดือน-เดือนหนึ่งๆของอาชีพรับจ้างฆ่าคนก็ถูกจับจ่ายไปกับอบายมุขร้อยแปด
เอ้อ... ทั้งๆที่รู้ว่ามันเช่า ก็อดที่จะเกลือกกลั้วกับมันไม่ได้ ดังนั้น คนบาปหนาเยี่ยงผมก็เลยต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสมรภูมินรกแห่งนี้อยู่ตลอดไป ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะสิ้น
ทหารรับจ้างทั้ง 10 คน ที่กำลังหลบหนีไปเวียงจันทร์ อาจจะกลายเป็นเศรษฐีไปในชั่วพริบตา
บก.333 มีข้อสัญญาเอาไว้ว่า ถ้าทหารรับจ้างคนใด “สาบสูญ” หรือเสียชีวิตจากการรบในสงครามลาว ทาง บก.333 จะต้องจ่ายเงินให้แก่ครอบครัวของทหารรับจ้างผู้นั้น รายละหนึ่งแสนบาททันที โดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
ด้วยกลเม็ดและชั้นเชิง ทหารรับจ้างผู้สาบสูญแต่ในนามก็เลยกลายเป็นเศรษฐีไปโดยปริยาย
และผมก็จะจำหน่ายยอดสาบสูญให้กับทหารรับจ้าง
ฮี่ธ่อ... ช่วยให้เพื่อนฝูงกลายเป็นเศรษฐีทั้งที มัวแต่มานั่งตะขิดตะขวงใจ มันก็ผิดลักษณะคนมักน้อยหยั่งผมหมดนะซีครับ
ชีวิตเป็นของไม่แน่ บางทีวีวิตเสร็งเคร็งของผมอาจจะโซซัดโซเซไปพบกับพวกเขาเหล่านั้นอีกครั้ง และครั้งนี้เราก็จะได้พิสูจน์ถึงน้ำใจซึ่งกันและกัน
แต่ความจริงแล้ว ที่ช่วยเหลือครั้งนี้ ไช่ว่าผมจะคิดเอาบุญคุณแก่พวกเขาเหล่านั้นก้หาไม่... ที่อยู่-บ้านช่องของทหารรับจ้างดังกล่าวผมก้ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ความสุขทางใจของคนบาปหนาอย่างผมหรอกครับ ที่ทำให้ต้องหลวมตัวตกบันไดพลอยโจนไปกับพวกเขาด้วย
“อ้าย... อาหารเสร็จแล้ว ยืนเหม่อมองอะไรอยู่คะ”
เสียงหวานระรื่นหูของนีนา ดังกังวานอยู่ใกล้ๆ ผมสะบัดศรีษะ ความรู้สึกที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่ นึกถึงสัญญาที่ให้ใว้ว่าจะไปทานอาหารกับนีนาขึ้นมาทันที
ผมหันขวับกลับมามองดูนีนา
พระเจ้าช่วย ผู้หญิงแม้วที่ยืนยิ้มแก้มบุ๋มอยู่เบื้องหน้าของผมอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่นีนาคนเก่าเสียแล้ว
กางเกงบลูยีนส์สีน้ำเงินฟิตเปรี๊ยะ ที่ฟิตเสียจนตะเข็บตรงบริเวณสะโพกแทบจะปริออกมาเนื่องจากอำนาจของเนื้อหนันที่อวบอูมนั้น
เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มแบบสปอร์ต มีตราดอกกุหลาบขาวติดหราอยู่ที่หน้าอก ยามเธอหายใจสะท้อน เจ้าดอกกุหลาบช่อนั้นเต้นระริกเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา
ขณะนี้ นีนาเป็นหญิงสาวที่แต่งกายทันสมัยเปรี้ยบ ชุดเครื่องแต่งกายพื้นเมืองที่รุงรังของชาวแม้ว ถูกลอกคราบออกไปจนไม่เหลือไม่เหลือหลอ
นีนาดึงแขนของผมเข้าไปกอด สัมผัสแรกที่รู้สึกก็คือ เนื้อหนันสองก้อนเบียดกระชับนุ่มนิ่มอยู่กับบริเวณข้อศอกด้านซ้าย
ไม่ได้ใส่อะไรจริงๆนั่นแหละครับ สายตาและข้อศอกของผมฟ้องตัวเองว่า...นอกจากเสื้อยืดสปอร์ตตัวนั้นแล้ว นีนาไม่ได้สวมใส่อะไรเลยจริงๆ
ขนเจ้ากรรมดันลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ ผมหันหน้าหันหลังสำรวจดูบริเวณรอบๆตัว เมื่อไม่มีใครสนใจ ผมก็แอบขโมย “ปลูกหอมบนไร่แก้ม” นีนาเสียฟอดใหญ่ๆ
ผมกับนีนาเดินกอดเอวกันมุ่งหน้าเข้าไปในตลาดเมืองนาซู ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างฉงนสนเท่ห์ของพนักงานสนามบินที่ต่างก็คงจะพากันสงสัยว่า ผมไปคว้าเอาสาว “แม้วโมเดิ้ล” มาจากไหนกัน...
บ้านของนีนาปลูกอยู่ท้ายสนามบิน ลักษณะของบ้านค่อนข้างจะมีฐานะพอสมควร นีนาเล่าเรื่องราวของเธอให้ผมฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นีนากับทองเพชร เพิ่งจะหมั้นหมายกันไม่ถึงเดือน ทั้งสองคนรวบรวมทุนเข้าหุ้นกันค้าขายเครื่องดื่มที่สนามบินล่องแจ้ง ทองเพชรจะเป็นคนเดินทางไปซื้อเครื่องดื่มจำพวก เป๊บซี่ และเบียร์กระป๋องจากเวียงจันทร์โดยทางเครื่องบิน(ฟรี)
ต่อจากนั้น นีนาก็จะติดตามคู่หมั้นของเธอไปช่วยกันขายของที่สนามบินล่องแจ้งในตอนเช้าตรู่ของวันต่อมา
วันหนึ่งๆมีกำไรเกือบ 600 บาท ความหวังที่ตั้งเอาไว้คือ จะรวบรวมกำไรทั้งหมดเอาไว้ทำทุนในวันแต่งงาน
การค้าเจริญขึ้นเป็นลำดับ เธอก็เลยชวนทองเพชรและพี่น้องไปปลูกร้านขายของอยู่ที่ตลาดล่องแจ้งเสียเลย
ร้านเปิดได้เพียง 3 วันก็โดนกระสุนปืนใหญ่จากทหารเวียดนามพังทลายไม่มีชิ้นดี
การระดมยิงของทหารเวียดนามเหนือทำให้ชาวแม้วทุกคนเริ่มอพยพออกจากเมืองล่องแจ้ง เธอกับทองเพชรก็เลยทิ้งร้านค้าอพยพกลับนาซูด้วยการเดินเท้า
ทองเพชรเสียชีวิตจากการต่อสู้กับทหารเวียดนามเหนืออย่างสมศักดิ์ศรี นีนาก็เลยกลายเป็นม่ายคู่หมั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
ประเพณีของชาวแม้วนี่ก็แปลกเหลือหลายนะครับ..ลูกสาวพาไอ้หนุ่มขึ้นบ้าน แทนที่พ่อแม่จะออกมาพูดคุยด้วย กลับยกกระชุขึ้นสะพายหลังชวนกันเดินหายออกไปจากบ้านซะนี่
อาหารเย็นผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อย “ลาบงูเห่า” ทำให้เลือดลมของผมร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างช่วยเหลือไม่ได้ หลังจากอาหารเย็นไม่นาน ฝนหลงฤดูของเมืองหนาวก้กระหน่ำลงมาอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา
ผมกับนีนาผลัดเสื้อผ้าลงไปช่วยกันรองน้ำฝนอย่างสนุกสนาน สามชั่วโมงเต็มๆ ฝนก็ยังไม่ยอมหยุด จนกระทั่งรัตติกาลได้คืบคลานเข้ามาอีกครั้ง
ผมกับนีนานั่งคุยกันอยู่ในห้องนอน ตะเกียงรั้วดวงเล็กริบหรี่อยู่ข้างๆ น้ำมันก๊าสที่เหลืออยู่น้อยเต็มที ทำให้ไฟหรี่ลงทุกขณะ
“เปรี้ยง...ครืน”
อสุนีบาต ครางกระหึ่มอยู่เบื้องนอก ต้นไม้ใหญ่ข้างๆบ้าน ล้มครืนลงมาได้ยินถนัดหู... สายลมกรรโชกเข้ามาในหน้าต่างบานเดียวที่เพยิบพยาบอยู่นั้น
ตะเกียงดับวูบ นีนาผวาเข้ามากอดผม มือทั้งสองข้างของเธอกระหวัดคล้องคอผมเอาไว้แน่น ผมก้มหน้าลงไปพอดี ก็เลยเจอะกับริมฝีปากรูปกระจับคู่นั้นพอดิบพอ...
ลมหายใจของเธอร้อนผะผ่าวเหมือนกับลมหน้าแล้ง ผมเก็บเกี่ยวความละลานใจบนร่างเธอด้วยความย่ามใจ ในขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นมา ณ บริเวณบันไดหน้าห้องของเธอ
“ใคร”
นีนาถามออกไปเป็นภาษาแม้ว ด้วยน้ำเสียงที่ผมจำเกือบไม่ได้
“แม่เอง...นีนา”
เสียงแหบๆของแม่ของนีนาดังลอดประตูเข้ามาได้ยินถนัดหู...ผมสะดุ้งเฮือก มือทั้งสองข้างควานหากางเกงเป็นพัลวัน
นีนา เอื้อมมือมาคว้ามือผมเอาไว้แน่น ปากก็ร้องดุแม่ของเธออกไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ไหน แม่ว่า...คืนนี้แม่จะไม่กลับ นีนามีแขก...แม่ไปนอนกับกิมลองก็แล้วกัน”
มีเสียงบ่นพึมพำอยู่หน้าห้องชั่วครู่ ผมก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าลงบันไดไป
ให้ตายเถอะครับ ถ้าเป็นเมืองไทย ป่านนี้ผมโดนเฉาะกบาลแยกแล้ว ประเพณีแม้วนี่ก็แปลกเหลือหลาย ลูกสาวจะมีผัวทั้งทีต้องเสือกไสแม่ให้เปลี่ยนที่นอนซะด้วย
นีนาเหมือนกับม้าเจนศึก ทุกสิ่งทุกอย่างเธอเป็นฝ่ายบริการให้ผมทั้งสิ้น สามยกของมวยไทยผ่านไปอย่างสบายๆ
พอขึ้นยกที่ 4 นักมวยสมัครเล่นอย่างผมก็ขาปัดขาเป๋ หายใจหอบเหมือนกับหมาบ้าแดด หูอื้อ ตาลาย เพดานมุ้งสีขาวที่อยู่ในความมืด หมุนเคว้งเหมือนกับกังหัน ความรู้สึกวูบลงไปเหมือนกับ “หนังขาด”
ก่อนที่ความรู้สึกจะโบยบินออกจากร่าง ผมได้ยินเสียงนีนาพึมพำภาษาบ้านเกิดของเธอไม่ได้ศัพท์
ผมสลบไสลไม่ได้สติ จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นแสงอาทิตย์สาดเป็นลำดับเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ
ชุดเครื่องแบบที่เหม็นสาบของผมหายไปจากขอตะปูข้างฝา ซองสีน้ำตาลปึกใหญ่ที่นอร์แมนให้ผมไว้ วางอยู่ใกล้ๆหมอน
เสียงอ้อแอ้ของ “จ่าสรศักดิ์ พุทรา” แหกปากร้องตะโกนเพลงสัปโดกสัปดน เลียนแบบทำนองเพลงแหล่ ของ “พร ภิรมย์” ดังลั่นอยู่ข้างๆบ้าน
“คนธรรพ์พลันยั้งหยุดคิด คิดทำบุตรตอนฟ้าสาง อิงแอบแนบน้องนาง ก่อนสว่างจึงล้างหน้าไก่......คนธรรพ์พลันขึ้นห้อง ไปเจอะนวลน้อง ชะเป็นหนองใน”
“เฮ้ย ใครมี “เดดตร้า-ไซคลีน” บ้างโว้ย กูเจอะหนองในเข้าให้แล้ว โธ่เอ๋ย ม้าเนื้อหยั่งกู หนองแดกซะแล้วหรือนี่”
พูดพลาง จ่าสรศักดิ์ ก็ร้องเพลงยอดฮิตของธานินทร์ ขึ้นมาอีกครั้ง
“โธ่เราเป็นหนองอีกแล้วหรือนี่ ยังงี้ทุกทีเมื่อริปี้ผู้หญิง”
มีเสียงหัวเราะประสานกันขึ้นมาเกรียวกราว ผมค่อยๆโงศรีษะที่หนักอึ้งขึ้นมาจากหมอน ลุกขึ้นเดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าต่าง ก็มองเห็น จ่าสรศักดิ์ พุทรา ยืนง่อกแง่กปลดกระดุมกางเกงงัด “เครื่องเยี่ยว” ออกมาสำรวจอยู่ไปมา ปากก็ร้องเพลงไม่ขาดระยะ ท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้าง 3-4 คนที่มีอาการสลึมสลือพอๆกัน
จ่าสรศักดิ์ เงยหน้าขึ้นมาพบผมเข้าพอดี... เขาหัวเราะก๊าก กล่าวทักทายผมด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ เหมือนกับคนลิ้นไก่สั้น
“สวีดัด...สวัสดี รู้สึกว่าโลกมันจะกลมจริงๆซะแล้ว พบกันอยู่เรื่อย นิ๊งไหม๊ครับ ของฟรี... พวกผมแย่หน่อยโดนขูดไปคนละ 150 บาท แถมยังมีรายการแถมหนองในให้กับผมซะอีก เอ๊ะ ทำไมหน้าบีกแมนถึงซีดเป็นไก่ต้มหยั่งงั้นเล่าครับ...อ๋อ...ผมรู้แล้ว”
พูดจบ จ่าสรศักดิ์ ก้เดินโงนเงนไปที่โอ่งน้ำ ซึ่งขณะนั้น นีนากำลังนั่งซักชุดเครื่องแบบของผมอยู่พอดี
“อีหนู เธอทำอะไร นายภาษาของเธอถึงเหี่ยวออกยังงั้น เร็วๆเอาเงินนี่ไปซื้อโอวัลติน ไข่ลวก 5 ฟองมาให้นายภาษากินซะ แล้วถ้าร้านหมอเปิดละก็ ซื้อยาแก้หนองในมาให้ข้อย 3 เม็ดด้วยเด้อ”
จ่าสรศักดิ์หยิบธนบัตร 100 กีบออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้นีนาด้วยท่าทางง่อกแง่ก ง่อกแง่ก... คงจะเป็นด้วยความเมาจัด จ่าสรศักดิ์ก้เลยเซถลาหัวทิ่มโครมลงไปในโอ่งขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุน้ำอยู่เต็มปรี่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่ของผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์รอบๆด้าน
ผมผลุบหน้าคลานลงไปนอนดูเพดานห้อง มือข้างหนึ่งสัมผัสซองเอกสาร ก็เลยหยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยอาการเนือยๆ
ธนบัตรดอลล่าร์ชนิดใบละ 20 ดอลล่าร์ แลบออกมาจากแผ่นกระดาษสีขาว ผมดึงมันออกมาทั้งปึก ด้วยความสนเท่ห์
เงิน 1500 ดอลล่าร์ วางท้าทายสายตาอยู่ข้างๆ...กระดาษคำสั่งให้พักผ่อน 3 วัน ถูกกระแสลมพัดปลิวว่อนออกไปทางช่องหน้าต่าง
อา...นอร์แมนปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับผมเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างกระอักเลือด นีนาเหมือนกับแม่ม้าที่ถูกโด๊ปยา เธอปรนเปรอผมด้วยอาหารและโสมเกาหลีชั้นดี แถมตบท้ายด้วยเบียร์ดำคอหมาป่าที่ลือชื่อไม่ขาดระยะ
โธ่ ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผมจะไปไหนรอด ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือแต่ผ้าห่มที่นีนาคลุมให้เท่านั้นเอง
- X –X – X –X – X – X – X – X -



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 12:31  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19278

คำตอบที่ 35
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 6/11
นีนาลอกคราบเอาเสื้อผ้าของผมไปซักจนหมดเกลี้ยง
พอซักเครื่องแบบเสร็จ นีนาก็เข้ามาคลุกกับผม... ทำพิธีขอลูกไปจนกระทั่งตะวันตกดิน
เช้า,สาย,บ่าย,จนกระทั่งถึงเย็น ผมกับนีนาผลัดกันอาบน้ำ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนตะวันจะตกดินเล็กน้อย... ม้าแก่อย่างผมก็หมอบสิ้นฤทธิ์ นอนหายใจรวยรินอยู่บนที่นอน
เพีย. 1 คืนกับ 1 วัน สถานะการณ์ของผมก็ยังยอบแยบถึงขนาดนี้ ถ้ายังขืนทู่ซี้อยู่ต่อไปเห็นทีจะหัวใจวายแน่ๆ
นีนาออกไปจ่ายตลาด ผมโซเซลุกขึ้นแต่งตัว หยิบธนบัตรใบละ 20 ดอลล่าร์ 3 ใบ วางเอาใว้ใต้หมอน แล้วเดินโผเผมาที่สนามบินนาซูจับชอปเปอร์เที่ยวสุดท้ายบินหนีไปอุดรทันที...
ลาก่อน นีนา... แม่สาวแม้วแรงสูงที่มีฤทธิ์เดชหยั่งกับผีดูดเลือด ชาตินี้ทั้งชาติเห็นทีจะเข็ดไปจนตาย
- X –X – X –X –

ผมถึงอุดรหนึ่งทุ่มยี่สิบพอดิบพอดี พอลงจากชอปเปอร์ก็เจอะกับ “นอร์แมน” เจ้านายของผมซึ่งเพิ่งจะบินมาจากวังเวียงเข้าพอดี...
“เป็นยังไง...บิ๊กแมน ท่าทางของคุณยังกับผ่านการ แฮ๊งโอเวอร์ มาอย่างหนัก ถ้าว่างผมขอเชิญคุณเป็นแขกในงาน “เมอร์เซนนารี่-บอลล์” พบกันที่ แอร์-เบสส์-คลับ คืนนี้ตอน 3 ทุ่ม กู้ดลักค์”
นอร์แมนผละจากผมขึ้นรถออกไปนอกบริเวณ สนามบินโดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น
ผมนั่งรถโฟล์คตู้ทึบของแอร์อเมริกาเข้าตลาดเมืองอุดร ยืนเตร่มองดูเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยู่พักหนึ่งก็เลือกชุด “ซาฟารี” สีน้ำตาลไหม้ เพื่อใช้สำหรับ งาน “เมอร์เซนนารี่-บอลล์” (ทหารรับจ้าง-บอลล์) ซะ 1 ชุด ด้วยสนนราคาเกือบ 400 บาท
ต่อจากนั้นก็เข้าร้านตัดผม โกนหนวดโกนเคราซะเอี่ยมอ่อง พอยี่สิบนาฬิกา ผมก็มาเอ้อระเหยอยู่ในอ่างน้ำร้อนของห้องเบอร์ 110 บนชั้นบนสุดของ “ศิริโฮเตล” ด้วยความสบายอกสบายใจเป็นครั้งแรกในการพักผ่อนที่กระอักเลือดครั้งนี้

- X –X – X –X –
21.00 น. ผมพาตัวเองหลุดเข้าไปเป็นส่วนประกอบของ “แอร์-เบสส์-คลับ” ซึ่งขณะนี้กำลังกระหึ่มไปด้วยเสียงดนตรี จากกบรรเลงของวง “วี.ไอ.พี” อันมีชื่อเสียงของเมืองอุดร
“วี.ไอ.พี.” เป็นวงดนตรีเด็กหนุ่มชาวไทยที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญของทหารอเมริกันและชาวต่างประเทศทั่วๆไป
ด้วยลีลาการเล่นที่ถึงอกถึงใจ และถูกต้องตามแบบฉบับดั้งเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนทำให้ “วี.ไอ.พี.” ยืนยงอยู่ใน “แอร์เบสส์คลับ” (air base club) เป็นเวลาถึง 2 ปีเต็ม
ผมเดินเฉียดห้องดนตรีมุ่งหน้าเข้าไปยังห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ซึ่งมีตู้รูปร่างเหมือนกับตู้ที่ตั้งอยู่ตามปั๊มน้ำมันเรียงรายกันเป็นแถวๆมองดูลานตา
แต่ละตู้ก็มีเจ้าหน้าที่ของ ซี.ไอ.เอ. ซึ่งแฝงอยู่ในคราบของพนักงาน “แอร์-อเมริกัน” ยืนโยกก้านเหล็กซึ่งโผล่ออกมาข้างๆตู้ดังกล่าวเสียงดังกรุ๊ง กริ๊ง...โครมคราม ฟังไม่ได้ศัพท์
ใช่ครับ มันคือ “สล็อต-แมชชีน” หรือ “ไอ้โจ-แขนเดียว” ที่สูบเลือดได้อย่างสะเด็ดสะเด่านัก
ลักษณะการเล่นก็ง่ายและล่อใจเหลือประมาน เพียงแต่ผู้เล่นแลกเหรียญดอลล่าร์ชนิด 50 เซ็นต์ หรือ 1 ดอลล่าร์ แล้วใส่เข้าไปในช่องที่อยู่หน้าตู้
พอเหรียญผ่านช่องเล็กๆลงไป ก็จะมีเสียงกรุ๊ง..กริ๊งๆ ดวงไฟที่อยู่ในตู้วูบวาบ ผู้เล่นถ่วงจังหวะอยู่ชั่วครู่ แล้วดึงก้านเหล็กที่ยื่นออกมาเต็มแรง
ถ้าดวงดี หรือจังหวะดึงบังเอิญไปเข้าล็อคของตู้เข้า ก็จะปรากฏเสียง “กริ๊ง” ดังกังวาลลั่น... เจ้าดอลล่าร์ที่ยัดทะนานอยู่ในตู้ก็จะไหลทะลักตกลงมาบนพื้นเป็นสาย
ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า “แจ็คพ็อท” และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้จะมีน้อยครั้งเหลือเกิน บางคนใส่เหรียญลงไปเป็นจำนวนร้อยๆเหรียญแล้วโยกจนหน้าดำหน้าแดง จนดอลล่าร์ปลิวหายไปในชั่วพริบตา นึกโมโหขึ้นมา ก็ผละไปหยอดเหรียญตู้อื่นๆดูบ้าง
คนดวงดีที่ไหนก็ไม่รู้ ปราดเข้าไปหยอดเหรียญโยกสล็อต “แจ็คพ็อท” ร่วงกราว ท่ามกลางความเป็นเดือดเป็นแค้นของเจ้าของตู้ที่เพิ่งจะผละออกไปอย่างสดๆร้อนๆ
“แจ็คพ็อท” ถ้าใช้กับ “สล้อต-แมชชีน” แปลว่า “โชคดี” แต่ในมุมที่ตรงกันข้าม ถ้านำไปใช้กับสมรภูมิลาวในขณะที่ “ลูกยาว” ของข้าศึกกำลังยิงถล่มอยู่ละก็ ความหมายของมันจะผิดกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียวครับ
ทหารรับจ้างหลบ “ลูกยาว” ของข้าศึก บังเอิญ “แจ็คพ็อท” โครมตกลงไปในหลุมมันก็สบายไปแปดอย่างเท่านั้นเอง
เห็นไหม๊ละครับ...คำๆเดียวกันแท้ๆ ถ้าเกิดไปใช้ในสภาพกาลที่ต่างกัน ความหมายของมันจะผิดกันลิบลับแบบนี้แหละครับ
ทั้งๆ ที่รู้ว่า “สล็อตแมชชีน” มันจะกินทุน 80 % ของทุกเหรียญที่หยอดลงไป นักเล่นทั้งหลายก็อดที่จะท้าทายมันไม่ได้... และผมก็เป็นคนหนึ่งที่รวมอยู่ในคนจำพวกนี้
และผลของการท้าทาย 50 เหรียญปลิวหายไปกับสายลมในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ผมเดินตัวร้อนออกมาจาก “ไอ้โจแขนเดียว” มุ่งหน้าไปยังเคาเตอร์ ซึ่งกำลังแออัดยัดเยียดไปด้วยคอทองแดงทั้งหลาย ที่กำลังซดของฟรีให้มั่วไปกันหมด
คนผสมเหล้าเป็นอเมริกันนิโกร ตัวยังกับตึก...เขามองหน้าผมแล้วเปิดยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับสำรากออกมาห้วนๆ
“ล่ออะไร ... พรคพวก”
“อาร์พีจี...เซเว่น”
ผมสั่งเหล้ามันออกไปด้วยอาการยียวน ไอ้มืดหัวเราะก๊าก พร้อมกับเอื้อมมือหยิบเหล้า “วอสก้า” เหล้าจีน, เป๊ปซี่ที่วางอยู่บนชั้นเหนือเคาเตอร์ลงมาวางบนโต๊ะแล้วจัดแจงผสมกันอย่างคล่องแคตล่วว่องไว
“คนที่สั่งเหล้าบ้าๆบอๆ หยั่งลื้อมีอยู่คนหนึ่ง เป็นหัวหน้าอั๊วเอง... ไอ้ห่า ดื่มเข้าไปได้ยังไง เหล้าวอสก้าผสมเหล้าจีน เมาตายห่า...เอ้า ล่อซะ มิสเตอร์ฟิลิปปินส์”
หุ่นของผมมันคงจะคล้ายๆฟิลิปปินโน ไอ้มืดมันก็เลยสำรากยวนยีกับผมเข้าให้ก่อน... ผมกระดก “อาร์พีจี-เซเว่น” เหล้าตำรับจีนแดงเทพรวดเข้าไปในกระเพราะ ดีกรีอันร้อนแรงของมันทำให้ลำไส้ของผมร้อนวูบวาบ หูตาสว่างไสวขึ้นมาทันที...
“อั๊วไม่ใช่ฟิลิปปินส์ ... อั๊วเป็นคนไทย... หัวหน้าของลื้อที่เพิ่งจะแดก “อาร์พีจี-เซเว่น” ไปหยกๆอยู่ใหนวะ อั๊วต้องการพบ... ถ้าหัวหน้าลื้อ หัวแดงเหมือนกับลูกมะอึกละก็ไม่ผิดตัวแน่”
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... แม่นแล้ว มิสเตอร์นอร์แมน หัวหน้าของผมยืนอยู่โน่นครับ... น่าน...น่าน หิ้วอีตัว เดินมาหาคุณแล้วครับ”
คำพูดที่ค่อนข้างจะยียวน เปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน ไอ้มืดเริ่มเสียงเรียบกับผม เมื่อรู้ว่าผมคือเพื่อนคนหนึ่งของเจ้านายโดยตรงของมัน
“ฮาย... บิ๊กแมน... ยูไปเอ้อระเหยอยู่ที่ไหนตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
นอร์แมนเดาะชุด “ซาฟารี” สีเดียวกับผมเหมือนกับนัดเอาไว้ เนคไทด์สีขาวชนิดใบพาย ทำให้เจ้านายของผมหนุ่มและเท่ห์ขึ้นเป็นกอง
ที่ร้ายเหลือก็คือ หญิงสาวชาวต่างชาติทั้งสองที่ขนาบข้างมาด้วยนั้นหุ่นเซ็กซี่เหลือหลาย
“บิ๊กแมน... นี่ มิสลอล่า เลขานุการส่วนตัวของผม และนี่ มิสโมนา สุไลมาน นางพยาบาลแสนสวยแห่งโรงพยาบาลแอร์เบสส์ ที่จะเป็นพาร์ทเน่อร์ให้กับคุณ ในงานที่น่าสนุกสนานของพวกเราคืนนี้”
ผมยื่นมือออกไปสัมผัสด้วยอาการเผลอไผล มิสโมน่า สุไลมาน เป็นสาวลูกครึ่ง สเปน-ฟิลิปปินโนส์ ที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
ชุดราตรีเปิดไหล่... เปิดหลังตลอด แถมร่องอกเว้าลงมาเกือบถึงสะดือ เล่นเอาเลือดเนื้อความเป็นหนุ่มของผมแล่นปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาอีกแล้ว ความสลึมสลือจากฤทธิ์เดชของแม่สาวนีนาปลิวหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ซัมแวร์ มายเลิฟ” จากการบรรเลงของ V.I.P. ครางขึ้นอย่างอ้อยสร้อย สุไลมานฉุดข้อมือผมเข้าไปในฟลอร์ขนาดยักษ์ ซึ่งขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยนักลีลาศของแอร์-อเมริกัน
สุไลมานซบหน้าลงกับซอกคอของผมจนกระทั่งความรู้สึกของผมสัมผัสกับลมหายใจที่ร้อนผะผ่าวของเธอได้อย่างถนัดถนี่
บา... ไอ้ลมหายใจชนิดเดียวกันนี้มิใช่หรือที่ทำให้ผมแทบกระอักเป็นเลือดมาแล้ว
สุไลมานเบียดร่างกายของเธอกระชับกับผมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือทั้งสองข้างของเธอแทนที่จะมาอยู่ในตำแหน่งของการลีลาศ เธอกลับโอบสอดเข้ามารัดแน่นอยู่บริเวณหลังของผมอย่างจงใจ
ผมก็เลยกอดเธอเข้าบ้าง เป็นการถอนทุนคืน...
เออ... ชีวิตทหารรับจ้างอย่างผมมักจะหนีเรื่อง “อย่างว่า” ไม่พ้นซักทีสิน่า...
“ซัมแวร์ มายเลิฟ” จบลงไปแล้ว คู่ลีลาศหลายสิบคู่ก็ยังไม่ยอมลงจากฟลอร์ นักดนตรีก็เลยต้องบรรเลงเพลงเก่าซ้ำขึ้นมาอีก ท่ามกลางเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือเกรียวกราว
“บิ๊กแมน ออกไปที่ระเบียงดีกว่าค่ะ ข้างในคนแน่นเหลือเกิน”
สุไลมานกระซิบกระซาบกับผม แถมใช้ลิ้นไต่เดี๊ยะไชชอนเข้าไปในหูของผมอย่างชำนิชำนาญ
สยิว... ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว ผมย่ามใจขึ้นมาเลยฉกริมฝีปากจูบลงไปบนปากรูปกระจับที่บางเจี้ยบคู่นั้น
ริมฝีปากเจอะกันพอดี สุไลมานปล่อยมือจากแผ่นหลัง แล้วกระหวัดขึ้นไปคล้องคอผมแน่น ต่อจากนั้น ฉากการแลกน้ำลายก็บังเกิดขึ้นอย่างหูดับตับไหม้
กว่าจะหลุดออกมานอกระเบียง สุไลมานก็ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน ลวดลายการจูบของสาวลูกครึ่ง ยิ่งยง สะเด็ดยาดยิ่งกว่าสาวแม้วมากมายนัก
ผมกับสุไลมานยืนเบียดกันที่ริมระเบียงด้านหลังของ “แอร์เบสส์คลับ” แสงไฟจากรันเวย์สนามบินที่สะท้อนเข้ามา ทำให้ใบหน้าของสุไลมานผุดผาดและเซ็กซี่เหลือประมาณ
ความสับสนของสนามบิน แอร์อเมริกันยังคงคับคั่งไม่ผิดอะไรกับในตอนกลางวัน เครื่องบินขับไล่ตระกูล “F” ทั้งหลายแหล่ บินขึ้นลงไม่ขาดระยะ ถ้าผมเดาไม่ผิด จุดหมายปลายทางของมันก็คือ สมรภูมิเวียดนามใต้ ที่กำลังบังเกิดการสู้รบกันอย่างชนิดเลือดท่วมแผ่นดินนั่นเอง
“สงคราม... สงครามที่รบราฆ่าฟันกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นอร์แมนเล่าให้ สุไลมานฟังว่าคุณเป็นพชฌฆาติที่น่ากลัวที่สุดในสมรภูมิลาว... คุณไม่กลัวบาปหรือคะ... คุณคงจะฆ่าคนมามาก... เห็นหน้าตาและลักษณะท่าทางของคุณแล้ว... สุไลมานไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
สุไลมานกระซิบถามผม พร้อมกับใช้มือแกะกระดุมเสื้อชุดซาฟารีของผมเล่นอยู่ไปมา ปากก็จำนรรจาไม่ขาดระยะ
“ซื่อ และเรียบร้อยจนผิดลักษณะของทหารรับจ้างทั่วๆไปที่สุไลมานเคยพบเห็นเป็นประจำในโรงพยาบาล... เรียบร้อย จนสุไลมานคิดว่านอร์แมนหลอกสุไลมานเสียแล้ว”
ผมแอบหัวเราะอยู่ในใจ ฮี่ธ่อ... หน้าตาอย่างกับ “แจ็ค พาแลนซ์” แบบผมนี่ยังมีคนชมว่า ซื่อ และ เรียบร้อย อีกหรือครับนี่
- X –X – X –X – X – X – X – X -

 แก้ไขเมื่อ : 19/6/2556 12:43:57



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 12:32  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19279

คำตอบที่ 36
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 7/11
“เรื่องบาปเป็นเรื่องของความเชื่อถือ ศาสนาเป็นเครื่องคอยยึดเหนี่ยวมิให้มนุษย์ทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าจะเป็นพุทธ, คริสต์, มุสลิม หรือว่า ศาสนาหนึ่งศาสนาใดในโลก จุดยืนและเป้าหมายก็คือสั่งสอนให้ทุกคนกระทำแต่ความดี งดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทหารรับจ้างแต่ละสัญชาติแต่ละศาสนาที่เข้ามารบอยู่ในสมรภูมิลาว ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับคุณ หรือว่าเป็นทหารเวียดนามเหนือก็ตามที ถ้ามัวแต่กลัวบาป ชีวิตตัวเองก็เห็นทีจะไปไม่รอด ผมฆ่าและทุกๆคนก็ฆ่า... ฆ่าเพื่อความสงบสุขของสังคมมนุษย์ การปฏิบัติแบบนี้ ถ้าคิดว่าเป็นบาป ผมก็เห็นจะยอมละครับ... คุณสุไลมาน”
“คุณบิ๊กแมนนับถือศาสนาอะไรคะ เท่าที่สุไลมานรู้ คุณบิ๊กแมนเป็นคนไทย แต่ลักษณะรูปร่างของคุณคล้ายๆอิสลาม สุไลมานก็เลยไม่แน่ใจ”
“พ่อผมเป็นอิสลาม แม่เป็นพุทธ ความยิ่งใหญ่ทั้วสองศาสนาหล่อหลอมออกมาเป็นคนที่ทำบาปมากที่สุดในโลก เลือดแม่และเลือดพุทธคงจะรุนแรงพอสมควร ผมก็เลยถือพุทธ ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงถือคริสต์ ใช่ใหมครับ”
ผมย้อนถามเธอออกไป พร้อมกับกระหวัดมิอโอบแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า ดึงร่างอันอวบอูมของสุไลมานเข้ามาแนบอก
สุไลมานห่อตัวซุกกับหน้าออกของผม ปากก็บ่นพึมพำอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ สรรพสำเนียงแว่วๆ ที่ผมจับใจความได้ เธอต้องการให้ผมพาเธออกไปจาก “แอร์เบสคลับ” โดยเร็วที่สุด
ไอ้เรื่องจะพาเธอนั่งรถกินลมเห็นทีจะยาก ฉลามร้ายอย่างผมก็เลยใช้ลูกตื้อดึงเธอขึ้น... “ศิริ-โฮเต็ล”
ผู้หญิง...ผู้ชาย อยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง เห็นทีจะไม่ต้องอธิบายอะไรต่ออะไรให้ท่านผู้อ่านทราบก็ได้ใช่ไหมครับ?
โมน่า สุไลมาน ลูกครึ่งฟิลิปปินโน ทำให้ผมอยากจะไปเมืองมนิลาติดหมัดขึ้นมาซะแล้วซีครับ...
ค่อนคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆที่ผมกับเธอขลุกกันอยู่แต่ภายในห้องพัก ความอ่อนหวานของสุไลมานทำให้ผมบังเกิดความสุขยิ่งกว่าทุกครั้ง
สุไลมานเป็นมุสลิม เธอเล่าถึงประเพณีที่แปลกประหลาดและพิลึกกึกกือของเธอให้ผมฟังด้วยท่าทีที่น่ารัก เธอเล่าให้ผมฟังว่า ผู้ชายในประเทศของเธอสามารถมีภรรยาตามกฏหมายได้ถึง 4 คน นอกจากนั้น พอถึงวันศุกร์ของสัปดาห์ ทุกคนถือว่าวันศุกร์ดังกล่าวเป็นวัน “ปฏิสนธิ” เป็นวันพระเจ้าสร้างโลก ประชาชนหยุดงานหยุดการ อาบน้ำ ประแป้งปิดประตูลงกลอน “สร้างพลเมือง” กันยกใหญ่ ผู้ใดละเลยต่อประเพณีดังกล่าว พระเจ้าจะลงโทษอย่างหนัก อาจจะกลายเป็นหมันไปจนชั่วชีวิต
ผมไม่เคยมีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตามที พอรุ่งขึ้นก็เป็นวันศุกร์ซะด้วย ผมกับสุไลมานก็เลยปิดประตูห้องพักสร้างพลเมือง ตามคำบงการของพระเจ้าซะอานไปเลย
สุไลมาน ผิดแปลกกับนีนาตรงอ่อนหวานน่ารัก... รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่บุกตะลุยผมเหมือนหยั่งกับอีตอนเข้าตีฐานปฏิบัติการของทหารรับจ้างหรอกครับ
เธอถ้อยทีถ้อยอาศัยจนกระทั่งผมเลยเถิด “สร้างพลเมือง” กับเธอไปอีกจนกระทั่งถึงเช้าวันเสาร์...เล่นเอาฟ้าเหลือง...แผ่นดินหมุนคว้างเหมือนกับเมื่อครั้งถูกแด็กคูร่านีนาจู่โจมเข้าดูดเลือดเลยทีเดียว
- X –X – X –X – X – X – X – X –
เมื่อครบกำหนดลาพัก ผมก็โซเซกลับล่องแจ้งในสภาพเหมือนคนใกล้ตาย เพื่อนฝูงพอที่จะรู้แบคกราวน์ของผมก็พากันกระเซ้าเย้า แหย่กันเกรียวกราว
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง หมายกำหนดการเข้าตีเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” ก็ได้ถูก บก.ล่องแจ้งวางแผนขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
BC. 617 และ BC. 603 ได้รับหน้าที่ในการเข้าตีครั้งนี้
BC. 617 เพิ่งจะสูญเสีย “ภูเวียง” ผบ.พันไปอย่างสดๆร้อนๆ ด้วยฝีมือพลซุ่มยิงเวียดนามเหนือ บนเนินสกายไลน์-ทู
บก.สิงหะก็เลยวิทยุด่วนเข้า บก.333 ที่อุดรขอตัว “สุภาพบุรุษแห่งดงอีนำ” ที่มีชื่อเสียงแถบเทือกเขาภูพาน เข้ามาเป็น ผบ.พัน 617 โดยด่วนที่สุด
“พ.ท. จรวย นิ่มดิษฐ์” (ยศในปี 15 ขระนี้ ตำแหน่งของท่านก็คือ พ.อ. จรวย นิ่มดิษฐ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดนครราชสีมา) บินตรงจากกรุงเทพในสองวันต่อมา เพียงก้าวแรกที่ท่านเหยียบเมืองล่องแจ้ง ท่านก็วางแผนเข้าตีเนินสกายไลน์-วัน ทันที
ไม่ว่าจะเป็นเสนาธิการของเมืองล่องแจ้งหรือแม้กระทั่ง “นอร์แมน” เสนาธิการของ ซี.ไอ.เอ. ก็เลยต้องชิดซ้ายไปตามระเบียบ
พ.อ. จรวย หรือชื่อตามรหัสว่า “คำคม” เป็นผู้วางแผนและนำทหารรับจ้างเข้าตีแต่ผู้เดียว
ชื่อเสียงและความสามารถของ “คำคม” เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างอื้ออึงในสมรภูมิลาว แม้กระทั่งทหารเวียดนามเหนือเองก็ยังกริ่งเกรงกิตติศัพท์ ของยอดนักรบใจถึงผู้นี้
ตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง “คำคม” และ ผมไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย... และแม้กระทั่งในปัจุบันนี้ คำคมก็ยังไม่รู้ว่าชื่อจริงของผมชื่ออะไรกันแน่ ฉะนั้น พฤติการณ์ที่ผมนำมาเปิดเผยอยู่ในขณะนี้ มิได้เป็นการเชียร์ “คำคม” แต่อย่างใด มันเป็นความจริงที่เหนือความจริงที่ผมประสพมาด้วยตนเองอย่างแท้จริง
และค่ำวันนั้น ผมก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคำคมเป็นครั้งแรกในห้องประชุมของ บก.ล่องแจ้ง
แผนที่เนินชาร์ลี-ชาร์ลี่ ขนาดใหญ่ตรึงทับอยู่บนกระดานดำหน้าห้องประชุมคำคมกับนอร์แมนกำลังงัดข้อกันอย่างถึงพริกถึงขิงในแผนการชิ้นหนึ่ง
“คุณจะต้องนำทหารรับจ้างเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเส้นทาง... ซำทอง-ล่องแจ้ง พร้อมๆกับ BC. 603 ซึ่งจะรับหน้าที่ขึ้นตี เนินชาร์ลี่-ชาร์ลี่ พอคุณเคลื่อนที่ถึง “ชาร์ลี-เอ็คโค่ แพด” คุณก็นำทหารลงหุบข้างทางแล้วแยกซ้ายมือ อ้อมขึ้นเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ ต่อจากนั้น รอจังหวะขึ้นบดขยี้พร้อมๆกัน”
ล่าม ถ่ายทอดคำพูดของนอร์แมนชนิดคำต่อคำให้คณะนายทหารทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมฟัง...
“คำคม” ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาที่แผนที่หน้าห้องประชุม ภาษาอังกฤษที่ชัดเปรี๊ยะจน “ล่าม” อาย พรั่งพรูออกมาจากปากของเขาด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ผมเป็น ผบ.พัน ที่จะต้องรับผิดชอบทหารซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาถึง 400 คน ดังนั้นผมจะต้องกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้กองพันของผมสูยเสียให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้... แผนการณ์ของนอร์แมนที่จะให้ทหารของผมเคลื่อนที่ไปบนถนนแล้วลงหุบเนิน เป็นแผนการฆ่าตัวตายชัดๆ ทหารเวียดนามเหนือจะต้องตรวจการณ์พบภายในครึ่งชั่วโมงที่พวกเราเริ่มเดินทางออกจากบ้าน “ลาวรวมเผ่า” แล้วอะไรจะเกิดขึ้น... เส้นทาง “วำทอง... ลอ่งแจ้ง” เป็นเส้นทางที่ไม่ได้เคลียร์มาก่อน และก็ยังไม่มีทหารรับจ้างกองพันไหนรับอาสาเคลียร์เสียด้วย นอร์แมนคิดถึงแต่ความสะดวกที่จะให้ทหารเคลื่อนที่ขึ้นไปปฏิบัติงานตามแผนของตัวเองให้ลุล่วงไปเท่านั้น... ส่วนผลที่ตามมา... นอร์แมนไม่เคยคิดว่ามันจะได้รับความสำเร็จหรือสูญเสียขนาดไหน ตามแผนของผมที่วางเอาไว้ ผมจะพาทหารเคลื่อนที่ไปทางสวนผักข้างบ้านนายพลวังเปา แล้วเดินทะลุป่าทึบผ่านฐานแทงโก้-วิคเตอร์ อ้อมขึ้นไปทางหมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งอยู่ตีนเขา...สกายไลน์-วัน พอดิบพอดี ...ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาการเคลื่อนที่ช้ามากกว่าเดิม 2 วัน แต่ผมแน่ใจว่า แผนของผมได้ผล... และผมขอรับผิดชอบในการผิดพลาดของกองพันของผมแต่ผู้เดียว...”
ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบเหมือนเป่าสาก... นอร์แมนอ้าปากหวอเหมือนกับไม่เชื่อหูของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่นอร์แมนถูกนายทหารไทยเชือดเฉือนด้วยเหตุผลจนต้องเงียบนิ่งเงียบงันยอมจำนนไปโดยปริยาย
“ผมขอเลือก F.A.G. ด้วยตัวของผมเอง... และ F.A.G. คนที่ผมเลือกเอาไว้แล้วก็คือ F.A.G. คนที่แตกลงมาจากเนินชาร์ลี-ชาร์ลี พร้อมๆกับ BC. 616 นั่นเอง ...คนที่ชำนาญภูมิประเทศมาก่อน ถึงแม้ผลงานจะผิดพลาด แต่การปฏิบัติงานครั้งที่ 2 ผลงานของเขาจะมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม... ผมตกลงใจเลือกบิ๊กแมนในการปฏิบัติการเข้าตีครั้งนี้”
ซวยแล้วไหม๊ล่ะ ที่ผมบังเอิญถูกคำคมเลือกตัวเข้าปฏิบัติงานครั้งนี้ ก็เพราะความผิดพลาดในการทำงานครั้งที่แล้วๆมาของผมนั่นเอง...
คำคม เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับกองสิงห์ กองสิงห์จะต้องเป็นคนแนะนำให้คำคมเจาะจงเลือกผมอย่างแน่นอน
ฮีธ่อ... เส้นทางเดินขึ้นเนินชาร์ลี-ชาร์ลี พูดก็พูดเหอะ อย่าหาว่าคุยเลยครับ บิ๊กแมนหลับตาเดินโดยไม่ต้องใช้แผนที่ก็ยังไหว
ที่ฝอยมานี่ไม่ใช่โม้นะครับ ก็อีตอนวิ่งหนีไอ้แกวลงมาครั้งนั้น ผมจำภูมิประเทศดังกล่าวติดหูติดตาอย่างไม่มีวันลบเลือน แล้วดันทุรังให้ผมกลับขึ้นไปอีกครั้งมันก็สบายไปเท่านั้นเอง
ไอ้ที่ว่าสบายก็ไม่ใช่การเข้าตีอีกนั่นแหละ ผมหมายถึงการเดินทางต่างหากครับผม...
หมายกำหนดการ “วัน ว.” หรือ “วันดีเดย์” ได้ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด F.A.G. ที่ประจำ “เบาว์เดอร์-คอนโทรล” หรือแม้กระทั่งตัวของผมเองก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบถึงหมายกำหนดการดังกล่าวนั้นเลย
หลังจากทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ได้จาก B.C. 616 แล้ว... เครื่องบิน “F-105” และ “T-28” ก็แห่แหนกันมาทิ้งระเบิดบนยอดดังกล่าวเป็นการใหญ่
บังเกอร์ถาวรที่สร้างด้วยซุงขนาดยักษ์ที่เรียงรายเป็นพรืดอยู่บนยอดเนิน ถูกอำนาจระเบิดถล่มทลายไม่มีชิ้นดี เป็นที่น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน พอเครื่องบินบินกลับอุดร พวกมันก็ขึ้นมาจากอุโมงค์ใต้ดิน มาซ่อมแซมบังเกอร์ดังกล่าวเป็นจ้าละหวั่น
เครื่องบินทิ้งเช้า ทิ้งเย็น มองเห็นอยู่ถนัดหูถนัดตาว่าบังเกอร์ทลายเป็นแถบๆ แต่พอถึงตอนเช้าก็ตรวจการณ์พบบังเกอร์ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนอีกครั้ง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 12:51  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19280

คำตอบที่ 37
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 8/11
ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 12.7 มม.ที่ได้รับการลำเลียงมาจากสนามบินซำทองก็ได้รับการติดตั้งแล้วระดมยิง T-28 ลงมาคลุกฝุ่นเสีย 2 เครื่องซ้อนๆ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักบินก็เลยไม่กล้าแหยมที่จะนำเครื่องไปโฉบบริเวณดังกล่าวอีกเลย
ท่านนายพลวังเปา เคยเสนอขอ B-52 มาปูพรมพื้นที่ดังกล่าวให้ราบเป็นหน้ากลอง
แต่พอ BC. 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณตีนเขาของยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี รู้ข่าวเข้าเท่านั้นก็โวยวายมาลั่นวิทยุว่าจะฆ่ากันเองหรือยังไง โวยวายไม่โวยวายเปล่า ทหารรับจ้างประท้วงแผนของนายพลวังเปาด้วยการเดินพาเหรดลงมาจากฐานปฏิบัติการเอาดื้อๆ
เล่นเอานายพลวังเปาต้องบินขึ้นไปเจรจาด้วยตนเอง เรื่องทั้งเรื่องมันจึงยุติลง
ยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ก้เลยกลายเป็นหนามยอกอกของนายพลวังเปา จนกระทั่งต้องขอตัว คำคม เข้ามาช่วยแก้สถานะการณ์ดังกล่าวนั้น จนกระทั่งบังเกิดการรบอย่างท่วมปฐพี อันเป็นที่มาของเรื่อง “ชุมทางคนกล้าตาย” ที่ท่านผู้อ่านกำลังติดตามอยู่ในขณะนี้
ทหารรับจ้างที่แตกมาจากทุ่งไหหินและสนามบินซำทองแต่ละกองพันมีจำนวนไม่น้อย กองพันต้นสังกัดเดิมก็ยุบตัวเองลง เนื่องจากขาดอัตราการบรรจุ บก.ล่องแจ้งก็เลยแก้ปัญหาด้วยการรวบรวมทหารรับจ้างกองพันต่างๆ เหล่านี้มาตั้งเป็นกองพันอิสระแล้วมอบหน้าที่ให้กับอินตอง ผบ.พัน กองพัน 605 เดิมเป็นผู้บังคับบัญชา
บก. ล่องแจ้งวางแผน “เข้าตีหลอก” หรือ “เข้าตีฉาบฉวย” ทหารเวียดนามเหนือบนยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลีของขุนเขา “สกายไลน์-วัน” ที่สูงทะมึนเสียดท้องฟ้า ในตอนกลางคืนวันหนึ่งก่อนการเริ่มแผนการจริงไม่กี่สัปดาห์
อินตอง กับทหารรับจ้างกองพันอิสระจำนวน 120 คน คืบคลานขื้นไปบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี อย่างเงียบเชียบเพื่อหยั่งกำลังข้าศึก
ทหารเวียดนามเหนือก็เหมือนกับนกรู้ หรือไม่ก้แผนการของ บก.ล่องแจ้งรั่วไหล พวกมันตั้งอาวุธหนักรอการมาของกองพันอิสระเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
อินตองเคลื่อนที่ผ่าน ชาร์ลี-เอ็คโค่-แฟ็ค ขึ้นไปได้เพียงครึ่งทางก็โดนถล่มจากอาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนือเป็นพายุบุแคม
พนักงานวิทยุซึ่งเดินขนาบข้างถูก ปรส. 82 ลอยกระเด็นไปเหมือนถูกช้างเตะ อินตองถลาลงไปนอนจุกแอ็ดๆ อยู่ในหลุมระเบิดรอดตายอย่างชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
ทหารรับจ้างกองพันอิสระ 15 คน ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าสุด ตายเกลี้ยง
แผนการเข้าตีหลอกประสพผลล้มเหลว จากการประเมินผลที่วัดได้ก็คือ ข้าศึกมีอาวุธหนักทุกชนิดอยู่บนเนินสกายไลน์-วัน
แม้กระทั่ง ปตอ.12.7 ซึ่งเป็นปืนชนิดกระสุนแตกอากาศก้ได้รับการดัดแปลงเป็นปืนกรสุนวิถีราบยิงถล่มทหารรับจ้างกองพันอิสระ จนต้องแตกกระเจิงลงมาอย่างทุลักทุเล
เพื่อตัดเสบียง และตัดการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึกที่จะขนย้ายมาจากซำทอง
เส้นทางคมนาคม “ซำทอง-ล่องแจ้ง” ซึ่งวกวนอยู่บนยอดภูเขาที่สูงเสียดฟ้า ก็เลยโดน T-28 ถล่มด้วยระเบิดขนาด 500 ปอนด์ พังทลายเป็นช่วงๆ
สะพานข้ามแม่น้ำงึม บางตอนที่ตัดข้ามเส้นทางดังกล่าวก็ถูกทำลายลงไปด้วย
ขณะนี้เส้นทางคมนาคมสายซำทอง-ล่องแจ้ง ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
และก็ รถถัง 2 คัน ที่ระดมยิงฐานปฏิบัติการของ BC.616 จนพังพินาศ อยู่ที่ไหนกันแน่
ไอ้เรื่องที่รถถังจะวิ่งขึ้นไปซุกซ่อนอยู่บนยอดเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
BC. 604 ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณทางแยกสามแพร่ง
ยานยนต์ทุกชนิดที่จะเดินทางขึ้นมาจากสนามบินซำทองหรือสนามบินล่องแจ้ง หรือแม้กระทั่งยานยนต์ที่จะผ่านขึ้นไปบนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” จะต้องผ่านบริเวณสามแพร่งดังกล่าวนั้นเสียก่อน
ทางแยกสามแพร่ง มีชื่อตามรหัสว่า “ชาร์ลี-เอ็คโค่-แฟ็ค” ทหารรับจ้างกองร้อยที่ 3 ของ BC.604 เป็นผู้ยึดรักษาเส้นทางดังกล่าวเอาไว้อย่างชนิดยอมตายคารังปืน
ผบ.พัน 604 เล็งเห็นความสำคัญของพื้นที่ดังกล่าวก็เลยมอบหน้าที่ให้ “วิเศษ” (ร.ท.ปิ่นพันธุ์) นายทหารม้ายานเกราะจากอุตรดิษฐ์ผู้มีความบ้าบิ่นพอสมควร เป็นผู้บังคับบัญชาทหารกองร้อยที่ 3 ซะเลย
“วิเศษ” หรือ ร.ท.ปิ่นพันธุ์ สนิทสนมกับผมพอสมควร ในขณะที่ผมอยู่บนยอดเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” ก่อนฐานปฏิบัติการแตกเพียง 3 วัน “วิเศษ” เคยขับรถจิ๊ปเล็กขึ้นไปหาผมบนยอดเขาแต่เพียงลำพัง... ขึ้นมาหาทั้งๆที่ผมและเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
วิเศษขึ้นมาขอกระสุนอาร์ก้าที่ผมยึดได้จากทหารเวียดนามเหนือในการกวาดล้างบ้านน้ำชาร่วมกัน ต่อจากนั้นเราได้ร่วมตะลุยเลือดกันอีกนับครั้งไม่ถ้วน...สงครามลาวยุติ ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของวิเศษอีกเลย...
“17 ศพที่ห้วยโกร๋น” ทำให้ผมเป็นห่วงวิเศษมาก... เพราะเขาเคยขึ้นไปปฏิบัติงาน ณ พื้นที่ดังกล่าวนั้นอยู่เสมอ
“เพื่อนเอ๋ย ทหารหาญหรือตำรวจตระเวณชายแดน ที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองอยู่เสมอ... ขอให้เพื่อนทุกคนโชคดี อีกไม่นานเกินรอ “สยุมภู ทศพล”อาจจะเดินทางขึ้นไปกินนอนกับเพื่อนเพื่อหาวัตถุดิบมาเขียนถึงเบื้องหลังวีรกรรมอันลือเลื่องแบบปิดทองหลังพระของเพื่อนๆทุกคน ให้ประชาชนชาวไทยได้ทราบถึงความโหดร้ายทารุณของสงครามนอกแบบให้จงได้... อีกไม่นานเกินรอ เราคงจะได้พบกัน”
แม้กระทั่ง “ภูหมอก” หรือเนิน “สกายไลน์-ทู” ที่ทหารรับจ้างรับหน้าที่ยึดรักษาจากทหารลาวเอาไว้ก็ยังโดนถล่มด้วยลูกยาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
BC.618 ซึ่งรักษาเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” อันเป็นจุดที่สูงที่สุดของภูหมอก ก็ยังต้องประสพกับการถอนตัว... เนื่องจากอำนาจการยิงของปืนใหญ่ที่ถล่มเข้าใส่อย่างหูดับตับไหม้
“บุลเลตเฮด” F.A.G.หุ่นพระเอกหนัง... โดนแรงอัดของปืนใหญ่ขนาด 130 มม. ตกลงไปในหุบ ทหารรับจ้างต้องบุกตะลุยลงไปลากขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
BC.618 จำเป็นต้องถอนตัวลงมาท่ามกลางห่ากระสุนอาร์ก้าของทหารราบเวียดนามเหนือที่แหกตำราลอบเข้าโจมตีในเวลากลางคืน
การถอนตัวออกจากฐานปฏิบัติการในเวลากลางคืน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการลอบซุ่มโจมตีจากหน่วยแซปเปอร์ข้าศึก
BC.618 ตัดสินใจถอนตัวลงมาทางหน้าผาด้านสนามบิน ปลอดภัยจากการซุ่มโจมตี แต่ทว่าต้องพบกับอุปสรรคในการเดินทาง แทบเลือดตาแทบกระเด็น ความมืดทำให้กองร้อยทั้ง 3 แตกขบวนออกจากกันอย่างช่วยเหลือไม่ได้ และในเวลาเดียวกันทหารเวียดนามเหนือ 1 หมวดก็สวมรอยเกาะทหาร BC.618 ลงมาจนกระทั่งเกือบถึงสนามบิน...
จะว่าดวงดีหรือว่าโชคช่วยก็เหลือจะเดา...
แสงแฟลร์จากกระสุนปืนใหญ่ทำให้ทหารรับจ้างกองพัน 618 ผิดสังเกตุ ร้องถามรหัสผ่านออกไป
ทหารเวียดนามเหนือชุดนนั้นก้เลยถูกรุมสังหารยับ ณ บริเวณวัดแม้วก่อนที่จะถึงรันเวย์สนามบินนั่นเอง
พอ BC.618 ถอนตัว ทหารเวียดนามเหนือก็เคลื่อนกำลังเข้ามายึดรักษาเนิน “C-T” เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
พอรุ่งเช้า T-28 และ F-105 ก็แห่เอาระเบิดมาปูพรหมกันยกใหญ่ ระลอกแล้วระลอกเล่า จนยอดภูหมอกแทบลุกเป็นไฟ
ทหารเวียดนามเหนือถอนตัวออกจากฐานปฏิบัติการ เนื่องจากอำนาจการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน
ทหารรับจ้างกลับเข้าไปยึดเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ได้อีกครั้ง... แต่พอยึดอยู่ได้เพียงคืนเดียว ก็ต้องถอนตัวกลับลงมาอีกครั้ง ด้วยอำนาจของลูกยาวข้าศึก
เอาเถิด...เอาล่อ หมุนเวียนผลัดเลี่ยนกันโจมตีอยู่เช่นนี้ จนมองดูเหมือนกับเด็กเล่นขายของ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บนเนิน “สกายไลน์-ทู” ที่ยาวเหยียดก็เลยมีฐานปฏิบัติการของทหารรับจ้างและทหารเวียดนามเหนือ ตั้งซ้อนสลับกันอยู่เช่นนั้น...
ซึ่งบางฐานก็อยู่ใกล้กันขนาดมองเห็นกการเคลื่อนไหวซึ่งกันและกันด้วยสายตาอย่างถนัดชัดเจน
บางครั้งทหารรับจ้างก็พากันขึ้นไปนั่งบนหลังคาบังเกอร์มองดู “T-28” โจมตีฐานปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนืออย่างสนุกสนานและบางทีก็ร้องตะโกนเชียร์ให้พวกมันหลบลูกระเบิดกันเสียอีก
นิสัยคนไทยละก็เป็นอยู่อย่างนี้เสมอๆ นั่นแหละครับ ทั้งๆที่เป็นข้าศึกก็ยังอดที่จะสงสารไม่ได้ อย่าว่าแต่ทหารรับจ้างเลยครับ... แม้แต่ตัวของผมเองก็เช่นกัน
คราวใดที่มองเห็น “T-28” ดำดิ่งลงมาโจมตีฐานปฏิบัติการของเวียดนามเหนือแล้วอดที่จะใจหายไม่ได้ ความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ ความเป็นห่วง เป็นห่วงพวกมันที่วิ่งระส่ำระสายหาทางมุดลงอุโมงค์ใต้ดินอยู่นั้น
ลูกระเบิดกระทบพื้น... พอควันจางก็มองเห็นพวกมันโผล่ออกมาจากรู ขึ้นมายืนกันสลอน ขึ้นมายืนเพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกมันปลอดภัยจากลูกระเบิด และผมก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
เออ... นี่สติสัมปชัญญะของผมยังครบถ้วนอยู่หรือเปล่านี่? หรือว่าผมกำลังจะวิกลจริตไปเสียแล้ว... มันเรื่องอะไรกัน ที่ผมจะต้องไปคอยห่วงชีวิตของข้าศึก... ผมชักไม่แน่ใจตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว บางที...บางที ความโหดร้ายของสงครามอาจจะผลักดันจิตใจของผมให้บ้าๆบวมๆไปแล้ว ก็อาจจะเป็นได้...
ส่วนดีของทหารเวียดนามเหนือที่ขึ้นมาตั้งฐานอยู่ใกล้ๆเราก็คือ พวกมันจะไม่ยอมยุ่งกับพวกเราอย่างเด็ดขาด... ถ้าพวกเราไม่ไปตอแยกับพวกมันก่อน...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 15:48  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19281

คำตอบที่ 38
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 9/11
ทหารเวียดนามเหนือใช้อาวุธหนักนานาชนิดยิงถล่มลงไปยังเมืองล่องแจ้งอย่างไม่ปราณีปราศัย ชีวิตของทหารรับจ้างและประชาชนชาวแม้วเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน
สิ่งที่ผิดสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือ ตามปกติ “ลูกยาว” ของข้าศึกที่ยิงถล่มเมืองล่องแจ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น จะยิงมาสะเปะสะปะ พลาดเป้าหมายเสียเป็นส่วนมาก
แต่พอทหารเวียดนามเหนือขึ้นมาอยู่บนยอดเนิน “สกายไลน์” เข้าเท่านั้น “ลูกยาว” ของข้าศึกที่ยิงมาจากสนามบินถ้ำตำลึง แต่ละนัด แม่นเหมือนกับจับวาง เล่นเอาเมืองล่องแจ้งประสบกับการสูญเสียอย่างเหลือคณานับ
เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยต้องเฉ่งกันให้ยับไปข้างหนึ่งตามธรรมเนียมของสงครามทั่วๆไป
ทหารเวียดนามบนเนินชาร์ลี-แทงโก้ เสริมกำลังมากขึ้นทุกที ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งทหารเวียดนามเหนือก็ยังอุตส่าห์ลาก ปรส.82 ขึ้นมาตั้งจังก้าอยู่บนภูหมอก แล้วเริ่มยิงถล่ม บก.ล่องแจ้งอย่างหูดับตับไหม้ (พฤติการณ์การบุกขึ้นไปโจมตีฐานยิงของเวียดนามเหนือ ผมได้เขียนลงในหนังสือจักรวาลรายสัปดาห์จบไปเรียบร้อยแล้วในเรื่องไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน) เล่นเอาพวก นายร้อย นายพัน ทั้งหลายแหล่ ยืมฝีเท้า “อาณัติ รัตนพล” วิ่งแข่งกันอกตั้ง แย่งกันลงหลุมใต้ดินกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด
ล่องแจ้งเหมือนกับเมืองร้าง ประชาชนแม้วเริ่มอพยพออกจากเมืองเป็นทิวแถว และก็มีบางส่วนอพยพกลับเข้ามาอย่างน่าผิดสังเกตุ แม้วแปลกหน้าเดินพลุกพล่านอยู่ในตลาดล่องแจ้งจนผมบังเกิดความเอะใจ
ถนนสายที่ขนานกับสนามบินล่องแจ้งกลายเป็นถนนสายมรณะไปเสียแล้ว
ปรส .82 ของทหารเวียดนามเหนือหล่นโครมลงมาบนกลุ่มทหารรับจ้างที่กำลังเดินเกาะกลุ่มกันอยู่บนถนนสายนั้นเข้าอย่างจังเบอร์
18 คนตายยับแทบหาชิ้นส่วนไม่พบ แม้กระทั่งพวกรถจิ๊บหรือรถบรรทุก พวกเวียดนามเหนือก็ยังจ้องระดมยิงไม่ขาดระยะ
เชื่อผมเถอะครับ... ต่อให้นักขับรถแข่งกรังปรีซ์ที่มีฝีมือชั้นยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตามที ลองมาเจอะถนนสายนี้เข้าเป็นต้องสั่นเศียรกันทั้งนั้น
ก่อนวันเข้าตีเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” เพียง 4 วัน ผมก็ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการพิเศษร่วมกับกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณทางสามแพร่ง “ชาร์ลี-เอ็คโค่” ตีนเขาเนินสกายไลน์-วัน พอดิบพอดี...
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
นักบินพาผมขึ้นชอปเปอร์บินสูงลิบเพื่อหลบ ปตอ.12.7 ซึ่งตั้งจังก้าอยู่บนยอดเนินสกายไลน์-วัน
หลังจากบินวนเวียนอยู่ชั่วครู่ก็ลดระดับร่อนลงแตะพื้นด้วยอาการรีบร้อนจนผมกระโดดลงมาแทบไม่ทัน
“วิเศษ” (ร.ท.ปิ่นพันธุ์) ผบ.ร้อย 3 ยืนรอผมอยู่ที่บริเวณ “ชอปเปอร์แพด” อยู่ก่อนแล้ว ผู้กองหนุ่มคนลำปางหัวเราะร่า ยื่นมือให้ผมสัมผัส ปากก็ร้องสั่งทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ข้างๆเอ็ดอึง
“เฮ้ย... ช่วยขนเป้สนามของบิ๊กแมนไปเก็บใว้ในเบิมอั๊วด้วย แล้วสั่งไอ้จันทร์ชงกาแฟมาให้ 2 ที่ ...สวัสดีครับบิ๊กแมน พอรู้ข่าวจากนอร์แมน ผมก็นั่งรอชอปเปอร์อยู่ตั้งนาน ผมคิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
สองสามประโยคสุดท้าย วิเศษหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ
ผมสะพายวิทยุ “PRC-77” และ “HT-2” เดินไหล่เอียงเข้าไปนั่งอยู่หลังแนวกระสอบทราย ซึ่งดัดแปลงสร้างอย่างมั่นคงแข็ง ด้วยการใช้ซุงขนาดใหญ่กั้นเป็นชั้นๆ และแต่ละชั้นก็เทดินลงไปอัดแน่น แล้วใช้กระสอบทรายโป๊ะผิวด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง
พื้นฐานของฐานปฏิบัติการมีลักษณะแคบและยาวเรียงรายเป็นแนวขนานไปกับเส้นทางซำทองซึ่งมองเห็นยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้า
เบื้องหลังแนวยิงของกองร้อยที่ 3 เป็นหุบลึกและชันเกือบ 90 องศาเลยทีเดียว
ข้าศึกแม้จะอยู่สูงกว่าฐานปฏิบัติการของผมและสามารถตรวจการได้เป็นอย่างดี
แต่ไอ้การที่จะยิงอาวุธหนักถล่มลงมาบนพื้นที่-ที่มีบริเวณแคบๆ เพียง 2-3 ตารางมตรได้อย่างแม่นยำนั้นเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่พลยิงจะทำได้
“ปรส. 82 ของมันเคยยิงถูกแนวกระสอบทราย 5 ชั้นของผมอยู่เสมอๆ ยากครับ บิ๊กแมน กระสุนของมันเจาะเข้ามาได้เพียงชั้นที่ 3 เท่านั้นเอง ไอ้กำบังที่ผมออกแบบขึ้นมาใหม่นี้ ทาง บก.ล่องแจ้ง น่าจะลอกแบบไปใช้ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นปืน ค. หรือ อาร์พีจีไม่ได้แอ้มแนวยิงผมหรอกครับ ผมกลัวอยู่อย่างเดียวก็คือ 130 ของมันเท่านั้น”
เมื่อผมมองดูแนวกระสอบทรายดังกล่าวแล้ว ก็ที่จะอดทึ่งในสมรรถภาพของไม่ได้ ซุงและกำแพงดินซึ่งอัดแน่นอยู่เป็นชั้นๆ สามารถที่จะลดอำนาจทะลุทะลวงของลูกกระสุนได้อย่างมีประสิทธภาพที่สุด...
“...ผมกลัวมันจะแจ็คพอทลงบนแนวอย่างเดียวเท่านั้น... แต่ก็ยังไม่เคยซักที... หลุดจากแนวกระสอบมันก็หล่นตูมลงไปในหุบข้างล่างโน่น ล่อกาแฟกันก่อนครับ...บิ๊กแมน”
ในขณะที่ซดกาแฟ ผมกับ “วิเศษ” ก็เริ่มวางแผนการที่ได้รับมอบหมายจากนอร์แมนทันที
“คืนนี้ผมจะใช้ทหารเข้าไปขุดหลุมกึ่งกลางถนนห่างจากฐานของเราออกไปประมาน 300 เมตร ตามแผนของคุณ ถ้าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่ผิดพลาด รถถัง 2 คันซึ่งเคยยิงถล่มพวกคุณมาแล้ว จะต้องเคลื่อนที่บุกโจมตีฐานของพวกผมในตอนเช้ามืดพรุ่งนี้แน่ๆ”
วิเศษจิบกาแฟพร้อมเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
“ข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่เคยพลาดขณะนี้นำมันรถถังของมันที่ขาดแคลนได้ลำเลียงมาถึงแล้วด้วยขบวนเดินเท้า... ถ้าผมเดาไม่ผิด เช้ามืดพรุ่งนี้ มันต้องขึ้นมาจวกฐานของคุณแน่ๆ ทหารชุดอาสาของคุณพร้อมแล้วหรือยังครับ”
ผมย้อนถามออกไป
“พร้อมแล้วครับ ผมจะออกไปกับทหารของผมด้วย ถ้าคุณบิ๊กแมนจะร่วมแผนการล่ารถถังกับผม ผมก็ไม่ขัดข้อง และจะรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับคุณครั้งแรก...ว่ายังไงครับ”
ผมไม่มีทางปฏิเสธ คำชักชวนของ ผบ.ร้อย 3 หรอกครับ ทางออกทางเดียวของผมที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือ “นิ่ง” อุบไต๋ของตัวเองเอาไว้อย่างเงียบเชียบ
โธ่ ใครจะไม่กลัวบ้างครับ... การออกนอกฐานปฏิบัติการในตอนกลางคืน มันเป็นของน่าพิสมัยเมื่อไหร่กัน แล้วก็ทางเดินมันสะดวกสบายเหมือนกับถนนราชดำเนินเมื่อไรกันครับ... ทั้งกับระเบิดทั้งหน่วยซุ่มโจมตีหยั่งกับตาสัปปะรด
ทั้งๆที่กลัวจนขนลุก กลัวจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงตับไตไส้พุง ผมคต้องสงบสติอารมณ์ ข่มจิตข่มใจวางหน้าตายนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่าอาตมานี่แน่อย่างเหลือหลาย
แบะหัวใจพุดกันอย่างเปิดอกซะเลย บิ๊กแมนเป็นคนที่กลัวตายเท่าๆกับพลอาสาสมัครคนใดคนหนึ่ง และบางทีอาจจะกลัวมากกว่าเอาเสียอีก... เท่าที่ทน ทู่ซี้ เชิดฉิ่ง อยู่กับพวกมันทุกวันนี้ก็เพราะความยากจนและความระยำของตัวเองเท่านั้น
ผมเอนตัวลงนอนในบังเกอร์ของวิเศษ ก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ ภาพพจน์ในอดีตก็พรั่งพรูขึ้นมาเหมือนกับได้ชมภาพยนต์ในจอโทรทัศน์
อดีตที่เคยรุ่งโรจน์ในวงการก๊ฬาของเมืองไทย บัดนี้เหลืออยู่แต่เพียงซากแห่งความทรงจำ
ผมติดทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 20 ปีพอดิบพอดี เมือง “แรงกูน” ประเทศพม่า คือสนามประลองฝีเท้าต่างแดนในชีวิตการเล่นกีฬาระดับชาติครั้งแรกของผม...
ผมกับ “สุทธิ มัญยากาศ” ขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ฝีเท้าผมด้อยกว่าก็เลยคว้าแต่เพียงเหรียญเงินกลับมา
กลับจากพม่าเหงื่อยังหมาดๆ ผมก็ติดทีมชาติไปแข่งเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง คราวนี้ทั้งผมและสุทธิก็ได้แต่เพียง “เหรียญแจก” กลับมาเท่านั้น
จากญี่ปุ่นก็มุ่งเข้าปีนังในกีฬาฉลองเอกราชของมาเลเซีย
ต่อจากนั้น ก็ตะลุยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตระเวณแข่งดะจนกระทั่งถึงกีฬาแหลมทองครั้งแรก... ครั้งที่ 2 จนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว
การแข่งขันที่ผมภูมิใจที่สุด แม้จะไม่ได้เหรียญอะไรกลับมาเลย ก็คือการแข่งขันโอลิมปิคครั้งที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี (2504)
ผมได้มีโอกาสกระทบไหล่กับจอมโม้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค... ไม่ใช่ใครหรอกครับ เขาคือแคสเซีย เคลย์ หรือ โมฮัมหมัด อาลี นักมวยร้อยล้านในปัจจุบันนี่เอง
“อาลี” เป็นนักมวยสมัครเล่นของสหรัฐ เขาพักอยู่ใกล้ๆกับที่พักของนักกีฬาทีมชาติไทยภายในหมู่บ้านโอลิมปิค
“อาลี” สนิทสนมกับผมก้เพราะทุรียนเพียงชิ้นเดียวที่ผมแบ่งให้หมอลองชิมดูเท่านั้น...
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อาลีมักจะเทียวไปเทียวมาหาพวกผมมิได้ขาด และทุกครั้งเขาจะเอ่ยปากถามหาทุเรียนเป็นนิจสิน
อาลีชนะเลิศมวยโอลิมปิค หมอคล้องเหรียญทองอวดชาวบ้านตลอด 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งในเวลาอาบน้ำหมอก้ไม่ยอมถอด เล่นเอาพวกผมหัวเราะในความบ้าๆบวมๆของหมอไปหลายวัน...
กลับจากกรุงโรม ผมก็ตระเวณแข่งต่อไปอีกอย่างมันเขี้ยว
ดวงดีซะอย่าง ก็เลยไปคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันวิ่ง 400 เมตร ในกีฬา “อินวิเตชั่นเกมส์” ณ กรุงจาร์กาต้า-อินโดนีเซีย แถมยังได้สัมผัสมือกับ อดีตประธาณาธิบดีซูกาโน่ ซะโก้หรูไปเลย
เพื่อนของผมคนหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อจริงหมอเลยครับ...บอกใบ้ว่า เป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติก็แล้วกัน ยศปัจจุบันเห็นจะเป็น “นายพันตรี” แล้วกระมัง
หมอทำยุ่ง เกือบจะทำให้ผมโดนซิวอยู่ที่กรุงจากาต้าร์ซะแล้ว
อาศัยที่เพื่อนผมรูปหล่อ แถมฝีมือแบดมินตันก็อยู่ในอันดับโลกซะด้วย สาวๆอินโดนีเซียก็เลยตอมหึ่งกันไปหมด
สาวอินโดรูปร่างน่ากินเหมือนกับ “มาลาริน บุญนาค” อาจหาญขึ้นไปหาพ่อเจ้าประคุณเพื่อนของผมถึงบนห้องพัก เพื่อนของผมก็เลยฉลองศรัทธาด้วยความชำนาญ
ไอ้ผมก็ดันเสือกเป็นต้นทางให้เพื่อนฝูงซะนี่ ไม่ถึงอึดใจทหารอินโดนีเซีย 5 คน พร้อมอาวุธก็เดินสวบๆจะผ่านขึ้นไปบนห้องพักนักกีฬาแบดมินตันให้ได้
ผมออกไปขวางก็โดนผลักเซถลานั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูผมก็ได้ยินแว่วๆว่า นักกีฬาไทยพาเมียน้อยซูกาโน่ขึ้นมาบนห้องพัก
ผมใจหายวาบ ปากก็ร้องตะโกนขึ้นมาเอ้ดอึง เพียงเพื่อจะช่วยให้ “เพื่อน” ให้พ้นจาก “บาทาภัย” ของทหารกลุ่มนั้น...
“เฮ้ย...ไอ้รงค์ (เห็นไหมละ ผมเผลอเรียกชื่อจริงออกมาจนได้) ทหารจะมาจับเอ็งแล้ว เอ็งเสือกเอาเมียน้อยซูกาโน่มา...หนีเร็วโว้ย”
ไอ้รงค์เพื่อนผมก็เร็วทายาท มันสวมวิญญาณนักกระโดดค้ำ เผ่นโครมลงมาทางหน้าต่างหลัง ขอยืมตีนสุนัขโกยแน่บไม่เหลียวหลัง
เมียน้อยซูกาโน่ โดนคุมตัวกลับวัง ไอ้รงค์ต้องรีบบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ส่วนผมเจ็บฟรี แถมยังโดนเพื่อนฝูงอำไปตั้งหลายวัน.
ผมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงการกีฬาเกือบ 15 ปีเต็มๆ ก็เลยซาโยนาระ ลาออกจากทหารมาหารับประทานเป็นขี้ข้า ซี.ไอ.เอ. อยู่พักหนึง และอาชีพสุดท้ายก็คือ เขียนหนังสือขาย... ถ้าตกม้าตายกลางทาง บอกกล่าวกันเสียก่อน คราวนี้ผมเห็นจะต้องเข้าป่าแน่ๆ... ครับผม



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 15:59  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19282

คำตอบที่ 39
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 10/11
ผมเผลอตัวหลับไปตั้งนาน หลับไม่หลับเปล่า ยังฝันถึงเรื่องกีฬาให้เปรอะไปหมด ชีวิตกีฬาที่ผมฝอยให้ฟังเมื่อบทที่แล้ว ผู้อ่านอย่าทึกทักว่าเป็นเรื่องจริงนะครับ... มันเป็นเรื่องของคนที่ใจไม่อยู่กับร่องกับรอยจนสร้างภาพพจน์ขึ้นมาเพียงเพื่อปลอบใจตัวเองว่า “ครั้งหนึ่ง อาตมาก็มีอดีตชีวิตที่เอร็ดอร่อยพอสมควรเท่านั้นเอง ครับผม”
ตกใจตื่นขึ้นมาก้มองเห็นลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขาลงไปพอดี
บรรยากาศรอบๆตัว มืดลงอย่างรวดเร็ว ทหารชุดล่ารถถังที่ “วิเศษ” จัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จับกลุ่มคุยกันอยู่เบาๆ หน้าบังเกอร์
ผมคลานออกมาก็มองเห็นวิเศษกำลังจะมุดเข้ามาปลุกผมพอดิบพอดี
“เห็นบิ๊กแมนนอนหลับ ก็เลยไม่ปลุก...ตั้ง 4 ชั่วโมงเต็มๆแน่ะครับที่คุณเผลอหลับไป เหลืออีกครึ่งชั่วโมง ผมจะออกเดินทาง คุณพร้อมหรือยังครับ”
ผมรีบลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าบังเกอร์ สะบัดศรีษะไปมาด้วยความมึนงง
ไม่น่าเชื่อที่ตัวเองเผลอหลับไปตั้ง 4 ชั่วโมง แถมนอนฝันเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองเป็นนักกีฬาทีมชาติบ้าง... กระทบไหล่ โมฮาหมัด อาลีบ้าง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ไอ้เหตุการณ์เหล่านั้นมันจะบังเกิดขึ้นกับตัวของผมไม่ได้อย่างเด็ดขาด
โธ่ เมืองนอกเมืองนา... อย่างดีก็แค่เมืองลาวนี่แหละครับ ที่ผมมีความสามารถเหยียบย่างเข้าไปถึง

19.30 น. วิเศษก็คุมขบวนชุดล่ารถถังเคลื่อนที่ลงจากฐานปฏิบัติการ แล้วลัดเลาะป่าละเมาะข้างทางด้วยความเงียบเชียบ
ผมเดินอยู่รั้งท้ายกับพนักงานวิทยุประจำกองร้อย ซึ่งสะพาย PRC-77 เดินถือปากพูดหูฟังแนบกับข้างใบหู กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สภาพของถนนที่เอียงลาดลงไปยังเบื้องล่าง ทำให้การเคลื่อนที่ของพวกผมดำเนินไปอย่างสะดวกสะพายยิ่งกว่าทุกครั้ง
พอเคลื่อนที่พ้นฐานออกมาได้ 100 เมตร วิเศษก็แบ่งทหารออกเป็นสองชุด
ชุดแรกให้เดินอยู่บนป่าละเมาะเหนือขอบถนน ส่วนอีกชุดให้เคลื่อนที่ไปบนถนนในลักษณะขบวนแถวตอน เรียงเดี่ยว
กับระเบิดแบบ M-19 ที่ใช้ดักรถถังจะต้องได้รับแรงกดตั้งแต่ 500 กิโลกรัมขึ้นไป ชนวนของมันถึงจะทำงาน... ทหารรับจ้างแต่ละคนรวมทั้งอาวุธพร้อมน้ำหนักก็ยังไม่ถึง 100 ก.ก. เพื่อนก็เลยเดินเหยียบลงไปอย่างสบายใจเฉิบ... ส่วนผมนึกแหยงๆอย่างไรพิกล
ภาพในอดีตที่ลูกน้องของผมถูกกับระเบิดลอยกระเด็นขึ้นจากพื้นยังพร่างพรายอยู่ในห้วงคิด... ความแหยงทำให้ผมก้าวเท้าข้ามเจ้า M-19 ด้วยอาการหวาดผวาที่ยังเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึกของคนกลัวตาย
หลายต่อหลายครั้งที่พวกผมต้องหยุดการเคลื่อนที่เนื่องจากได้รับสัญญาณจากหน่วยหน้าสุดที่ตรวจการณ์พบสิ่งผิดปรกติจากเส้นทางเบื้องหน้า
ครึ่งชั่วผ่านไป พวกผมก็มาหยุดรวมพลกันบนเส้นทางที่ได้เลือกกันเอาไว้แล้ว ว่าจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับ “ล่ารถถัง” โดยเฉพาะ
มันเป็นเส้นทางที่โผล่ตัดตรงออกมาจากมุมหักข้อศอก และเส้นทางดังกล่าวก็ยาวเป็นแนวตรงเกือบ 200 เมตร อันเป็นระยะที่แม่นยำที่สุดของจรวดแม็กนีโตอันทรงอานุภาพของสหรัฐอเมริกา
ทหารราบทุกคนจะไม่ยอมให้รถถังเข้าใกล้ฐานปฏิบัติการของตัวเองอย่างเด็ดขาด
การวางแผนยับยั้งรถถัง จะต้องหาทางให้รถถังหยุดอยู่ให้ไกลกับฐานให้จงได้
วิเศษ เป้นนายทหารม้ายานเกราะ เขาจะต้องรู้จุดอ่อนของรถถังและรู้ซึ้งถึงยุทธวิธีของรถถังเป็นอย่างดี และผมก็ไม่เสียใจเลยที่นอร์แมน เลือกนายทหารผู้นี้เข้าสะกัดกั้นก่อนที่รถถังทั้งสองคันที่เหลือจะเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเนินสกายไลน์แล้วถล่มปืนขนาด 85 ม.ม. ลงไปทำลายเมืองล่องแจ้งในโอกาสต่อไป
“ผู้กอง ถนนข้างหน้าช่วงที่พังจากการทิ้งระเบิด พวกมันซ่อมเสร็จแล้วครับ รอยยังใหม่อยู่เลย”
ทหารรับจ้างคนหนึ่ง กระหืดกระหอบเข้ามารายงานกับ วิเศษ ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น และพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูของผมก้ได้ยินเสียงร้องของสัตว์ชนิดหนึ่งดังมาตามสายลม
“แปร๊น”
“เสียงช้าง ผมว่าเสียงช้างร้อง คุณบิ๊กแมนได้ยินหรือเปล่าครับ”
ผมไม่ตอบคำถามของวิเศษ... พยายามตะแคงหูฟังเสียงร้องของมันอีกครั้ง...
เงียบ เงียบเสียจนผมคิดว่าประสาทหูของผมคงจะเฟือนไปเอง
ผมหวนคิดถึงคำบอกเล่าของทหารรับจ้างที่แตกลงมาจากภูเทิง ที่เคยเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอๆว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้ช้างลากรถถังเข้ามาใกล้กับฐานปฏิบัติการของพวกเรา แล้วจึงติดเครื่องยนต์แล่นขึ้นตะลุยพวกเราอย่างชนิดสายฟ้าแลบจนพวกเราไม่มีโอกาสที่จะรู้ตัวหรือต่อสู้ได้ทัน
ลางสังหรณ์ดังกล่าว ทำให้ผมเปลี่ยนแผนการที่วางเอาไว้โดยฉับพลัน
“วิเศษ เสียงช้างแน่ๆ และผมคิดว่า ขณะนี้ เจ้าช้างดังกล่าวก็คงจะอยู่ห่างจากพวกเราไม่ไกลนัก จัดลูกน้องของคุณที่มีฝีมือในการยิงM.72 ที่แม่นยำพอสมควรเอาไว้ให้พร้อม... ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน เราจะปีนเนินเขาลูกนี้ขึ้นไป แล้วเดินตัดตรงไปยังเนินที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง แต่เราไม่มีแผนการที่ดีกว่านี้อีกแล้ว”
“โอเค...บิ๊กแมน”
วิเศษตอบห้วนๆ แล้วออกคำสั่งให้ทหารรับจ้างทั้งหมดเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเนินที่อยู่ข้างๆเส้นทางอย่างรวดเร็ว
มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะรกรุงรังไปด้วยพืชล้มลุกนานาชนิด ความหนาทึบของภูมิประเทศดังกล่าวทำให้ผมพอจะสังเกตุได้ว่า เส้นทางนี้ยังไม่ได้ถูกใช้ในการเคลื่อนที่จากทหารฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาก่อนเลย
ด้วยการเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกผมก็ปีนขึ้นมาหมอบอยู่บนเนินอีกลูกหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นเส้นทางจากสนามบินซำทองเด่นชัดอยู่เบื้องล่าง
กลุ่มคนไม่น้อยกว่า 30 คน ชุลมุนวุ่นวายอยู่เบื่องล่าง จากระยะที่ห่างเกือบ 400 เมตร ทำให้ผมต้องอาศัยกล้องสนามแรงสูงชนิดพิเศษ ตรวจการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน...
ภาพที่ปรากฏอยู่ในความสลัวของโฟกัส ทำให้ขนของผมลุกซู่ขึ้นมาทั่วตัว
ช้าง 7 เชือก บนหลังบรรทุกสิ่งของพะรุงพะรัง ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งกำลังขนถ่ายสิ่งของที่อยู่บนหลังช้างทั้ง 7 เชือกสับสนวุ่นวายกันไปหมด
“ไอ้ห่า พวกมันใช้ช้างขนน้ำมันจากทุ่งไหหินเชียวหรือครับนี่... ผมคิดว่าพวกมันเพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่อย่างสดๆร้อนๆ นี่เอง ผมอยากรู้เหลือเกินว่า ไอ้รถถัง 2 คันของมันซุกซ่อนอยู่บริเวณไหนกันแน่”
วิเศษใช้กล้องสนามแรงสูงตรวจการณ์ลงไปเบื้องล่าง ปากก็บ่นพึมพำไม่ขาดระยะ
“ประเดี๋ยวคุณก็จะเห็นเอง รอให้ไอ้พวกแกวมันขนน้ำมันลงจากหลังช้างให้หมดเสียก่อน แล้วคุณจะรู้เอง ว่ารถถังของมันซ่อนอยู่ตรงไหน?”
“M.72 10 กระบอก เตรียมพร้อม”
วิเศษออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด ทหารรับจ้าง 10 คน ซึ่งหมอบเรียงรายอยู่ข้างๆ ปลด M.72 ออกจาบ่า...คลายล็อค ดึงลำกล้องกางออกเป็นสองท่อน ปรับศูนย์ยิง ตั้งระยะการยิงด้วยความชำนิชำนาญ แล้วค่อยๆวางปืนจรวดอันทรงอานุภาพลงกับพื้นอย่างสงบนิ่ง รอคำสั่งการยิงด้วยความใจเย็น...
ช้างทั้ง 7 เชือก ถูกจูงเดินลงจากขอบถนนแล้วหายลับเข้าไปในป่าทึบที่มองเห็นทึมๆ อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สุกสกาว
แสงสว่างที่สะท้อนเป็นนวลใยอยู่เบื้องล่างทำให้ผมตรวจการณ์ บนเส้นทางดังกล่าวได้ชัดเจนพอสมควร
ทหารเวียดนามเหนือขนสัมภาระที่ถ่ายลงมาจากหลังช้างแล้วนำลงไปวางกองพะเนินเทินทึกอยู่ที่ขอบถนน ต่อจากนั้นก็ติดตามขบวนช้างดังกล่าวหายเข้าไปในป่าเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จนผู้กองวิเศษบ่นพึมพำออกมาด้วยความฉุนเฉียว
“จบกัน บิ๊กแมน... ไอ้ห่าพวกนั้นหายหัวเข้าไปหมดแล้ว... ไม่น่าใจเย็นอยู่เลย”
ผมเอื้อมมือไปตบหลังของวิเศษ แล้วปลอบใจผู้กองขี้ยั๊วขึ้นมาเบาๆ
“ใจเย็นน่า...ผู้กอง...เชื่อผมเถอะ รออีกซักเดี๋ยว ผู้กองจะต้องแปลกใจเลยทีเดียว น่าน...น่าน... ผมพูดแล้วไม่มีผิด M.72 เตรียมพร้อม ผมจะเป็นคนสั่งยิงเอง
สองประโยคสุดท้าย ผมหันไปออกคำสั่งกับพลยิง M-72 ซึ่งหมอบกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ
ช้าง 4 เชือกปรากฏตัวออกมาจากป่าทึบข้างทางแล้ว ลักษณะการเดินของมันคล้ายๆกับจะออกแรงลากอะไรออกมาด้วย ชั่วอึดใจผมก็มองเห็นภาพของรถถังถูกลากขึ้นมาจอดจังก้าอยู่บนถนน
“รถถัง...บิ๊กแมน ไอ้ช้างอัปรีย์นั่นลากขึ้นมาอีกคันนึงแล้ว...เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ไอ้ห่าผมเป็นทหารยานเกราะแท้ๆก็ยังไม่เคยเห็นยุทธวิธีบ้าๆบอๆแบบนี้มาก่อนเลย”
วิเศษพูดพลางขยับ M-72 ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นเอาการ
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือทั้งหมดช่วยกันยกถังนำมันที่วางอยู่ที่ขอบถนนขึ้นไปบนรถถังเป็นจ้าละหวั่น
และในขณะเดียวกันนั้น ผมก็มองเห็นพวกมันกลุ่มหนึงเดินผละออกมาจากรถถัง ภายในมือถือวัตถุยาวๆเหมือนกับด้ามไม้กวาด ทำอากัปกริยาเหมือนกับจะกวาดถนน เดินห่างจากรถถังออกไปทุกที...
“พวกมันเริ่มทำความสะอาดถนนแล้วครับ ผู้กอง”
ทหารรับจ้างคนหนึ่ง กระซิบขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน
ผู้กองวิเศษหัวเราะก๊าก แล้วเอื้อมมือไปเขกศราะของทหารรับจ้างคนนั้นดังป๊อก
“ไอ้หอก พ่อมึงนะสิกวาดถนน ทหารม้าส้นตีนอะไรว่ะ ไม่รู้จักเครื่องตรวจจับทุ่นระเบิด... ไอ้ที่พ่อมึงกำลังถือทิ่มอยู่กับพื้นนั่นแหละ เครื่องตรวจทุ่นระเบิดดักรถถังของมันละ”
คำพูดของผู้กองวิเศษ ทำให้บังเกิดเสียงหัวเราะคิกคักไปทั่วแนว... แม้แต่ผมก็อดที่จะขำต่อความนึกคิดแบบซื่อๆเซ่อๆของทหารรับจ้างคนนั้นไม่ได้...
“โธ่ ผู้กองก็ ไอ้ผมเป็นทหารม้าเนื้อ แล้วจะไปรู้จักเครื่องตรวจทุ่นได้ยังไงกัน เป็นทหารทั้งทีก็โดนแต่ผู้หมู่ใช้ให้ขนขี้ม้ายันเต”
“หยุด ไอ้หอก มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละ เสียงานเสียการหมด ประเดี๋ยวพวกมันได้ยินเข้าก็จบเห่เท่านั้นเอง... พวกมึงน่าจะรู้ฤทธิเดชของปืน 85 มันแล้วนี่หว่า... เตรียมตัวโว้ย”
ผู้กองวิเศษปรามลูกน้องออกไป พร้อมกับขยับลุกขึ้นมานั่งยองๆ ในลักษณะ “นั่งยิง” มือทั้งสองยก M-72 ขึ้นประทับเล็งปรับระยะอยู่ไปมา...
การเติมน้ำมันได้สิ้นสุดลงแล้ว... ช้างทั้งหมดเริ่มลากรถถังทั้งสองคันวิ่งช้าๆ ไปบนถนนเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสายพานที่ปราสจากน้ำมันหล่อลื่นบดกับพื้นถนนดังเกรียวกราว
คงจะเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของผมหลายกิโลเมตร และอีกอย่างหนึ่ง ตามปกติทหารรับจ้างฝ่ายเราก็ไม่เคยออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืนแม้แต่ซักครั้งเดียว และประการสุดท้ายพื้นที่ดังกล่าวนี้ เป็นเขตยึดครองของพวกมัน พวกมันก็เลยบังเกิดความประมาทขึ้นมาอย่างช่วยเหลือไม่ได้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 16:54  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19283

คำตอบที่ 40
       ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 11/11
ถ้าจะให้ผมเดา รถถังทั้งสองคันนี้จะต้องถูกลากไปสมทบกับทหารเวียดนามเหนือที่อาจจะเคลื่อนที่ลงมาจากเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” แล้วโจมตีฐานปฏิบัติการของพวกผมพร้อมๆกันก่อนสว่างก็อาจจะเป็นได้
จุดสมทบของมันก็คงไม่แคล้วทางแยกสามแพร่ง... ถ้าพวกมันยึดทางแยกสามแพร่งได้เมื่อไหร่ เมืองล่องแจ้งก็โดนรถถังแล่นลงไปบดขยี้ถึงใจกลางเมืองเมื่อนั้น
“ผู้กองส่งรหัสบอกให้ทหารของผู้กองยิงแฟลร์ขึ้นไปบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ได้แล้วครับ ยิงต่อเนื่องกันอย่าให้ขาดระยะ ผมคิดว่าพวกมันคงจะเคลื่อนย้ายลงมาสมทบกับรถถังสองคันนี่เพื่อจวกฐานของเราแน่ๆ”
“ก่อนออกเดินทาง ผมสั่งลูกน้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ผมส่งรหัสออกไปคำเดียว แฟลร์ 4.2 จะถูกยิงขึ้นไปบนยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลีทันที ต่อจากนั้นกองร้อย 2 ก็จะเคลื่อนที่ลงมาเสริมแนวที่ทางแยกสามแพร่ง เพื่อยันการบุกของมันทันที”
ผู้กองวิเศษเป็น ผบ.ร้อย ที่คล่องงานและเจนยุทธวิธีการวางแผนจนผมอดทึ่งไม่ได้ เพียงครั้งแรกที่ผมร่วมงานกับเขา ผมก็บังเกิดความสบายใจที่แผนการต่างๆของเรา ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกันทุกประการ
เท่าที่ผมทราบ วิเศษเคยรับราชการครูมาก่อน อุปนิสัยที่รักการต่อสู้ ผจญภัย ทำให้เขาเผลี่ยนเข็มผละจากอาชีพพ่อพิมพ์ หันเข้าโรงเรียนนายร้อยพิเศษ สำเร็จออกมารับราชการอยู่เพียงปีเดียวก็ข้ามมาฝั่งลาว
ผมแทบไม่เชื่อที่ทราบว่า อดีตครูผู้เคยถือแต่ชอล์คเขียนกระดานดำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างวิเศษจะมากลายเป็นเพชฌฆาตที่เข่นฆ่าคนเล่นเป็นผักปลาเช่นนี้
แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ วิเศษหรือร้อยโทปิ่นพันธุ์ ทหารม้าจากอุตรดิษฐ์ได้กลายเป็นเพชฌฆาตเมาเลือดไปเสียแล้ว
กิตติศัพท์และชื่อเสียง ตลอดจนความใจถึงของเขา ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนเคารพเชื่อฟังและเกรงกลัววิเศษหยั่งกับหนูกลัวแมว แม้แต่ตัวของ ผบ.พันเองยังไม่กล้าแหยม
รถถังทั้งสองคัน ถูกลากเข้ามาอยู่ในทางปืนของพวกผมแล้ว
ทั้งๆที่สงสารเจ้าช้างทั้ง 7 เชือกใจจะขาด แต่ผมก็จำเป็นต้องสั่งยิงออกไปเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
“M-72 5 กระบอก ที่หมายรถถังคันหน้า M-72 5 กระบอกถัดไปที่หมายรถถังคันที่ 2 ผู้กองวิเศษที่หมายหน่วยตรวจค้นทุ่นระเบิด...ระวัง”
“ยิง”
“บึ้มส์ส์ส์ ------- แว้ดๆๆๆๆๆๆๆ”
ความรุนแรงของแรงสะท้อนถอยหลังที่ดันออกจากท้ายลำกล้อง ทำให้ประสาทของผมอื้อไปชั่วขณะ
แสงไฟที่พุ่งแลบลงไปเบื้องล่างเป็นสาย มองดูเหมือนกับห่าฝนเหล็ก เสียงหางนำทิศของจรวดแม็กนีโตครวญครางโหยหวนเหมือนกับเสียงเปรตทวงวิญญาณ พอสิ้นเสียงแว๊ดที่ยาวนาน ก็ปรากฏเสียงกระหึ่มขึ้นมา เหมือนกับฟ้าถล่ม
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้มๆๆๆๆๆๆๆ”
ประกายไฟสีส้มปนเขียวสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ
อา...จรวดแม็กนีโตทั้ง 11 ลูก ถล่มลงบนเป้าหมายอย่างถนัดถนี่เข้าให้แล้ว
ทหารรับจ้างที่อยู่ข้างๆผม กระแทกแฟลร์กระทุ้งขึ้นไปลอยฟ่องอยู่เหนือบริเวณดังกล่าวสองดวงซ้อนๆ
ไม่มีเสียงตอบโต้ขึ้นมาแม้แต่นัดเดียว ก่อนแสงแฟลร์จะสิ้นแสง ผมก็ตรวจการณ์เห็นรถถังทั้ง 2 คันเอียงกระเท่เล่อยู่กับพื้นถนน ประกายไฟที่ลุกไหม้อยู่บริเวณท้ายรถเริ่มโชนขึ้นทุกที...ทุกที แล้วค่อยๆลามเลียท่วมตัวรถจนแดงฉานไปหมดทั้งคัน
ความร้อนจากไฟทำให้ลูกกระสุนปืนที่บรรทุกอยู่ในรถระเบิดซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“บึ้ม...บึ้ม...”
แรงระเบิดทำให้กระบอกปืนอันใหญ่โตของมันหลุดออกมาจากป้อมปืนทันที และอำนาจของระเบิดดังกล่าวก็ยังทำให้รถถังอีกคันที่อยู่ข้างๆ ระเบิดตามไปอีกด้วย
คราวนี้ไม่มีอะไรเหลือหลออีกแล้ว จากแสงสว่างของไฟที่สาดออกไปรอบๆ ผมมองเห็นซากอันแหลกเหลวของช้างทั้ง 7 เชือก กองระเกะระกะอยู่บนถนนในสภาพที่เอน็จอนาถสุดประมาณ
หน่วยตรวจค้นทุ่นระเบิด 5 คนถูกอำนาจของ M-72 ปลิวกระเด็นออกไปจากกึ่งกลางถนนอย่างกับโดนช้างเตะ
ผู้กองวิเศษดึงปากพูดหูฟัง PRC-77 ขึ้นมากดสวิทช์ออกคำสั่งเป็นรหัสไปยังฐานผฃปฏิบัติการในทันทีทันใดที่การระดมยิง M-72 สิ้นสุดลง
2 นาทีต่อมา ผมก็ได้ยินเสียง ค. 4.2 ดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ทางเบื้องหลัง ชั่วอึดใจผมก็มองเห็นแสงแฟลร์ขนาดใหญ่สว่างจ้าอยู่บนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี และพร้อมๆกันนั้น ผมก็ได้ยินเสียงอาวุธหนักทุกชนิด เซ็งแซ่ขึ้นมาหยั่งกับประทัดในวันตรุษจีน
กระสุนส่องวิถีพุ่งผ่านเหนือภูมิประเทศเป็นสายเหมือนกับผีพุ่งไต้
“วิเศษ จากธรรมนูญ ไอ้แกว 2 กองร้อยเคลื่อนที่ลงมาจาก ชาร์ลี...ตามแผนด่วน
วิทยุจากฐานปฏิบัติการที่ทางแยกสามแพร่งดังกังวานขึ้นมาท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของห่ากระสุนปืน
“เร็วโว้ย...เคลื่อนที่กลับฐานให้เร็วที่สุด พรรคพวกของเราโดนไอ้แกวเข้าจวกแล้ว ไม่มีรถถังซะอย่าง ให้พ่อมึงลงมาด้วย จ้างกูก็ไม่กลัว”
วิเศษพูดพลางฉุดข้อมือของผมลุกขึ้น แล้วพากันวิ่งเหยาะๆ ตามทหารรับจ้างซึ่งเริ่มถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
เสียงตึงตังของปืนนานาชนิดที่สนั่นหวั่นไหวอยู่เบื้องหน้า ทำให้พวกผมเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าปกติ
ไม่ถึงชั่วโมง พวกผมก็ปีนเขาขึ้นมายืนหอบเป็นหมาบ้าแดดอยู่บนยอดเนินข้างๆ เส้นทางที่พวกผมเคลื่อนที่จากถนนขึ้นไปหลังจากที่ได้ยินเสียงช้างร้องเป็นครั้งแรก
ภูมิประเทศที่เกิดการประทะ สว่างไสวอยู่เบื้องล่าง
แฟลร์กระทุ้ง กระสุนส่องวิถีวิ่งสวนกันไปมาอยู่บนท้องฟ้า สร้างความตื่นตาให้กับทหารรับจ้าง จนถึงกับยืนเบิกตามองด้วยความตื่นตะลึง
“เฮ้ย...ตั้ง M-60 ยิงสนับสนุนพวกเราเดี๋ยวนี้ ที่หมายบริเวณฐานปฏิบัติการเก่าของ BC.616 ที่มองเห็นแสงไฟวูบวาบนั่นแหละ จวกเลยไอ้จันทร์”
ผู้กองวิเศษสั่งงานอย่างคล่องแคล่วว่องไวพร้อมกับหันไปหยิบปากพูดหูฟัง PRC-77 ขึ้นมาตะโกนกรอกเสียงออกไปเต็มแรง เสมือนหนึ่งจะให้ข้าศึกที่ดักฟังวิทยุอยู่ทราบข่าววิทยุดังกล่าวนั้นด้วย
“ธรรมนูญ จากวิเศษ ขณะทหารของอั๊วทำลายรถถังได้แล้วโว้ย มันกำลังเอาช้างลากอยู่พอดี... ช้าง 7 เชือก รถถัง 2 คัน กับทหารราบของมันอีกไม่น้อยกว่า 15 คน ตายโหงหมดแล้ว ขณะนี้อั๊วขึ้นมาตั้งแนวยิงอยู่บนเนินพร้อมด้วยทหาร 100 คนประเดี๋ยวจะตีโอบเข้าไปโว้ย...”
M-60 เริ่มพ่นกระสุนลงไปยังเบื้องล่าง วิเศษหัวเราะก๊าก หันมาพูดกับผมค่อนข้างดัง
“ผมแหกตาไอ้แกวว่า มีทหารตั้ง 100 คน ป่านนี้มันคงจะได้ยินแล้วมั้ง ไอ้พวกห่านี่มันดักฟังวิทยุของพวกเราอยู่ตลอดเวลา แหกตามันซะให้อ่วมไปเลย เฮ้ย M-72 ถล่มลงไปซัก 3 กระบอกซีโว้ย”
ประโยคสุดท้าย วิเสาหันไปสั่งลูกน้องที่หมอบเรียงรายอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกระหายเลือดจนมือไม้สั่นไปหมด
“บึ้ม...แว้ด...บึ้ม”
“บึ้ม...แว้ด...บึ้ม”
M-72 อันทรงอานุภาพพุ่งปร๊าดลงไปยังจุดที่ไฟวอมแวมอยู่เบื้องล่างด้วยความเร็วเหมือนกับดาวตกลงมาจากท้องฟ้า
ไอ้จันทร์ลูกน้องมือดีของผู้กองวิเศษ ขยับปืน M-60 ส่ายลำกล้องเป็นมุมกว้างพ่นกระสุนด้วยจังหวะการยิงเป็นชุดๆอย่างมีจังหวะจะโคนอันแสดงถึงความชำนิชำนาญอย่างแท้จริงของพลปืน...
กระสุนส่องวิถีจากที่ตั้งจุดหนึ่งของตีนเขา “สกายไลน์-วัน” หันทิศทางการยิงขึ้นมาบนเนินของผมเข้าให้แล้ว
แนวกระสุนสีเขียวเข้มพุ่งข้ามศรีษะของพวกผมไปทางเบื้องหลัง จนได้ยินเสียงหัวกระสุนแหวกอากาศอย่างถนัดหู
“เฮ้ย ปืนของพวกมันจวกพวกเราแล้วโว้ย M-16 ทั้งหมดประสานการยิงลงไปข้างล่าง ที่หมายที่ตั้งปืนกลเบาของข้าศึก พอยิงหมดแม็กแล้วให้เคลื่อนที่ออกไปที่มุมซ้าย ต่อจากนั้นยิงอีกหนึ่งแม็ก แล้วให้ย้ายมาตั้งแนวยิงมาอยู่ที่มุมขวา สลับกันอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ อั๊วจะหลอกไอ้แกวว่ากำลังพลของเรามีเป็นตัน ปฏิบัติได้”
ผู้กองวิเศษร้องเอ็ดอึง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเกรียวกราวของทหารรับจ้างที่กำลังระดมยิงอย่างมันมืออยู่นั้น
ผมนั่งพิงก้อนหิน มองดูทหารรับจ้างที่กำลังสลับที่ตั้งยิงด้วยความทึ่งใจ จากยอดกำลังพลไม่ถึงยี่สิบคน ผู้กองวิเศษสร้างสถานะการณ์ให้ข้าศึกประเมินกำลังไม่ถูก และคงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่า กำลังหนุน 100 คน ที่อยู่บนยอดเนินกำลังจะบุกลงไปเข้าตีโอบในเวลาไม่ช้านี้
ผู้กองวิเศษเล่นกลอยู่สักพักหนึ่ง ก็สั่งให้ลูกน้องหยุดยิง แล้วส่งข่าว “ลวง” ไปหา “ธรรมนูญ” ผบ.ร้อย 2 อีกครั้ง
“ธรรมนูญจากวิเศษ ลื้อสั่งให้ลูกน้องเบนวิถีกระสุนกินซ้ายมากๆหน่อย ทหารของอั๊วจะตีโอบทางด้านขวามือเดี๋ยวนี้ ระวังหน่อยนะโว้ย อย่าเสือกยิงพวกเดียวกันเข้า คอยสังเกตุแฟลร์กระทุ้งสีแดง 2 ช่อให้ดี นั่นคืออาณัติสัญญาณการเข้าตีโอบล้อมของอั๊ว อั๊วจะพยายามเคลื่อนที่เข้าไปให้เงียบที่สุด พอถึงแนวยิงของพวกมันเมื่อไหร่ อั๊วจะใช้แฟลร์กระทุ้งสีแดงอีกครั้ง ต่อจากนั้น พวกเราจะได้เข้าชาร์ทพวกมันพร้อมๆกัน”
“วิเสษ จากธรรมนูญ โอเคพรรคพวก ขณะนี้กองร้อยที่ 1 ก็เริ่มเคลื่อนที่เข้าไปหาพวกมันตามแผนที่วางกันเอาไว้แล้ว โชคดีเว้ย... พรรคพวก”
“ธรรมนูญ” ผบ.ร้อย 2 BC.604 “ตอแหล” สวนกลับมาอย่างรู้ทันซึ่งกันและกัน
ผู้กองวิเศษสั่งให้ทหารกระทุ้งแฟลร์สีแดงตามแผนลวง ต่อจากนั้นก็ยุติการยิงเป็นปลิดทิ้ง...
และในเวลาเดียวกัน ณ บริเวณฐานปฏิบัติการ “ชาร์ลี-เอ็คโค่” ตรงทางแยกสามแพร่ง แนวกระสุนที่แผ่กว้างไปรอบทิศ ก็เริ่มบีบเบนกินซ้ายออกไปเหมือนหยั่งกับนัดกันเอาไว้
ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ลงจากยอดเนินอย่างเงียบเชียบ หลังจากลัดเลาะป่าละเมาะข้างทางอยู่ชั่วครู่ พวกผมก็สามารถเข้าฐานปฏิบัติการได้อย่างปลอดภัย โดยมิสูญเสีย กำลังพลแม้แต่กำลังพลแม้แต่คนเดียว
OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 17:15  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19284

คำตอบที่ 41
       ตอนที่ 1 - วันชโลมเลือด โดยสยุมภู ทศพล
ทหารเวียดนามเหนือเริ่มระดมยิงพื้นที่ทางขวามือเข้าให้แล้ว พวกมันหลงกลผู้กองวิเศษเข้าอย่างถนัดใจ พวกมันคงพากันคิดว่าขณะนี้ทหารรับจ้าง 100 คน อาจจะเคลื่อนที่เข้ามาโอบล้อมก็เลยซัลโวอาวุธหนักทุกชนิดเข้าใส่พื้นที่ดังกล่าวเป็นห่าฝน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทหารเวียดนามเหนือซึ่งขาดการสนับสนุนจากรถถังก็เริ่มถอนตัวกลับขึ้นไปบนเนิน "ชาร์ลี-ชาร์ลี"
04.30 น พอดิบพอดีที่กระสุนทุกชนิดได้ยุติการยิงลงเป็นปลิดทิ้ง "นอร์แมน"ซึ่งตามปกติจะกลับไปนอนที่อุดร แต่วันนี้คงเป็นกรณีพิเศษ อุตส่าห์ค้างคืนที่ล่องแจ้ง วิทยุสอบถามสถานะการณ์จากผมด้วยความห่วงใย
"บิ๊กแมนจากนอร์แมน เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นคุณรายงานให้ผมทราบเลย ผมรู้แต่ว่าคุณทำลายรถถังได้ แต่ผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก"
"ผมเพิ่งกลับลงมาจากเส้นทางบนยอดเนินกับผู้กองวิเศษและทหารอีก 15 คน ทุกๆคนเป็นคนทำลายรถถัง ไม่ใช่ผมคนเดียว พรุ่งนี้เช้า ผมจะบินไปรายงานรายละเอียดด้วยตัวเอง แล้วก็โปรดเตรียมเงินรางวัล 1500 ดอลล์ใว้เป็นรางวัลในการล่ารถถัง 2 คันเอาใว้ให้ด้วย"
ผมเบี้ยวนอร์แมนด้วยการปิดวิทยุแล้วนอนคุยกับวิเศษจนกระทั่งเช้าของวันไหม่คลืบคลานเข้ามาถึง
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากสันเขายังไม่ทันถึงครึ่งดวง ผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินตรวจการณ์ปีกชั้นเดียวที่ทหารรับจ้างพากันเรียกอย่างติดปากว่า "ไอ้ปากหมา" ดังอยู่บนท้องฟ้า เมื่อผมแหงนหน้าขึ้นมองขึ้นไปก็เห็นมันบินอยู่สูงลิบ
คงเป็นเครื่องของ"สไปร้ท" ฝรั่งลูกครึ่งที่สนิทสนมกับผมเป็นพิเศษยิ่งกว่านักบินแอร์อเมริกาคนอื่นๆ
สไปร์ทกับผมเคยแหกตา ซีไอเอ ด้วยการบินถ่วงเวลาเอาดอลล่าร์มากินเสียแยะต่อแยะมาแล้ว แถมเวลาเมียสไปร้ท์มาเที่ยวเมืองล่องแจ้ง ไอ้ความที่มันงกเงินกลัวจะเสียชั่วโมงบิน มันก็เลยบินไปตรวจเส้นทางโฮจิมินทห์ แล้วปล่อยให้ผมพาเมียของมันเที่ยวค้างคืนหมู่บ้านแม้วซะอ่วมอรทัยไปเลย
เมียของสไปร้ทถ้าจะนับตามเกรดของน้ำมันก็เปรียบเสมือนหนึ่ง"อ็อกเทน" เราดีๆนี่เอง
ผมโดนเมียเพื่อนข่มขืน! ข่มขืนบนยอดดอยของเมือง "ปากเซ"
ผมไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ เกิดมาไม่เคยสาบถสาบาน คราวนี้ขอสาบานซักครั้งเถอะ ให้เจ้าหักคอ เมียไอ้สไปร้ทมันข่มขืนผมจริงๆ
"บิ๊กแมนจาก สไปร้ท...เปลี่ยน" ใช่แล้วครับ "ไอ้ปากหมา" เครื่องนี้เป็นของเพื่อนสนิทผมจริงๆ
ผมยกวิทยุ "HT-2" ระบบ "แอร์ ทู กราวด์" ที่แขวนอยู่ที่หน้าบังเกอร์ตอบสวนขึ้นไปทันที
"สไปร์ทจากบิ๊กแมน สวัสดีโว้ย เสือกบินมาทำไมตอนเช้าวะ บินให้ต่ำงมาหน่อยซีโว้ย ไอ้ก๊อก"
"บิ๊กแมนอย่าเพิ่งพูดเล่นโว้ย บอกพิกัดรถถังสองคันที่โดนพวกลื้อถล่มแหลกราญเมื่อคืนให้อั๊วด้วย อั๊วจะถ่ายรูปไปให้นอร์แมน ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน"
"สไปร้ท์ ขณะนี้ลื้ออยู่ในตำแหน่ง 12 นาฬิกาของอั๊ว ลื้อจงเบนคันบังคับให้เครื่องของลื้อมาอยู่ในตำแหน่ง 11 นาฬิกา แล้วลื้อจะเห็นเอง มันกองระเกะระกะอยู่บนถนนนั่นแหละ"
"ขอบใจโว้ย แล้วอั๊วจะอัดขยายรูปขนาด 24 นิ้วให้ลื้อเป็นพิเศษหนึ่งใบ ทำงานก่อนโว้ย"
ไอ้ปากหมาเริ่มลดเพดานบินลงแล้วร่อนตีวงโฉบดูภูมิประเทศเบื้องล่างอยู่ชั่วครู่ก็บินวนเวียนอยู่ ณ ตำบล ที่รถถังทั้งสองคัน พบกับกาลพินาศ
สไปร้ท์พาเครื่องลงโฉบพื้นที่ดังกล่าว เกือบไล่เรี่ยกับยอดเนิน ผมผุดลุกผุดนั่งยืนดูความบ้าระห่ำของมันอย่างขนหัวลุก ถึงแม้จะมียอดเนินทั้งสองยอดบังวิถีกระสุนเอาใว้ แต่ลักษณะการบินแบบนั้น ก็ทำให้ผมเห็นว่า สไปร้ทเพื่อนของผมมันเสี่ยงเอาการ
มีเสียงระรัวของปืนอาก้า ดังแว่วมาตามลม ผมรีบวิทยุถามมันขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง
"สไปร์ท เสียงปืน มีอะไรวะ"
"ไอ้หอก ยังเสือกถามใด้ ว่ามีอะไร ก็ไอ้แกวพ่อเอ็งนั่นแหละ กำลังเก็บศพพวกมันอยูพอดี พออั๊วโฉบลงไปมันก็เลยยิงสวนขึ้นมาด้วยปืนอาก้า ไม่สนว่ะ ปืนห่วยๆแบบนี้ อั๊วเคยโดนมาแยะแล้วแบบนี้”
สไปร้ทคุยฟุ้งตามภาษาคนขี้โอ่ แล้วบินดิ่งลงมายิงจรวดควัน สำหรับชี้เป้า ลงไปยังพื้นที่ดังกล่าวหนึ่งนัด มองเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาเป็นสาย
"บิ๊กแมนโว้ย อั้วอยากให้ลื้อขึ้นมาบินกับอั๊วชิบหายว่ะ สนุกยิ่งกว่าเมื่อครั้งอั๊วพาลื้อบินเฉียดถ้ำซำทองตั้งหลายเท่าแน่ะโว้ย รถถังเหลือแต่ซากอยู่นิดเดียว แต่ไอ้ที่นอนระเกะระกะอยู่หน้าซากรถถังนี้เป็นอะไรวะ อั๊วดูไม่ออกจริงๆ ไอ้เกลอ"
สไปร์ทพูดวิทยุท้าวความถึงความบ้าระห่ำของมัน ที่พาผมบินไปตรวจสนามบินซำทอง จนโดน ปตอ. 12.7 ยิงแพนทางจนทะลุอย่างสนุกสนานพร้อมกับซักถามผมถึงซากสัตว์ประหลาดที่กองอยู่หน้ารถถัง
"ช้าง...เพื่อน ช้างที่ทาร์ซานพาอีเจนขี่คอเดินท่อมๆในป่าเมืองแอฟริกานั่นแหละ ทั้งหมด 7 เชือก พวกมันใช้ช้างลากรถถัง อั๊วไม่รู้จะทำยังใงก็เลยต้องฆ่ามัน"
"มายก็อด ช้างจริงๆนั่นแหละโว้ย อั๊วเห็นเศษงวงของมันแล้ว กองอยู่ขอบถนนนั่นเอง ไอ้ห่ารบมาหลายสงครามแล้ว อั๊วไม่เคยเห็นมันพิเรนทร์เหมือนสงครามห่าเหวนี่เลยพับผ่า"
ในขณะที่วิทยุติดต่อกับผม สไปร้ทก็บินวนเวียนถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา และเสียงปืนอาร์ก้าของข้าศึกก็ยังคงยิงสวนขึ้นมาไม่ขาดระยะ
"บิ๊กแมน ลองใช้ ค.42 ยิงมาที่พิกัด 810270 สัก 6-7 นัดสิว่ะ ไอ้แกว 15 คนกำลังเก็บศพพวกมันเป็นจ้าละหวั่น มันไม่หนีอั๊วซะด้วย ไอ้ห่า มีแต่จรวดชี้เป้า ยิงลงไปพวกมันกลับยกซ่นตีนให้อั๊วซะอีก จวกมาเลย อั้วจะปรับปืนให้"
"วิเศษ" ซึ่งเข้าใจภาษาอังกฤษพอสมควร สั่งทหารรับจ้างตั้งปืน ค.4.2 แล้วปล่อยลูกสังหารออกไปทันควัน
ลูกกระสุน 4.2 ไคร้ทขึ้นท้องฟ้าแล้วพุ่งดิ่งหายลับไปยังเบื้องหลังเนินสองลูกนั้น
"บึ้ม"
กระสุนสังหารกระทบพื้นเข้าให้แล้ว เสียงสะท้อนของมัน ดังติดต่อกัน เป็นลูกคลื่นไม่น้อยกว่า 4-5 วินาทีขึ้นไป
"บิ๊กแมน ซ้าย…100 ระยะเดิม ยิงมาเร็วๆโว้ย"
สไปร้ทปรับทางปืน ค 4.2 รวดเร็วทันใจ และหมวดอาวุธหนักของกองพัน 604 ก็แสดงสมรรถภาพในการตั้งระยะปืนใด้ทันอกทันใจไม่แพ้กัน ลูกสังหาร ค 4.2 สองลูกซ้อนๆ ไดร้ทขึ้นท้องฟ้าแล้วโค้งตกลงไปเบื้องหลังเนินดังกล่าวอีกครั้ง
"บึ้ม...บึ้ม"
"พอโว้ย หล่นลงกลางกลุ่มเลย เหลืออยู่ไม่ถึง 5 คน วิ่งขี้หดตดหายเข้าไปในป่าหมดเกลี้ยงแล้ว ประเดี๋ยวอั้วจะช่วยตรวจการณ์ผลยิงให้ลื้ออีกครั้ง"
เสียงของสไปร้ท เงียบหายไปชั่วขณะ หนึ่งนาทีต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงสไปร้ทโวยวายลั่นวิทยุ
"ของเก่าตายเท่าไหร่อั๊วไม่รู้ ซากศพมันเละเทะไปหมด ร่างกายขาดออกจากัน ไม่รู้ว่ากี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น สดๆร้อนๆ เมื่อกี้นี้ 6 คนพอดี เอ้าเฮ้ย ยังนอนกระดุกกระดิก โงหัวขึ้นมานั่งอีกสองคนแน่ะโว้ย สงเคราะห์มันอีกลูกเถอะวะ ทิศทางเดิม ระยะเดิม"
ผมยังไม่ทันจะตอบสไปร้ท ประสาทหูของผมก็ใด้ยินเสียงดัง"ตุ้ง" ดังแว่วๆมาจากเนินสกายไลน์วัน
วิเศษถีบหน้าอกผมกระเด็นลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในร่องสนามเพลาะ และพร้อมๆกันนั้นบริเวณใกล้ๆตัวผมก็โคลงเคลงเหมือนกับแผ่นดินไหว เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมา ทำเอาแก้วหูของผมแทบจะพิการไปในบัดดล
อา ข้าศึกบนเนิน "ชาร์ลี-ชาร์ลี" เปิดฉากระดมยิงอาวุธหนักถล่มฐานปฏิบัติการของผม เข้าให้แล้ว กระสุนปืน ค. ที่ผมยังไม่ทราบขนาดของมันฟลุ๊คลงบนตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดิบพอดี ถ้าผู้กองวิเศษไม่ถีบผมตกลงไปในหลุมเพลาะเสียก่อน ป่านนี้ ยอดจำหน่ายบัญชีของยมบาลก็จะมีรายชื่อของผมเข้าไปรวมอยู่เรียบร้อยแล้วต่อจากนั้น ข้าศึกเริ่มระดมยิงฐานของผมอย่างถี่ยิบ กระสุนของมันพลาดจากฐานของผมอย่างหวุดหวิด ไม่ตกหน้าร่องสนามเพลาะ ก็ข้ามฐานหล่นโครมไปในหุบเขา สลับกันอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งมันหยุดยิงไปเอง ปืน ค. 4.2 ของพวกเราไม่ใด้ยิงโต้ตอบขึ้นไปแม้แต่นัดเดียว ผมขยับจะถาม ผู้กองวิเศษก็ชิงอธิบายขึ้นมาเสียก่อน
"ยิงทำไม เปลืองกระสุนเปล่าๆ บังเกอร์ของพวกมันยังกับโบกด้วยปูนซีเมนต์ สู้เก็บกระสุนเอาใว้จวกทหารราบของมันดีกว่า..."
"บิ๊กแมนจากสไปร้ท โดนลูกยาวเข้าแล้วหรือยังใงพวก"
วิทยุ "HT-2" ซึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ส่งเสียงลั่น
ผมเอื้อมมือหยิบวิทยุขึ้นมา แล้วค่อยๆขยับขึ้นมานั่งพิงแนวกระสอบทรายแหงนหน้าดู "ไอ้ปากหมา" ซึ่งขณะนี้บินอยู่เหนือฐานของผมพอดี
"เออว่ะ เกือบจอด ถ้าไม่ใด้ผู้กองวิเศษถีบลงหลุม ป่านนี้อั๊ว "เซย์ ฮัลโหล" กับพระเยซูของลื้อแล้ว”
"อั๊วเสร็จงานแล้วโว้ย ล่อซะเกือบ 4 ชั่วโมง สบายองค์ไปแล้ว อ้อ เมียอั้วเค้าอยากจะมาเที่ยวนาซูอีกว่ะ ถ้าลื้อว่างอั๊วอยากให้ลื้อช่วยพาเมียอั้วเที่ยวซะหน่อย ...อั๊วไปละโว้ย"
หาเหามาใส่กะบาลผมอีกแล้วไหมล่ะ ดันเสือกให้ผมพาเมียของมันไปเที่ยวค้างคืนค้างแรมอีกจนใด้
ประเพณีฝรั่งนี่มันก็แปลกเหลือหลายนะครับ ช่างไม่ถือสากันบ้างเลย ถ้าเป็นธรรมเนียมของไทย ป่านนี้บิ๊กแมนอาจจะโดนเป่าดับไปแล้วก็ได้ใช่ไหมครับ?...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 18:33  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19285

คำตอบที่ 42
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 2
เครื่องบินตรวจการณ์ของสไปร้ท บินกลับไปสนามบินนาซูแล้ว ตามปกติเครื่องบินตรวจการณ์และเครื่องบินโจมตีทุกชนิดจะใช้สนามบินล่องแจ้งเป็นที่ขึ้นลงประจำ
เนื่องจากเนิน “สกายไลน์-ทู” บางส่วนโดนทหารเวียดนามเหนือจู่โจมเข้ายึด แล้วแอบลำเลียงอาวุธหนักขึ้นมาตั้งจังก้าถล่มสนามบินวอดวายเป็นแถบๆ
เครื่องบินทุกชนิดก็เลยได้รับการขนย้ายไปยังนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาน 25 นาทีบิน
ผมยกนาฬิกาข้นมาดู 10.30 พอดิบพอดี แทบไม่น่าเชื่อเลย ที่เวลามันผ่านไปรวดเร็วถึงขนาดนั้น สี่ชั่วโมงเต็มๆที่ได้บังเกิดเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาซ้อนๆกันถึงสองรายการ
ผมวิทยุเข้าถึง “เบาร์เดอ-คอนโทรล” รายงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ พร้อมกับขอชอร์ปเปอร์ มารับกลับล่องแจ้งในทันทีทันใด ที่รายงานสถานการณ์จบลง
ไม่ถึง 15 นาที ผมก็มองเห็นเจ้าฮิวอี้ บินลัดเลาะเนินสกายไลน์ ลิ่วเข้ามาหาผมด้วยลักษณะการบินที่สูงผิดปกติ
นักบินคงจะทราบจาก เบาว์เดอ-คอนโทรล แล้วว่า ฐานปฏิบัติการของผมเพิ่งจะโดน”ลูกยาว” ถล่มลงมาอย่างสดๆร้อนๆ ความปอดแหกทำให้นักบินเรียกหาผมลั่นวิทยุ
“บิ๊กแมน จาก โฮเต็ล-ฟอกท็อต ขณะนี้ ซิสซูเจชั่น ที่ชาร์ลี-เอ็คโค่ เป็นยังใงบ้างครับ มื่อกี้นี้ผมทราบว่า มี “อิน คัมมิ่ง” ผมไม่อยากจะพาเครื่องเสี่ยงลงไป บิ๊กแมน เดินมาขึ้นที่..ชาร์ลี..เอ็คโค่..วัน ได้ไหมครับ”
ด้วยความปอดแหกของนักบิน ทำให้ผมต้องเดินไกลขึ้นไปบนเส้นทางที่ค่อนข้างชันอีกหนึ่งกิโลเมตรเศษๆ และพื้นที่ดังกล่าวนั้นก็อับกระสุนพอที่ชอร์ปเปอร์จะบินลงมารับผมได้อย่างปลอดภัย
ไม่ถึงครี่งชั่วโมง ผมก็มานั่งรายงานสถานการณ์ที่เกิดข้นกับนอร์แมน เจ้านายของผมฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“คำคม” ซึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ๆออกความเห็นขึ้นมาอย่างน่าเลื่อมใส
“ตามคำรายงานของบิ๊กแมน ทำให้ผมประเมินสถานการณ์ใด้ว่า ขณะนี้บนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” จะต้องเป็นขุมกำลังของมันอย่างแน่นอน บังเกอร์ที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรง สามารถทนต่ออาวุธหนักได้เกือบทุกชนิด กว่ากองพันของผมจะบุกตะลุยขึ้นไปได้ ก็คงจะสูญเสียมิใช่น้อย ผมอยากจะขอ “บี-52” ถล่มมันซัก 2 เที่ยว ถล่มโดยมิต้องบอกให้ BC.604 รู้ตัว ผมเชื่อฝีมือนักบิน บี-52 และเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า ทหารที่ฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ จะไม่สูญเสียแม้แต่คนเดียว
“คุณพูดของคุณแบบนั้น ก็มีเหตุผลที่ควรจะถูกต้องอยู่บ้าง แต่ผมคิดอีกแบบหน่งครับ..ผู้พัน ตามธรรมดา ผบ.พันทุกคนย่อมเล็งเห็นประโยชน์ของกองพันตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด โดยไม่ยอมนึกถึงความปลอดภัยของกองพันอื่นๆ แผนของคุณเป็นแผนที่เห็นแก่ตัว ความปลอดภัยของฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ซึ่งอยู่ห่างจากฐานของข้าศึกไม่ถึง 2 กิโลเมตร จะมีอะไรเป็นหลักประกัน อำนาจระเบิดขนาด 750 ปอนด์ที่ทิ้งลงมาจาก บี-52 ถึงแม้มันจะไม่พลาดจากเป้าหมายก็ตาม แต่แรงระเบิดอันมหาศาลของมัน อาจจะถล่มบังเกอร์ของฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ราบเป็นหน้ากลองก็ใด้ ถ้าทหารรับจ้างของพวกคุณเกิดตายขึ้นมาเพราะแผน ดังนี้...ผมเห็นจะต้องถูกส่งกลับแน่ๆ ..ผมว่าเรามาหาทางออกที่ดีกว่านี้ดีกว่าครับผู้พัน”
นอร์แมน ซึ่งเคยโดน คำคม เชือดเฉือนมาแล้ว เปิดฉากสวดแผนการใช้ บี-52 ถล่มยอดเนินสกายไลน์-วันของคำคม ด้วยคำพูดที่แสบเข้าไปถึงกระดองใจ
คำคมหัวเราะอย่างอารมณ์เย็นชาพร้อมกับสวนคำพูดขึ้นมาอย่างยืดยาวด้วยสำนวนที่ผมซึ้งเข้าไปทุกขุมขน...
“ถูกต้อง นอร์แมน ผบ.พันทุกคนจะต้องเล็งเห็นความปลอดภัยและผลประโยชน์ของกองพันตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด...สงครามก็คือสงคราม คุณมอบหน้าที่ให้กองพันผม เข้าตีเนินสกายไลน์-วัน คุณก็เคยเป็นนายทหารผู้เจนศึกมาแล้ว..นอร์แมน คุณย่อมรู้ว่ายุทธวิธีของการเข้าตี มันจะต้องปูพรมหรือถล่มพื้นที่ดังกล่าวให้ราบเป็นหน้ากลองเสียก่อน แล้วจึงส่งทหารราบไปบดขยี้ในโอกาสต่อไป หน้าที่สนับสนุนการเข้าตีดังกล่าวเป็นหน้าที่ของคุณ ซึ่งเป็นกองบัญชาการส่วนหลัง แต่ผมขอถามคุณหน่อยเถอะครับว่า ขณะนี่คุณมีอาวุธหนักชนิดใดมาสนับสนุนกองพันของผมบ้าง โปรดอย่าตอบว่าคุณจะสนับสนุนผมด้วยปืนใหญ่ขนสด 155มม. ที่ตั้งอยู่บนฐาน โฮเต็ล-แทงโก้ โน่นเป็นอันขาด ไอ้ปืนใหญ่เส็งเคร็งเก่าคร่ำคร่า ลำกล้องปืนหลวมโคลงเคลงของเหลือใช้สงครามที่พวกคุณมอบให้กับพวกเรานั้น มันก็เศษเหล็กที่บังเอิญยิงใด้ดีๆนี่เอง หมดสมรรถภาพ ยิงแต่ละนัดตกห่างที่หมายเกือบครึ่งกิโล..คุณว่าแผนของผมเห็นแก่ตัว ผมยอมรับ นอร์แมนที่รัก ผมจะต่อรองกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย และถ้าครั้งนี้คุณไม่โอเค ผมก็จะบินกลับเมืองไทยทันที”
คำคมหยุดพูด เขาเอื้มมือไปหยิบแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นไปดื่ม
ผมแอบสังเกตดูสีหน้าของทุกคนในห้องประชุมก็ปรากฏว่าแทบทุกคนมีแวววิตกกังวลต่อความตรึงเครียดที่กำลังจะก่อตัวขึ้นจากคารมของยอดเสนาธิการทั้งสอง
“ผมจะพาทหาร BC 617 เคลื่อนที่เข้าไปที่หมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ห่างจาก ยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟ ไม่ถึง 1 กิโลเมตรจากนั้นผมก็จะพาทหารขึ้นตีฉาบฉวย 2 ครั้ง เพื่อประเมินกำลังและขีดความสามารถของอาวุธหนักข้าศึก ต่อจากนั้นผมก็จะถอนตัวกลับลงมาที่หมู่บ้าน 50 หลัง แล้วตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่นั่น ก่อนการเข้าตีจริง ผมขอ บี-52 ถล่มยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี และ ชาร์ลี-กอล์ฟ เป็นจำนวนสองเที่ยว สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากให้คุณเก็บไปนอนคิดเป็นการบ้านว่า ระหว่างฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ซึ่งอยู่ห่างจากเนินสกายไลน์-วันเกือบสองกิโลเมตรกับฐานของผมซึ่งอยู่ที่หมู่บ้าน 5 หลัง ใครจะเสี่ยงตายมากกว่ากัน”
คำคม ยอดเสนาธิการทิ้งไพ่ตายด้วยการวางแผนเอากองพันของตัวเองเดิมพันเสี่ยงอันตรายจาก บี-52 ร่วมกับ BC.604 ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้เข้าร่วมประชุม
“มันเสี่ยงอันตรายและกองพันของผู้พันอาจจะได้รับการสูญเสียหมดทั้งกองพันนะครับ...ผู้พัน”
นอร์แมนกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอ่อยๆแบบยอมจำนน
“สงครามนี่ครับ...ทุกคนต้องเสี่ยงกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณหรือผม ส่วนหน้าหรือส่วนหลังก็มีสิทธิ์ตายเท่าๆกัน และจากเหตุผลดังกล่าว ผมคิดว่าคุณคงไม่ปฏิเสธแผนของผมใช่ไหมครับ? ”
“โอเคผู้พัน นับว่าเป็นครั้งที่สองที่ผมยอมจำนนผู้พัน ยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ผมไม่มีทางปฏิเสธได้ หมายกำหนดการณ์ทิ้งระเบิดของ บี-52 ผมจะปรึกษากับ “ดาวขาว” (นายพลวังเปา) อีกครั้ง”
นอร์แมนตัดบทแล้วเดินออกจากห้องประชุมอย่างฉุนฉียว
ตามปกติแล้ว นายทหารไทยทุกคนที่ทำงานร่วมกับ ซีไอเอ มักจะเกรงใจนอร์แมนกันทั้งนั้น แผนการต่างๆไม่ว่าจะเป็นแผนปฏิบัติการยุทธ แผนการเคลื่อนย้าย ส่วนมากมักจะถูกนอร์แมนกำหนดขึ้นมาแต่ผู้เดียวเท่านั้น นายทหารไทยเหล่านั้นจึงเปรียบเสมือนช้างเท้าหลัง
เมื่อเกิดมีคนจริงข้นมา..นอร์แมนก็เลยบังเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวจนสังเกตได้ชัด
คำคมทิ้งคำพูด ที่ซึ้งเข้าไปในหัวใจของ “ล่าม” ทุกๆคนอีกครั้งก่อนที่จะจบการประชุมที่ยาวนาน
“พวกคุณอย่านึกว่าการเป็นลูกจ้างของฝรั่งแล้วจะต้องปฏิบัติตามแผนของมันเสมอไป นอร์แมนเป็นนายจ้างที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุด นอร์แมนเป็นนายจ้างที่มักเสือกไสให้ลูกน้องออกไปพบกับอันตราย โดยไม่ให้ลูกน้องมีโอกาสรู้ตัวอยู่เสมอ จงคัดค้านเมื่อพวกคุณเห็นว่าแผนปฏิบัติดังกล่าว ไม่ชอบด้วยเหตุผล ผมรู้ไต๋ของมันดีว่า มันต้องง้อพวกเราอยู่วันยังค่ำ ลองพวกคุณนัดกันลาออกซีครับ ไอ้นอร์แมนจะต้องเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว”
ผมคล้อยตามคำพูดของคำคมตั้งแต่ได้ฟังท่านพูดในวันแรกที่ร่วมประชุมกันแล้ว สำนวนการพูดที่เชือดเฉือน มีทั้งด่า ทั้งยกยอ และตลบหลังด้วยการสรุป จนกระทั่งนอร์แมนต้องตกอยู่ในภาวะที่ยอมจำนนอยู่ในที
แต่เมื่อมาคิดดูอีกที คิดในแง่ของมุมกลับ ผมคิดว่านอร์แมนไม่ผิดหรอกครับ พวกผมต่างหากที่เสือกไปหลงใหลในกลิ่นอันหอมหวนของดอลล่าร์ของมันที่ประเคนให้อย่างท่วมท้น
ทั้งๆที่รู้ว่าแผนการดังกล่าวไม่มีทางจะเป็นไปได้ แผนดังกล่าวมีโอกาสตายเกือบครึ่งต่อครึ่งและโอกาสที่จะปฏิเสธก็มีตลอดเวลา
แต่พวกผมก็ปฏิเสธไม่ใด้ซักทีสิน่า ก็เพราะเงิน เงินตัวเดียวเท่านั้น แล้วผมจะไปด่านอร์แมนได้อย่างไรกัน ใช่ไหมครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 19:17  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19286

คำตอบที่ 43
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 3
แผนการบุกเข้าตียอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เริ่มขึ้นแล้ว คำคมเคลื่อนย้ายกองพัน 617 จากฐานปฏิบัติการชั่วคราว ณ โรงเรียนผบ.ร้อยทหารแม้วซึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวสนามบินในทันทีทันใดที่นอร์แมนยอมรับแผนการของเขา อาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชิ้น ทหารรับจ้างต้องแบกไปด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ปรส. 57 ค.60 ค.81 และลูกกระสุนที่หนักอ้ง จะไม่มีการสนับสนุนด้วยชอปเปอร์เด็ดขาด แม้กระทั่งเสบียงอาหารซึ่งตามปกติในรอบ 3 วัน ชอร์ปเปอร์จะต้องบินไปส่งอาหารสดให้แก่กองพันเป็นประจำ เพื่ออำนวยความสะดวกและตัดปัญหายุ่งยาก คำคมสั่งตัดรายการอาหารสดออกแล้วจ่ายเรชั่น และอาหารแห้งแทนในอัตรา 5 วัน
“กองพันของผมจะเคลื่อนย้ายเข้าหาข้าศึกโดยเงียบเชียบที่สุด จะไม่มีการโวยวายทางวิทยุ จะไม่มีขบวนชอร์ปเปอร์บินสนับสนุนอย่างอึกทึกครึกโครมเหมือนอย่างที่แล้วๆมาอย่างเด็ดขาด นั่นมันไม่ใช่การเข้าตีที่ถูกต้อง นั่นมันเป็นการทัศนาจรต่างหาก ยิ่งเงียบเท่าไหร่ กองพันของผมก็จะปลอดจากหน่วยลาดตระเวนและหน่วยซุ่มโจมตีของมันมากเท่านั้น”
มันเป็นการเคลื่อนย้ายกองพันเข้าตีที่แปลกประหลาดและแหวกแนวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในสมรภูมิลาว ทหารรับจ้างทุกคนหอบหิ้วสัมภาระอีรุงตุงนัง แม้กระทั่งคำคมเองก็ยังต้องแบกสัมภาระและของใช้ส่วนตัว ด้วยตัวของท่านเองทั้งสิ้น แม้ในขนาดเดินทาง คำคมก็มักจะพาตัวเองเข้าไปสอบถามและพูดคุยกับทหารรับจ้างอย่างใกล้ชิด ถ้อยคำพูดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาฟังแล้วรื่นหูอิ่มเอิบใจยิ่งกว่า ผบ.พันใดๆที่ผ่านมา
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่คำคมปฏิบัติหน้าที่ในกองพัน 617 คำคมก็สามารถเอาชนะจิตใจที่เหี้ยมโหดและหยาบกระด้างของทหารรับจ้างเดนคนเหล่านั้นได้อย่างราบคาบ วิทยุถูกงดใช้โดยเด็ดขาด พลนำสารคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในกรณีดังกล่าว บางครั้งคำคมก็มักจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาส่งข่าวด้วยตัวเขาเอง และนี่คือจิตวิทยาอย่างง่ายๆ ในการครองจิตใจลูกน้องในภาวะสงคราม การเคลื่อนที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทหารรับจ้างทุกคนใช้กิ่งไม้สดพรางตัวเองและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างแนบเนียน โลหะสะท้อนแสงถูกทาด้วยสีดำ แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นโลหะบนเสื้อผ้าของทหารรับจ้างก็ถูกปลดออกจนหมดสิ้น
“เดินช้า ระมัดระวังอย่าให้เกิดเสียงในขณะเดินทางเป็นอันขาด สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะทำให้การเคลื่อนที่ของพวกเรารอดพ้นจากการตรวจการณ์ของพวกมันอย่างสบาย ทนเอาหน่อย ไอ้น้องไม่ถึง 3 วัน เราก็เหยียบจมูกพวกมันแล้ว”
คำคมมักจะพูดปลอบใจลูกน้องอยู่เสมอๆ
การเคลื่อนที่ดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า บางครั้งแถวทหารที่ยาวเหยียดก็ต้องหยุดโดยกะทันหันเมื่อหน่วยลาดตระเวนส่งสัญญาณเป็นเสียงนกดังกังวานออกมาจากป่าทึบเบื้องหน้า อันเป็นอาณัติสัญญาณว่า ได้ตรวจพบสิ่งผิดปกติในพื้นที่ดังกล่าวเข้าให้แล้ว
ทหารรับจ้างทุกคนล้มตัวลงหมอบนิ่ง สงบเงียบ รอการตรวจค้นจากหน่วยลาดตระเวนจนกระทั่งใด้ยินสัญญาณปลอดภัยดังขึ้นอีกครั้ง จึงเริ่มปรับขบวนเคลื่อนที่ต่อไปด้วยความระมัดระวัง
เงียบ เงียบ จนแทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกันในระหว่างเดินทาง มันเป็นการเข้าตีที่มีวินัยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในสมรภูมิที่ห่าเหวนี้
“ไม่ถึง 3 วัน เราก็จะเหยียบจมูกของพวกมันแล้ว”
ครับ คำพูดอันเป็นคำมั่นสัญญาที่คำคมมักจะพูดให้ลูกน้องของเขาฟังอยู่เสมอๆ และผมก็เชื่อซะด้วยว่า มันจะต้องเป็นความจริงขึ้นมาอย่างแน่นอน อีกไม่นานเกินรอเราคงจะได้เห็นกัน
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดิบพอดี ผมกับคำคมเดินเรียงเดี่ยวตามแถวทหารซ่งเคลื่อนที่อย่างช้าๆตามเส้นทางเดินแคบๆ ที่พวกชาวแม้วเคยใช้เป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับเมืองล่องแจ้งเป็นประจำ มันเป็นเส้นทางที่เคยใช้ ขนฝิ่นจากหมู่บ้าน “เถิดเทิง”เข้าสู่ล่องแจ้งโดยเฉพาะ
เมืองเถิดเทิง เป็นเมืองขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองล่องแจ้ง จากลักษณะของตัวเมืองที่ผมเห็นมาแล้ว มันควรจะเรียกว่า บ้านเถิดเทิง เสียมากกว่า เพราะทั่วทั้งเมืองมีประชาชนเพียง 500 คนเท่านั้น มีบ้านสัปปะรังเคไม่ถึง 100 หลัง ทั่วทั้งหมู่บ้านอาชีพหลักก็คือปลูกฝิ่นขาย การติดต่อกับโลกภายนอกก็คือทางเท้าที่ทุรกันดาร และทางอากาศก็มีวิธีเดียวคือใช้ชอร์ปเปอร์ลอยตัวอยู่บนอากาศแล้วใช้บันไดเชือกไต่ลงมาเท่านั้น พื้นที่ของเมืองเถิดเทิง ไม่มีที่ราบ ที่ตั้งของบ้านเถิดเทิงอยู่บนสันเขา ที่เอียงเกือบ 70 องศา
ไร่ฝิ่นถูกปลูกลดหลั่นอยู่บนสันเขาเหล่านั้นมองดูสุดลูกหูลูกตา ภัยพิบัติจากสงคราม ทำให้ประชาชนจากบ้านเถิดเทิงอพยพเข้าเมืองล่องแจ้งจนหมดสิ้น และเมื่อล่องแจ้งถูกโจมตีจากอาวุธหนักของข้าศึก ประชาชนเหล่านี้ ก็อพยพต่อไปยังเมืองนาซู พร้อมๆกับทหารกองพัน 616 ซึ่งเพิ่งจะแตกลงมาจากสกายไลน์-วัน
ทหารเวียดนามเหนือ ที่ “เกาะ” ชาวแม้วมาจากบ้าน “เถิดเทิง” เข้ามาผสมอยู่ในขบวนอพยพอย่างแนบเนียน จนทำให้เกิดการฆ่ากันอย่างวินาศสันตะโรมาแล้ว ณ เส้นทางที่สูงชัน ก่อนจะถึงแม่น้ำงึม (พฤติกรรมตอนละเลงเลือดที่แม่น้ำงึม) และเหตุการณ์ละเลงเลือดดังกล่าว ก็มีตัวผมเองร่วมอยู่ด้วยตลอดเวลา
นึกถึงวีรกรรมที่ชาวแม้วอพยพได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเกิดศึกประจัญบานแล้ว ทำให้ผมอยากจะเข้าไปคารวะถิ่นฐานบ้านเกิดของชาวแม้วผู้กล้าหาญเหล่านี้ขึ้นมาทันที
บ้นเถิดเทิง ตั้งอยู่ระหว่างล่องแจ้งกับเนินสกายไลน์วัน จากข่าวกรองที่เชื่อถือใด้ ขณะนี้บ้านเถิดเทิง กลายเป็นปราการด่านหน้าของทหารเวียดนามเหนือไปเสียแล้ว
และเส้นทางที่จะผ่านขึ้นเนิน สกายไลน์-วัน ก็จำเพาะเจาะจงจะต้องเดินผ่านบ้านเถิดเทิงซะด้วย
อะไรมันจะเกิดขึ้น เห็นทีต้องให้ยมบาลช่วยตอบละกระมังครับ
ถัดจากไร่ฝิ่น ขึ้นไปเป็นยอดเขาที่มีลักษณะแปลกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ยอดเขาดังกล่าวแหลมเปี้ยบเหมือนกับส่วนบนสุดของฝาชี และพื้นที่ยอดเขาดังกล่าว ก็มีเพียง 10 ตารางเมตรเท่านั้น
มันเป็นยอดเขามรณะ ที่ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
16.30 น. คำคมก็สั่งให้ทหารหยุดพักผ่อนประจำชั่วโมง ณ บริเวณป่าทึบ ข้างเส้นทางขนฝิ่นนั่นเอง
ทหารรับจ้างกระจายกำลังออกจากเส้นทางเดินอย่างเงียบเชียบ แล้วแฝงกายเข้าไปอยู่ในป่าทึบสงบนิ่ง ระแวดระวังต่อสิ่งผิดปกติรอบๆข้างด้วยอาการระมัดระวังอย่างเต็มที่
ชุดลาดตระเวนเริ่มเคลื่อนที่ออกเคลียร์เส้นทางเบื้องหน้า
ไม่ถึง 15 นาที ชุดลาดตระเวนสองคนก็กระหืดกระหอบเข้ามารายงานคำคมด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ผู้พันครับ เจอะผ้าพันแข้งของทหารเวียดนามเหนือ อยู่ที่หุบร่องน้ำ ห่างจากเส้นทางนี้ขึ้นไปประมาณ 400 เมตร หมู่สมพรกำลังตรวจขึ้นไปตามบริเวณต้นน้ำแล้วครับ”
คำคมหยิบแผนที่ยุทธการออกมาวางทาบลงไปบนพื้นดิน อ่านพิกัดอยู่ชั่วครู่ก็พึมพำออกมาเหมือนจะพูดกับตัวเอง
“หุบร่องน้ำอยู่ห่างจากบ้านเถิดเทิงเกือบ 3 กิโลเมตร ไอ้เรื่องที่ผ้าพันแข้งของมันจะลอยตามน้ำมาไกลถึงขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ ไอ้น้องสั่งทหารทุกคนพักแรมอยู่ที่ ไม่ต้องขุดหลุมเพาะ ห้ามตัดต้นไม้ทำเต้นท์สนามโดยเด็ดขาด ให้ทุกคนช่วยตัวเอง วางแนวอย่างระมัดระวังอย่าให้เกิดเสียงดัง ไฟฟืนห้ามเด็ดขาด บุหรี่ให้คลุมโปงสูบในผ้าห่ม ระวังหน่อยไอ้น้อง เงียบเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเท่านั้น”
สามสี่ประโยคสุดท้าย คำคมหันไปกำชับ “บุญนาม แม้นเดช” พนักงานรักษาประจำกองพันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรอบคอบ แล้วหันมาเอ่ยชวนผมอีกครั้ง “บิ๊กแมน ไปดูหุบร่องน้ำกับผมหน่อยครับ”
ผม คำคม และทหารคุ้มกันอีก 5 คน เดินเรียงเดี่ยวตามชุดลาดตระเวนไปอย่างรีบเร่ง เส้นทางเดินถูกเคลียร์มาก่อนแล้วจากชุดลาดตระเวณ ทำให้พวกผมเคลื่อนที่ด้วยความสบายอกสบายใจยิ่งกว่าทุกครั้งตลอดระยะทาง หัวหน้าชุดลาดตระเวนได้ทิ้งทหารเอาไว้เป็นจุดๆ จุดละ 2 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังป้องกันการลอบเข้าตลบหลังของข้าศึก ซึ่งอาจจะบังเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ในภาวะการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ อาณัติสัญญาณ เสียงนกร้องขานรับกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ถึง 10 นาที พวกผมก็เคลื่อนที่มาถึงหุบร่องน้ำ ซึ่งปรากฏว่าอยู่ลึกจากเส้นทางขนฝิ่นเข้าไปทางขวามือเกือบ 40 เมตร
หุบค่อนข้างตื้น น้ำใสแจ๋วจนกระทั่งมองเห็นพื้นทรายอย่างถนัดชัดเจนทหารรับจ้าง 8 คน ยืนกระจัดกระจายคุ้มกันพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้อย่างระแวดระวัง
คำคมปราดเข้าไปนั่งคลุกเข่าอยู่ที่ริมหุบร่องน้ำ หัวหน้าชุดลาดตระเวนที่เพิ่งกลับจากการสำรวจต้นน้ำ เดินตรงเข้ามาสมทบ เขายื่นสิ่งหนึ่งที่ถืออยู่ในมือให้คำคม แล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“ผมเจอะเศษขนมโก๋หล่นเรี่ยราดห่างจากจุดนี่ขึ้นไปประมาน 100 เมตร จากรอยเท้า ผมคิดว่าพวกมันมีประมาณ 5 คน และที่บริเวณหุบร่องน้ำ มีรอยย่ำเท้าเฉอะแฉะไปหมด ผมคิดว่าพวกมันคงจะอาบน้ำหรือไม่ก็ข้ามไปฝั่งโน้น นี่ครับ ขนมโก๋”
คำคมเอื้อมมือรับเศษขนมโก๋ที่ถูกบิทิ้งเอาใว้เกือบครึ่งอันขึ้นมาตรวจดุอย่างพิจารณา แล้วใช้ปากกระบอกปืน M-16 เกี่ยวเศษผ้าพันแข้งสีเขียวอ่อนขึ้นมาวางบนพื้นด้วยความระมัดระวัง
“ชัด...ไอ้น้อง...ของใหม่ๆทั้งนั้น ชุดลาดตระเวนของมันแน่ๆ อั้วคิดว่า ขณะนี้พวกมันคงจะข้ามไปฝั่งโน้นมากกว่า และถ้าอั้วเดาไม่ผิด ป่านนี้พวกมันคงจะยังไม่ข้ามกลับมาแน่ๆ สมพรอั้วมอบหน้าที่ให้ลื้อประกบไอ้แกวชุดนี้ อยู่ในบริเวณที่เจอะขนมโก๋โน่น ... ถ้าเหตุการณ์อำนวย ลื้อจะเกาะพวกมันเข้าไปในบ้านเถิดเทิงก็ได้ พรุ่งนี้พบกันที่พิกัด 788 936 อย่าลืมลื้อขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปฏิบัติ ไอ้น้อง”
ผมกับคำคม และทหารคุ้มกันเดินทางกลับที่พักแรม
“สิบเอกสมพร อ่ำดิน” ลูกน้องคู่ใจของคำคม แบ่งชุดลาดตระเวนกลับ พร้อมๆกับพวกผม 6 คน ส่วนตัวเขาเองกับลูกน้องอีก 2 คนเคลื่อนที่หายลับเข้าไปยังเส้นทางที่รกรุงรังเบื้องหน้าด้วยลักษณะท่าทางที่ปราศจากอาการกริ่งเกรงใดๆทั้งสิ้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 19:23  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19287

คำตอบที่ 44
       ตอนที่4 วันชโลมเลือด
คำคมกล่าวขวัญถึงกิตติศัพท์ของหมู่”สมพร อ่ำนาดิน” ให้ผมฟังด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“ลูกน้องคนนี้ของผมไว้ใจได้ มันผ่านหลักสูตรลาดตระเวนระยะไกลมาแล้ว พอมันรู้ว่าผมจะบินมาล่องแจ้ง มันมานอนเฝ้าหัวบันไดของผมทั้งคืน ตื๊อผมจนกระทั่งผมใจอ่อนต้องพามันมาด้วย นิสัยเสียอย่างเดียว ชอบฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผล นักเลงดังๆ โดนมันลากไปเชือดคอทิ้งหลายต่อหลายคนแล้ว ส่วนดีของมันก็คือ กล้า บ้าบิ่นเหมือนกับไม่ใช่คน”
ดวงอาทิตย์หายลับไปตั้งนานแล้ว ความมืดจู่โจมเข้ามาเหมือนติดปีกบิน ความเงียบสงัดและความวังเวงครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้จนหมดสิ้น ผมกับคำคมนั่งคุยกันเบาๆอยู่ ณ บริเวณโคนต้นมะยมป่า ที่สูงทมึนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพืชล้มลุกที่หนาทึบนั้น
คำคมขอตัวไปทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนผมนั่งทำความสะอาดปืนอยู่ ณ ที่เดิม ชั่วอึดใจผมก็ได้ยินคำคมสวดมน ด้วยคาถาบท “ชินบัญชร” อันศักสิทธิ์ของสมเด็จวัดระฆัง ด้วยความคล่องแคล่ว โดยไม่มีติดขัดแม้แต่นิดเดียวผมเอนกายลงหนุนเป้สนาม ความคิดที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ ความเป็นห่วงชุดลาดตระเวนอย่างจับจิตจับใจ
หมู่สมพร อ่ำนาดิน เป็นนักรบอาชีพที่ไม่ใด้รับเงิน โอเวอร์-ไทม์ จาก ซีไอเอ เหมือนหยั่งผม เงินเดือน-เดือนหนึ่งๆของเขาก็ได้จากต้นสังกัดประมาน 1,500 บาท บวกกับเงิน บก.333 อีก 1,800 บาท รวมเบี้ยเลี้ยงและโบนัส เมื่อครบภารกิจเงินกำไรค่าข้าว ปีหนึ่งๆเขามีรายได้เพียง สามหมื่นกว่าบาทเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับเงินเดือนของผมแล้ว มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ผมทำงานเพียงสามเดือน ก็เท่ากับหมู่สมพรทำงานทั้งปี แต่เมื่อมาเทียบกันถึง”งาน”ที่หมู่สมพรกำลังปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ผมอดที่จะบังเกิดความละอายแก่ใจไม่ได้
หมู่สมพร กระทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับกองพัน 617 อย่างแท้จริง แผนการของคำคมที่สั่งให้ หมู่สมพร คอยประกบชุดลาดตระเวณ ของทหารเวียดนามเหนือเสมือนหนึ่งเป็นแผนการที่ยิงกระสุนนัดเดียว แล้วได้นกถึงสองตัว
ชุดลาดตระเวนของเวียดนามเหนือที่จะออกจากบ้านเถิดเทิงจะต้องโดนเกาะตัวแจทุกขณะ กองพัน 617 จะต้องมีโอกาสล่วงรู้การเคลื่อนไหวล่วงหน้าของข้าศึกอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น หมู่สมพรก็ยังทำหน้าที่สังเกตความเคลื่อนไหวภายในบ้านเถิดเทิงได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกด้วย ด้วยการวางแผนอย่างรัดกุมและแยบยลจากเสนาธิการ มันสมอง”คอมพิวเตอร์” ทำให้กองพัน 617 “ปลอด”จากการรบกวนของข้าศึกตลอดทั้งคืน
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กองพัน 617 ก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
ร่องรอยต่างๆที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวถูกตบแต่งให้อยู่ในสภาพเดิม แม้กระทั่งกิ่งไม้ที่หักอย่างสดๆร้อนๆก็ต้องตบแต่งดัดแปลงด้วยการใช้โคลนทาปกปิดรอยฉีกขาดเอาไว้อย่างแนบเนียน
เศษกระดาษห่อ เรชั่น และเศษอาหารถูกฝังอย่างมิดชิด แล้วพรางด้วยกิ่งไม้จนสังเกตแทบจะไม่เห็นความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น
06.30 น. BC 617 ก็เริ่มเคลื่อนที่ออกจากจุดพักแรม ที่หมายคือ พิกัด 728936 อันเป็นจุดนัดพบก่อนที่จะเข้าตีบ้านเถิดเทิงในโอกาสต่อไป
เมื่อส่วนหน้าสุดของกองพันผม เคลื่อนที่มาถึงจุดที่หมู่สมพรเจอะเศษขนมโก๋ ก็ได้พบกับร่องรอยที่หมู่สมพรทำอาณัติสัญญาณทิ้งเอาไว้ด้วยการหักกิ่งไม้วางเอาไว้บนก้อนหินข้างๆทาง
ปลายกิ่งไม้ ที่ถูกหักชี้ทิศทางไปทางทิศตะวันออก อันเป็นทิศทางที่ต้องข้ามหุบร่องน้ำขึ้นไป
ชุดลาดตระเวนส่งสัญญาณให้กองพันของผมหยุดการเคลื่อนที่ คำคมซึ่งสับเปลี่ยนข้นไปอยู่กองร้อย 3 ซึ่งเป็นกองร้อยหัวหอก รีบขึ้นไปสมทบอย่างรวดเร็ว
“ขณะนี้ชุดลาดตระเวณของเวียตนามเหนือ ข้ามหุบนี้ขึ้นไปทางขวามือ สมพรทำเครื่องหมายเอาไว้ให้ ผมคิดว่า พวกมันจะต้องอยู่ห่างจากจุดนี้พอสมควร เพราะถาขืนอยู่ใกล้กับบริเวณนี้ ชุดลาดตระเวนของเราจะต้องเจอะกับสมพรก่อนแล้ว จากอาณัตสัญญาณของสมพรแสดงให้เห็นว่า สมพรต้องการให้พวกเราเบนออกจากเส้นทางดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงทหารเวียดนามเหนือ ไอ้น้อง..สั่งให้ทหารทั้งหมดเคลื่อนที่เข้าไปในป่าทึบ ล็อคเข็มทิศที่พิกัด 788936 เดี๋ยวนี้”
ชุดลาดตระเวนทั้งหมดถอนตัวกลับ ต่อจากนั้นกองพันของผมก็เลี้ยวซ้ายลงจากเส้นทางแคบๆ มุ่งหน้าเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ข้างๆนั่นเอง มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากแทบเลือดตาแทบกระเด็น ความหนาทึบของป่าเสือหมอบ ทำให้ทหารรับจ้างถึงกับต้องหมอบลงไปกับพื้นดิน แล้วค่อยๆคืบคลานผ่านช่องแคบๆ ไปอย่างลำบากยากเย็น
อาวุธหนัก และอุปกรณ์ทุกชนิด ถูกห่อด้วยเสื้อกันฝน เพื่อลดการเสียดสีอันจะทำให้เกิดเสียงดังในขณะเคลื่อนย้าย ภาระที่หนักอึ้งที่สุดก็คือ การขนอาวุธหนักผ่านป่าเสือหมอบที่มีทางเดินเพียงช่องทางแคบๆ ด้วยเชือกและผ้ากันฝน ทำให้พวกเราสามารถลากเจ้าปืน ค.เหล่านั้นผ่านป่าทึบได้อย่างทุลักทุเล เส้นทางต่ำลงไปทุกที ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า ขณะนี้กองพันของเรา กำลังจะเคลื่อนที่ลงไปในหุบอยู่ทุกขณะ สภาพของพื้นดินที่แข็งกระด้างเปลี่ยนเป็นเฉอะแฉะ และเมื่อเคลื่อนที่ลงไปจนถึงก้นหุบ พื้นที่เฉอะแฉะเหล่านั้นก็กลายเป็นโคลนตมที่ลึกเกือบถึงหัวเข่า มันเป็นการเดินทางที่ทุลักทุเลที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คำคมล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นโคลนเปื้อนหน้าตามอมแมม ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของทหารรับจ้างที่เดินอยู่ใกล้ๆ
หลังจากย่ำโคลนอยู่ประมาน 2 ชั่วโมง เส้นทางเดินก็เริ่มชันขึ้นอย่างกระทันหัน ภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบเปลี่ยนสภาพเป็นป่าโปร่งขึ้นมาในฉับพลัน ต้นไม้ขนาดคนโอบ ขึ้นเรียงรายเป็นระยะๆ ทหารรับจ้างใช้เชือกมนิลาผูกกับโคนต้นไม้ แล้วอาศัยเชือกเหล่านั้นพาตัวเอง เคลื่อนที่ขึ้นไปจากหุบได้อย่างง่ายดาย
3 ชั่วโมงต่อมา ทหารกองพัน 617 ทั้งสามกองร้อยก็เคลื่อนที่ขึ้นมาอยู่บนยอดเนินที่สูงจากพื้นดินไม่น้อยกว่า 3,000ฟิต พื้นที่บนยอดเนินเป็นป่าค่อนข้างทึบ มะขามป้อมและมะม่วงป่าลูกดกสะพรั่งขึ้นอยู่ทั่วๆไป ทหารรับจ้างนอนแผ่หลา กับพื้น ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ส่วนผมไม่ต้องพุดถึงหรอกครับ พอหลุดจากหุบขึ้นมาผมก็โซซัดโซเซ เข้าไปนั่งหอบแฮ่กๆพิงโคนต้นมะม่วง แหงนหน้าดูลูกมะม่วงด้วยความหิวโหย หมดแรงแม้กระทั่งจะยืนขึ้นไปปลิดลูกที่ห้อยเป็นพวงระย้าอยู่นั่น ต่อให้ “แรงเยอร์” หรือ “รีค่อน” ที่ผ่านคอร์สการเดินป่าขนาดใหนมาก็เถอะน่า มาเจอะไอ้หุบฉิบหายบรรลัยจักรนี่เข้า ผมก็เห็นนั่งหอบลิ้นห้อยเหมือนกันทั้งนั้น
“คำคม” เดินตุปัดตุเป๋มานั่งพิงอยู่ข้างๆผม ในมือข้างหนึ่งถือมะม่วงป่าพวงเบ้อเร่อ คำคมปลิดมะม่วงส่งมาให้ผม 2-3 ลูก ผมรับมากัดกินอย่างกระหาย รสชาติอันเปรี้ยวจี้ดของมัน ทำให้หูตาของผมสว่างไสวขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
อากาศอันเย็นยะเยือกบนยอดเขา ทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันนั้น ชุดลาดตระเวนที่ออกไปเคลียร์พื้นที่อีกด้านหนึ่งของยอดเขาก็ปรากฏตัวออกมาจากแมกไม้เบื้องหน้า คนที่เดินนำหน้าสอบถามทหารรับจ้างที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ ชั่วครู่ก็เดินตรงเข้ามายังบริเวณที่ผมและคำคมนั่งพักเหนื่อยอยู่ด้วยอาการเร่งรีบ
“เรียบร้อย...ไอ้น้อง”
คำคมเอ่ยถามขึ้นมา พร้อมกับส่งมะม่วงป่าที่เหลืออยู่ให้กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนั้น
“ครับ ผู้พัน ผมเคลียร์พื้นที่และสั่งทหารเข้าประจำแนวบนเนินด้านโน้นเรียบร้อยแล้ว บ้านเถิดเทิงและเนินสกายไลน์-วันอยู่เบื้องหน้ายอดเนินนี่เอง”
คำรายงานของหัวหน้าชุดลาดตระเวณ ทำให้ผมกับคำคมเดินตัวปลิวไปยังพื้นที่ดังกล่าวนั้นใน 10 นาทีต่อมา
ในบริเวณริมสุดของยอดเนิน ซึ่งชันดิ่งลงไปเบื้องล่าง ทหารรับจ้างตั้งแนวยิงเรียงรายเป็นระยะ อาวุธประจำกายทุกชนิดกระชับมั่นอยู่ในมือ สายตาและกล้องสนามแรงสูงถูกส่องตรวจการณ์ลงไปยังสันเนินของภูเขาที่ขวางอยู่ข้างหน้าอย่างพินิจพิจารณา
ผมกับคำคมคลานเข้าไปหมอบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับเส้นทางที่ชันหักเป็นมุมดิ่งลงป้างล่างพอดี
เนินเขาขนาดใหญ่ตั้งทมึนอยู่เบื้องหน้า และห่างออกไปเล็กน้อย ยออดส่วนที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์โผล่แทรกซ้อนขึ้นมาทางเบื้องหลังมองเห็นยอดรำไร
ความใหญ่โตมโหฬารของภูเขาดังกล่าวปิดบังสันเนิน “สกายไลน์-วัน” เอาใว้อย่างสิ้นเชิง จะมองเห็นก็เพียงยอดเขาซึ่งสูงกว่ากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง...
บ้านเถิดเทิง ซ่อนตัวเองอยู่บนสันเนินที่ชันเกือบ 70 องศา หมู่บ้านมุงแฝกรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของสันเนินพอดิบพอดี
ลักษณะของภูเขาดังกล่าวเหมือนกับ ปีรามิด ที่มียอดแหลมเปี้ยบเหมือนกับฝาชี สำหรับด้านข้างซึ่งชันอย่างน่ากลัวนั้นปลูกฝิ่นเอาไว้เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันมองดูเขียวสะพรั่งสุดสายตา
จากกล้องสนามแรงสูง ทำให้ผมทราบว่าบนยอดเขาที่มีลักษณะแปลกประหลาดนั้นเป็นภูเขาหัวโล้น ปราศจากต้นไม้และสิ่งก่อสร้างใดๆทั้งสิ้น
คำคมปรับโฟกัสตรวจการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน อยู่พักหนึ่งก็หันมาพูดกับผมเบาๆ
“ในหมู่บ้านมันมีคนอยู่แน่ๆ ผมตรวจการณ์เห็นควันไฟลอดออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง คราวแรกนึกว่าหมอก แต่เมื่อสังเกตอยู่พักหนึ่งจึงรู้ว่าเป็นควันไฟจากการหุงต้มของมัน ไอ้พวกแม้วนี่มันก็พิกลเหมือนกันนะ บิ๊กแมน ที่ราบมีพะเรอเกวียนมันก็ไม่ยอมไปตั้งหลักแหล่ง มาหากิน มันเสือกมาตั้งรกรากอยู่บนไหล่เขา ที่เอียงกะเท่เล่ อยู่แบบนี้ ทำไมกัน ชอร์ปเปอร์ก็ลงจอดไม่ได้ จะเข้าไปเมืองล่องแจ้งทั้งทีก็เดินกันอาน”
ผมไม่ตอบคำคม ปรับโฟกัสไปยังบริเวณไร่ฝุ่นที่อยู่ติดกับบ้านหลังหนึ่งด้วยความสงสัย คำคมคงเห็นความผิดสังเกตุจากผม ก็เลยส่องกล้องสนามแรงสูงไปยังทิศทางที่ผมกำลังตรวจการณ์อยู่ทันที
ภาพของทหารเวียดนาม 8 คนสะพายอาวุธปรากฏขี้นมาในโฟกัสอย่างถนัดชัดเจน พวกมันเดินทะลุออกจากไร่ฝิ่น แล้วหายลับเข้าไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
“ชุดลาดตระเวนของพวกมันแน่ๆ ผมชักจะเป็นห่วงหมู่สมพรเสียแล้ว...ผู้พัน”



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 21:12  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19298

คำตอบที่ 45
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 5
ผมหันออกไปออกความเห็นกับคำคมพร้อมกับแสดงอาการเป็นห่วงหมู่สมพรขึ้นมาอย่างจับใจ
“ครับ ชุดลาดตระเวนของพวกมันเพิ่งจะกลับจากหุบร่องน้ำ นี่ก็เพิ่งสามโมงเย็น ผมคิดว่าไม่ถึงหนึ่งทุ่มสมพรมันจะต้องขึ้นมาพบกับพวกเราบนยอดเขานี้แน่ๆ ไม่เชื่อคุณคอยดูก็แล้วกัน ผมเชื่อมือมัน ไอ้หมอนี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง”
“แล้วแผนการบุกเข้ายึดบ้านเถิดเทิงจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ครับ...ผู้พัน” ผมย้อนถามไปอย่างร้อนใจ
“ใจเย็น...น้องชาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อสมพรมาถึง สมพรมันจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ของบ้านเถิดเทิงมาให้กองพันของเราทราบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าไม่มีสมพร ภูมิประเทศแถบนี้ขืนบุกเข้าไป เราก็พังเท่านั้น”
เมื่อผมมองดูภูมิประเทศที่จะลงไปยังบ้านเถิดเทิงแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของคำคมมีส่วนถูกต้องทีเดียว ถ้าบ้านเถิดเทิงมีทหารราบ หรืออาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่ แล้วคอยยิงจรวดลงมา ในขณะที่กองพันของผมเคลื่อนที่ลงจากสันเนิน ทหารของผมก็จะสูญเสียอย่างย่อยยับไปเท่านั้น
หลังจากตรวจการณ์ภูมิประเทศจนพอสมควรแล้ว คำคมก็สั่งทหารทุกคนพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายในทันทีทันใดที่หมู่สมพรเดินมาถึง
17.00 น.อากาศที่สว่างเริ่มมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆก้อนใหญ่ลอยต่ำลงทุกที ลมเริ่มพัดแรงจัดขึ้นทุกขณะ มันเป็นสัญลักษณ์ของฝนที่กำลังจะตกลงมาในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ทหารรับจ้างสาละวน รื้อกันฝนออกมาคลุมร่างกายเป็นโกลาหล ในไม่ช้าฝนก็เทลงมาหยั่งกับฟ้ารั่ว ลูกเห็บเม็ดขนาดใหญ่เท่าผลมะนาวตกลงมาขาวเกลื่อนกราดไปทั่วยอดเนิน ลูกเห็บตกลงมาทับถมจนมองดูขาวโพลนเหมือนกับปุยหิมะ ชั่วครู่มันก็ละลายไปกับน้ำฝนที่ไหลผ่านลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง
ลูกเห็บหยุดแล้ว ..แต่ฝนยังกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาต่อไปอีกเกือบชั่วโมงเต็มๆ
18.30 น. ฝนเริ่มซาและหยุดเป็นปลิดทิ้งในเวลาต่อมาอีกเล็กน้อย ความมืดคลืบคลานเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองของการเดินทาง สายหมอกเริ่มจับกลุ่มหนาทึบแล้วโรยตัวลงมาเป็นสายดูเหมือนกับปุยนุ่น ที่ปลิวลงมาจากสรวงสวรรค์ ในไม่ช้า สายหมอกก็ปกคลุมยอดเนินดังกล่าวเอาไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งบ้านเถิดเทิงและยอดเนินสกายไลน์-วัน ก็หายลับไปจากสายตาอย่างสิ้นเชิง
18.45 น.หมู่สมพรกับลูกน้องอีกสองคนก็เดินทางมาถึงในสภาพที่เปียกโชกไปหมดทั้งตัว กางเกงขาดรุ่งริ่ง ทหารรับจ้างคนนึงปากบวมเจ่อหยั่งกับถูกใครตะบันปากมาอย่างสดๆร้อนๆ
“เฮ้ย...ทำไมมาเร็วนักวะ ไอ้น้อง หมอกหนาทึบแบบนี้ อั้วคิดว่าลื้อจะมาพรุ่งนี้เสียอีก จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน โน่น...เป้สนาม
ของลื้ออยู่ที่เต้นท์ บก.พันโน่น แล้วพาลูกน้องของลื้อไปหาหมอกองพันใส่ยาซะด้วย ไปโดนอะไรมาวะไอ้น้อง”
คำคมไล่ให้สมพรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับสอบถามอาการทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บด้วยความห่วงใย
“ตกเขาครับผู้พัน ลื่นเหลือเกิน ไอ้หอกนี่ปีนเขาอยู่หน้าผม เสือกลื่นลงมาจูบปากกระบอกปืนเอ็ม.16 ของผมเข้าพอดี เห็นทีจะต้องเย็บเพราะแตกข้างใน รอผมประเดี๋ยวนะครับ ขอกินข้าวก่อน ไอ้ห่า...เรชั่นตกน้ำหมด” หมู่สมพรบ่นพึมพำพร้อมกับมุดออกจากเต้นท์ของคำคมแล้วพาตัวเองคลานหายเข้าไปในเต้นท์ของ บก.พันที่อยู่ข้างด้วยอาการรีบร้อน
ภายในเต้นท์ยุทธการที่ค่อนข้างจะกว้างขวางพอสมควร ผม,คำคม,ฝอ.3 และ ร.ต.ชัยสิทธิ์ ผบ.ร้อย 3 นั่งฟังรายงานของหมู่สมพรด้วยความเคร่งเครียดยิ่งกว่าทุกครั้ง
“ลื้อเริ่มเล่าตั้งแต่ เริ่มแกะรอยมันที่หุบร่องน้ำเลย พยายามเก็บเกี่ยวรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตอนไหนสงสัยอั๊วจะถามลื้อเอง” คำคมเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาครึ่งนั่งครึ่งนอนกับผ้าห่มขนสัตว์ซึ่งม้วนเป็นก้อนกลมๆ ที่วางอยู่ใกล้ๆกับหมู่สมพร
“เมื่อวานนี้ หลังจากผู้พันแยกจากผมแล้ว ผมก็เริ่มแกะรอยชุดลาดตระเวนของมันทันที คราวแรกผมตั้งใจจะข้ามหุบตามพวกมันไป แต่แล้วผมก็มาคิดได้ว่า ถ้าพวกมันเกิดเดินสวนกับพวกเราเข้ามาแผนการต่างๆก็พังหมดเท่านั้น ผมเลยเปลี่ยนใจซุ่มอยู่ ณ.บริเวณนั้นประมานสองชั่วโมง พวกมันก็ข้ามกลับมา ลักษณะการเคลื่อนที่ของมันขาดการระมัดระวังอย่างเห็นใด้ชัด คุยกันลั่นไปหมด พวกมันมีทั้งหมด 8 คน แต่งเครื่องแบบทุกคน มีอาวุธปืนอาก้าและอาร์พีจีครบครัน ในขณะที่ข้ามหุบร่องน้ำ ไอ้ตัวหัวหน้าของมันหยุดตรวจดูบนเส้นทางอยู่ตั้งนาน นานจนผมนึกว่า พวกมันจะผิดสังเกตอะไรซักอย่างหนึ่งเข้าให้แล้ว เกือบ2 นาทีทีพวกมันเดินย้อนกลับไปกลับมา กิริยาท่าทางมันเพิ่มความระแวดระวังขึ้นอย่างผิดสังเกต เมื่อพวกมันไม่พบอะไรก็เริ่มเดินทางกลับเมืองเถิดเทิง เส้นทางเดินสบายมากครับ กับระเบิดไม่มีแม้แต่อันเดียว ลัดเลาะริมหุบแห่งหนึ่งประมาน 2 ชั่วโมง ก็ทะลุถึงไร่ฝิ่นที่ปลูกอยู่บนไหล่เขาพอดิบพอดี”
“มีฐานปฏิบัติการของมันหรือปล่าววะ ไอ้น้อง” คำคมแทรกคำพูดขึ้นมากลางคัน
“ตรงปากทางเข้าไร่ฝิ่นไม่มีครับ มีแต่รอยเท้าสับสนไปหมด”
สมพรหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาดื่มอั่กๆด้วยความกระหาย และพูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว
“ผมแกะรอยมันจนกระทั่งถึงหมู่บ้าน คราวนี้เจอพวกแม้วที่อยู่ในหมู่บ้านประมาน 30 คนมีทั้งชายและหญิง นอกจากนั้นผมยังสังเกตเห็นเล้าหมูขนาดใหญ่ มีลูกหมูเล็กๆอยู่หลายสิบตัว ผมไม่กล้าแกะรอยมันเข้าไปอีก กลัวจะเจอะพวกแม้วก็เลยถอยหลังกลับมา พอถึงตอนกลางคืน ผมก็ลอบเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง คราวนี้เจอะทหารเวียดนามเหนือ 20 คน กำลังเอะอะวุ่นวาย อยู่ในบ้านแม้วเหล่านั้นพอดี พวกมันจับหมูเอาไป 5 ตัว แล้วขึ้นไปฉุดเอาผู้หญิงแม้วไปอีก 10 คน แต่เท่าที่สังเกตพวกผู้หญิงแม้วเหล่านั้นก็มีท่าทีพออกพอใจทหารเวียดนามเหนือกลุ่มนั้นอยู่มิใช่น้อย ผมแกะรอยตามมันขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาก็เจอะฐานของมันพอดี ฐานของมันแข็งแรงมาก มีกำลังพลไม่น้อยกว่า 50 คน อาวุธหนักเท่าที่ผมเห็นก็มี ปรส.82 และ ค.61 พวกมันฆ่าหมูแล้วจัดแจงประกอบอาหารโดยให้ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นคนทำ พวกมันดื่มเหล้าข่มขืนผู้หญิงกันอย่างสนุกสนาน ผมใด้โอกาสก็เลยตรวจการณ์ฐานของพวกมันอีกครั้ง แฟลร์สะดุดซึ่งพวกมันคงจะยึดเอาไปจากพวกเราวางถี่ยิบไปหมด ผมสามารถขึ้นไปถึงยอดเขา และปรากฏว่า บนยอดไม่มีฐานปฏิบัติการของพวกมันเลยแม้แต่แห่งเดียว”
“เฮ้ย ไหนลื้อว่ามีทางอ้อมขึ้นไปบนยอดฝาชี นั่นโดยไม่ต้องผ่านฐานของมันหรือวะ สมพร” คำคมสวนคำพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ครับ ผู้พันมีทางอ้อมขึ้นไปด้านข้างๆ พวกมันคงนึกไม่ถึงว่า พวกเราจะอ้อมเข้ามาตีเนิน สกายไลน์-วัน ทางด้านนี้ การระมัดระวังป้องกันก็เลยหละหลวมกว่าปกติ และอีกอย่างหนึ่ง ชุดลาดตะเวนของพวกมันที่เพ่นพ่านอยู่ตลอดเส้นทาง ก็ทำให้พวกมันถึงได้ใจคิดว่าคงจะไม่มีใครผ่านเข้ามาถึงบ้านเถิดเทิงได้อย่างเด็ดขาด”
“แล้วก็-เครื่องหมายกิ่งไม้หักนั่นลื้อทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คำคมย้อนถามอีกครั้ง
“ก็ตอนเช้านั่นแหละครับผู้พัน ผมเริ่มแกะรอยมันตั้งแต่ 05.30 น. เลยทีเดียว ชุดลาดตะเวนชุดใหม่ของมันเริ่มออกเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ตอนเช้ามืด และคราวนี้พวกมันเอาปืนค.61 และ ปรส.82 ม้าด้วยอย่างละกระบอก พอพวกมันจะข้ามหุบร่องน้ำ ผมแก้ปัญหาอยู่ตั้งนาน กลัวว่าพวกมันจะวกลับมาเจอะกับขบวนที่ยาวเหยียดของพวกเราเข้า ผมก็เลยตัดสินใจทำเครื่องหมายเอาไว้ให้ผู้พันทราบ และเคลื่อนที่แกะรอยมันต่อไปอย่างระมัดระวัง เส้นทางเดินที่พวกมันขนปืนและกระสุนไปนั้น ราบเรียบเหมือนกับได้รับการตบแต่งจากฝีมือมนุษย์มาแล้ว ผมเดินตามมันไปเกือบชั่วโมง ก็มาสะดุดอยู่ ณ.เชิงผาแห่งหนึ่งซึ่งสามารถ ตรวจการณ์สนามบินล่องแจ้งได้อย่างชัดเจน มันเป็นเส้นทางลับที่ผมเองยังคาดไม่ถึง พวกมันจัดแจงตั้งอาวุธหนักมุ่งทิศทางการยิงไปยังสนามบินล่องแจ้ง พอพวกมันเดินทางกลับ ผมก็จัดแจงเอากระสุนปืนของพวกมันมาถอดเอาเชื้อประทุออก คราวนี้ต่อให้พวกมันยิงจนมือบวม กระสุนก็ไม่มีวันถึงสนามบินหรอกครับ อย่างดีก็โด่งขึ้นไปแล้วหล่นตุ๊บลงมาในหุบนั่นเอง พอพวกมันเดินทางกลับ ผมก็เดินย้อนกลับลงมาเลี้ยวซ้ายบุกป่าฝ่าดงตามรอบเดิมที่พวกเราย่ำเอาไว้ การเดินทางตัวเปล่าและเป็นทางที่เคลียร์เอาไว้แล้ว ทำให้พวกผมทั้งสามคนเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าปกติ ผู้พันจะเอายังไงดีครับ”
ประโยคสุดท้าย หมู่สมพรย้อนถามเจ้านายของเขาอย่างเอางานเอาการ
คำคมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ฝอ.3 หยิบแผนที่ลงทาบกับพื้น แล้วใช้ไฟฉายพรางแสงส่องลงไปบนพิกัด 788936 อันเป็นพิกัดที่กองพันของผมตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในปัจจุบัน
“ถ้ากองพันของเรายึดบ้านเถิดเทิงได้ เส้นทางขึ้นไปเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ก็อยู่แค่เอื้อม หมู่บ้าน 50 หลังที่อยู่ตีนเนินทางด้านซ้ายมือ ก็คงจะเป็นเส้นทางผ่านที่ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก ใช่ไหมครับ ผู้พัน”
ฝอ.3 พูดพลางใช้ไฟฉายส่องกราดขึ้นไปที่บริเวณพิกัดต่างๆบนแผนที่อยู่ไปมา
“เตรียมตัวไอ้น้อง สั่งทหารกองร้อยหนึ่งเคลื่อนย้ายเข้าบ้านเถิดเทิง ในเวลา 23.30 น. ให้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดละ 3 หมวด ให้สมพรและทหาร 2 คน จากชุดลาดตระเวนเป็นผู้นำทาง ชุดแรกขึ้นไปยึดยอดเนินเถิดเทิงเอาไว้ ส่วนชุดที่ 2 เคลื่อนที่เข้าโอบล้อมฐานของพวกมันทางด้านปีกทั้งสองข้าง โดยให้ห่างจากฐานของพวกมันประมาน 100 เมตร ส่วนช่องกลางเปิดทางเอาไว้ กองร้อย 2 และกองร้อย 3 จะบุกตะลุยเข้าไปโจมตีมันให้แหลกเวลา 06.30 น.”
“แล้วหมวดอาวุธหนักเล่าครับ ผู้พัน” ฝอ.3 ทักท้วงขึ้นมาอย่างคลางแคลงใจ
“อาวุธหนักทุกชนิดตั้งฐานยิงสนับสนุนพวกเราอยู่บนนี้ ให้เริ่มระดมยิงเวลา 06.00 น โปรดสังเกตควันสีแดงให้ดี นั่นคือที่ตั้งของพวกเดียวกัน การติดต่อให้ติดต่อทางวิทยุไม่ต้องปกปิดอะไรอีกแล้ว เมื่อยึดยอดเนินเถิดเทิงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมดความหมาย ต่อจากนั้นหน้าที่ของเราก็คือนอนรอ บี.52 มาทำงานอย่างเดียวเท่านั้น”
“แล้วชุดลาดตระเวนของพวกมันที่จะออกเคลียร์พื้นที่ตอน 05.30 น.ละครับ ขืนปล่อยเอาใว้เป็นภัยแก่เราแน่ๆ”
สมพรทักท้วงขึ้นมา
“ก็ให้พวกลื้อนั่นแหละ เก็บมันซะ เก็บเงียบในไร่ฝิ่นนั่นแหละ ให้ลูกน้องของลื้อ 2 คนนั่นก็ได้”
คำคมตัดบทออกมาแล้วใช้พลนำสารตระเวนแจกข่าวไปยังกองร้อยต่างๆอย่างรวดเร็ว
23.30 น. หมู่สมพร และทหารรับจ้างชุดลาดตระเวน 2 คน ซึ่งเคยแกะรอยทหารเวียดนามเหนือมาแล้ว ถูกมอบหน้าที่ให้นำทาง กองร้อย 1 เคลื่อนที่หายลับลงไปตามไหล่เขาที่มืดมิดเบื้องล่าง ด้วยอาการที่เงียบเชียบเหมือนกับทหารปิศาจ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 21:39  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19299

คำตอบที่ 46
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 6
หมวดอาวุธหนักสาละวนติดตั้งปืนครกและปรส.75 อย่างรีบเร่ง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาวุธหนักเหล่านี้ก็พร้อมที่จะถล่มลงไปสนับสนุนการเข้าตีตามแผนของเสนาธิการสมองคอมพิวเตอร์ คำคมแบ่งกำลัง 2 หมวดจากกองร้อยทั้งสองเอาไว้คุ้มกันหมวดอาวุธหนัก ต่อจากนั้นทหารทั้งสองกองร้อยที่เหลือก็เริ่มเคลื่อนที่ติดตามทหารกองร้อย 1 ลงไปอย่างเงียบเชียบ
สัญญาณวิทยุที่เงียบหายมาตลอดระยะเวลา 2 วันเริ่มดังข้นอีกวาระหนึ่ง คำพูดเน้นโค้ดตัวเลขและข่าวที่ส่งก็มีเพียงแจ้งพิกัดที่อยู่ของแต่ละกองร้อยเท่านั้น ไม่มีการส่งพร่ำเพรื่อ ไม่มีการส่งข่าวที่ไม่จำเป็น นอกจากจะเกิดปะทะกับข้าศก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นเอง
ผมสะพาย PRC.77 เดินหน้าทิ่มหน้าตำลงมาตามทางลาดของเส้นทางที่ชันดิ่งลงเบื้องล่าง อย่างน่าหวาดเสียว อำนาจของฝนซึ่งตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้พื้นดินเฉอะแฉะตลอดทาง ต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งระเกะระกะอยู่ทั่วไป ช่วยให้การเดินทางลงจากยอดเนินดำเนินไปได้เรียบร้อยพอสมควร
30 นาทีผ่านไป คำคมก็ได้รับสัญญาณรหัสตัวเลขจากทหารรับจ่งกองร้อยที่ 1 ว่า ขณะนี้เคลื่อนที่ถึงไร่ฝิ่นของบ้านเถิดเทิงเรียบร้อยแล้ว
อีก 45 นาทีต่อมา ชุดแรกของกองร้อยที่หนึ่งก็ส่งรหัสตัวเลขบอกทิศทางการเคลื่อนที่แยกออกจากชุดที่ 2
อา...เพียงชั่วโมงกับอีก 15 นาทีทหารกองร้อยที่ 1 กองพัน 617 ก็สามารถเคลื่อนที่ทะลุไร่ฝิ่นขึ้นไปเกือบจะถึงฐานปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนืออยู่แล้ว
1 ชั่วโมง 55 นาที พอดิบพอดีที่ทหารชุดที่สองส่งรหัสมาว่าขณะนี้จุดที่ตั้ง โอบล้อมฐานปฏิบัติการของข้าศึกเอาไว้อย่างปลอดภัย และ “ปลอด” จากสายตาของข้าศึกอย่างสิ้นเชิง
03.30 น. กองร้อย2-3 ก็ปรับรูปขบวนอยู่ ณ บริเวณทางเข้าปากไร่ฝิ่นรอหมายกำหนดการที่จะเริ่มในเวลา 06.30 น. ด้วยอาการสงบเงียบ
เงียบ เงียบเสียจนไม่น่าเชื่อว่า จะมีทหาร 300 คน ซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่แห่งนั้น
04.00 น. รหัสตัวเลขจากทหารชุดแรกแจ้งว่า ขณะนี้จุดที่ตั้งอยู่บนยอดเถิดเทิงเรียบร้อยแล้ว
“คราวนี้พวกลื้อจะได้ฆ่าพวกมันสนุกมือกันซะที นอนพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนโว้ย อีกตั้งสองชั่วโมงก่อนที่แผนของเราจะเริ่มต้นขึ้น ผลัดกันนอนคนละงีบก็ยังดี”
คำคมล้มตัวลงนอนหนุนเป้สนาม ชั่วอึดใจผมก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆดังออกมาจากร่างซึ่งนอนขดตัวอยู่ใกล้ๆนั้น
ส่วนผมสถานการณ์เช่นนี้ ยากนักที่จะข่มจิตข่มใจให้หลับลงได้อย่างง่ายๆ นอนลืมตาโพลงดูเงาทมึน ของต้นฝิ่นที่ปกคลุมเป็นแนวยาวเหยียดติดต่อกันไปทั่วอาณาบริเวณ
แสงสว่างอันมัวซัวของจันทร์ข้างแรมส่องกระทบต้นฝิ่นบังเกิดเป็นเงาทมึนมองคล้ายๆ กับภูตผีปิศาจที่ยืนจังก้าคอยทวงวิญญาณนักรบผู้ถึงฆาตลงไปสู่อเวจี บางครั้ง เงาทมึนเหล่านี้ดูเหมือนจะพยักพเยิดกวักไม้กวักมือให้ผมไปหามัน แรงอาถรรพ์ของป่าดงในยามวิกาล เคยทำให้ทหารรับจ้างที่ประสาทอ่อน วิกลจริตมาแยะต่อแยะแล้ว ผมหลับตา พยายามข่มจิตข่มใจให้เข้าภวังค์ บัดดลนั้นภาพในอดีตก็พรั่งพรูเข้ามาในห้วงคิด ใบหน้าของ “เม้าแทรป” F.A.G. นิสสัย คืออีตลูกทัพฟ้า ที่สูญเสียชีวิตบนยอดเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ พร่าพรายขึ้นมาในจิตสำนึก คำพูดสุดท้ายก่อนเขาเสียชีวิตยังก้องอยู่ในประสาทหูของผมชั่วนิรันดร์
“บิ๊กแมน ผมลาก่อน” และแล้ว “เม้าแทรป” ก็ได้ลาจากผมไปชั่วชีวิตจริงๆ
ภาพถัดกลับไปบนยอดเนิน ภูหินซับ ที่สูงเสียดฟ้า การประจัญบานกันอย่างท่วมเลือดปรากฏขึ้นมาเหมือนกับจอโทรทัศน์ ชาวแมวอพยพร้อยกว่าคน สวมวิญญาณผีสิงติดดาบปลายปืนเข้าตะลุมบอนกับทหารเวียดนามเหนืออย่างบ้าคลั่ง
ตาย ตาย แล้วก็ตาย คือนิยามของสงครามที่บ้าคลั่ง สงครามที่หฤโหดจนเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะทนได้ อีกไม่นานเกินรอ... อีกไม่นานเกินรอ... เราคงจะได้พบกัน ณ ขุมนรกชั้นอเวจี …ผมเผลอหลับไปจนได้ ตกใจตื่นขึ้นมาก็มองเห็นคำคมกำลังเอาหูฟังของ “HT-2”ยัดเข้าไปในหูฟังข่าววิทยุด้วยอาการเคร่งเครียด....ผมเหลือบดูนาฬิกาพรายน้ำที่ข้อมือ
05.55 น. พอดิบพอดี และเวลาดังกล่าวก็เลยกำหนดการณ์ออก ลว.ของทหารเวียดนามเหนือมาแล้วถึง 25 นาที
“ชุดล่าสังหารของเรากำลังเดินทางกลับมาแล้ว แผนการเรียบร้อย เวียดนามเหนือ 8 คน ตายเกลี้ยง ของเราตาย 2 บาดเจ็บ 2”
พอจบคำพูดของคำคม ผมก็มองเห็นเงาตะคุ่มตะคุ่มของทหารชุดล่าสังหาร พยุงพรรคพวกที่ใด้รับบาดเจ็บมาอย่างทุลักทุเล
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว ทัศนวิสัยปรากฏขึ้นมาลางๆ ชุดล่าสังหารโยนวัตถุชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนกับผลมะพร้าวลงบนพื้น วัตถุนั้นกลิ้งกระเด็นไปคนละทิศละทาง ผมกะดูอย่างคร่าวๆมีประมาน 7หรือ 8 ชิ้น
กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดมนุษย์ทำให้ผมเอะใจ ต้องก้มหน้าลงพิจารณาวัตถุเหล่านั้นอีกครั้ง
พระเจ้าช่วย มันคือศีรษะมนุษย์ที่ถูกบั่นออกแค่คอ รอยเลือดที่เกรอะกรังอยู่รอบๆคอ แสดงว่าศีรษะมนุษย์เหล่านี้ เพิ่งจะถูกตัดมาอย่างสดๆร้อนๆนี่เอง คาวเลือดของมนุษย์เอียนตลบอยู่ข้างๆ คำคมชำเลืองดูศีรษะมนุษย์แวบหนึ่ง โดยมิกล่าวอะไรออกมา เขาหันกลับไปมองดูทหารรับจ้างที่นอนแบบอยู่ที่พื้นแล้วเดินตรงเข้าไปคุกเข่าสำรวจดูอย่างใกล้ชิด
“โดนดาบอาก้าของมันครับ ทะลุช่องท้องทั้งสองคน เดินเพ้อมาตลอดทาง เพิ่งสลบไปเมื่อกี้นี้เอง สงสัยว่าจะไม่รอดแน่ๆผู้พัน”
“ต้องรอดซีวะ เฮ้ย หมอกองพันช่วยดูแลมันหน่อยโว้ย ยึดฐานมันได้เมื่อไหร่ อั้วจะขอชอร์ปเปอร์มารับทันที สองคนที่ตายใคร?”
“อำนวยกับสีมาครับ ผู้พัน” ทหารรับจ้างคนหนึ่งตอบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม
“แล้วศพล่ะ ทำไมไม่เอามาด้วย?”
“ผมเห็นว่า เวลามันกระชั้นชิดหมายกำหนดการของผู้พัน ผมก็เลยซ่อนศพเอาใว้ก่อน งานเสร็จพวกผมจะไปเอาศพทีหลังครับ”
“ทีหลัง จำเอาไว้ ถ้าการปฏิบัติงานใดๆ อยู่ไม่ห่างจากรัศมีของหน่วยเหนือ ถ้ามีเหตุการณ์ที่สูญเสียชีวิตเกิดขึ้น จะต้องนำศพของพวกเรากลับมาทุกครั้ง จำไว้ เขาเหล่านั้นเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่หมากลางถนน” พอพูดจบ คำคมก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดู
06.01 น. พอดิบพอดี คำคมเอื้อมมือหยิบวิทยุสนามจากพนักงานวิทยุที่ยืนอยู่ข้างๆขึ้นมาออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
“อินทรี1 อินทรี2 อินทรี3 จากคำคมโชว์สโมค”
ชั่วอึดใจ ควันสัญญาณสีแดงสดก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นสาย และบัดดลนั่นเอง อาวุธหนักของกองพันผมซึ่งตั้งจังก้าอยู่บนเนิน 788936 ก็ถล่มลงไปยังฐานปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนือตามพิกัดที่ได้แจ้งเอาไว้แล้วเป็นห่าฝน
ปรส.75 และ ค.81 แจกจ่ายกระสุนลงมาอย่างเมามัน เสียงระเบิดดังตึงตังโครมครามไม่ขาดระยะ เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีเสียงยิงตอบโต้จากข้าศึกแม้แต่นัดเดียว แต่มันก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง พอมันตั้งตัวติด ปรส. 82 ของมันก็ยิงถล่มเข้าใส่หมวดอาวุธหนัก บนยอดเนิน 788936 ทันที
“ตุ๊ง............บึ้ม”
“ตุ้ง............บึ้ม”
ปรส.82 แหวกอากาศผ่านศรีษะของพวกเราพุ่งเข้าใส่ยอดเนินดังกล่าว 2 นัดซ้อนๆ
“พร๊อก.......บึ้ม”
“พร๊อก........บึ้ม”
ค.81 ของเราก็เปิดฉากดวลกับมันอย่างถึงพริกถึงขิง
คงจะเป็นด้วยบังเกอร์อันแน่นหนา แข็งแรงของมันนั่นเองจึงทำให้ ปรส.82 ของมันรอดพ้นจากอำนาจปืนครกของพวกเราไปได้เหมือนกับปาฏิหารย์ มิไยที่อาวุธหนักของเราจะถล่มลงบนเป้าหมายเหมือนกับจับวาง ปรส.82 ของพวกมันยังคายพิษสงเข้าใส่พวกเราไม่ขาดระยะ คำคมนิ่งอึ้งชั่วครู่ก็ตัดสินใจออกคำสั่งไปยังหมวดอาวุธหนักอีกครั้ง
“อินทรี 4 จากคำคม ยิงเร่งที่หมายเดิม พยายามอย่าให้หลุดออกจากเป้า ทั้งหมดจะเข้าโจมตีเดี๋ยวนี้ คำสั่งหยุดยิงอั้วจะสั่งมาอีกครั้ง” ด้วยรหัสการตีอย่างสั้นๆ ทหารกองร้อย1 ชุดที่ 2 ที่โอบล้อมอยู่ทางปีกทั้งสองข้างก็เริ่มเคลื่อนที่เข้าประชิดฐานปฏิบัติการของข้าศึกอย่างเงียบเชียบ และในเวลาเดียวกัน คำคมก็พาทหารกองร้อย 2,3 เคลื่อนที่ขึ้นสมทบในลักษณะเดียวกัน
ปรส.75 และ ค.81 ของเราถล่มกระสุนสังหารลงบนฐานปฏิบัติการของข้าศึกอย่างชนิดต่อเนื่องกันหยั่งกับระบบออโต บัดดลนั้นเองประสาทหูของผมก็ได้ยินเสียงปืนอาก้าดังเกลียวกราวขึ้นมา ณ บริเวณพื้นที่เหนือศีรษะ แทรกซ้อนด้วยเสียง M.16, M.79, M.72 ตลอดจนระเบิด M.26 ดังตึงตังโครมครามเหมือนกับภูเขาทั้งลูกจะถล่มทลายลงไปในบัดดล
“อาวุธหนัก...หยุดยิง...ไอ้น้องขยี้มันให้แหลกไปทั้งฐานเลยโว้ย”
เสียงคำคมดังกังวานลั่นวิทยุสนาม ทหารรับจ้างเกือบ 400 คนร้องไชโยกระหึ่ม มือก็เหนี่ยวไกพ่นกระสุนกราดนำทางเลื่อนที่เข้าหาฐานของทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งมองเห็นอยู่แค่เอื้อม
คำคมร้องตะโกนปลุกใจทหารทางวิทยุสนามอยู่ตลอดเวลา จิตวิทยาอย่างง่าย ของคำคมทำให้ทหารรับจ้างลืมตัว บังเกิดความฮึกเหิมบุกตะลุยอย่างไม่คิดชีวิต
ทหารเวียดนามเหนือโดนล้อมเสียแล้ว อาวุธหนักปราศจากพิษสงไปอย่างสิ้นเชิงในการรบระยะประชิดตัวเช่นนี้
มีเสียงตะโกนเป็นภาษาเวียดนามให้ถอนตัวดังลั่นมาจากฐานเบื้องบน
บัดดลนั้น ทหารเวียดนามเหนือก็ประสานการยิงลงมาเป็นห่าฝนเหมือนกับจะสั่งลา………….



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 21:50  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19300

คำตอบที่ 47
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 7
ภาพที่ผมมองเห็นในกล้องสนามในขณะนี้ก็คือทหารเวียดนามเหนือในชุดต่างๆกัน เครื่องแบบสีดำบ้าง เขียวบ้าง..ลายพร้อยบ้าง วิ่งถอยกลับขึ้นไปบนยอดเนิน ด้วยอาการยิงพลางถอยพลาง
“อินทรีพิฆาต จากคำคม... กระต่ายแหกกรง เปลี่ยน” ผบ.พัน ยอดเสนาธิการส่งรหัสวิทยุขึ้นไปให้ทหารชุดล่าสังหารที่อยู่บนเนินเถิดเทิงทราบ ไม่ปรากฏเสียงตอบจากหน่วยล่าสังหาร นอกจากเสียงสัญญาณนกเขาชวาขันกังวานออกมาลั่นวิทยุ
“บุกตะลุยขึ้นไป ไอ้น้อง...มันจนมุมเราแล้ว”
เสียงของคำคมถูกกลืนหายไปกับเสียงไชโยโห่ร้องของทหารรับจ้างที่กระหึ่มขึ้นมาด้วยความลำพองใจในสถานการณ์ที่เป็นต่อข้าศึกอย่างเห็นได้ชัด
ทหารเวียดนามเหนือถอยพลางยิงพลาง ใกล้ยอดเถิดเทิงไปทุกขณะ เงียบ... ไม่มีเสียงปืนจากหน่วย “อินทรีพิฆาตล่าสังหาร” จนผมและคำคม เอะใจจนเกือบจะวิทยุเรียกขึ้นไปอีกครั้ง
บัดดลนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียง “M-60” ครางระงมออกมาจากจุดใดจุดหนึ่งบนยอดเนินฝาชีแห่งนั้น...ห่ากระสุนของมันตัดต้นฝิ่นขาดกระเด็นฉุยเป็นทาง “M-16” ด้วยระบบการยิงแบบอัตโนมัติเต็มตัว ประสานการยิงแทรกซ้อนข้นมาเป็นช่วงๆ
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
ระเบิดมือ 6 ลูกซ้อนๆ ปลิวลงมาเกือบจะพร้อมๆกัน
ทหารเวียดนามเหนือผงะเต้นเหมือนกับหมาโดนน้ำร้อน ส่วนหน้าสุดทั้งแถบซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คนกลิ้งระเนระนาดลงมาตามพื้นที่ชันเกือบ 70 องศานั้น
และพร้อมๆกันนั้นเอง ทั้งสามด้านต่างก็ประสานการยิงขึ้นไปอย่างหูดับตับไหม้
อา... ทหารเวียดนามเหนือตกอยู่ในวงล้อมของพวกเราเสียแล้ว จะถอยหนีลงมาข้างล่างก็เจอะกับฝูงเพชฌฆาตที่ติดดาบปลายปืนขาววับร้องแหกปากตะโกนข่มขวัญด้วยท่าทางกระหายเลือด ทางขวาและซ้ายก็จะเจอะกับทหารกล้าตายที่บุกตะลุยเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต
พวกมันโดนบีบให้ขึ้นไปยอดเนินเขาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง...
และพวกมันก็ไม่ลังเลที่จะกระทำเช่นนั้น..
ทหารเวียดนามเหนือง้างดาบปลายปืนที่งอพับติดใต้ลำกล้องออกมากางติดเด่อยู่ข้างหน้าแล้วปีนขึ้นสู่ยอดเขาท่ามกลางห่าฝนเหล็ก
คนแล้วคนเล่าที่ล้มผงะไหลลื่นลงมา พวกมันก็มิได้ย่อท้อ ปีนป่ายขึ้นไปเหมือนกับคนบ้าเลือด จากยอด 60 คน ร่อยหลอลงทุกที...ทุกที
พระเจ้าช่วย 10 คนสุดท้ายของมันปีนป่ายรอดวิถีกระสุนขึ้นไปยอดเขาได้เหมือนกับปาฏิหารย์เข้าให้แล้ว
ห่ากระสุนเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง ร่างของทหารเวียดนามเหนือหายลับขึ้นไปยอดเขา ชั่วครู่ผมก็มองเห็นร่างของทหารเวียดนามเหนือกับทหารรับจ้างกระเด็นกลิ้งลงมาจากยอดเนินคู่หนึ่ง ทั้งสองกอดกายกันกลมดิกเหมือนหนึ่งจะพิศวาสกันเสียเต็มประดา
สายตาของผมไม่ฝาดหรอกครับ ทหารกล้าทั้งสองคน กระซวกดาบปลายปืนแลกชีวิตกันตายยับทั้งคู่...
“ฆ่ามันให้หมด...ทหารทุกคน ขึ้นไปบนยอดเนินเดี๋ยวนี้”
คำคมแผดตะโกนก้องวิทยุ ดวงตาแดงก่ำเหมือนเพชฌฆาต ภาพลูกน้องที่โดนแทงด้วยดาบปลายปืนร่วงลงมาจากยอดเขาสร้างความเครียดแค้นให้กับผู้พันใจเพชรเหลือประมาน
“ผู้พันครับ ไม่ต้องสั่งให้ทหารขึ้นมาหรอกครับ...ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกมันตายเกลี้ยง พวกเราบาดเจ็บ 3 ตาย 2 มีคำสั่งอะไรจะให้ผมปฏิบัติในขั้นต่อไปโปรดสั่งด้วยครับ” เสียงอันคุ้นหูของหมู่สมพรดังแว่วอยู่ในวิทยุ
“เฮ้ย...สมพร ยอดเขามีพื้นที่พอที่จะให้ชอร์ปเปอร์ลงได้ไหมวะ พวกเรามีคนบาดเจ็บอยู่ข้างล่าง 2 คน”
“ยากครับผู้พัน ถ้าจะให้มันลอยตัวอยู่บนอากาศแล้วใช้รอกดึงขึ้นไปก็พอจะแก้ปัญหาได้ครับ”
“โอเค...ประเดี๋ยวอั้วจะพาทหารบาดเจ็บขึ้นไปพบลื้อข้างบน อย่าลืมตรวจการณ์ด้านโน้นด้วย”
ทหารรับจ้างทั้งสามกองร้อยยึดบ้านเถิดเทิงได้อย่างสิ้นเชิง ศพของทหารเวียดนามเหนือถูกขนลงกองรวมกันไว้ในไร่ฝิ่นที่แหลกลาญไปด้วยอำนาจของกระสุนนานาชนิด
คำคมสั่งสำรวจยอดการสูญเสียอย่างเร่งด่วน
เหมือนกับปาฏิหารย์…ทหารรับจ้างกองร้อย 2 และกองร้อย 3 ที่บุกตะลุยขึ้นบริเวณช่องกลางปราศจากการสูญเสียแม้แต่คนเดียว นอกจากพนักงานวิทยุที่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนอาก้าที่หัวไหล่เพียงคนเดียวเท่านั้น
กองร้อย 1 ชุดแรก ที่โอบล้อมปีกทั้งสองข้างเจอะจรวด RPG ตาย 2 บาดเจ็บ 2 คน
รวมทั้งทหารที่สูญเสียบนยอด”เถิดเทิง”เข้าด้วยแล้ว ก็มีจำนวนบาดเจ็บ 8 คน ตาย 4 คน ซึ่งเป็นยอดที่สูญเสียน้อยเป็นประวัติการณ์ในการเข้าตีครั้งนี้
ผม,คำคมติดตามทหารรับจ้างที่ลำเลียงทหารบาดจ็บขึ้นไปบนยอดเถิดเทิงในเวลาต่อมา ตลอดเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาเต็มไปด้วยซากศพทหารเวียดนามเหนือที่ถูกห่ากระสุน “M-60” แขนขาขาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ตับไตไส้พุง เรี่ยราดมองดูเอน็จอนาดใจ เหลือประมาน แม้กระทั่งในฐานปฏิบัติการของพวกมันก็ตามที สภาพที่ทุเรศของศพยังปรากฏอยู่ทั่วๆไป
จากการสำรวจอย่างคร่าวๆ ทหารเวียดนามเหนือสูญเสียชีวิตอยู่บนฐานและเส้นขึ้นยอดเขา54 คนพอดิบพอดี และในจำนวนนั้นมีคนบาดเจ็บสาหัส 1 คน และอีกชั่วโมงต่อมาก็เสียชีวิตเนื่องจากโลหิตเป็นพิษ
เมื่อผม เคลื่อนที่ขึ้นมาบนยอดเขา ก็มองเห็นทหารเวียดนามเหนือ 10 คน นอนระเกะระกะร่างกายเยินไปด้วยรอยแผลจากดาบปลายปืน เลือดสาดกระเซ็นเหมือนกับพื้นดินถูกแต้มเอาไว้ด้วยสีแดงเข้ม ...กลิ่นคาวคลุ้งเอียนกลบ จนเกือบจะทำให้ผมอาเจียนออกมาด้วยความคลื่นเหียน ภารกิจเร่งด่วนอันดับแรกก็คือ ขนชอร์ปเปอร์จาก เบาว์เดอร์-คอนโทรล มารับคนเจ็บกลับล่องแจ้ง และเป็นการติดต่อวิทยุครั้งแรกในรอบ 48 ชั่วโมงที่ผมเดินทางออกจากที่ตั้งปกติข้างเนิน สกายไลน์-ทู
“เฮ้...บิ๊กแมน...ผมนึกว่าคุณกับคำคมจอดไม่ต้องแจวเสียแล้ว...โอเค ชอร์ปเปอร์พร้อมด้วยรอกชนิดพิเศษกำลังเดินทางไปหาคุณ จะต้องการอะไรให้ผมสนับสนุนบอกมาเลย”
นอร์แมนแสดงอาการดีอกดีใจที่ได้รับการติดต่อวิทยุจากผม หลังจากที่ขาดการติดต่อเกือบ 2 วันเต็มๆ เขาแสดงความจำนงที่จะให้ความสนับสนุนแก่กองพันของผมอย่างเต็มที่ ผมขยับจะขอชอร์ปเปอร์เพิ่มอีก ก็ได้ยินเสียงหึ่งๆของมันดังแว่วมาทางเมืองล่องแจ้ง เมื่อผมยกเสาอากาศ “HT-2” ดึงขึ้นจนสุด ก็ได้ยินเสียงนักบินเรียกผมลั่นวิทยุ
“บิ๊กแมนจากโฮเต็ล-ฟอกท็อต คุณอยู่บนยอดฝาชีนั่นใช่ไหม”
“โฮเต็ล-ฟอกท็อต จากบิ๊กแมน แม่นแล้วเพื่อนฝูง ผมมีเพื่อนบาดเจ็บอยู่ 8 คนและ กิโล-วิสกี้(ตาย)อีกจำนวนหนึ่ง อันดับแรกผมขอคนป่วยก่อนนะครับ”
ชอร์ปเปอร์สีขาว ลดระดับร่อนตีวงกว้างอยู่ชั่วครู่ ก็ค่อยๆโรยตัวหยุดนิ่งอยู่เหนือยอดเนินดังกล่าว กระแสลมจากโรเตอร์ พัดฝุ่นกระจายคลุ้ง จนทหารรับจ้างต้องนอนหมอบฟุบหน้าลงกับพื้นดินชั่วขณะ
“รอก”ชนิดพิเศษถูกหย่อนลงมาอย่างช้าๆ ทหารรับจ้าง 3-4 คนหามคนบาดเจ็บ วิ่งก้มตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็ใช้เข็มขัดนิรภัยผูกติดเข้ากับรอก กระตุกเบาๆเป็นอาณัติสัญญาณให้พนักงานเปิด-ปิดประตูที่นอนพังพาบชะโงกหน้าลงมาดู เป็นทำนองให้ดึงรอกดังกล่าวนั้นขึ้นไป ด้วยระบบไฮดรอลิก รอกชนิดพิเศษถูกกว้านขึ้นไปอย่างช้าๆ ร่างของทหารรับจ้างถูกดึงหายลับขึ้นไปทางช่องประตู ไม่ถึงยี่สิบนาที การลำเลียงคนบาดเจ็บทั้ง 8 คน ก็ได้ผ่านไปอย่างเรียบร้อย
“โฮเต็ล-ฟอกท็อต เที่ยวบินที่สองโปรดรับอาวุธหนัก และทหารของผมที่อยู่บนยอดเนินถัดไปเบื้องหลังผมให้ด้วยครับ”
“แคน ดู อีซี่...มายเฟรนด์ ประเดี๋ยวผมจะขนไอ้ปืนโตมาให้คุณเอง ไปก่อนนะครับ”
ชอร์ปเปอร์บินกลับไปแล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหน็ดเหนื่อย สายตาเหม่อมองดูซากศพที่กองระเกะระกะอยู่ข้างๆตัวอย่างเอน็จอนาถใจ
คำคมเดินเข้าไปกอดคอหมู่สมพรลูกน้องเดนตายแล้วกล่าวชมขึ้นมาค่อนข้างดัง
“ยอดเยี่ยม...ไอ้น้อง กองพัน 617 ถ้าไม่มีลื้อและทหารกล้าพวกนี้ ไอ้แกวจะต้องรอดมือพวกเราไปได้อีกครั้ง สมพร... อำนวยและสีมา ลูกน้องของลื้อได้กระทำหน้าที่ของลูกผู้ชายเสร็จสิ้นลงแล้ว ศพของพวกเขาอยู่ข้างล่าง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย เราจะขนพวกเขากลับไปยังล่องแจ้งทันที”
หมู่สมพรยืนนิ่ง น้ำตาของลูกผู้ชายคลอเบ้า ...ชั่วอึดใจเขาก็ถอดหมวกเบเรต์สีแดงออกจากศีรษะ ก้มหน้าลงพร้อมกับพึมพำออกมาเหมือนกับเสียงกระซิบที่แว่ววิเวกมาจากสายลม
“ขอให้ไปดีเถิด...ไอ้เพื่อนยาก แกได้ปฏิบัติหน้าที่ของทหารหาญเสร็จสิ้น ตามปณิธานของแกเรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกแกเคยขอร้องกันเอาไว้ กันขอปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตามความตั้งใจของแกทุกประการ”
หมู่สมพรสลัดอาการเศร้าสลดออกจากความรู้สึก แล้วจัดแจงลากศพทหารเวียดนามเหนือมารวมกัน ณ บริเวณด้านหนึ่งของยอดฝาชีนั้น
ชอร์ปเปอร์ 3 ตัว บินเกาะหมู่ลิบๆอยู่บนท้องฟ้า เสียงของนอร์แมนเรียกผมลั่นวิทยุ
“บิ๊กแมนจาก นอร์แมน ผมจะลงไป หาคนช่วยเคลียร์พื้นที่ให้ผมด้วย”
คำคมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หยิบวิทยุจากมือของผมแล้วเย้านอร์แมนออกไปเหมือนจะเบรกกันอยู่ในที ...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 21:57  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19301

คำตอบที่ 48
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 8
“นอร์แมนจากคำคม ข้างล่างมีทหารเวียดนามเหนืออยู่ 64 คน พร้อมด้วยอาวุธประจำกายและอาวุธหนักพร้อม คุณจะลงมาทำไมกัน มันไม่ปลอดภัย สู้นั่งอยู่ที่ “บาวเดอร์-คอนโทรล”ไม่ได้หรอกครับ
“อย่าพูดเป็นเล่นไปน่า คำคม ผมจะลงไปจริงๆ”
“เรื่องจริงครับ ทหารเวียดนามเหนือทั้ง 64 คนมีจริง แต่ทว่าไม่มีลมหายใจเสียแล้ว ลงมาเลย ถ้าคุณแน่ใจว่าตัวเองไม่กลัวผี”
ชอร์ปเปอร์โรยตัวลงมาอีกครั้ง บันไดเชือกถูกทิ้งลงมาก่อน ชั่วอึดใจผมก็มองเห็นกบาลอันแดงแจ๋ของเจ้านายผมปีนลงมาอย่างระมัดระวัง
“มายก็อด...นี่พวกคุณฆ่ากันบนยอดเขาที่มีพื้นที่แคบๆหยั่งงี้หรือครับนี่”
ในขณะที่พูด นอร์แมนก็เดินสำรวจศพของทหารเวียดนามเหนือไปรอบๆด้วยอาการตื่นเต้น
และขณะเดียวกัน ชอร์ปเปอร์ทั้ง 3 ตัวก้เริ่มลำเลียงอาวุธหนัก และทหารที่อยู่บนยอด 788936 มายังยอดเถิดเทิงเป็นโกลาหล
คำคม หันไปกำชับให้สมพรเป็นคนวางแนวที่ตั้งอาวุธหนักอีกครั้ง แล้วพาผมกับนอร์แมนเคลื่อนที่ลงมายังจุดรวมพลเบื้องล่างเพื่อรอแผนเข้าตรวจค้นในหมู่บ้านชาวแม้วซึ่งถูกทหารรับจ้างล้อมเอาไว้ในขณะก่อนจะเริ่มโจมตี
นอร์แมนหยุดยืนระหว่างซากศพของทหารเวียดนามเหนือ และทหารรับจ้างที่กอดก่ายกันกลมดิกอยู่ ณ บริเวณเส้นทางขึ้นยอดเขา
“มายก็อด มันเป็นการประจัญบานครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมได้เคยเห็นมาในสมรภูมิลาว ทั้งสองทหารกล้าที่นอนไร้วิญญาณอยู่เบื้องหน้าผม ณ บัดนี้ คือ ยอดนักรบผู้กล้าหาญ..ผมไม่เคยตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อยที่จะทำความเคารพให้แก่ความเก่งกล้าของสองนักรบผู้นี้” พอพูดจบ นอร์แมนก็ชิดเท้าแสดงความเคารพศพทหารสองสัญชาติ ที่นอนกอดกันกลมดิกอยู่เบื้องหน้า
อย่าว่าแต่นอร์แมนเลยครับ แม้แต่คำคมเองก็ต้องยกมือกระทำความเคารพให้แก่ทหารทั้งสองที่สูญเสียชีวิต อย่างชนิดแลกดาบปลายปืนกันในระยะประชิดตัว ดาบอาร์ก้ากับดาบเอ็ม 16 ไม่มีใครเหนือกว่าใคร แต่สิ่งที่เหนือกว่าก็คือ น้ำใจที่กล้าเกินมนุษย์ของทหารหาญทั้งสอง
ศพทหารรับจ้างทั้ง 5 ศพถูกห่อด้วยผ้ากันฝนปันโจ แล้วถูกลำเลียงขึ้นไปบนยอดเขาในเวลาต่อมา
ไร่ฝิ่นที่งามสะพรั่งแหลกลาญไม่มีชิ้นดี ทั้งแรงระเบิด และการเหยียบย่ำของทหารรับจ้าง ทำให้ต้นฝิ่นหักระเนระนาดไปเกือบครึ่งบริเวณ
อาหารสดทุกชนิด ได้รับการสนับสนุนจากบก. ส่วนหลังในสองชั่วโมงต่อมา อาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นกระสุนนิดต่างๆ ถูกลำเลียงมาไม่ขาดระยะ
ทหารชุดลาดตระเวนส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังทางลาดด้านที่เป็นเส้นทางเข้าสู่เนินสกายไลน์-วันเพื่อหาที่เหมาะสมสร้างฐานปฏิบัติการต่อไป
สามชั่วโมงต่อมา ทหารรับจ้างกองร้อย2,3 ก็เคลื่อนที่ลงไปเสริมแนวยังพื้นที่ด้านตรงข้ามกับหมู่บ้านแม้ว เป็นแนวยาวเกือบตลอดไหล่เขา ส่วนกองร้อย 1 รับหน้าที่ตรวจค้นหมู่บ้านก่อนที่จะขึ้นไประวังป้องกันหมวดอาวุธหนักต่อไป
ก่อนอาหารเที่ยงจะเริ่มต้นขึ้น ทหารรับจ้างกองร้อยที่ 1 ที่โอบล้อมหมู่บ้านแม้วอยู่ ก็ร้องตะโกนให้ชาวแม้วทุกคนออกมาจากบริเวณบ้านให้หมดสิ้น
ชาวแม้ว ทั้งชายและหญิง ลับๆล่อๆออกมาจากที่ซ่อนด้วยอาการกริ่งเกรง
ทุกคนถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมกับถูกสอบถามเป็นรายบุคคลถึงจำนวนที่แน่นอนอีกครั้ง
ผู้ชาย 13 ผู้หญิง 12 คน มันขาดหายไปจากยอด 30 คน ที่หมู่สมพรตรวจการณ์พบอย่างน่ากังขา
คำคมออกคำสั่งบุกตรวจค้นทันที
ผม นอร์แมน หมู่สมพร เคลื่อนที่เข้าไปทางเบื้องหลังของเล้าหมู แล้วคืบคลานเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมองเห็นบานหน้าต่างแง้มออกมาอย่างน่าผิดสังเกต
“เอี้ยด”
หน้าต่างบานเดียวของบ้านมุงแฝกหลังสัปปะรังเคนั้นไหวยวบ ร่างของชายฉกรรจ์นานหนึ่ง กระโจนผางทะลุผ่านหน้าต่างออกมาเหมือนกับนักกายกรรม เนื่องจากหน้าต่างของบ้านหลังนั้น สูงพอสมควร ร่างของมันก็เลยเสียหลักหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ
นอร์แมนวาดลำกล้องปืน M-18 (อาร์มาไลน์ – ผลิตในประเทศญี่ปุ่น) ขึ้นหาเป้าหมายก่อนที่ผมจะปรามได้ทัน ประสาทหูของผมก็อื้ออึงไปด้วยเสียงระเบิดอันถี่ยิบของกระสุนที่พรั่งพรูเข้าหาเป้าหมาย ที่กำลังตีลังกาหน้าอยู่กลางอากาศนั้น
“เร็ว มันถือระเบิดอยู่ในมือ”
นอร์แมนแหกปากร้องขึ้นมาสุดเสียง ผมเย็นเยียบเข้าไปถึงไขสันหลัง ประสาทส่วนที่ 6 อันเร้นลับ บงการให้ผมฟุบหน้าลงแนบกับพื้นดิน มือทั้งสองยกข้นประสานกุมศรีษะเอาไว้แน่น
“ป้าบ”
เสียงวัตถุตกกระทบพื้นดินอยู่เบื้องหน้า ได้ยินถนัดหู ผมหรี่ตามองดู ก็มองเห็นทหารเวียตนามเหนือ ที่เผ่นออกมาจากหน้าต่างแล้วโดนกระสุน M-18 ของนอร์แมนเข้าอย่างจังเบอร์ หล่นตุ๊บลงมากองอยู่เบื้องหน้า และห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ระเบิดมือจีนแดงชนิดสากกระเบือ กลิ้งหล่นอยู่มองเห็นถนัดตา ปาฏิหาริย์ ลูกระเบิดด้าน ผม นอร์แมน และหมู่สมพร รอดตายอย่างหวุดหวิด ทหารรับจ้าง 3-4 คน ซึ่งเพิ่งจะเคลื่อนที่ตามผมมา คลานถอยกลับไปอย่างลุกลี้ลุกลน
“เฉยๆ บิ๊กแมน อย่าเพิ่งขยับตัว”
หมู่สมพร พูดพลางคลานสี่ตีนเข้าไปหาลูกระเบิด ท่ามกลางความตกตะลึงของผมและนอร์แมน จนกระทั่งออกปากร้องห้ามไม่ทัน
หมู่สมพร คลานเข้าไปหยุดที่ลูกระเบิดด้านลูกนั้นอยู่ชั่วอึดใจ ผมมองเห็นเขาก้มหน้าลงสำรวจลูกระเบิดอยู่ชั่วครู่ ก็หันกลับมามองดูผม พูดขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากอาการตื่นเต้น
“ไม่แน่ใจว่ามันจะด้าน หรือว่าเป็นลูกถ่วงเวลาสายชนวนถูกดึงออกแล้ว แต่ทว่าตับเชือกขาดเสียก่อน ระวัง...ผมจะโยนมันเข้าไปในไร่ฝิ่นข้างหน้าโน่น”
หมู่สมพร ค่อยๆลุกขึ้นนั่งคุกเข่า ผมมองเห็นเขาจ้องลูกระเบิดสากกระเบือเหมือนกับจะชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจหยิบลูกระเบิดขว้างขึ้นมาพร้อมกับดึงเชือกสีขาวที่ขาดห้อยอยู่ ที่บริเวณด้ามออกแรงดึงเต็มที่ แล้วขว้างเจ้าสากกระเบือดังกล่าวเข้าไปใร่ฝิ่นเต็มแรง
“บึ้ม”
ต้นฝิ่นหักระเนระนาดกระเด็นฉุยเหมือนกับถูกเฉือนด้วยของมีคม สะเก็ดระเบิดปลิวว่อน บางชิ้นพุ่งแฉลบผ่านศรีษะพวกผมส่งเสียงหวีดหวาดจนเย็นเฉียบเข้าไปถึงไขสันหลัง
ก่อนที่ผมจะตั้งตัวติด หมู่สมพรก็วิ่งพรวดพราดเข้าไปไนบ้านสองชั้น ซึ่งประตูทางเข้าเปิดหราอยู่ด้วยความรวดเร็วประดุจลมเพชรหึง ผมกับนอร์แมนเคลื่อนที่เข้า “บล็อก” บริเวณด้านข้างของบ้านดังกล่าว เอาไว้อย่างเงียบเชียบ
“บิ๊กแมน ผู้หญิงแม้วโดนฆ่าตายอยู่ข้างในนี่คนนึงครับ”
เสียงของหมู่สมพรดังลั่นอยู่ในบ้าน ผมกระชากแขนเสื้อนอร์แมน เผ่นพรวดตามเข้าไปอย่างชนิดแทบจะหายใจไม่ทัน
บ้านของแม้ว ที่มองเห็นภายนอกที่ปลูกเป็นแบบสองชั้นนั้น แต่เมื่อผมผลุบเข้าไปข้างในก็ปรากฏว่าบ้านดังกล่าวมีเพียงชั้นเดียวเท่านั้น ส่วนที่ใช้เป็นที่หลับนอนถูกยกสูงขึ้นจากพื้นดินจนกระทั่งมองดูเหมือนกับว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านสองชั้นอันผิดธรรมดาๆของบ้านแม้วโดยทั่วๆไป บนฟากไม้ที่เกะกะและรกรุงรังนั้น ร่างของสาวแม้วนอนตาเหลือกโพลงอยู่ในสภาพเปลือยครึ่งตัว ที่บริเวณลำคอเขียวคล้ำ เหมือนกับโดนบีบเค้นด้วยมือที่แข็งแรง ลิ้นที่แลบออกมาจุกที่ริมฝีปากมองดูเหมือนกับเศษผ้าขี้ริ้วที่ม้วนเป็นก้อนกลมๆแล้วยัดคาเอาใว้
“ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง”
เสียงรัวของอาร์ก้าที่ดังระงมออกมาจากบ้าน3-4 หลังที่อยู่ห่างออกไป ทำให้ผม นอร์แมน และหมู่สมพร กระโจนพรวดเข้าไปซุกตัวอยู่ข้างๆกระสอบข้าวที่วางซ้อนกันอยู่ริมผนังด้านหนึ่งพร้อมกับสอดสายตาทะลุรอยแตกของฝากระดานมองอกไปยังภาพที่สับสนวุ่นวายเบื้องหน้าเหล่านั้น ร่างของทหารเวียดนามเหนือคนนึงเลือดท่วมตัว วิ่งไหล่เอียงกระเซอะกระเซิงออกมาจากแนวรั้ว ปืนอาร์ก้าทีถืออยู่ในมือติดดาบปลายปืนขาววับ จุดหมายปลายทางของมันมุ่งเข้ามาที่พวกผมหลบอยู่พอดิบพอดี
“เสร็จกู ...มึง ไอ้แกว”
หมู่สมพรคำรามออกมาเสียงลึกๆแล้วค่อยๆฉากแวบออกไปจากประตู เข้าไปยืนซ่อนอยู่ตรงมุมบ้านอย่างเงียบเชียบ
ผมกับนอร์แมนเอาปากกระบอกปืนค่อยๆกระทุ้งกระดานที่อยู่ข้างๆกระสอบข้าวสาร ความบอบบางมันให้มันหลุดออกมาทั้งกะบิ จนมองเห็นภาพของทหารเวียดนามเหนืออย่างถนัดถนี่ ทหารเวียดนามเหนือหนีตายวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต มันผ่านเล้าหมูแล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเนิน พอร่างของมันคล้อยหลังหมู่สมพรซึ่งคอยจังหวะอยู่แล้ว ก็กระโจนพรวดเข้าประกบด้านหลังพร้อมกับเตะขวาตามเข้าไประหว่างก้นกบด้านหลังด้วยรองเท้าคอมแบ็ทหัวเสริมเหล็กเต็มแรง
ทหารเวียดนามเหนือ ร้อง จ๊าก มือทั้งคู่ตะครุบลงไปคุมห้องเครื่องแน่น
หมู่สมพรกระแทกพานท้ายปืนลงไปบนท้ายทอยสุดแรงเกิน
“พล็อก”
พานท้ายกระทบต้นคอด้านหลังของมันเต็มแรงจนทำให้มือทั้งสองของมันหลุดจาก “ห้องเครื่อง”ชั่วขณะ ทำอากัปกิริยาเหมือนกับจะยกขึ้นมาไขว่คว้าอากาศ แล้วผงะค่ำหน้ากระเสือกกระสนเหมือนกับปลาดุกโดนทุบหัว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 22:23  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19302

คำตอบที่ 49
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 9
หมู่สมพรกระโดดเตะเข้าประชิดตัว พร้อมกับเตะช้อนใบหน้าเต็มแรง
“เฉี๊ย”
ใบหน้าของมันสะบัดเริด มือทั้งสองเหยียดค้างออกไปด้านหลัง อาการกระเสือกกระสนหยุดเป็นปลิดทิ้ง เงียบ...สลบไปในบัดดล
มีเสียงเอะอะเกรียวกราวดังลั่นมาทางเบื้องหลัง เมื่อผมหันไปดู ก็มองเห็นสาวแม้ว 2-3 คน ถือมีดสะปาต้าเล่มยาวเฟื้อย วิ่งควบเข้ามาด้วยท่าทางเคียดแค้น นอร์แมนถลันออกไปขวางหน้าเอาไว้ ภาษาแม้วที่ชัดเจนจากปากของเขาพ่นออกมาเร็วปรื๋อ
“พวกเธอจะฆ่ามันไม่ได้เป็นอันขาด มันเป็นเชลยศึกที่เราต้องสอบสวน วางมีดเอาไว้ที่พื้น แล้วยืนอยู่นิ่งๆ”
สาวแม้วทั้ง 3 คนหยุดชะงัก จ้องมองดูหน้านอร์แมนด้วยความแปลกใจ ที่เห็นฝรั่งพุดภาษาพื้นเมืองของเธอได้ชัดเจนอย่างกับเป็นแม้วอีกคนหนึ่ง
ละในเวลาเดียวกันนั้น ทหารรับจ้างที่แยกย้ายกันตรวจค้นตามที่ต่างๆก็ทยอยเข้ามารุมพวกผมแน่นขนัด
หมู่สมพรก้าวเท้าออกไปชำเลืองดูทหารเวียดนามเหนืออยู่ชั่วครู่ ก็หันกลับมามองตานอร์แมนแล้วเอ่ยขึ้นเป็นระหัส F.A.G. อย่างชัดเจน
“กิโล-วิสกี้ (ตาย)”
นอร์แมน เม้มริมฝีปากแน่น เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก็หันกลับไปถามผู้หญิงชาวแม้วทั้ง 3 อีกครั้ง
“พวกมันทำอะไรเธอ... น้องสาว?”
“ฆ่าแม่ ฆ่าน้องสาว แล้วก็ข่มขืนพวกฉันทั้ง 3 คนนี่ ถ้าพวกนายไม่มา ป่านนี้มันก็คงจะฆ่าพวกฉันหมดแล้ว ปล่อยทหารแกวคนนี้ให้พวกฉันเถอะ...นาย”
นอร์แมนพยักหน้า พร้อมกับหันหลังให้ ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไปจากจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
พอผมขยับตัวตาม ประสาทหูก็ได้ยินเสียงมีดกระทบกับร่างของมนุษย์ดัง ฉับ...ฉับ...ฉับ พร้อมๆกับมีเสียงหัวเราะแหลมเหล็กดังประสาน ขึ้นมาอย่างโหยหวน แทรกซ้อนด้วยเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด...กระหายเลือดของหญิงแม้วกลุ่มนั้นดังขึ้นมาไม่ขาดระยะ
“หมูบ๊ะช่อ บิ๊กแมน ไอ้แกวโดนสับเละเทะไปหมดแล้ว”
หมู่สมพรกระซิบกับผมกับผม พร้อมกับดึงชายแขนเสื้อแจ๊กเก็ตฟิลด์ของผมเอาแน่น ทำกริยาเสมือนหนึ่งจะดึงให้ผมหยุดดูสภาพดังกล่าวอยู่ในที ผมหันกลับไปดู พระเจ้าช่วย นั่นมันร่างมนุษย์หรือสวะกันแน่ ศีรษะถูกบั่น หลุดออกมาจากลำคอ กลิ้งกระเด็นอยู่ใกล้ๆ และรูปร่างของศีรษะของศีรษะ ก็เปลี่ยนแปลงไป จนมองดูเหมือนกับผลมะพร้าวที่ถูกขวานจามยับเยินไปหมดทั้งลูก จมูกหลุดหายออกไปทั้งดั้ง กระพุ้งแก้มถูกคมมีดที่คมกริบเฉือนออกไปทั้งสองข้าง จนมองเห็นลิ้นที่อยู่ข้างในศพหัวขาดที่กองอยู่ถัดไป ถูกสับด้วยมีดสปาต้าจนเละเทะ เหมือนกับกองผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่สุมรวมกันเอาไว้ข้างถนน
เลือด.. เลือดสาดกระจาย เหมือนกับหมึกสีแดงที่หกราดพื้นถนน ลำไส้หั่นออกเป็นชิ้นๆ เหมือนกับเส้นมักกะโรดี
กลิ่นคาวฉุนขึ้นจมูก ผมขืนตัวดึงแขนสมพรออกเดินตามนอร์แมนไปอย่างรวดเร็ว
ก่อน 15.30 น. เล็กน้อย นอร์แมนก็บินกลับล่องแจ้ง บินกลับไปด้วยท่าทางทีกระหยิ่มยิ้มย่องทีตัวเขาสามารถฆ่าทหารเวียดนามเหนือได้ด้วยมือของเขาคนหนึ่งขณะเข้าตรวจค้นหมู่บ้านชาวแม้วพร้อมกับผม
ก่อนจะบินกลับ นอร์แมนกระซิบบอกกับผมด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“บิ๊กแมนคุณรู้ไหม ทหารเวียดนามเหนือที่ถูกผมยิงตายเมื่อกี้นี้เป็นศพแรกในสมรภูมิลาวภายในระยะ 4 ปีที่ผมก้าวเข้ามาปฏิบัติหน้าที่นี้ ฟลุ๊คเป็นบ้า ไม่ได้ฆ่าคนนานๆชักมันมืออีกแล้วซี ผมไปล่ะ อ้อ ช่วยบอกคำคมด้วยว่า ขอให้แผนการของคำคมจงดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและสัมฤทธิผลทุกประการ โชคดีครับ”
จากลักษณะคำพูดของนอร์แมนแสดงให้เห็นว่า ขณะนี้ เขาสยบ ให้แก่ยอดเสนาธิการของประเทศไทยอย่างสิ้นเชิงแล้ว
จากครั้งแรกที่มีท่าทีเฉยเมยและเชือดเฉือนกันอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนกันเป็นการสนับสนุนและเอาอกเอาใจกันจนออกหน้าออกตาของบุคคลทั้งสอง ทำให้ผมบังเกิดความสบายใจยิ่งกว่าครั้งใด
จากอดีตสิงห์สงครามของหน่วยกรีนเบเรต์ จากสมุดบันทึกประวัติของซีไอเอ นอร์แมนผ่านการฆ่าคนอย่างวินาศสันตะโรมาแล้ว
“นอร์แมน” เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในขบวนผู้ต้องสงสัย สังหารหมู่ประชาชนเวียดนามที่หมู่บ้านไมลาย อันอื้อฉาวทั่วโลกมาแล้ว
นอร์แมนพ้นคดีสังหารหมู่องค์การมหาประลัย ซีไอเอ ก็อ้าแขนรับเขาไว้ในตำแหน่งเสนาธิการทันที เลิกฆ่าคนด้วยมือของตัวเอง แต่ก็ยังไม่พ้นที่จะออกคำสั่งให้คนอื่นฆ่า เพชฌฆาติสงครามอย่างนอร์แมนไม่มีวันหลีกพ้นจาก “กฎกรรม”ของสงครามไปได้หรอก
เขาประชิดเข้ามามีบทบาทร่วมกับพวกผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมีศพแรก มันก็ต้องมีศพต่อไป และต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าตัวของนอร์แมนจะโดนฆ่าตายลงไปตาม “กฎกรรม”ของสงครามนั่นแหละ ทุกสิ่งสุกอย่างจึงจะหมดเวรซึ่งกันและกัน
ทหารเวียดนามเหนือ 2 คนสุดท้ายซึ่งโดนสังหารในบริเวณหมู่บ้านชาวแม้ว เป็นทหารยศสิบเอกทั้งคู่
ตามความคาดคะเนของผม ทหารเวียดนามเหนือทั้ง 2 คนนี้ คงจะเข้ามาค้างคืนกับผู้หญิงดังกล่าว เหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นในขณะพวกผมยกเข้าโจมตีคงทำให้ทหารทั้งสองหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ก็เลยต้องฆ่า ฆ่าเพื่อปิดปากแล้วหาทางหลบหนีออกมา จนกระทั่งเจอะเข้ากับพวกผมพอดิบพอดี เลยซวยไป
คำคมเรียกประชุมชาวแม้วทั้งหมด พวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมอพยพไปล่องแจ้ง เนื่องจากเป็นห่วงไรฝิ่นซึ่งจวนจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวอยู่แล้ว พวกเขาลงทุนลงแรงมามาก การละทิ้งไร่ฝิ่นออกไปก็เหมือนกับการหมดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
พวกแม้วเหล่นั้นขอร้องให้คำคมส่งข่าวไปยังท่านนายพลวังเปาขอให้ออกคำสั่งเรียกชาวแม้วบ้านเถิดเทิงที่อพยพออกไปรีบกลับมาด่วน เพื่อช่วยกันเก็บเกี่ยวฝิ่นกันต่อไป
อนิจจา พวกแม้วเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าชาวแม้วอพยพส่วนหนึ่งจากหมู่บ้านแห่งนี้ได้พบการสูญเสียชีวิตบนยอด ภูหินซับ จากการประจัญบานกันอย่างท่วมเลือดกับทหารเวียดนามเหนือจนเกือบหมดสิ้นแล้ว
สงคราม สงคราม ญาติพี่น้องต้องพลัดพรากจากกันไปคนละทิศละทาง สมบัติทุกชิ้นที่สะสมมาด้วยความยากลำบาก โดนภัยพิบัติของสงครามทำลายลงเพียงชั่งพริบตา
ทั้งๆที่รู้พิษภัยของสงคราม แต่ผมก็หลีกมันไม่ได้ซักที...เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะความหอมหวนของดอลล่าร์ที่พวกมันประเคนให้อย่างท่วมท้นนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมอยู่ใน คุกสงคราม มาจนกระทั่งแทบทุกวันนี้
ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนพระอาทิตย์ตกดิน...คำคมออกตรวจแนวด้วยตัวของเขาเอง อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ผมก้เลยต้องตามติดไปอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว แสงตากผ้าอ้อมยังคงเรืองรองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ผมเหม่อมองดูทางข้นเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ด้วยความคิดที่สับสนและวุ่นวายกว่าทุกครั้ง ก็เส้นทางดังกล่าวนี้มิใช่หรือที่ผมแตกหนีกระเจิดกระเจิงลงมาอย่างกับคนขวัญเสีย แล้วผีห่าซาตานตนใดมันดลใจให้ผมเดินทางขึ้นไปพบกับมันอีกเล่า
ยอดเนินสกายไลน์-วัน ท้าทายอยู่เบื้องหน้าด้วยระยะเพียง 3 กิโลเมตร ทำให้ผมอยู่ใกล้กับข้าศึกเพียงระยะ 7 ชั่วโมงเดินเท่านั้น
ฐานปฏิบัติการของ BC.617 ตั้งอยู่บนไหล่เขาประชันหน้ากับด้านข้างของเนินสกายไลน์-วัน
กองร้อย ที่2 และ 3 วางตัวเป็นแนวยาวคลุมพื้นที่ยาวเหยียดตลอดไหล่เขา
กองร้อย 1 มีหน้าที่คุ้มกัน บก.พัน และหมวดอาวุธหนัก ซึ่งตั้งฐานยิงอยู่เกือบจะถึงยอดฝาชีที่สูงเสียดฟ้านั้น
เนื่องจากสภาพไหล่เขาของเนินสกายไลน์-วันป่าค่อนข้างทึบ ทำให้ตรวจการในความเคลื่อนไหวของข้าศึกไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว
เงียบ เสียจนผมนึกอยู่ในใจว่าพวกมันคงจะกำลังวางแผนอะไรต่ออะไรที่จะจู่โจมกองพันของผมเป็นการแก้แค้นแทนเพื่อนๆของมันที่สูญเสียชีวิตเพราะน้ำมือกองพันผมก็อาจจะเป็นได้
หมู่บ้าน 50 หลัง ปรากฏลิบๆอยู่บริเวณตีนเขาของเนินสกายไลน์-วัน
หมู่บ้าน 50 หลังเป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธ์และผลไม้เมืองหนาวนานาชนิด แอปเปิล ลูกท้อ เชอร์รี่ งามสะพรั่งจนผมไม่เชื่อสายตาตัวเองมาแล้ว
หมู่บ้าน 50 หลัง เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียน วังเปา-อนุสรณ์ มีครูสาวๆชาวแม้วที่สำเร็จวิทยาลัยครูอุดรมาสอนประจำถึง 3 คน และนักเรียนส่วนมากก็เป็นเด็กๆจากหมู่บ้านเถิดเทิง ที่ต้องเดินทางข้ามภูเขาไปเรียนด้วยระยะทางไปกลับไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร
ภัยพิบัติจากสงครามทำให้โรงเรียน วังเปา-อนุสรณ์ ต้องปิดลงพร้อมด้วยชีวิตครูสาวชาวแม้วผู้น่าสงสาร ผู้ซึ่งเป็นห่วงชีวิตของลูกศิษย์ยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง
ในขณะที่ลุกปืนใหญ่ 130 ของเวียดนามเหนือกำลังถล่มลงที่หมู่บ้าน 50 หลัง กระสุนนัดหนึ่ง แจ้คพ็อต ตูมลงมาบริเวณด้านหลังโรงเรียนพอดี เสียงร้องของลูกศิษย์ทำให้ครูสาวเหล่านั้น ลมตัววิ่งปราดเข้าไป หวังจะช่วยลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บด้วยความห่วงใย
กระสุนปืนใหญ่ 130 นัดต่อมา แจ็คพ็อต ลง ณ ที่เดิม.... ทั้งลูกศิษย์...ทั้งครู...ทั้งโรงเรียน ปลิวหายไปจากตำแหน่งเดิมเหมือนกับโดนพายุ
อนิจจา......สงครามที่หฤโหด....



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 23:32  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19303

คำตอบที่ 50
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 10
อากาศเริ่มจะปิดอีกแล้ว สายหมอกเริ่มโรยตัวลงมาเหมือนกับปุยหิมะ และพร้อมๆกันนั้นความมืดที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้คลืบคลานเข้ามาเหมือนกับจะนัดเอาไว้
ยอดเนินสกายไลน์-วัน หายลับไปจากสายตา
หมอกที่หนาทึบซ้อนเรียงรายซับซ้อนกัน จนบางครั้งก็ดูเหมือนกับบันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์
ความหนาวเย็นยะเยือกจู่โจมเข้ามาอย่างกระทันหัน ความหนาวเหน็บของมันทำให้มือไม้ของผมชาไปหมดทั้งแถบ แม้กระท่งเสื้อแจ็คเกตฟิลด์ที่หนาเตอะก็ช่วยอะไรผมไม่ได้มากนัก ต้องอาศัยผ้าห่มขนสัตว์ของคำคมที่กรุณาจัดหามาให้คลุมตัวนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ในบังเกอร์ที่ปราศจากหลังคาบนไหล่เขาของยอดเถิดเทิงนั่นเอง
สายหมอกเปลี่ยนตัวเองหยดเป็นน้ำ แล้วพร่างพรมลงมาเหมือนกับสายฝน ในไม่ช้าทหารคลุมบังเกอร์กันเป้นทิวแถว
คำคมหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วใช้ไฟฉายขนาดจิ๋วส่องดูอยู่ชั่วขณะก็พึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับห่อตัวลงด้วยความหนาวเหน็บที่ทับทวีขึ้นอย่างน่ากลัว
“-2 องศาเซลเซียส และรู้สึกว่าปรอทมันจะลดลงเรื่อยๆ ไอ้ห่า..หนาวระยำ บิ๊กแมนคุณลองขอ สปุกกี้ มาทิ้งแฟล์บริเวณหมู่บ้าน 50 หลังดูบ้างสิครับ บางทีเราอาจจะตรวจการณ์พื้นที่ดังกล่าวได้บ้าง”
“ยากครับ... ผู้พัน หลังจาก T-28 โดน 12.7 ของเวียดนามเหนือยิงตกแล้ว ไม่มีนักบินคนไหนกล้าพาเครื่องบินผ่านเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวนี้อีกเลย แม้กระทั่งสไปร้ท นักบินตรวจการณ์ที่บ้าบิ่นที่สุดในสมรภูมิลาวก็ยังเข็ดเขี้ยวอำนาจกระสุนแตกอากาศแตกอากาศของมัน ใช้ ค. 4.2 และ ค.81 ของหมวดอาวุธหนักไม่ดีกว่าหรือครับ?”
ผมเสนอความคิดออกไปพร้อมขยับมือและเท้าที่กำลังจะเป็นตะคิวอยู่ไปมา
“ผมจะต้องเซฟแฟลร์เอาไว้ แต่ถ้าไม่มีเครื่องสปุกกี้จริๆมันก็ต้องใช้ เฮ้ย...บุญนาม ลื้อใช้ HT2 สั่งให้หมวดอาวุธหนักยิงแฟลร์ลงไปที่หมู่บ้าน 50 หลังทุกๆ 10 นาที จนกว่าอั๊วจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง”
สามสี่ประโยคหลัง คำคมหันไปออกคำสั่งกับพนักงานวิทยุประจำกองพันที่นั่งคลุมโปงอยู่ข้างๆ
“ถ้พวกมันแหกแฟร์และเคย์โมเข้ามาได้เหมือนอย่างที่เคยทำกับกองพันอื่นๆมาแล้ว ผมจะยกธงขาวให้มันเดินขึ้นมายึดกองพันของเราเลยทีเดียว บิ๊กแมน บทเรียนที่แล้วๆมาของเราในสมรภูมิ ได้ถูกผมนำมาดัดแปลงแก้ไข จนกระทั่งขณะนี้ผมสามารถคุยได้อย่างเต็มปากเลยว่า ถ้าพวกมันขืนบุกขึ้นมาถอดสายเคลย์โมของเราเมื่อไหร่เป็นต้องเจอของดีเมื่อนั้น”
“พร็อก .... พรึบ”
แฟลร์จาก ค.81 สว่างพรึบบนทางลาดเบื้องล่าง แสงสว่างของมันถูกบดบังด้วยสายหมอกจนกระทั่งมองไม่เห็นภูมิประเทศเบื้องล่างชัดเจนเท่าใดนัก คำคมหันมาออกความเห็นของผมอีกครั้ง
“ผมเชื่อมือ ซีไอเอ ในเรื่องการหาข่าวกรองและการสร้างอาวุธที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม จนบางครั้งผมแทบจะไม่เช่ออว่าประสิทธิภาพของมันจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆที่พวกมันคาดไม่ถึงก็คือ “แฟลร์ตัดหมอก” ที่ใช้ในขณะภูมิประเทศที่กำลังมืดมิดเช่นนี้ ของง่ายๆถ้าจะเปรียบเทียบกับอาวุธชนิดอื่นๆของมัน ทำไมพวกมันไม่คิดจะทำกัน บิ๊กแมนลองคุยข้อคิดของผมให้ไอ้นอร์แมนมันทราบดูบ้างสิครับ ผมคิดว่าสิ่งที่พวกมันคาดไม่ถึงเหล่านี้ อาจจะเป็นประโยชน์แก่ทหารรับจ้างในภายหลังก็ได้ ใครจะรู้”
ความคิดของคำคมไม่เลวนัก เพราะจากสภาพเท่าที่ผมมองเห็นมันเป็นความจริงอย่างที่คำคมพูดทุกประการ แสงแฟลร์ไม่สามารถที่จะทะลุสายหมอกหนาทึบนั้นได้ ถึงแม้จะได้ผลก็น้อยเต็มที จนกระทั่งตรวจการณ์อะไรไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว
“สงครามลาวนี่ก็เถอะน่า ผมรู้สึกว่าไอ้กันมีเจตนาที่จะ ดอง สงครามลาวเอาไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ เอากันอย่างง่ายๆ ถ้ามันหวังผลแพ้ชนะ มันก็ต้องสนับสนุนอาวุธที่มีประสิทธิภาพให้กับพวกเราแล้ว...ขนาดเวียดนามเหนือมีปืนใหญ่ขนาด 130 ที่ยิงได้ไกลถึง 32 กิโลเมตร ไอ้กันก็ยังส่งปืนใหญ่ซังกะบ้วยขนาด 155 มายิงสู้กับมันอยู่ได้ 155 มม.ของเรายิงได้เท่าไหร่กัน คุณก็รู้อยู่แล้ว ประสิทธิภาพของมันห่างกันครึ่งต่อครึ่ง ทำไม....ทำไมมันไม่ส่งปืนขนาด 175 มาให้เราบ้าง เราจะได้ใช้อำนาจการยิงไกล 45 ก.ม. ของหมันหยุดยั้งการ...ปฏิบัติการใดๆของข้าศึกเสียที...”
คำคมหยุดพูด ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบหมากฝรั่งขึ้นใส่ปาก 2-3 เม็ด แล้วส่งหมากฝรั่งที่เหลือให้ผมทั้งกล่อง พูดยืดยาวต่ออย่างน่าเลื่อมใส...
“-รัฐบาลไทยก็เถอะน่า ไม่น่าหลวมตัวส่งทหารรับจ้างเข้ามายุ่มย่ามในเมืองลาวนี่เลย ผมเป็นทหารอาชีพ หน้าที่ของผมก็คือทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด กระทำตามทั้งที่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ส่วนดีของทหารอาชีพหยั่งผมก็คือ พสร.(เงินเพิ่มการสู้รบ) ซึ่ง พสร.ดังกล่าวเมื่อบวกกับเงินเดือนแล้วมันก็จะมียอดเงินเพิ่มขึ้นมิใช่น้อยเลยทีเดียว เอากันอย่างง่ายๆขนาดจ่าสิบเอก ซึ่งมีเงินเดือนแค่ 1,800 บาทแต่บังเอิญจ่าคนนั้นผ่านสมรภูมิมาแล้วถึง 4 สมรภูมิ เช่น เกาหลี เวียดนาม ลาว เขมร คุณรู้ไหม ..บิ๊กแมน จ่าคนนั้นหวดเงิน พสร. เข้าไปเท่าไหร่ อย่างเบาะๆก็ฟัดเข้าไปตั้ง 1,700 บาทเข้าไปแล้ว ...เงินเดือนบวกพสร. 3,500 บาท แล้วถ้าจ่าผู้นั้นสังกัดอยู่ศูนย์สงครามพิเศษก็ต้องรวมค่าปีกเข้าไปอีกด้วย คุณเอ๋ยขนาดยศชั้น จ่าสิบเอก รับเงินเดือน-เดือนหนึ่งตั้ง 4000 บาท แล้วทหารอาชีพทั้งหลายจะไม่แข่งกันมารบเพื่อ ล่า พสร.กันได้อย่างไร ถึงจะตายลงในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทางราชการก็ปูนบำเหน็จให้อย่างเหมาะสม ร่างกายพิกลพิการก็ได้รับพิจารณาเลื่อนยศรับเงินเดือนไปจนชั่วชีวิต นี่แหละครับ ส่วนดีของทหารอาชีพที่ผมมีความเห็นว่าเข้าท่ากว่าอาชีพอื่นๆในปัจจุบัน...ผมขอตัวหน่อยนะครับ...”
คำคมลุกขึ้นเดินไปที่บริเวณที่นอน...นั่งคุกเข่ายกมือพนมหลับตานิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินเสียงสวดมนต์อันเป็นกิจวัตรประจำวันของท่านดังขึ้นมาด้วยเสียงอันสม่ำเสมอ คล่องแคล่ว ไม่ขาดตอนแม้แต่นิดเดียว
ใช่แล้วครับ คาถาบท”ชินบัญชร”อันศักสิทธิ์ของสมเด็จวัดระฆังได้แผ่อำนาจพุทธคุณครอบคลุมให้แก่กองพันท่านแล้ว
คำคมเป็นพุทธมามะกะที่เคร่งศาสนาคนหนึ่ง ไม่ว่ากองพันจะตกอยู่ในสถานการณ์ณ์ที่เลวร้ายเพียงไร จะต้องมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คำคมจะต้องปลีกตัว นั่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วยจิตใจที่แน่วแน่ และมั่นคง
และก็เหมือนกับปาฏิหารย์ คำคมสามารถพากองพันของเขาหลุดพ้นจากภัยพิบัติไปได้แทบทุกครั้ง จนกระทั่งคำคมหมดภารกิจกลับประเทศไทย
BC 617 เปลี่ยน ผบ.พันคนใหม่ และแล้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา BC 617 ก็ต้องพบกับการสูญเสียอย่างย่อยยับพอๆกับกองพันทหารรับจ้างอื่นๆเลยทีเดียว
นี่แหละครับ คือสิ่งเหลือเชื่อเล็กๆน้อยๆทีผมเคยได้พบเห็นมา ด้วยตาของตนเองในสมรภูมิลาว
และคืนนั้นทั้งคืน กองพันของผมก็ “ปลอด” จากการรบกวนของข้าศึกเหมือนกับปาฏิหารย์
06.30 น. อากาศเปิด ทัศนะวิสัยโล่งไปหมดทั้งขุนเขา ยอดเนินสกายไลน์-วันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่เบาบาง
ก้อนเมฆก้อนใหญ่ที่ปกคลุมระหว่างกึ่งกลางของยอดเนินทำให้ยอดของมันมองดูคล้ายกับฝาชีที่วางอยู่บนปุยสำลีที่ขาวพิสุทธิ์
อาหารเช้าได้ถูกประกอบขึ้นอย่างรีบเร่ง ในขณะที่ทหารรับจ้างทุกคนกำลังสาละวนทำอาหารอยู่นั้น กองพันของผมก็ได้รับการสวัสดีจากทหารเวียดนามเหนือที่อยู่บนเนินสกายไลน์-วัน เป็นครั้งแรก
“ตุ๊ง..ตุ๊ง...ตุ๊ง...ตุ๊ง” เสียงแว่วๆดังมาจากยอดเนิน “สกายไลน์-วัน” ชั่วอึดใจผมก็ได้ยินเสียงแว้ดยาวก้องกังวานมาบนท้องฟ้า
“เฮ้ย...ลูกยาว..ลงหลุมโว้ย” หมู่สมพรตะโกนลั่นวิทยุ HT-2
ผมขว้างถ้วยกาแฟทิ้ง กระโจนพรวดเดียวลงไปนอนพังพาบอยู่ก้นหลุมเพลาะ และพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูของผมก็ได้ยินเสียงกัมปนาท ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาข้างๆตัว
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม” สี่นัดซ้อนๆของปืนครกขนาด 82 ที่ระดมยิงมาจากเนิน ชาร์ลีกอล์ฟ แนวกระสุนของมันข้ามศีรษะของผม ดิ่งเข้าหาที่ตรงหมวดอาวุธหนักเข้าให้แล้ว
ความเป็นห่วงเพื่อนฝูง ทำให้ผมขยับตัวโผล่ศีรษะขึ้นจากหลุม ยังไม่ทันจะพ้นขอบ ผมก็ต้องฟุบลงไปหมอบนิ่งอีกครั้ง
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...” อีกสี่นัดซ้อนๆที่ถูกระดมยิงมาจากที่ตั้งปืนแห่งใดแห่งหนึ่งบนเนินสกายไลน์
“หมวดอาวุธหนัก อย่าเพิ่งยิง ไม่เห็นที่ตั้งของข้าศึก...อย่ายิง...เปลืองกระสุน ให้อั๊วตรวจการณ์ที่ตั้งปืนของพวกมันก่อน”
เสียงคำคม สั่งการลั่นวิทยุสนามพอผมสังเกตเห็นว่าระยะการยิงของข้าศึกเว้นช่วงการยิงลงไป ผมก็ค่อยๆโผล่ศีรษะขึ้นมาดูตำบลกระสุนตกของข้าศึกด้วยความระมัดระวัง
ตำบลกระสุนตก หล่นลงบนทางลาดก่อนจะถึงฐานปฏิบัติการของหมวดอาวุธหนักเพียง 25 เมตร และระยะดังกล่าวก็เป็นระยะกึ่งกลางระหว่างหมวดอาวุธหนักกับ บก.พัน พอดี
“คำคมจากสมพร.... ค.82 สองกระบอกเคลื่อนที่จาก ชาร์ลี-กอล์ฟ มาอยู่ที่พิกัด 789942 ผมตรวจการณ์เห็นควันจากปากลำกล้องชัดเจนเลยครับ
หมู่สมพร ซึ่งออกไปลาดตระเวน ตั้งแต่ 6.00 น. วิทยุรายงานเข้ามาอย่างตื่นเต้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 10:09  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19305

คำตอบที่ 51
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 11
“ได้ยินไหม ไอ้น้อง พิกัด 789942 ซ้ำอีกครั้ง 789942 คือที่ตั้งปืน ค.82 ของข้าศึก จวกมันเลย ล่อมันด้วยลูกสังหารซัก 2 ชุด สมพรปรับทางปืนให้หมวดอาวุธหนักด้วยโว้ย”
คำคมออกคำสั่งทางวิทยุสนามให้หมวดอาวุธหนัก ระดมยิงที่ตั้งปืน ค.82 ของข้าศึกและเวลาเดียวกันก็บอกให้ลูกน้องคู่ใจของเขาปรับทางปืนไปพร้อมๆกัน พอพูดจบคำคมก็หันมาพูดกับผมด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ผมนกแล้วไม่มีผิด เมื่อคืนพวกมันจะต้องเคลื่อนย้าย ค.82 ลงมาตั้งยิงเรายังไหล่เขาเบื้องล่าง โน่น ค.82 ของมันยิงได้ไกลเพียง 4 ก.ม. ถ้ามันตั้งอยู่ยอดเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ อย่างดียิงมาก็ตกอยู่แถวๆตีนเขาของเราเท่านั้น จากพิกัด 789942 อยู่ห่างจากเราเพียง 3.5 ก.ม. ซึ่งระยะดังกล่าวก็อยู่ในระยะหวังผลของมันพอดี เอาล่ะ บิ๊กแมน คอยดูลูกน้องของผมดวลปืนครกกับมันดีกว่า”
พอคำคมพูดจบ กระสุน ค.81 ของหมวดอาวุธหนักก็พุ่งข้นจากยอดเนินเถิดเทิงแล้วโค้งดิ่งลงไปยังบริเวณพิกัด 789942 อย่างรวดเร็ว
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม” ชุดแรกของมัน 4 นัด ของเราก็ตอบมัน 4 นัดเช่นกัน
“ซ้าย 100 ลด 100 ใส่มาเลยเพื่อนฝูง” หมู่สมพรปรับทางปืนอย่างทันอกทันใจ
อีกหนึ่งนาทีต่อมา
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม” ชุดที่สองของมันสลุตกระสุนมาอีก 4 นัด ของเราก็ถล่มลงไปอีก 4 นัดเท่าๆกัน
“ออน ทาร์เก็ต” (ตกลงเป้าหมาย) เสียงหมู่สมพรพูดพลางหัวเราะลั่นวิทยุด้วยความชอบอกชอบใจ ที่ผลการยิงของพวกเราได้ผล
“ปรส. เตรียมยิง ที่หมายพิกัดเดียวกับ ค.81 พร้อมแล้วยิงได้เลย”
ก่อนที่ ปรส.ของหมวดอาวุธหนักจะระดมยิงออกไป ทหารเวียดนามเหนือก็ตัดหน้ายิง ปรส.82 เข้ามาก่อนเหมือนอย่างจะทายใจเราออก
“ตุ้ง....แว้ด...บึ้ม” ปรส.82 นัดแรกของข้าศึก เจาะเนินดินทางด้านซ้ายของยอดเนินฝาชีเข้าอย่างถนัดถนี่ แรงระเบิดอันมหาศาลของมันฉีกแนวดินขาดออกไปเป็นทาง มองดูเห็นรอยแหว่งถนัดหูถนัดตา
“ตุ้ง...บึ้ม” ปรส.75 ของฝ่ายเรายิงตรงไปยังไหล่เขาของเนินสกายไลน์ ที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง
ตำบลกระสุนตกพลาดจากเป้าหมายทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ว่ากระสุนจาก ค.81 ทั้ง 4 นัดของฝ่ายเราจะถล่มลงบนที่ตั้งของพวกมันก็ตามที อำนาจกระสุนไม่สามารถจะถล่มบังเกอร์อันแข็งแรงที่คุ้มตัวปืนของมันได้ นอกเสียจากจะ “แจ็คพ็อต” ลงบนตัวปืนจริงๆเท่านั้น และก็ดูเหมือนกับว่า เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวจะเป็นไปได้ยากเต็มที่
“ลูกยาว” ชนิดต่างๆผลัดกันยิงถล่มเข้าใส่กัน เหมือนหนึ่งว่าพวกมันจะทายใจเราออกว่า เราจะยิงอาวุธหนักชนิดไหนไปหามัน เล่นเอาพวกเราเอะใจไปตามๆกัน เมื่อการยิงไร้ผล ช่วงการยิงก็เริ่มห่างออกไป จนกระทั่งยุติลงเป็นปลิดทิ้งใน 45 นาทีต่อมา
“พวกมันมีวิทยุดักฟังพวกเราอยู่ตลอดเวลา และการยิงครั้งนี้เป็นการหยั่งเชิงอาวุธหนักของเราและเป็นการยิงรบกวนประจำชั่วโมง ถ้าคุณไม่เชื่อ ประเดี๋ยวอีกชั่วโมงคุณคอยดูก็แล้วกัน พวกมันจะต้องจวกเราอีกรอบแน่ๆ แต่คราวนี้ พวกเราไม่ต้องรอให้มันยิงก่อนหรอกครับ พอถึงกำหนดหนึ่งชั่วโมง เราจะเริ่มยิงรบกวนมันทันที
ความคิดของคำคมถูกต้อง ต่อจากนั้นเป็นระยะๆ การยิงรบกวนซึ่งกันและกันก็ได้ดำเนินไปทุกๆต้นชั่วโมง จนกระทั่งเลิกราไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเวลาเที่ยงตรง อาหารเที่ยงผ่านไปอย่างทุลักทุเล ทหารรับจ้างไม่ค่อยกล้าออกจากร่องสนามเพลาะ อาหารสดก็ต้องถูกงดไปโดยปริยาย “เรชั่น” ถูกงัดขึ้นมาแก้ขัดกันเป็นทิวแถว
หมู่สมพรซึ่งเพิ่งจะพาทหารกลับจากลาดตระเวนเข้ามาทางคำคม พร้อมกับรายงานถึงการลาดตระเวนอย่างถี่ถ้วน
“เส้นทางเข้าหมู่บ้าน 50 หลัง มีอยู่สองทาง แต่ละทางก็ปราศจาก “กับระเบิด”ใดๆทั้งสิ้น ผมไม่กล้าพาทหารขึ้นไปบนนั้น เพราะจากสิ่งบอกเหตุของการระดมยิงอาวุธหนัก ทำให้ผมคาดว่า จะต้องมีพวกมันส่วนหนึ่งกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ข้างบนนั้นแน่ๆ”
ก่อนที่คำคมจะเอ่ยอะไรออกมา ผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์ดังอยู่เหนือยอดเนินเถิดเทิงและชั่วอึดใจต่อมา มันก็ปรากฏตัวออกมาจากไหล่เขาด้านซ้าย แล้วบินแฉลบตีวงกว้างเตรียม “แลนดิ้ง” ลงบนยอดฝาชี อันเป็นพื้นที่ราบแห่งเดียวที่ชอร์ปเปอร์พอจะลอยตัวลำเลียงสัมภาระได้
และครั้งนี้ไม่มีการติดต่อวิทยุระหว่าง F.A.G. กับนักบินเหมือนอย่าง จนผมชักเอะใจ เพราะตามปกติ ชอร์ปเปอร์จะต้องเป็นฝ่ายเรียกวิทยุติดต่อกับ F.A.G. ประจำกองพันเสียก่อน ที่จะนำเครื่องลง ชอร์ปเปอร์ลอยตัวอยู่เหนือบริเวณฝาชี อยู่ชั่วครู่ก็ทิ้งกระดาษลงมาหนึ่งกล่อง แล้วรีบดึงตัวเองข้นเบื้องบน บินลับหายไปอย่างรวดเร็ว
ทหารหมวดอาวุธหนัก 6 คน แบกกล่องกระดาษ ซึ่งมีขนาดเท่ากับกล่องบรรจุตู้เย็นขนาด 4 คิว เดินขาปัดไปปัดมาอยู่ครู่หนึ่งก็ลื่นไถลลงมาจากยอดเนิน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเกรียวกราวของทหารรับจ้างที่โผล่หน้าขึ้นจากร่องสนามเพลาะมองดูกันสลอนไปหมด
กว่าจะแบกกล่องกระดาษที่หนักอึ้งลงมาได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร
“กล่องอะไรของมัน ผมไม่ได้ขออะไรไปทางส่วนหลังซักนิดเดียว ส่งผิดที่ละกระมัง บิ๊กแมน”
คำคมเอ่ยขึ้นมาอย่างคลางแคลงใจ
“ไม่ทราบครับ นักบินไม่ยอมติดวิทยุกับผมเสียด้วย ทั้งๆที่รู้ว่าฐานของเรามี incomming (ลูกยาว) นักบินมันก็ยังกล้าบินมาแสดงให้เห็นว่า มันจะต้องมีความสำคัญอยู่มากทีเดียวครับ ผู้พัน”
กล่องกระดาษถูกยกมาวางอยู่เบื้องหน้า ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ผมจำได้ติดหูติดตาว่าเป็นลายมือของนอร์แมนติดหราอยู่ที่บนสุดของกล่องด้วยอักษรขนาดใหญ่สีแดงแจ้ดความว่า
“สำหรับคำคม ผบ.พัน 617 โดยเฉพาะ”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งใช้มีดดาบปลายปืนแกะสก็อตเทปที่ติดอยู่ระหว่างขอบกล่องอย่างระมัดระวัง บุหรี่อเมริกันนานานชนิดเรียงรายเป็นพรืดอยู่ในกล่องนั้น มันเป็นจำนวนมากมาย จนผมกะจำนวนของมันไม่ถูก แต่เท่าที่มองเห็นด้วยสายตา บุหรี่จำนวนนี้พอที่จะแจกจ่ายทหารทั้งกองพันได้อย่างสบายๆเลยทีเดียว
“นับจำนวนบุหรี่ แล้วเฉลี่ยออกให้ได้รับคนละเท่าๆกัน ไม่ว่าจะเป็นพลทหาร,นายสิบ,หรือว่า นายทหาร เสร็จแล้วให้ ผบ.ร้อย แต่ละกองร้อยรับผิดชอบ พนักงานวิทยุเรียก ผบ.ร้อยมารับบุหรี่ด้วย”
คำคมออกคำสั่งพนักงานวิทยุที่ยืนข้างๆพร้อมกับเอื้อมมือออกไปรับกล่องขนาดกะทัดรัดที่ซุกซ่อนอยู่ในห่อบุหรี่จากมือของทารรับจ้างคนที่ทำหน้าที่เช็คจำนวนบุหรี่อยู่นั้น บนกล่องกระดาษปรากฏอักษรสีแดงขนาดใหญ่ “TOP SECRET” และบรรทัดต่อมาตัวอักษรย่อมลงนิดนึงใจความว่า “เฉพาะบิ๊กแมนและคำคม” มองเห็นถนัดตา
คำคมอุ้มกล่องกระดาษเดินเข้าไปในบังเกอร์ส่วนตัวพร้อมกับหันมาพยักหน้าให้ผมทำนองให้ตามเข้าไป
คำคมวางกล่องลงบนลังกระสุนเปล่าที่ทหารดัดแปลงให้เป็นโต๊ะประชุมขนาดเล็ก ผมเอื้อมมือไปดึงกล่องมาแกะดูด้วยความสนใจ
วัตถุรูปร่างเหมือนกับ “สากกะเบือ” ขนาด 12 นิ้ว วางเรียงรายอยู่ในแผง 8 อัน เมื่อผมหยิบมันขึ้นมากองรวมกันบนโต๊ะ คำคมถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ไอ้นอร์แมน มันนึกยังไงของมันถึงได้ส่งสากกระเบือมาให้คุณกับผม ผมว่าท่าทางประสาทมันจะกลับแล้วนาคุณนา ออกรบกับเขาครั้งเดียว ทำไมมันบ้าๆบอๆ ไปเสียก็ไม่รู้”
ขณะที่พูด คำคมก็เอื้อมมือลงไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเท่ากับฝ่ามือที่วางอยู่บนก้นกล่องขึ้นมาเปิดดูอย่างเนือยๆ
“คำสั่งปฏิบัติการพิเศษและหมายกำหนดการทิ้งระเบิดของ B-52 “
คำคมพึมพำออกมา จากคำพูดของคำคม ประโยคนั้น ทำให้ผมล่ะความสนใจจากสิ่งอื่นๆโดยสิ้นเชิง เขยิบเข้าไปใกล้ๆ จ้องสายตาลงไปบนแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของคำคมอย่างยอมเสียมารยาท คำคมวางแผ่นกระดาษสีเหลืองเข้มลงบนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือรีดไปมาเพื่อให้กระดาษดังกล่าวตึงเรียบกับพื้นโต๊ะ ปาก็พูดอยู่ตลอดเวลา
“นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ที่ชอร์ปเปอร์มันไม่ยอมใช้วิทยุติดต่อลงมาเหมือนครั้งก่อนๆ ผมเห็นคุณเฉยๆ ไม่ติดต่อมัน ยังนึกสงสัยว่าวันนี้ คุณเป็นอะไรไป เห็นเซ็งๆชอบกล เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยเข้าล็อก รักษาความลับพอดิบพอดี”
“ครับ ผู้พัน ตามปกติ ชอร์ปเปอร์ ที่ได้รับคำสั่งให้บินมาฐานปฏิบัติการแห่งหนึ่งแห่งใด นักบินย่อมรู้แล้วว่าฐานแห่งนั้น F.A.G. คนใดประจำอยู่ นักบินจะต้องสอบถาม สถานการณ์และขอความมั่นใจในความปลอดภัยในขณะเตรียมลงพื้น แต่นี่ทั้งๆที่นักบินมันรู้ว่า ลูกยาวเพิ่งจะถล่มฐานของเราไปอย่างสดๆร้อนๆ และท่าทีก็อาจจะมีการระดมยิงมาอีกในโอกาสถัดไป มันก็ยังอุตส่าห์เสี่ยงมาลง...ผมเอะใจขึ้นมาก็เลยนั่งดู มาซะเฉยๆ มันก็เลยประจวบเหมาะกันพอดีครับ...ผู้พัน”
“พรุ่งนี้ เวลา 17.58 น. บี-52 จำนวน 2 เครื่องจะบินมาทำงานบนยอดเนินสกายไลน์-วัน ทั้งหมดตั้งแต่เนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ ไปจนกระทั่งถึงเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี”
หมายกำหนดการเข้าตีจะเริ่มต้นขึ้นภายใน 12 ชั่วโมงถัดออกไปจากการโจมตีดังกล่าว
รายละเอียดการติดตั้ง “เรด้าห์ฉบับกระเป๋า” บรรจุอยู่ใน เรดาห์หมายเลข 8 เรียบร้อยแล้ว ขออวยพรให้ความสำเร็จเป็นของ BC-617 โดยปราศจากการสูญเสีย ชีวิตและเลือดเนื้อแม้แต่คนเดียว รักสนิท...จากนอร์แมน
ทั้งหมดนี้คือข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารลับสุดยอดฉบับนั้น ผมเอื้อมมือออกไปพลิกเจ้า สากกะเบือ หรือ เรด้าห์ฉบับกระเป๋า เพื่อตรวจดูหมายเลขตามคำบอกเล่าของนอร์แมน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 10:15  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19306

คำตอบที่ 52
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 12
ลักษณะของมันเหมือนกับลูก ค. 61 ที่บริเวณท่อนหัวมีเกลียว ผมลองใช้มือขยับหมุนออก มันคลายออกจากกันอย่างง่ายดาย
คู่มือการใช้งานม้วนเป็นก้อนบรรจุอยู่ในนั้น คำคมหยิบเอาไปอ่านอยู่ชั่วครู่ก็บ่นขึ้นมาด้วยท่าทางฉุนๆ
“ลูกน้องของผมต้องเสี่ยงอีกแล้ว บิ๊กแมน พวกเราจะต้องขนไอ้สากกนระเบือทั้ง 8 อันนี้ ขึ้นไปปักไว้บนแนวของข้าศึก หน้าที่ของสากระเบือพวกนี้คือ คอยส่งสัญญาณขึ้นไปเบื้องบน มิให้เครื่องบินทิ้งระเบิดล้ำแนวออกมา การติดตั้งให้วางเป็นแนวเส้นตรง และควรห่างจากฐานของข้าศึกไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร การเปิดเครื่อง ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เปิดสวิทช์สีแดงที่อยู่ด้านหัวก็เป็นอันเสร็จพิธี”
ในขณะที่พูด คำคมก็ผลักคู่มือการใช้ “เรด้าห์-พอคเก็ต” ส่งมาให้ผม พร้อมกับพาตัวเองเดินออกไปจากบังเกอร์อย่างรวดเร็ว
ผมหยิบคู่มือออกมาอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
“เรด้าห์ฉบับกระเป๋า หรือเรด้าห์-พอคเก็ต คือเครื่องมือชี้เป้าที่ทันสมัยที่สุดในโลก ประสิทธิภาพของมันก็คือสามารถส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้าได้สูงถึง 50000 ฟิต”
ภารกิจที่หนักอึ้งสำหรับผมก็คือ การนำเอาเครื่องดังกล่าวเล็ดลอดเข้าไปติดตั้งใกล้ๆกับฐานปฏิบัติการของข้าศึก
ภารกิจดังกล่าว เป็นความลับสุดยอดและผู้ที่จะรับหน้าที่จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการซ่อนเร้นหลบหลีกข้าศึกได้อย่างยอดเยี่ยม และสิ่งที่สำคัญที่สุด จะต้องรักษาความลับตลอดจนเป็นที่ไว้วางใจสำหรับคำคมได้อย่างดี
ผมนึกถึงหมู่สมพรขึ้นมาในบัดดล ผลงานของหมู่สมพรที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า หมู่สมพรเป็นทหารมืออาชีพที่มีฝีมือและความสามารถทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่าทหารหน่วยกรีนเบเรต์ของสหรัฐเลยทีเดียว
ไม่มีใครเหมาะสมกับงานชิ้นนี้เท่ากับหมู่สมพร
และผมคาดว่า คำคมจะต้องมีความคิดเหมือนกับผมอย่างเด็ดขาด
ประตูบังเกอร์ที่ทำด้วยผ้ากันฝนยวบ คำคม ฝอ.3 หมู่สมพร เดินตามเข้ามาเป็นแถว
อา.... ความคิดของผมกับของคำคมตรงกันจนได้อีกครั้ง ความอึดอัดที่สุมอยู่หนักอึ้งปลิวหายไปโดยฉับพลัน
การวางแผนได้ดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดและพร้อมๆกันนั้น แผนการเข้าตี “หยั่งเชิง”ของคำคมก็ได้ถูกกำหนดขึ้นควบคู่พร้อมๆกันไปในเวลาเดียวกันนั่นเอง
หมู่สมพร และ รอง ผบ.หมวดอีกสองคนซึ่งเป็นทหารจากศูนย์สงครามพิเศษทั้งคู่ ถูกมอบหน้าที่ให้นำ เรด้าห์-พ็อคเก็ต ขึ้นไปวางบนแนวข้าศึกในตอน 06.00 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้น
“ตั้งแต่ตะวันตกดินเป็นต้นไป ทหารเวียตนามเหนือจะเพิ่มมาตรการในการระมัดระวังฐานปฏิบัติการของมันยิ่งกว่าในตอนกลางวันหลายเท่านัก ยากเหลือเกินที่ทหารมือดีๆของเราจะฝ่าแนวป้องกันมันขึ้นไปได้ อย่างไรก็ดี พวกมันจะต้องมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หละหลวม และช่วงเวลาดังกล่าวก็คือตอน 06.00 น. จุดซุ่มโจมตีของมันจะเริ่มถอนตัวออกจากพื้นที่ดังกล่าวเดินทางกลับฐาน ในช่วงเวลานี้ทหารของเราจะเริ่ม “เกาะ”มันเข้าไปทันที ผมจะสั่งให้ทหารออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ใจจริงของผม ผมอยากให้คุณออกไปกับทหารเหล่านี้ด้วย เพราะคุณชำนาญภูมิประเทศและเคยปฏิบัติงานพื้นที่นี้มาก่อน”
ผมไม่มีทางเลือกและปฏิเสธ F.A.G. กองพันขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสนาม ผู้บังคับบัญชาโดยตรงก็คือ ผบ.พัน ประจำกองพันนั้นๆ ผบ.พันมีสิทธิ์ที่จะออกคำสั่งให้ F.A.G. ทุกคนปฏิบัติภารกิจที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อกองพันได้อย่างเต็มที่
และอีกประการหนึ่งในกองพัน 617 ก็มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยเห็นภูมิประเทศดังกล่าวและเคยใช้เส้นทางขึ้นลงยอดเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ อยู่เป็นประจำ เท่าที่คำคมไม่กล้าออกคำสั่งให้ผมขึ้นไปโดยตรงก็คงจะเป็นความเห็นอกเห็นใจส่วนตัวของท่านที่มีต่อผมเป็นพิเศษนั่นเอง
ทิฐิมานะของชายชาตินักรบทำให้ผมเผลอตัวออกปากรับงานออกไปอย่างช่วยเหลือไม่ได้
“ครับ...ผู้พัน ใน BC.617 ก็มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชำนาญทาง ผมยินดีรับงานชิ้นนี้ร่วมกับหมู่สมพร เราจะเริ่มออกเดินทางเมือไหร่ครับ”
คำคมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กิริยาท่าทางดูเหมือนจะยุ่งยากใจต่อแผนการที่นอร์แมนได้สั่งให้กองพันของผมปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง
“ขณะนี้ 12.30 อีกชั่วโมงครึ่งเริ่มออกเดินทาง จะให้ไปถึงจุดซุ่มโจมตี จุดแรกของข้าศึกก่อนเวลา 18.30 น. ต่อจากนั้นให้พวกคุณเฝ้าจุดซุ่มโจมตีของมันเอาไว้ทั้งคืน รอจนกระทั่งพวกมันถอนตัวกลับ จึงเริ่มเกาะมันเข้าไป คุณจะต้องผ่านฐานปืนที่ระดมยิงพวกเราเมื่อเช้านี้ด้วย พยายามเล็ดลอดเข้าไปจนกระทั่งอยู่ห่างจากแนวของมันเพียง 1 กม. แล้วเริ่มทำงาน รู้สึกว่ามันเป็นภารกิจที่เสี่ยงเกินไปสำหรับพวกเรา แต่เราไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้...บิ๊กแมน”
คำสั่งก็คือคำสั่ง
13.00 น. ผม,สมพร,และทหารจากศูนย์สงครามพิเศษอีก 2 นาย ก็เคลื่อนลัดเลาะลงไปข้างล่างอย่างระมัดระวัง
เรด้า-พ็อกเก็ต ถูกแบ่งเฉลี่ยออกเป็นสัดส่วนเท่าๆกัน คนละ 2 แท่ง ตามข้อตกลงที่วางไว้ เมื่อทุกคนได้รับอุบัติเหตุจนสูญเสียชีวิตหรือว่าได้รับบาดเจ็บ จะไม่มีการช่วยเหลือกันอย่างเด็ดขาด หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คือสิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่าอื่นใด ทุกคนจะต้องช่วยตัวเองพาเจ้าเรด้า-พ็อกเก็ต อันนี้ไปวางบนฐานปฏิบัติการของข้าศึกให้จงได้
พอพวกผมเคลื่อนที่ลงไปถึงตีนเนินเขาเถิดเทิง ก็ได้ยินเสียงอาวุธหนักนานาชนิดบนยอดเนินระดมยิงลงไปบนพื้นที่เบื้องล่างเป็นห่าฝน
ตำบลกระสุนตกก็ไม่ใช่เป็นการยิงรบกวนเหมือนอย่างเช่นเคยอีกแล้ว คราวนี้คำคมสั่งยิงคลุมพื้นที่บนไหล่เขาบริเวณทางขึ้น เนินสกายไลน์-วัน เป็นวงกว้างเสมือนหนึ่งจะเคลียร์พื้นที่ให้พวกผมอยู่ในที
และบัดดลนั้นเอง อาวุธหนักของข้าศึกที่ซุกซ่อนอยู่ที่พิกัด 789942 บนไหล่เขาสกายไลน์ก็ยิงสวนลงมาไม่ยิ่งหย่อนซึ่งกันและกัน
เสียงระเบิดตึงตังโครมครามที่ยิงประสานกันระหว่างศีรษะ สร้างรสชาติในการเดินทางขึ้นอย่างมากมาย หมู่สมพรที่เดินอยู่หน้าสุดหันมายิ้มพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามากระซิบกับผมด้วยท่าทางที่สนุกสนานครื้นเครงปราศจากอาการกริ่งเกรงใดๆทั้งสิ้น
“สนุกดี บิ๊กแมน เจ้านายของผมสั่งยิงแบบนี้ ผมอ่านไต๋ออก ท่านต้องการจะถ่วงเวลารอให้พวกเราเดินทางไปถึงจุดซุ่มโจมตีของพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะออกมานั่นเอง ลูกยาวสะเปะสะปะ แบบนี้ พวกมันไม่กล้าออกมาหรอกครับ ป่านนี้คงวิ่งกันหัวซุกหัวซุนลงหลุมหมดแล้ว”
หมู่สมพรอ่านความคิดของคำคมออกและผมเองก็คิดเช่นนั้น
แผนการที่กลั่นกรองออกมาจากสมองที่มีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมทำให้ผมเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ฐานปืนทุกขณะ
เส้นทางเดินราบเรียบ ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นร่องรอยเท้าทหารรับจ้าง หรือว่าร่องรอยเท้าของทหารเวียตนามเหนือ สับสนเกะกะไปทั่วบริเวณ
กับระเบิดซึ่งส่วนมากเป็นกับระเบิดที่ทหารรับจ้างกองพัน 616 ดักเอาไว้เมื่อครั้งถอนตัวลงมาจากเนินสกายไลน์-วัน ปรากฏอยู่อย่างถี่ยิบ ด้วยความสามารถพิเศษของหมู่สมพรและทหารจากศูนย์สงครามพิเศษ กับระเบิดเหล่านั้นถูกกู้และเก็บซุกซ่อนเอาใว้ข้างๆทางนั่นเอง
17.30 น. ผมก็นำทางหมู่สมพร “เบน” ออกจากหมู่บ้าน 50 หลัง มุ่งหน้าขึ้นไปบนไหล่เขาที่รกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด
หลุมระเบิดจากอาวุธหนักแทบทุกชนิด เรียงรายกันอยู่บนพื้นดินไม่ขาดระยะ กลิ่นดินขับกลิ่นฟอสฟอรัสที่เพิ่งลุกไหม้ไปอย่างสดๆร้อนๆ ยังอบอวลคละคลุ้งเหม็นหืนไปทั่วอาณาบริเวณ
ดวงตะวันคล้อยลับไปแล้ว ม่านสีเทาอมดำผืนมหึมาเริ่มโรยตัวลงมาครอบคลุมยอดเนินสกยไลน์-วัน จนมัวซัวลงทุกขณะ
จากพิกัดบนแผนที่ ขณะนี้พวกผมอยู่ห่างจากที่ตั้งปืนของพวกมันเพียง 500 เมตรเท่านั้น
และก่อน 18.00 น. เล็กน้อย พวกผมทั้ง 4 คนก็ปีนขึ้นมาหมอบอยู่บนยอดเนินเล็กๆที่สามารถตรวจการณ์เห็นทิศทางเบื้องหน้าได้พอสมควร
เสียงไอเหมือนคนเป็นหวัดลงคอดังแว่วมาจากป่าเสือหมอบเบื้องหน้า
หมู่สมพรฟุบหมอบกับพื้น แล้วคลานสี่ตีนเข้าไปนอนหมอบอยู่ระหว่างกอรวกซึ่งข้นเบียดเสียดเยียดยัดอยู่เบื้องหน้า
ผมและทหารอีก 2 คน คืบคลานแยกย้ายออกเป็นรูปขบวนแถวหน้ากระดาน หมอบเรียงรายด้วยระยะต่อที่ห่างกันพอสมควร จ้องสายตาลงไปเบื้องล่างที่ปรากฏหลุมบุคคลเรียงรายอยู่ 7-8 หลุม ด้วยอากัปกิริยาที่ระมัดระวังตัวเต็มที่
เงาตะคุ่มของทหารลาวแดง 8 คน เดินเรียงเดี่ยวออกมาจากเส้นทางที่ตัดตรงออกมาจากดงเสือหมอบนั้น เครื่องแต่งกายสีทึมๆที่พวกมันสวมใส่อยู่นั้น ทำให้พวกผมเกือบมองไม่เห็น เสียงพูดคุยและเสียงกระติกน้ำแบบโลหะที่เสียดสีกับเข็มขัดสนามทำให้ผมสังเกตเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ของพวกมันเข้าอย่างบังเอิญ
เงาตะคุ่มของพวกมันหยุดอยู่ที่หลุมบุคคล ชั่วอึดใจ ปืนกลเบาก็ถูกยกขึ้นตั้งขาทรายอยู่ ณ.บริเวณปากหลุม จรวดอาร์พีจี วางแนบลงกับพื้นในลักษณะหันปากกระบอกมาทางพวกผม ลูกหัวปลีขนาดเขื่องที่สวมติดอยู่ที่ปากลำกล้อง ทำให้ขนหัวของผมลุกชันขึ้นมาด้วยความเสียวสยอง
พวกผมอยู่ห่างจากพวกมันไม่ถึง 15 เมตร ความใกล้ชิดทำให้ผมได้ยินเสียงพูดคุยของพวกมันอย่างถนัดหู เสียงหัวเราะเบาๆที่ประสานกันขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้หมู่สมพรกัดกรามหันมากระซิบกระซาบกับผมด้วยท่าทางที่ฉุนเอาการ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 10:20  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19310

คำตอบที่ 53
       วันชโลมเลือด ตอนที่ 13
“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันได้ใจ เพราะทหารของเราไม่เคยออกปฏิบัติการในเวลากลางคืนอย่างเด็ดขาด ข้อนี้ข้าศึกรู้และรู้มานานแล้ว พวกมันก็เลยประมาท และถ้าผมเดาไม่ผิด ทหารชุดนี้จะต้องเป็นทหารลาวแดงทั้งชุด และถ้าลองเป็นทหารลาวแดงจริงๆ ประเดี๋ยวพวกมันก็จะตั้งวงดูดฝิ่นดูดกัญชากันให้มั่วไปหมด ต่อจากนั้นก็จะหลับเป็นตายจนกระทั่งรุ่งเช้า ถ้าทหารของเรากล้าซะอย่าง พยายามปฏิบัติการตอนกลางคืนมากๆซะหน่อย ป่านนี้พวกมันถูกจวกถอยกลับทุ่งไหหินไปหมดแล้ว”
“ลูกพี่ ความคิดของลูกพี่ก็ถูก ผมไม่เถียง แต่เหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงมันไม่ใช่ภาพพจน์อย่างที่ลูกพี่คิด พวกเราเป็นทหารรับจ้างก็ต้องรบแบบทหารรับจ้าง ไม่สั่งก็ไม่ทำ ถึงสั่งบางครั้งก็แอบเลี่ยงๆ ไปอย่างข้างๆคูๆ ทหารรับจ้างเรารบเพื่อเงิน ทหารอาชีพที่มาอยู่ที่นี่ก็เพื่อเงิน บางครั้งเงินก็ทำให้พวกเราไม่กล้าเสี่ยงตายได้เหมือนกันนะครับ แต่ถ้าไปรบกันในพื้นที่ที่อยู่ในเขตของประเทศไทยแล้ว ถึงไม่มีเงินดอลล่าร์ จะมีแต่เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงที่แทบจะไม่พอยังชีพ แต่ทุกคนก็มีสิ่งที่เคารพเทิดทูนอยู่เหนือเกล้า ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ คือสรณะประจำใจที่ยึดมั่น อยู่ในดวงใจของทหารทุกคน แล้วทำไมพวกผมจะยอมตายไม่ได้ แบะหัวใจพูดกันเสียเลยลูกพี่ งานนครั้งนี้ ถ้าไม่มี “คำคม” เป็นผบ.พัน ป่านนี้ผมโยนไอ้สากกะเบือสองลูกนี้ทิ้งตั้งแต่ตีนเขาโน่นแล้ว พับผ่า”
ทหารรับจ้าง ของ ผบ.หมวด จากศูนย์สงครามพิเศษคนหนึ่งแบะหัวใจของชายชาติทหารกระซิบพูดออกมาอย่างน่าสนใจ
หมู่สมพรนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขายิ้มเล็กน้อย กระซิบกระซาบออกมาอีกครั้ง
“ถูกต้อง น้องชาย บางครั้งผมอาจจะลืมตัวไป ผมคงจะมีวิญญาณนักรบจากศูนย์สงครามพิเศษมากเกินไป มากเกินไปจนลืมนึกถึงความจริงตามที่น้องชายพูด ความลืมตัวและความเคยชินทำให้ผมรบอย่างบ้าบิ่น จะตายโหงตายห่าก็หลายครั้ง ถ้าไม่ใช่”คำคม” ผมก็เห็นทีจะเปิดหมวกอำลาไอ้สงครามห่าเหวนี่เหมือนกัน แต่หยั่งว่านั่นแหละครับ พอฉุกละหุกเข้าจริงๆ ผมมักจะลืมตัวเข้าเชิดฉิ่งกับพวกมันชนิดเลือดท่วมปฐพี ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
ต่อจากนั้นพวกผมก็เงียบ และเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง อากาศเริ่มปิดอีกแล้ว สายหมอกครอบคลุมยอดเนิน สกายไลน์-วัน แล้วเริ่มลามเลียลงมายังภูมิประเทศทีผมซุกซ่อนอยู่จนโพลนไปหมด เมื่อผมหันหลังกลับไปมองดูยอดเนิน “เถิดเทิง”ก็ปรากฏว่ามืดมิดไปทั้งขุนเขา ผมค่อยๆเปลี่ยนอิริยาบถจากท่าหมอบขึ้นมานั่งเอนหลังพิงไปกับก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งระเกะระกะอยู่ทั่วๆไปในบริเวณป่ารวกนั้น และถ้าเกิดเหตุสุดวิสัย ข้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก้อนหินเหล่านนี้จะเป็นบังเกอร์ธรรมชาติให้กับพวกผมเป็นอย่างดี
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังแรงขึ้นทุกที ภาษาลาวที่สัปดี้สัปดนด้วยเรื่องลามกจกเปรตดังติดต่อกันไม่ขาดระยะ บางเรื่องที่พวกมันผลัดกันเล่าสู่กันฟังนั้นก็ทำให้พวกผมต้องกัดริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นเสียงหัวเราะที่จะเล็ดลอดออกมาด้วยความลำบากยากเย็น
กลิ่นกัญชา และกลิ่นแม่ทองดำ อบอวลอยู่เบื้องหน้า แสงไฟจากวงกัญชาถูกบดบังด้วยสาบหมอกที่หนาทึบจนมองไม่เห็นความผิดปกติใดทั้งสิ้น เสียงพูดคุยเงียบหายไปชั่วขณะ นิทานสัปดี้สัปดนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้เรื่องราวพิลึกกึกกือจนผมต้องฟุบหน้าลงกับพื้นพร้อมกับหัวเราะอึกอักอยู่ในลำคอด้วยความขบขันแทบขาดใจ
ผมจะถ่ายทอดเป็นภาษาไทยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังสักเรื่องนึงก่อนนะครับ คิดเสียว่าเป็นอาหารก่อนจะถึงอาหารค่ำก็แล้วกัน
หลายร้อยปีล่วงมาแล้ว สมัยก่อนโน้นไม่ว่าคนหรือสัตว์จะพูดภาษากันรู้เรื่องทั้งนั้น ยังมีชายคนหนึ่งได้ลงทุนตั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขึ้นมาอย่างใหญ่โต มีทั้งหมู ไก่งวง นกยูง และไก่นานชนิด “ไอ้โต้ง” ซึ่งเป็นพระเอกในนิทานทะเล้นเรื่องนี้ รับหน้าที่ไก่พ่อพันธุ์
“ไอ้โต้ง” เป็นไก่รุ่นที่มีอารมณ์รักรุนแรงผิดปกติ ไก่ในเล้าทุกๆตัวเล้า ไอ้โต้งจับปี้จนหมดสิ้น ไอ้โต้งชักย่ามใจข้ามรุ่นไปข่มขืนไก่งวง นกยูง จนแทบหมดเล้า ครั้งสุดท้ายไอ้โต้งกระมิดกระเมี้ยนเข้าไปในคอกหมู หวังจะเคลมหมูสาวหน้าตาเข้าทีตัวหนึ่ง เจ้าของซึ่งคงจะสังเกตดูพฤติกรรมของไอ้โต้งอยู่นานแล้วก็เรียกไอ้โต้งไปพบและกล่าวปรามขึ้นอย่างหวังดีว่า
“ไอ้โต้งเอ๋ย เอ็งอย่าข้ามรุ่นให้มากนัก จงมีบันยะบันยังซะบ้าง รูปร่างของเอ็งชักผอมลงๆทุกวันแล้ว ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้า วันหนึ่งเอ็งต้องหมดแรงตายแหงๆ” ไอ้โต้งยืดขอขันเสียงวิเวกเหมือนกับจะแสดงอาการลำพองใจพร้อมกับโอ่ขึ้นมาอย่างหยิ่งๆ
“ยาก...เจ้านาย แรงดีซะอย่าง ถ้าเป็นไปได้ โต้งอยากจะสูสีกับคนใช้สาวๆของนายดูบ้าง แต่กลัวโดนเตะ แฮะ แฮะ”
จากนั้นไอ้โต้งก็แสดง ”กามกิจ” กับสัตว์ทุกชนิดไม่เว้นแต่ละวัน
วันเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ วันหนึ่งเจ้าของสังเกตเห็นไอ้โต้ง นอนนิ่งอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน บนท้องฟ้าเหนือร่างของไอ้โต้งมีอีแร้งบินวนเวียนอยู่หลายตัว เจ้าของใจหายวาบคิดในใจว่า ไอ้โต้งพ่อพันธุ์ตัวโปรดของแกตายเสียแล้ว ความเสียใจทำให้เจ้าของวิ่งเข้าไปนั่งรำพันอย่างเสียอกเสียใจแถมร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา
“โธ่เอ๋ย...ไอ้โต้ง...เพราะเอ็งไม่เชื่อข้าแท้ๆ ออกแรงทำงานทุกวันอย่างเอ็ง มันก็ต้องตายแบบนี้ ไม่น่าเลย...ลูกกู”
ไอ้โต้งลืมตาแป๋ว ลุกขึ้นสะบัดปีก ส่งสายตามองดูอีแร้งบนท้องฟ้าซึ่งกำลังบินหนีผละไป แล้วตัดพ้อออกมาอย่างฉุนๆ”
“ไม่น่าเลย...เจ้านาย โต้งกำลังวางแผนทำเป็นนอนตายเพื่อจะหลอกให้อีแร้งสาวๆ ที่บินอยูโน่นลงมาซะหน่อย อยากลองอีแร้งดูสักทีว่ามันจะมีทีเด็ดอย่างพวกเราหรือเปล่า ไม่น่าเลย...มันหนีหมด”
เห็นไหมครับนิทานสัปดนของทหารลาวแดงเอร็ดอร่อยขนาดไหน นี่ขนาดผมแปลเป็นภาษาไทยแล้วนะครับ ถ้าท่านผู้อ่านฟังภาษาลาวขนานแท้ออกละก้อ เป็นได้ฮากันตึงเมื่อนั้น
“ผมอยากจะเลื้อยเข้าไปเชือดพวกมันจริงๆ ถ้าไม่ติดงานของคำคมป่านนี้ผมเจี๋ยนพวกมันหมดแล้ว”
หมู่สมพรพูดพลางหัวเราะ เสียงอึกอักอยู่ในลำคอด้วยความขบขัน
เสียงเล่านิทานสัปดี้สัปดนของทหารลาวแดงเงียบลงไปแล้ว เสียงไอถี่ๆของทหารที่เป็นหวัดลงคอก็ค่อยๆห่างลง แล้วก็เงียบเป็นปลิดทิ้งเมื่อเวลา 23.00 น.พอดิบพอดี
“หลับหมดแล้วครับ ลองล่อทั้งฝิ่นทั้งกัญชาแบบนี้ ต่อให้ช้างมาเหยียบพวกมันก็ไม่รู้สึก ถ้าไม่ห่วงงาน ผมจวกมันตายห่าหมดแล้ว ผมขอนอนซักงีบหนึ่งนะครับ ง่วงเหลือเกิน ตอนตีสองคุณบิ๊กแมนช่วยปลุกผมหน่อยก็แล้วกัน”
หมู่สมพรกระซิบกระซาบพร้อมกับขยับตัวลงนอนงอก่องอขิงระบายลมหายใจออกมาด้วยท่าทางแสดงออกถึงความง่วงจัด
หมู่สมพรหลับไปแล้ว รองผบ.หมวดทั้งสองคนที่นอนเรียงรายเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ข้างๆก็เลยพลอยหลับตามลงไปด้วย
ผมนอนพังพาบคว่ำหน้าลงกับพื้น ใช้หลังมือทั้งสองประสานกันรองคางเอาไว้ ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงจ้องเขม็งไปเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง
มีเสียงวิทยุติดต่อเป็นภาษาเวียดนามดังกังวานอยู่ในความมืดมิดข้างหน้า มันคงเป็นวิทยุจากหน่วยเหนือที่เรียกเข้ามายังจุดซุ่มโจมตีเพื่อสอบถามสถานการณ์ เสียงวิทยุเรียกถามสถานีอยู่ชั่วอึดใจ เมื่อไม่มีเสียงตอบจากชุดซุ่มโจมตี ภาษาดังกล่าวนั้นก็เปลี่ยนเป็นภาษาลาวด้วยน้ำเสียงที่เอ็ดตะโรดังสนั่นด้วยอาการฉุนเฉียวขึ้นมาทันที
“บักหมาสี่แม่มึง บักห่า...จอบนอนอีกแล้ว ระวังเด้อ ทหารไทยซิขึ้นมาตัดหำพวกมึงเด้อ”
มีเสียงอู้อี้ๆ เหมือนกับคนเพิ่งจะตื่นนอน ดังแทรกซ้อนวิทยุข้นมาอย่างถนัดหู
“บ่ได้นอน บักฮูขี่ มึงซิใส่ความข้อยหลาย พวกข้อยจอบไปดูพื้นที่ข้างหน้าโว้ย บ่มีหยังดอก ทหารไทยบ่มีน้ำยาดอก ขืนขึ้นมา ข้อยซิถีบให้หน้าทิ่มดินโลด อย่าวิทยุมาหลายเด้อ มีเหตุการณ์ร้ายแรงข้อยซิเรียกไปเอง”
พนักงานวิทยุลาวแดง ซึ่งเพิ่งจะตกใจตื่นขึ้นมารีบส่งวิทยุแหกตาพรรคพวกกลับไป พร้อมกับคุยโอ่ทับถมทหารไทยเสียอย่างไม่มีชิ้นดี
“ไอ้สัตว์...เอาซะดีมั้ง”
หมู่สมพรซึ่งผมคาดว่าหลับผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัว คำคุยโอ่ของทหารลาวแดง คงทำให้ผู้หมู่เพชฌฆาตคนนี้เดือดดาลจนกระทั่งลืมตัวไปชั่วขณะ ผมใจหายวาบ พลิกตัววูบเข้าไปกอดคอหมู่สมพร ออกแรงดึงลงมานอนนิ่งอยู่กับพื้น กระซิบคำพูดเตือนสติกรอกเข้าไปในหูอย่างชนิดเร็วปรื๋อแทบจะไม่หายใจ
“ใจเย็นน่า สมพร ถ้าคุณโมโหลืมตัวแบบนี้ แผนของเราก็พังหมดเท่านั้น ปล่อยมัน ปล่อยให้มันโม้ของมันไปตามลมตามแล้ง อย่างช้าเย็นพรุ่งนี้มันก็ตายโหงหมดแล้ว”
หมู่สมพรเอื้อมมือมาบีบมือของผมแน่น ปากก็พึมพำออกมาเหมือนกับเพิ่งสำนึกได้ ถึงความเผลอเรอของตัวเอง
“ขอโทษ...ขอโทษครับบิ๊กแมน ผมบังเอิญตกใจตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงมันดูถูกทหารไทยเข้าพอดี โมโหจนลืมตัว เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ไม่นอนไม่เนินมันละ โอ้โฮ...เผลอแผล็บเดียวล่อเข้าไป ตั้งตีหนึ่งแล้วหรือครับนี่”
ตกลงพวกผมทั้งสี่คนเลยต้องตื่นขึ้นมารับน้ำค้างจากสายหมอกจนชุ่มไปหมดทั้งตัว
04.30 น สายหมอกที่ครอบคลุมเริ่มจางหายไปเหมือนกับปาฏิหาริย์ มันจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า ผมก็สามารถมองเห็นแสงไฟจากบุหรี่วอมแวมอยู่ในความมืดเบื้องหน้าอย่างถนัดชัดเจน
ทหารลาวแดงเหล่านั้น ส่วนมากตื่นขึ้นมาล้อมวงสูบกัญชากันอย่างสุขารมณ์ ทั้งบุหรี่ ทั้งฝิ่นและกัญชาล่อกันให้เปรอะไปหมด
อนิจจา ทหารลาวแดงผู้น่าสมเพช ระเบียบวินัยไม่ต้องพูดถึงกันเลยละ มันแทบจะไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
05.00 ทหารลาวแดงเริ่มถอนตัวกลับ พวกมันเริ่มส่งเสียงเอะอะเหมือนกับจีนตื่นไฟ มีการด่าทอกระเซ้าเย้าแหย่กันเหมือนกับอยู่ใน “ที่ตั้งปกติ”
พวกเราคืบคลานลงจากเนินเตี้ยๆ ที่ใช้ซุกซ่อนอยู่ทั้งคืนด้วยอาการเงียบเชียบ แล้วเริ่มแกะรอยตามขบวนทหารลาวแดงที่เดินเรียงเดี่ยวหายลับเข้าไปในแนวป่าเสือหมอบที่มองเห็นทึมๆอยู่เบื้องหน้า
โปรดติดตามตอนต่อไป ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายของทหารรับจ้างในเรื่อง *** ถล่มเนินสกายไลน์-วัน”



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 15:20  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19313

คำตอบที่ 54
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่1
พวกผมคืบคลานลงจากเนินเตี้ยๆที่ใช้ซุกซ่อนอยู่ทั้งคืนด้วยอาการเงียบเชียบแล้วแกะรอยตามขบวนทหารลาวแดงที่เดินเรียงเดี่ยวหายลับเข้าไปในแนวป่าเสือหมอบที่มองเห็นทมๆอยู่เบื้องหน้า
หมู่สมพรขึ้นไปนำอยู่หน้าแถว ความสามารถในการกู้ระเบิดของเขา สร้างความอบอุ่นใจให้กับผมพอสมควร
หลายต่อหลายครั้งที่ทหารลาวแดงเบนออกจากเส้นทางแล้วลัดเลาะเข้ไปในเส้นทางเล็กๆที่ขนานกับเส้นทางดังกล่าว จากสภาพดังกล่าวนี้ ทำให้ผมรู้ว่า “กับระเบิด”ของข้าศึกได้ถูกวางเอาไว้อย่างถี่ยิบบนเส้นทางแห่งนี้
หมู่สมพรพยายามสังเกตุจุดที่ทหารลาวแดงเลี้ยวหลบ “กับระเบิด” ลงไปข้างๆทางอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ ก็ชี้มือให้ผมมองดูเศษผ้าร่มสีขาวที่ขาดห้อยรุ่งริ่งอยู่เหนือกิ่งไม้ พร้อมกับพยักพะเยิดให้ผมเคลื่อนที่หลบลงไปยังเบื้องล่าง
เศษผ้าร่มสีขาวเหล่านั้นคือจุดสังเกตุที่แสดงถึงพื้นที่ของ “กับระเบิด” ทั้งหมดของเส้นทางดังกล่าว
ถ้ามองดูอย่างผิวเผิน พวกเราอาจจะนึกว่าเป็นเศษผ้าร่มที่ “แอร์อเมริกัน” ได้ “ดร็อป” ของลงมาแล้วบังเอิญกระแสลมพัดออกมานอกเส้นทาง แต่ที่ไหนได้ พวกมันดัดแปลงใช้เศษผ้าร่มเหล่านี้บอกทิศทางของ “กับระเบิด” ได้อย่างแนบเนียนจนพวกผมคาดไม่ถึง
ตลอดเส้นทางพวกเราพบเศษผ้าร่มไม่น้อยกว่า 10 ชิ้น และแต่ละชิ้นของมันก็ต้องทำให้พวกผมตาลีตาเหลือกลงไปเดินอยู่ข้างๆทางด้วยความเย็นยะเยือกไปทั่วไขสันหลัง
“โฮจีมินส์”
เสียงห้าวลึกตะโกนก้องออกมาจากความมัวซัวเบื้องหน้า พร้อมกับมีเสียงกระชากลูกเลื่อนปืนดังเกรียวกราว
พวกผมทั้ง 4 คนฟุบลงนอนกับพื้นเหมือนกับนัดเอาไว้ ประสาทเขม็งเกลียว ปืน M-16 ถูกยกขึ้นมากระชับอยู่ในอ้อมแขน ใจเต้นตึ๊กๆๆ
ความรู้สึกที่บอกกับตัวเองเหมือนกับกำลังจะพบหัตถ์ของพญามัจจุราชที่เอื้อมเข้ามาฉุดกระชากพวกผมลงไปยังขุมนรกอเวจี
“โง เหวียน เกี๊ยบ”
คนหนึ่งจากทหารลาวแดงขานรหัสผ่านออกไปด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดและมั่นใจ
มีเสียงทักทายกันเป็นภาษาเวียตมินส์ดังขึ้นไม่ได้ศัพท์ เสียงสัพยอก และข้อความที่พูดกันพาดพิงมาถึงทหารรับจ้างชาวไทย กองพัน 617 ในทำนองที่ไม่กล้าปีนขึ้นมาบนแนวของพวกมัน ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่บาดใจของพวกผมดังขึ้นเกรียวกราว
“ฉิบหายแล้ว บิ๊กแมน เราหลวมตัวตามมันเข้ามาถึงฐานอาวุธหนักของมันแล้ว ขืนเดินต่อไปเป็นเสร็จแน่ ถอยหลังกลับออกไปก่อนครับ”
หมู่สมพรกระซิบกระซาบพร้อมกับหันหลังกลับ คลานสี่ตีนตามผมออกมาจากเส้นทางดังกล่าวด้วยความรีบร้อนแทบจะไม่หายใจ
หลังจากห่างฐานอาวุธหนักของมันพอสมควรแล้ว พวกผมก็ฉากแวบเข้าไปในป่าเสือหมอบที่อยู่ข้างๆปรึกษาหารือกันถึงแผนการที่จะดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด หมดหนทางที่จะฝ่าแนวของพวกมันเข้าไปเสียแล้ว
ถึงแม้ พวกผมจะรู้รหัสผ่านของพวกมันเข้าอย่างบังเอิญก็ตามที แต่อีขากลับนี่สิครับ พวกผมจอดแน่ๆ
สำหรับเส้นทางอื่นๆ มันก็เสี่ยงเกินไป สำหรับการปฏิบัติงานในเวลาเช้ามืดเช่นนี้
“ผมคิดว่าที่นอร์แมนออกคำสั่งให้วาง เรด้าห์พ้อคเก็ต ให้อยู่ห่างจากแนวข้าศึกประมาน 1 กม.นั้น มันคงจะมีความเข้าใจผิดอะไรกันอยู่บ้าง พวกเราไม่ได้รายงานถึงอาวุธหนักของมันซึ่งเคลื่อนที่ลงมาจากฐานเกือบ 3 ก.ม. ให้นอร์แมนและบาวเดอร์ คอนโทรล ทราบจากสภาพที่เป็นจริงถ้าเรานับฐานที่ตั้งอาวุธอาวุธหนักของข้าศึกที่เห็นอยู่ในขณะนี้ พวกเราเดินทางเข้ามาใกล้เกินไปเสียแล้ว จุดที่เราควรจะวาง เรด้า ก็คือจุดที่เราพักแรมเมื่อคืนนี้ นั่นเอง”
ถูกต้องครับ บิ๊กแมน ถ้าเริมวาง เรด้า ตั้งแต่จุดซุ่มโจมตีของมัน อำนาจระเบิดจาก B-52 ก็อาจจะทำลาย กับระเบิด และฐานอาวุธหนักของมันพังพินาศไปด้วย ว้า หลงโง่อยู่ตั้งนาน ถอยกลับเถอะครับ”
ด้วยความเข้าใจผิดของคำสั่ง ทำให้พวกผมเสียเวลาไปโดยไม่ใช่เหตุ เกือบ 6 ชั่วโมงเต็มๆ
อย่างไรก็ดี จากการแกะรอยทหารลาวแดงเข้าไป ทำให้พวกผมล่วงรู้ เส้นทางที่ปลอดจากกับระเบิดเข้าอย่างบังเอิญ และจากการบังเอิญนี้ มันจะมีคุณประโยชน์ต่อกองพันของผมอย่างมหาศาล
พวกผมถอยกลับมา ณ จุดซุ่มโจมตีอีกครั้ง แล้วเริ่มติดตั้ง เรด้าห์-พ็อคเก็ต อย่างเร่งด่วน
แสงอาทิตย์เริ่มฉายรัศมีขึ้นมาบ้างแล้ว พวกผมต้องทำงานแข่งกับเวลาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งสายเท่าไหร่ อันตรายจากการค้นพบของพวกมันก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
การติดตั้ง เรด้า-พ็อคเก็ต ก็ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก เพียงแต่เอาปลายที่แหลมเปี๊ยบของมันทิ่มลงไปในดิน แล้วออกแรงกดลงไปจนกระทั่งถึงสวิทช์สีแดง ต่อจากนั้นก็กดสวิทช์จากตำแหน่ง “ออฟ” ไปที่ “ออน” ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว
เรด้า-พ็อคเก็ต 8 อัน ถูกวางเป็นแนวยาวพาดไหล่เขาอันกว้างใหญ่ไพศาลของเนินสกายไลน์-วันด้วยระยะต่อที่ห่างกัน 50 เมตร
พวกผมใช้เวลาติดตั้งสกายไลน์ถึง 2 ชั่วโมงเต็มๆ หลังจากพราง เรด้า-พ็อคเก็ต ให้พ้นจากการตรวจการณ์ของชุดลาดตระเวณของข้าศึกเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เคลื่อนที่ลงจากเนินสกายไลน์สกายไลน์ด้วยความสะดวกสะบายยิ่งกว่าทุกครั้ง
3 ชั่วโมงต่อมาผมก็เดินทางขึ้นมาถึงยอดเนินเถิดเทิงได้อย่างปลอดภัย
ทหารกองร้อยที่ 1 ทำหน้าที่คุ้มกัน บก.พัน กำลังจัดรูปขบวน เพื่อจะลงไปกวาดล้างทหารเวียดนามเหนือซึ่งอาจจะตกค้างอยู่บนหมู่บ้าน 50 หลังแห่งนั้น
“พวกเราจะต้อนให้มันกระเจิงขึ้นไปบนเนินสกายไลน์-วันให้หมด ก่อนเวลา 17.00 น. จะถล่มมันทั้งทีก็ขอล้างมันให้เกลี้ยงทั้งกองพันเลยทีเดียว บิ๊กแมนทานอาหารกลางวันแล้วนอนพักผ่อนเสียก่อนครับ เฮ้ย สมพร พักผ่อนเสียก่อน ไอ้น้อง ปล่อยให้ทหารร้อย 1 เขาแสดงไปพลางๆก่อน พรุ่งนี้เช้าเอ็งได้เป็นพระเอกแน่ๆ”
ประโยคสุดท้าย คำคมหันไปสัพยอกลูกน้องคนโปรด พร้อมกับชี้มือไปที่กล่องเบียร์ตราสิงห์ กล่าวขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
“นอร์แมนส่งมาให้พวกลื้อทั้ง 4 คน มีอยู่ 1 โหลพอดี คนละ 2 ขวด เหลือติดกล่องเอาไว้ 4 ขวดนะโว้ย อย่าเสือกล่อหมดเสียล่ะ”
หลังจากอาหารกลางวันผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็หลับเหมือนตาย หลับทั้งๆที่เสียงอาวุธยิงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เช่นนั้น ความเหน็ดเหนื่อยบวกกับความอดหลับอดนอน ทำให้ผมสลบไสลจนกระทั่งถึงเวลา 16.30 น.
อา..เวลามรณะได้คลืบคลานเข้ามาทุกขณะแล้ว ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแผน 17.58 น. คือเวลาแห่งกาลมรณะที่จะบันดาลให้เนินสกายไลน์-วันย่อยยับเป็นผุยผง อีกไม่นานเกินรอเราคงจะได้เห็นกัน
พอผมลืมตาขึ้นมา ผบ.ร้อย 1 ก็นำทหารรับจ้างที่ลงไปกวาดล้างหมู่บ้าน 50 หลังขึ้นมาพอดี จากผลของการกวาดล้าง ทหารเวียตนามเหนือวิ่งกระเจิงเผ่นกลับเนินสกายไลน์-วันโดยทิ้งศพเอาไว้ 3 ศพ และผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 1 คน ทหารรับจ้างอุตส่าห์หามเชลยศึกกลับมาฐานปฏิบัติการบนยอดเถิดเทิงเพื่อหวังผลในด้านข่าวกรอง
ทหารเวียตนามเหนือทนบาดเจ็บจากกระสุน M-79 ที่ทะลวงเข้าไปบริเวณสะโพกได้เพียง 45 นาทีก็สิ้นใจระหว่างทางนั่นเอง
ทหารกองร้อย 1 ปลอดภัย ไม่มีบาดเจ็บแม้กระทั่งรอยแมวข่วน
หลังจากทหารรับจ้างทุกคนเข้าประจำแนวเรียบร้อยแล้ว คำคมก็ได้รับคำสั่งเป็นรหัสสั้นๆจากนอร์แมน
“วัน-เวลาเดิม”
17.00 น. ด้วยการออกคำสั่งของพลนำสารทหารรับจ้างทุกคนก็ออกมาจากบังเกอร์ที่มีหลังคาแล้วซุกตัวหมอบอยู่ในร่องสนามเพลาะที่ขุดวกวนอยู่บนไหล่เขาเถิดเทิงด้วยอาการสงบเงียบ ทหารรับจ้างชั้นลูกแถวยังไม่มีใครทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อได้รับคำสั่งจาก ผบ.พันทุกคนก็ปกิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
17.00 น. เหลืออีก 8 นาทีจะถึงหมายกำหนดการ ผมนั่งตัวเย็นเฉียบอยู่ใกล้ๆคำคม หมู่สมพรกับรอง ผบ.หมวดทั้งสองเดินพล่านไปมาเหมือนกับหนูติดจั่น ความตรึงเครียดและความตื่นเต้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน จนกระทั่งคำคมต้องปรามออกมาเบาๆ
“ใจเย็นๆน่า ประเดี๋ยวเอ็งจะได้เห็นเป็นขวัญตา อย่าไซ้รท์ให้มันมากนัก ไอ้ห่า อั๊วไม่เคยเห็นลื้อไซ้รท์แบบนี้มาก่อนนี่หว่า”
“โธ่ ผู้พันครับ ในชีวิตผมเคยเห็นกับตาเสียเมื่อไหร่ละครับ วันนี้มันเสือกมาคลอดใกล้ๆแทบจะเอื้อมมือถึงแบบนี้ แล้วจะไม่ให้ผมตื่นเต้นยังไงไหว เอ...ถ้าหูของผมไม่ฝาด รู้สึกว่าผมจะได้ยินเสียงของมันมาแล้วนะครับ ผู้พัน”
พอพูดจบหมู่สมพรก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า กวาดสายตาเหมือนหนึ่งจะสังเกตสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความพินิจพิจารณา
ประสาทหูของทหารหน่วยลาดตระเวนระยะไกลย่อมจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคนธรรมดามากมายหลายเท่านัก ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินชนิดหนึ่งจริงๆเสียงของมันดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อผมยกนาฬิกาข้นมาดุก็ปรากฏว่าเป็นเวลา 17.57 น. พอดิบพอดี
ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว บรรยากาศเริ่มสลัวลงอย่างรวดเร็ว ผม, คำคม ใช้กล้องสนามแรงสูงส่องกราดขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยฉับพลัน รัศมีลำสุดท้ายของดวงอาทิตย์ทำให้ผมตรวจการณ์มันได้ชัดพอสมควร ลำตัวอันยาวเหยียด สีขาววับ ปีกลู่มาทางด้านหลังเกือบ 70 องศา บินอยู่สูงลิบลิ่วจนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น จุดเล็กๆสองจุดที่เคลื่อนที่ติดตามอยู่ใกล้ๆ ถ้าผมเดาไม่ผิดมันก็คือเครื่องบินไอพ่น F-105 ที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง หรือช่วยบินคุ้มกันเครื่องบิน B-52 ลำนี้นั่นเอง ห่างออกไปด้วยระยะต่อพอสมควร B-52 ลำที่สองก็บินเกาะกลุ่มติดตามมาด้วยระดับความเร็วที่สม่ำเสมอกัน รัศมีลำสุดท้ายของแสงอาทิตย์ลับหายไปแล้ว ท้องฟ้ามืดสลัว ภาพของเครื่องบิน B-52 หายลับจากโฟกัสของกล้องสนามแรงสูงไปชั่วขณะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 15:29  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19317

คำตอบที่ 55
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 2
เครื่องบิน B-52 บินผ่านศรีษะของผมมุ่งหน้าไปยังเนินสกายไลน์วัน ชั่วอึดใจ ภาพที่ทำให้ผมบังเกิดอาการตื่นตาตื่นใจที่สุดในชีวิตก็ได้บังเกิดขึ้น ถึงแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้งหลายครา แต่ผมก็ยอมรับกับตัวเองว่า การทิ้งระเบิดของ B-52 ครั้งนี้ “มันส์”ที่สุดในชีวิต
ประกายไฟสีเขียวปนส้มสว่างแวบขึ้นมาบนไหล่เขาของเนินสกายไลน์วัน ประกายดังกล่าววิ่งปร๊าดเข้ามารวมกลุ่มกันเหมือนกับระเบิด “นาปลาม”
ตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดของเนินสกายไลน์-วันสุกปลั่งเหมือนกับทองคำ บัดดลนั้น เสียงกระหึ่มที่ดังเหมือนโลกถล่มก็ได้บังเกิดขึ้น ความดังและความรุนแรงของมันเหมือนกับอสุนีบาตที่ฟาดลงมาพร้อมๆกันนับพันนับหมื่นครั้ง
ความกดของอากาศบังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ยอดภูเขาเถิดเทิง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดระเบิดเพียง 2.5 ก.ม.บังเกิดอาการเหมือนกับแ(นดินไหว หลังคาบังเกอร์ถล่มทลายวายวอดไม่มีชิ้นดี ผ้าเต๊นท์สนามที่คลุมอยู่บนร่องสนามเพลาะ ปลิวหายไปกับกระแสลมเหมือนกับปุยนุ่น
เสาอากาศ “PRC-77” แบบ ทรี ทร็อพ ถอนรากถอนโคนปลิวหมุนขึ้นไปลอยค้วางอยู่กลางอากาศ
ทหารรับจ้างที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อนโวยวายออกมาอย่างคนขวัญเสีย
เสียงระเบิดคำรามติดต่อกันไปอย่างไม่มีหยุดยั้ง ไฟลุกท่วมเนินสกายไลน์-วัน แดงฉานไปหมดท้องฟ้า ความสว่างไสวของมันทำให้ยอดเถิดเทิงสว่างโพลนไปหมดทั้งขุนเขา
เกือบ 15 นาทีเต็มๆที่เนินสกายไลน์-วัน ต้องตกอยู่ท่ามกลางไฟบรรลัยกัลป์ แรงระเบิดของมันทำให้ประสาทของพวกผมขาดการบังคับไปชั่วขณะ
ยังไม่ทันจะตั้งตัวติด B-52 อีกเครื่องนึงที่บินคุมเชิงอยู่ตลอดเวลาก็เทกระจาดลูกระเบิดขนาด 500 ปอนด์ลงมาอีกครั้ง ลูกระเบิดที่ทิ้งด้วยระบบอิเล็คโทรนิค ชั้นซุปเปอร์สตาร์ดิ่งลงไปบนเป้าหมายอย่างไม่มีวันผิดพลาด
เสียงระเบิดและความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้จู่โจมเข้ามาหาผมอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรกหลายเท่านัก
แรงสั่นสะเทือนทำให้อาวุธหนักทุกชนิดที่ตั้งฐานยิงอยู่บนยอดเนินเถิดเทิง เอียงกระเท่เร่พังคลืนลงมากับพื้น และยอดเนินซ้ายมือสุดที่เคยโดนถล่มด้วย ปรส.ของข้าศึกมาก่อนแล้ว เมื่อมาโดนแรงสั่นสะเทือนซ้ำเข้าไปอีกก็เลยถล่มทลายลงทั้งกะบิ
นับว่าเป็นความโชคดีที่ทหารหมวดอาวุธหนักได้หลบลงมาอยู่ในร่องสนามเพลาะเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วยอดสูญเสียของกองพันผมจะต้องบังเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 คนขึ้นไปเลยทีเดียว
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เสียงระเบิดที่ดังสะท้อนไปสะท้อนมาได้เงียบสงบลงแล้ว แต่ความตื่นเต้นยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของทหารรับจ้างตลอดไป ระเบียบวินัยที่เคร่งครัดและเข้มงวดกวดขันหายไปชั่วขณะ ทหารรับจ้างทุกคนลืมตัวส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าววิพากษ์วิจารณ์กันแซ่ดไปหมดทั้งแนว
ยังคงมีเสียงระเบิด ซึ่งผมคาดว่า คงจะเป็น กับระเบิด ที่ตกค้างอยู่บนไหล่ครับเขาสกายไลน์-วันระเบิดตูมตามขึ้นมาไม่ขาดระยะ อำนาจของลูกระเบิดจาก B-52 ทำให้บังเกิดไฟไหม้ป่าลุกลามเลียออกไปอย่างกว้างขวาง
ข่ายวิทยุซึ่งเคยสงบเงียบ เริ่มเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง พนักงานวิทยุ BC.604 ซึ่งอยู่ทางหัวเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ปากคอสั่นรายงานสถานการณ์เข้า บก.ล่องแจ้งแทบไม่เป็นภาษาคน
ฟังยอดจำหน่ายกำลังพลตามคำรายงานของพนักงานวิทยุ 604 แล้วผมอดขำไม่ได้
ปืน ค.4.2 หกคะเมนลงไปนอกฐานบังเกอร์ชนิดพิเศษที่ “วิเศษ” ผบ.ร้อย 3 BC.604 เคยคุยนักคุยหนาว่าสามารถทนต่ออาวุธหนักทุกชนิดของข้าศึกได้ บัดนี้ถล่มทลายไม่มีชิ้นดี
ทหารประสาทหูพิการ 5 คน สติสัมปชัญญะมีเค้าว่าจะต้องกลายเป็นคนไม่เต็มเต็งเกือบ 10 คน และประการสุดท้าย ทหารกองพัน 604 กองร้อย 3 พูดจากันไม่รู้เรื่อง เนื่องจากประสาทหูอื้อไปชั่วขณะจนฟังอะไรแทบไม่ได้ยิน
นี่คือฤทธิ์เดชของ B-52 ที่ทิ้งห่างจากฐานปฏิบัติการของฝ่ายเราในระยะห่าง 1.5 กม.
คำคมสั่งซ่อมแซมฐานบนยอดเนินเดเทิงโดยด่วนที่สุด
ทหารหมวดอาวุธหนักประจำ ค. 4.2 โชคร้ายกว่าเพื่อน โดนกระบอกคออันหนักอึ้ง กลิ้งลงมาทับกระดูกแตก นอนร้องครวญครางจนต้องฉีดมอร์ฟีนให้หนึ่งเข็ม อาการเจ็บปวดดังกล่าวจึงค่อยทุเลา
หลังคาซึ่งทำด้วยผ้ากันฝน ปลิวข้ามไปตกที่ไร่ฝิ่นด้านหลังเขา
สองชั่วโมงผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับเข้าสู่สภาพเดิม
ก่อน 24.00 น. เล็กน้อย นอร์แมนส่งรหัสมาให้กองพันผมสั้นๆว่า
“ดอกไม้บานยามรุ่งอรุณ”
อา...กำหนดวัน ว. หรือวันดีเดย์ ได้ถูกประกาศิตขึ้นแล้ว
เพื่อความเรียบร้อย คำคมสั่งทหารเตรียมการเคลื่อนที่ทันที อุปกร์ที่ม่ำเป็นทุกชิ้นถูกทิ้งเอาไว้บนฐานปฏิบัตการจนหมดสิ้น ผ้าห่ม หม้อสนาม ถังน้ำขนาดใหญ่ และอุปกรณ์การหุงต้มถูกแพ้ครวมเอาไว้แล้วขนขึ้นไปวางกองอยู่บนยอดเถิดเทิงเพื่อรอการขนย้ายทางชอปเปอร์ต่อไป อาวุธหนักถูกถอดออกเอา เหมือนกับเมื่อคราวเคลื่อนย้ายเข้าตี บ้านเถิดเทิง
พอเวลา 02.30 น. คำคมก็ตัดสินใจเคลื่อนย้ายกำลังพลทั้งหมดลงจากยอดเนินเถิดเทิงอย่างเงียบเชียบ และในขณะเดียวกันก็ทำแผนลวงด้วยการสั่งให้ทหารจุดไฟทิ้งเอาใว้บนฐานเกือบตลอดแนว
แสงไฟที่วอมแวมอยู่บนยอดเถิดเทิง จากสภาพดังกล่าวคล้ายๆกับพวกเราจะจุดไฟขึ้นมาเพื่อตรวจตราความเสียหายของฐานปฏิบัติการอันเนื่องมาจากการสั่นสะเทือนของลูกระเบิด B-52 นั่นเอง
ทหารรับจ้างเกือบทั้งหมด เคลื่อนที่ลงจากยอดเถิดเทิงอย่างช้าๆเงียบเชียบ และระมัดระวัง เส้นทางซึ่งถูกเคลียร์มาก่อนแล้วจากฝีมือของหมู่สมพร ทำให้ส่วนหน้าสุดเคลื่อนที่ไปได้อย่างสะดวกสบายยิ่งกว่าทุกครั้งของการเข้าตีที่ผ่านมา
3 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก่อน 05.30 น. กองร้อย 2 ซึ่งเป็นส่วนหน้าสุดก็ยึดหมู่บ้าน 50 หลัง เอาไว้ได้ด้วยความปลอดภัย
คำคมสั่งให้ทหารรับจ้างพาเหรดขึ้นหมู่บ้าน 50 หลังทันที และใช้พื้นที่ดังกล่าวตั้งฐานปฏิบัติการชั่วคราวในการเข้าตีครั้งนี้ อาวุธหนักทุกชนิดถูกติดตั้งอย่างรีบเร่ง แผนการเข้าตีซึ่งได้ถูกวางเอาไว้อย่างแนบเนียน ถูกกองร้อยต่างๆปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน
กองร้อยที่ 1 ขึ้นโอบปีกซ้าย
กองร้อยที่ 2 ขึ้นโอบทางปีกขวา
ส่วนกองร้อย 3 บุกตลุยขึ้นไปตรงช่องกลางอันเป็นเส้นทางที่ผมกับหมู่สมพรได้เคลียร์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยก่อน 05.45 น
เหลืออีก 13 นาทีจะถึงหมายกำหนดการเข้าตี
จากการดักฟังข่าววิทยุจาก BC.603 ซึ่งจะตีโอบทางเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์-วันก็ปรากฏว่า ชุดซุ่มโจมตีกลางคืนของ BC.603 ดังกล่าวตรวจการณ์พบแสงไฟบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เข้าให้แล้ว
“ฉิบหายแล้ว บิ๊กแมน พวกมันส่วนมากยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ B-52 ถล่มมันขนาดไหนก็ตามที พวกมันก็ยังเหลือรอดชีวิตอยู่จนได้ ผมคิดว่าพวกมันจะต้องขุดอุโมงค์ขนาดยักษ์เจาะพื้นยอดเขาเข้าไปตั้งกองบัญชาการอยู่แน่ๆ รุ่งอรุณของเช้าวันนี้ ชักจะไม่โสภาเสียแล้ว สกายไลน์-วันคงจะเป็นเนินมรณะสำหรับพวกเราหรือพวกมัน อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ก็คงจะได้รู้กัน”
คำคมกระซิบกระซาบกับผมแล้วหันไปออกคำสั่งกำชับหมวดอาวุธหนักอีกครั้ง
“อาวุธหนัก ยิงให้คลุมพื้นที่ตั้งแต่เนินอานม้าขึ้นไปจนกระทั่งเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ อย่าให้เลยไปถึงเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เป็นอันขาดนะโว้ย ประเดี๋ยวพลาดจากยอดเนินลงไป โดน BC.603 ก็แหลกเท่านั้น อีก2 นาที ระดมยิงทันที”
05.58 น. พลุสีเขียวสดใส 3 ช่อถูกยิงมาจากที่ใดที่หนึ่งสว่างโร่ อยู่เหนือเนินสกายไลน์-วัน
บัดดลนั้นเอง อาวุธหนักทุกชนิดก็คำรามขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว ที่หมายคือไหล่เขาสกายไลน์-วัน ที่กำลังเด่นชัดขึ้นมาทุกขณะด้วยรัศมีอันเรืองรองของดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ
“พรึ้ง...วี้ด...บึ้ม”
“พรึ้ง...วี้ด...บึ้ม”
เสียงกระสุนปืนใหญ่ 155 มม.จากฐานแคนเดิ้ลและเฮอคิวลิสต์ ที่ตั้งฐานบังคับการยิงอยู่บนเนินเขาเยื้อง บก.สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) เริ่มถล่มกระสุนสังหารเข้าใส่เนินสกายไลน์-วัน ด้วยการยิงชนิดต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดยั้ง
หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ฐานปืน “แคนเดิ้ล” และ “เฮอร์คิวลิส” ต้องกลายเป็น “ฐานบอด” ชั่วคราว เนื่องจากยิงเนินสกายไลน์-วันมิได้ผล
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ ถ้าจะพูดกันด้วยเหตุผลที่เป็นจริงแล้ว มันก็น่าเห็นใจฐานปืนใหญ่ทั้งสองแห่งนี้เหมือนกัน ผลการยิงแต่ละนัด แต่ละชุด เท่าที่ผมตรวจการณ์ด้วยกล้องสนาม มันถล่มลงบนยอดเนินสกายไลน์-วันเหมือนกับจับวาง
แต่พอการระดมยิงเสร็จสิ้นลง ทหารปิศาจเหล่านั้นก้ออกจากรูขึ้นมาเดินเพ่นพ่านกันให้มั่วไปหมด
และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ จะบังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อการยิงปืนใหญ่เสร็จสิ้นลง อำนาจปืนใหญ่ทั้งสองฐาน ทำอะไรฐานปฏิบัติการของมันไม่ได้เสียแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แคนเดิ้ลกับเฮอคิวลิสก็เลยงดการระดมยิงยอดเนินดังกล่าวอย่างเด็ดขาด
ด้วยแผนการเข้าตีของ ซีไอเอ ก็เลยทำให้แคนเดิ้ลกับเฮอคิวลิสต้องเปิดฉากระดมยิงยอดเนินดังกล่าวต่อไป



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 15:40  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19323

คำตอบที่ 56
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 3
BC. 603 ซึ่งใช้รหัส “เห่าดง” หมุน “ฟรีเควนซี่” (ความถี่วิทยุ) เข้ามาร่วมกับข่ายวิทยุกองพันผมแล้ว
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กองพันแต่ละกองพันที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการ “เข้าตี” สามารถรู้ถึงสถานะการณ์ในปัจจุบันซึ่งกันและกันได้อย่างสบาย
อาวุธหนักกองพันของผมซึ่งตั้งฐานอยู่ ณ. บริเวณหมู่บ้าน 50 หลัง เริ่มสลุตกระสุนไล่เดี๊ยตั้งแต่ตีนเขาสกายไลน์ขึ้นไป จนกระทั่งถึงฐานที่ตั้งอาวุธหนักของทหารเวียตนามเหนือ ด้วยการยิงสลับขึ้นสลับลงอยู่ตลอดเวลา
ทหารกองร้อย 3 เริ่มเคลื่อนที่ออกจากหมู่บ้าน 50 หลัง ด้วยรูปขบวนแถวตอนเรียงเดี่ยว เคลื่อนที่ขึ้นไปในขณะที่ลุกกระสุนปืน ค.และ ปรส. วิ่งผ่านศรีษะเสียงดังหวีดหวิว ทหารรับจ้างบางคนแหงนหน้าขึ้นมองดูวิถีกระสุนด้วยท่าทางกริ่งเกรงอย่างเห็นได้ชัด
อย่าว่าแต่ทหารเหล่านั้นเลยครับ ตัวของผมเองก็เถอะน่า อุจจาระแทบจะพาเหรดขึ้นมาอยู่บนหัวสมองอยู่แล้ว
เล่นกับอะไรไม่เล่น พิเรนไปเล่นกับลูกปืนครก เจอะเฉียดๆมันก็เกมกันเท่านั้น
ท่านผู้อ่านลองคุยๆกับทหารราบดูเถอะครับ แล้วเขาจะบอกคุณเองว่า ในขณะเคลื่อนที่แล้วมีกระสุนปืนครกยิงข้ามหัวอยู่นั้น มันเสี่ยงตายพอๆกับวิ่งเข้าหากระสุนปืนเลยทีเดียว
จับพลัดจับผลู เชื้อประทุของลูก ค. เกิดเสื่อมขึ้นมา แล้ว ชอร์ท โครมลงบนกลุ่มของพวกผมเข้า ก้เห็นจะร้องเพลง “ยมบาลเจ้าขา” ของคุณบุปผา สายชล ไปเท่านั้น
...และก็ขอโทษที อุบัติเหตุแบบนี้ก็มักจะมีอยู่เสมอๆ เสียด้วยซีครับ
อย่าว่าแต่ปืนครกเลยครับ แม้กระทั่งปืนใหญ่ที่ว่ายิงนิ๊งๆเหมือนกับจับวางนี่แหละ พี่แกก็ยังทำให้ผมวิ่งขี้หดตดหายมาแล้ว
นึกถึงวันนั้นแล้วผมใจยังฝ่อไม่หาย
เย็นวันหนึ่งของเดือนธันวาคม ที่ค่อนข้างจะเยือกเย็น ผมนั่งล้อมวงกินข้าวกับทหารรับจ้าง 6-7 คนบนยอดเนิน “ชารลี-แทงโก้” ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดบนเนินสกายไลน์-ทู ขณะที่กำลังเอร็ดอร่อยกับลาบเนื้อวัวที่เพิ่งจะแบ่งออกมาจากทหารลาวอยู่นั้น กระสุนปืนใหญ่จากการร้องขอ “เดฟคอล” ของกองพันที่อยู่เบื้องหน้าผมก็เกิด “ชอร์ท” หล่นตูมลงมากลางวงพอดิบพอดี
เหมือนกับปาฏิหารย์ ลุกกระสุนปืนใหญ่นัดนั้นบังเอิญด้าน แต่ขนาดด้านๆนี่แหละครับ ทหารรับจ้างบางคนยังขี้แตกออกมาเต็มกางเกงเลยครับ
ส่วนผม ขอยืมฝีเท้าอาณัติ รัตนพล วิ่งโกยแน่บ เข้าไปซุกอยู่ข้างๆรั้วลวดหนาม เกือบจะโดนกับระเบิดตายซะแล้ว
เมื่อมาเดินลอดวิถีกระสุนของปืนครกแบบนี้เข้า ผมก็เลยเสียวสันหลังวูบวาบ เดินล่อกแล่กๆ จนหมู่สมพรที่เดินขนาบข้างผมถึงกับหยุดดูด้วยความแปลกใจที่มองเห็นผมปอดลอยถึงขนาดนั้น
กองร้อยของผมเคลื่อนที่ขึ้นมาถึงแนวทิ้งระเบิดของ B-52 แล้ว หลุมระเบิดขนาดยักษ์ เรียงรายยาวสุดสายตาปรากฏอยู่เบื้องหน้า กลิ่นกำมะถัน,ฟอสฟอรัส คละคลุ้งอบอวลทั่วบริเวณ
ป่าเสือหมอบและพืชล้มลุกถูกอำนาจระเบิดพลิกขึ้นมากระจุยกระจาย และส่วนที่เหลือก็โดนไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญไม่มีชิ้นดี
ต้นไม้ขนาดสองคนโอบ ยอดขาดกระเด็นเหมือนกับโดนขวานจาม บางต้นที่โดนลูกระเบิดเข้าอย่างจังๆ ก็ถึงกับล้มโค่นลงมากองระเกะระกะอยู่ทั่วบริเวณ ควันไฟและรอยไหม้เกรียมยังครุกกรุ่นอยู่ตลอดทาง
ทหารรับจ้างบางคนชะโงกหน้าลงไปมองดูหลุมระเบิดของ B-52 แล้วทำสีหน้าเหมือนกับจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง มันก็ไม่น่าเชื่อจริงๆนี่ครับ ทั้งลึกทั้งกว้าง เท่าที่สายตาของผมกะๆดูแล้ว มันลึกไม่น้อยกว่า 20 เมตรเลยจริงๆ หลุมระเบิดห่าเหวอะไรไม่รู้...ลึกระยำ
คำคมสั่งแปรขบวนออกเป็นรูปแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยว ด้วยช่วงระยะต่อคน คนละสองเมตร ทหารรับจ้างกระชับปืนประจำกาย เคลื่อนที่ขึ้นไปบนไหล่เขาอย่างระมัดระวัง พื้นที่...ที่ต้องสงสัยถูกยิงเคลียร์ด้วยระบบออโตซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระสุนปืนดังเกรียวกราวไม่ขาดระยะ เสียงวิทยุสนามสั่งการโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์
ผมเคลื่อนที่ผ่านบริเวณที่ติดตั้งเครื่อง “เรด้าห์-พ็อคเก็ต” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ผมเตร่เข้าไปยังพื้นที่-ที่ได้ทำเครื่องหมายเอาไว้
ปรากฏว่า “เรด้าห์-พ็อคเก็ต” ถูกอำนาจระเบิดถล่มทลายทับถมไม่มีชิ้นดี บางพื้นที่ก็โดนไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญมอดไหม้เป็นธุลีดินจนหมดสิ้น
เนื่องจากเวลาของผมมีไม่มากนัก ผมก็เลยไม่สามารถที่จะตรวจค้น “เรด้า-พ็อคเก็ต” อันอื่นๆต่อไปอีกได้
หลุมเพลาะของจุดซุ่มโจมตี ทหารลาวแดงที่ผมนั่งเฝ้าดูพฤติการณ์ของมันทั้งวันทั้งคืน กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ไปเสียแล้ว
“อินทรีจากเห่าดง ขณะนี้ เห่าดงกำลังได้รับการยิงปะทะอย่างรุนแรงจากข้าศึกบนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” โปรดระวัง ข้าศึกมี 12.7 วิถีราบ หลายกระบอกอยู่บนนั้น...เปลี่ยน”
เสียงพนักงานวิทยุของกองพัน 603 ส่งข่าวมาให้กองพันผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเอาการ และในเวลาเดียวกันนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกระสุนกระทบแตกชนิดที่ใช้ต่อสู้อากาศยาน แต่พวกมันมาดัดแปลงเป็นปืนวิถีราบดังเกรียวกราวเป็นข้าวตอกแตกอยู่บนยอดเนิน ตรงข้ามกับทิศทางที่พวกผมกำลังเคลื่อนที่เข้าไป
ทหารรับจ้างบางคนชะงักงัน และทำท่าหันรีหันขวางอย่างไรพิกล คำคมมองเห็นเข้าก็เลยตะโกนกรอกลงไปในวิทยุสุดเสียง
“เฮ้ย....ไอ้น้อง เคลื่อนที่ขึ้นไปเป็นรูปหน้ากระดาน อย่าให้แถวขาดตอนลงแบบนั้น ประเดี๋ยวเวลาเคลียร์พื้นที่ หรือเกิดปะทะกับข้าศึกได้ยิงกันเองตายห่า ...เร็วๆเข้าโว้ย ขนาดอั๊วแก่ๆยังสบายนี่หว่า ยึดยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟได้ อั๊วให้ลาคนละ 10 วัน”
คำพูดของคำคมออกอากาศไปทั่วแนว
คำว่า “ถ้ายึดยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟได้ จะให้ลาคนละ 10 วัน” คือกำลังใจและจิตวิทยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในภาวการณ์เช่นนี้
เสียงไชโยโห่ร้องดังแซดขึ้นมาอีกครั้ง ทหารรับจ้างทุกคนสีหน้าชุ่มชื่น และบังเกิดกำลังใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เร่งฝีเท้าเดินตามพรรคพวก แล้วกราดกระสุนเข้าเคลียร์พื้นที่เบื้องหน้าอย่างฮึกเหิม
แนวกระสอบทรายของฐานปฏิบัติการบนยอดเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ ปรากฏลิบๆอยู่เบื้องหน้า
“ปึง...ปึง...ปึง...ปึง…ปึง”
ปืนต่อสู้อากาศยาน 12.7 ที่ดัดแปลงเป็นปืนกระสุนวิถีราบ เปิดฉากโจมตีพวกเราเข้าให้แล้ว แนวกนระสุนกระทบแตกของมันฉีกพื้นดินเป็นแนวยาว แล้วระเบิดส่งสะเก็ดออกไปรอบทิศทาง ทหารรับจ้าง 2-3 คนที่เดินอยู่ข้างๆผม ล้มผลอยเหมือนกับใบไม้ร่วง
ผมกับคำคมเผ่นพรวดเดียวตกลงไปในหลุมระเบิดแห่งหนึ่ง มูลดินซึ่งเกิดจากแรงระเบิดถูกกระสุนกระทบแตก 12.7 มม. พังทลาย ไม่มีชิ้นดี
อึดใจต่อมา พนักงานวิทยุกองร้อย 3 ที่ผมจำชื่อได้ว่า “ส.อ. ทศพร” ก็กระเด็นลงมาในหลุมเดียวกับผม
เมื่อคำคมเหลียวมองไปเห็นเข้าก็ร้องอุทานออกมาสุดเสียง
“เฮ้ย...ไอ้น้อง ทำไมลื้อโชคร้ายแบบนี้วะ”
ผมหันขวับกลับไปมองดูพนักงานวิทยุคนนั้น อนิจจา...ร่างกายของหมู่ทศพรเหลือเพียงครึ่งตัวเท่านั้น เมื่อผมกวาดสายตาขึ้นไปมองที่ปากหลุมก็เห็นร่างกายส่วนล่าง ตั้งแต่บั้นเอวลงไปค้างเติ่งพาดอยู่บริเวณปากหลุมนั่นเอง
“เร็ว บิ๊กแมน ขึ้นจากปากหลุมจวกกับมัน”
คำคมพูดพลางดึงแขนผมลุกขึ้น ผมลาก PRC-77 ที่กลิ้งอยู่ข้างๆขึ้นมาสะพายเอาไว้เบื้องหลัง แล้วคอน M-16 ปีนหลุมระเบิดข้นมานอนหมอบอยู่ข้างขอนไม้ขนาดใหญ่ที่โค่นล้มกลิ้งอยู่ข้างๆ
เสียงปืนเอ็ดอึงเหมือนกับฟ้าพิโรธ แนวยิงของพวกเราถูกอาวุธหนักกดหัวจนกระทั่งไม่สามารถรุกคืบหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว
“M-72 ที่หมายปืน 12.7 บนเนินชาร์ลี-กอล์ฟ ชุดแรก 5 นัด ยิง”
เสียง ผบ.ร้อย 3ดังกังวานอยู่ข้างๆ คำคมผละจากผม คลานสี่ตีนมุ่งหน้าเข้าไปหาลุกน้องอย่างรวดเร็ว ผมขยับตัวตามไปติดๆ พระเจ้าช่วย พอผมเคลื่อนที่พ้นขอนไม้ดังกล่าวไปได้เพียง 20 เมตร จรวด RPG ลูกหนึ่งของมันก็วิ่งปร๊าดถล่มเข้ามาพอดิบพอดี
เศษหิน เศษกิ่งไม้ กระเด็นใส่วิทยุที่อยู่บนหลังผมดังเกรียวกราว เมื่อผมเอี้ยวคอกลับไปมองดูก็เย็นเยียบเข้าไปถึงไขสันหลัง
ขอนไม้แหว่งออกไปครึ่งหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็บงเกิดไฟลุกโขมง ทหารรับจ้างอีกคนที่หมอบอยู่ข้างๆคำคม ร่างกายแหลกเหลวเหมือนกับหมูบะช่อ ความกลัวตายทำให้ผมคลานเสียเร็วจี๋ แพล็บเดียว ผมก็แซงคำคมขึ้นไปนั่งหอบ เป็นหมาบ้าแดดอยู่เบื้องหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ร.ท. ชัยสิทธิ์ นายทหารจากกองพันทหารสื่อสาร สะพานแดง หันมายกนิ้วโป้งให้ผมพร้อมทักทายอย่างคุ้นเคย
“ยอด...ยอด...บิ๊กแมน คลานเร็วจี๋หยั่งกับมือมีตีนทีเดียวครับ ช้านิดเดียวคุณจอดแน่ๆ”
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม” M-72 อันทรงอานุภาพของเราเริ่มคายพิษสงเข้าใส่ข้าศึกเข้าให้แล้ว
M.60 เพิ่งจะเริ่มโปรยม่านกระสุนเข้าหาฐานปฏิบัติของข้าศึก เสียงระรัวที่เป็นจังหวะจะโคนของมัน ทำให้ผมต้องเหลียวไปมองดูด้วยความทึ่งใจ ไม่ใช่ใครหรอกครับ “หมู่สมพร อ่ำนาดิน” เพชฌฆาตมือดีของกองพัน 617 นั่นเอง เขานอนหมอบอยู่ทางด้านซ้ายมือห่างจากผมออกไปประมาน 15 เมตร และข้างๆตัวปืน M.60 ร่างของพลยิงตัวจริงนอนคว่ำหน้า เลือดทะลักออกมาจากต้นคอเป็นสาย
“ไอ้หอก จะตายก็ไม่ตะโกนบอกกูด้วย กูก็สงสัยว่าทำไมมึงจึงไม่ซัดกับมันด้วยปืนกล...หนอย ...เสือกนอนหลับซะนี่ หลับให้สบาย เพื่อนกู...กูจะล้างโคตรมันให้สิ้น...
หมู่สมพร พูดไป..ยิงไป..หัวเราะไปอย่างบ้าคลั่ง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 15:49  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19326

คำตอบที่ 57
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 4
หมู่สมพร พูดไป..ยิงไป..หัวเราะไปอย่างบ้าคลั่ง ผมใจหายวาบ จากลักษณะดังกล่าว หมู่สมพรกำลังเข่ขั้นจะวิกลจริตอยู่แล้ว ผมหันกลับมาก็มองเห็นคำคมคลานเข้ามาพอดี
“ผู้พัน...หมู่สมพร เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ผมรู้สึกว่า....”
ผมพูดยังไม่ทันจบ คำคมก็เผ่นพรวดเดียวเข้าไปประชิดตัวหมู่สมพรเสียแล้ว สันมือขวาที่หนักอึ้งฟาดฉับลงไปบนต้นคอที่กระชับแน่นอยู่กับพานท้าย M.60 นั่นเอง
หมู่สมพรฟุบหน้าลงกับพื้น นิ่งสนิท! คำคมปราดเข้าลากร่างของหมู่สมพรขึ้นไปพิงกับหลังก้อนหินพร้อมสะบัดหลังมือตบหน้าลูกน้องคู่ใจ 2 ทีซ้อนๆ
“เร็ว! บิ๊กแมน ช่วยยิง M.60 ปะทะเอาไว้ก่อน”
เสียงของคำคมที่ร้องตะโกนอยู่ใกล้ๆ เรียกให้ประสาทของผมที่กำลังจะเขม็งเกลียวกลับคืนมาในบัดดล ผมถลาเข้าไปในประทับ M.60 เหนี่ยวไกสาดกระสุนไปเบื้องหน้าอย่างเมามัน ยิง ยิง ยิงจนลำกล้องร้อนแดงแทบจะลุกเป็นไฟ
“แคร๊ง”
เสียงลูกเลื่อนกระทบรังเพลิงดังสนั่น ความรู้สกบอกกับตัวเองว่า กระสุนมันขัดลำเสียแล้ว และผมก็ไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวนี้เสียด้วย ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้ผมร้องตะโกนบอกคำคมเสียงหลง
“ผู้พัน...กระสุนขัดลำ”
“สมพร...สมพร”
คำคมไม่สนใจผม เขาตะโกนกรอกหูลูกน้องคู่ใจ พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งดึงเขย่าศีรษะอยู่ไปมา
สมพรลืมตาโพลง ผมเห็นเขาสะบัดหน้าอยู่สองสามครั้ง เสียงกระสุนปืนที่ดังเซ็งแซ่อยู่รอบทิศ คงจะเรียกความรู้สึกที่แท้จริงของเขากลับมาเป็นของตัวเองได้อีกครั้ง
คำคมตะโกนสั่งทางวิทยุให้ทหารทุกคนประสานการยิงอย่าให้ขาดระยะ
หมู่สมพรปราดเข้ามาแก้ไข ปืน M.60 อยู่ชั่วครู่ก็เสร็จเรียบร้อย ชั่วอึดใจเขาก็เริ่มส่ายปากกระบอกปืน เหนี่ยวไก ยิงกราดเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของข้าศึกเป็นห่าฝน
“ผู้พัน แบบนี้เราขึ้นไปไม่ถึงยอดชาร์ลี-กอล์ฟแน่ครับ BC-603 ก็เริ่มถอนตัวลงมาแล้ว...ผมจะลองขอ T-28 จากนอร์แมนดูนะครับ”
“เอาเลย น้องชาย สงสัยว่าใต้ยอดเนินจะต้องมีอุโมงค์ใต้ดินอยู่แน่ๆ ขนาด B-52 ยังเอามันไม่อยู่ แสดงว่าอุโมงค์มันจะต้องอยู่ลึก และแข็งแรงมากทีเดียว”
ผมรีบติดต่อเข้า เบาว์เดอร์-คอนโทรลเพื่อขอการสนับสนุนพร้อมกับแจ้งรายละเอียดการปะทะให้หน่วยเหนือทราบ
หลังจากรับข่าวขอความช่วยเหลือจากผมแลบ้ว ทางเบาว์เดอร์ ก็เงียบหายไปชั่วขณะ
เกือบ 5 นาทีที่เบาว์เดอร์เงียบหายไปเฉยๆ
มันเป็น 5 นาทีที่ทรมานใจผมอย่างแสนสาหัส เบาว์เดอร์จะสนับสนุนหรือว่าปฏิเสธก็น่าจะตอบให้ผมทราบ ไม่น่าที่จะทรมานด้วยการปล่อยให้รอคอยกันแบบนี้
“บิ๊กแมน จากนอร์แมน…T-28 3 เครื่อง ออน เดอะ เวย์”
คำพูดประโยคสั้นๆ ของเจ้านายที่ยังคงไม่ทอดทิ้งผม ดังแว่วๆอยู่ในหูฟังของ PRC-77
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก นอนหงายลงไปกับพื้น แสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบกับใบหน้าช่างสดชื่นและสว่างไสวยิ่งกว่าทุกครั้ง
“เป็นอะไรไป...บิ๊กแมน”
หมู่สมพรซึ่งคงจะหันมาพบผมนอนนิ่งเข้าโดนบังเอิญ ร้องตะโกนถามมาอย่างร้อนรน ผมพลิกตัวกลับคลานจี๋เข้าไปที่วิทยุ HT-2 อันเป็นวิทยุประจำตัวของคำคมซึ่งวางอยู่ใกล้ๆยกขึ้นมาตะโกนกรอกลงไปที่ปากพูดเต็มเสียง
“อินทรีทั้งหลายจากบิ๊กแมน จวกมันเข้าไปครับ T-28 กำลังบินมาช่วยเราแล้ว”
เสียงไชโยโห่ร้องแซ่ดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ห่ากระสุนที่เว้นระยะลงไปก็ประสานเซ็งแซ่ถี่ยิบขึ้นมาอีกครั้ง
“T-28 มาแล้ว”
เสียงหึ่งๆของมันดังแว่วมาก่อน ชั่วอึดใจลำตัวอันขาววับของมันก็บินเกาะหมู่ข้ามเนินสกายไลน์ไปอย่างรวดเร็ว
“บิ๊กแมน บรูสเตอร์ จาก T-28 กรุณาโชว์สโม๊คแสดงที่ตั้งของคุณด้วย เปลี่ยน”
“T-28 จากบีกแมน ขอบคุณมากครับ คุณมาทันเวลาพอดี”
ในขณะที่พูดวิทยุ ผมก็หยิบควันสัญญาณสีแดงออกมาจากสายรัดทึบ ดึงสลักนิรภัยข้วางมันลงไปที่พื้นทันที
“เพลี๊ย”
ควันสัญญาณสีแดงพวยพุ่งออกมาแล้วรวมตัวลอยขึ้นเบื้องบนเป็นสาย
“บิ๊กแมน สีแดงของคุณใช่ไหม”
นักบินย้อนถามลงมาอีก
“โรเจอร์”
ผมตอบเป็นรหัสขึ้นไปว่า ถูกต้อง
ยังไม่ทันขาดคำพูดทางวิทยุของผม T-28 เครื่องหนึ่งก็ดิ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ปืน 12.7 ของทหารเวียตนามเหนือเงียบเสียงลงเป็นปลิดทิ้ง และยิ่งไปกว่านั้นเสียงปืนชนิดอื่นๆก็พลอยหยุดยิงตามลงไปด้วย
เหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นทำให้คำคมถึงกับต้องหันมาสบตากับผมด้วยความแปลกใจ
ลูกระเบิดขนาด 250 ปอนด์ลอยละลิ่วลงมาจากใต้ปีกของ T-28 มองเห็นถนัดตา ทุกลูก...หล่นโครมลงบนเป้าหมายเหมือนกับผีจับยัด T-28 เครื่องที่ 2 และเครื่องที่ 3 ต่างก็ทะยอยบินเข้าโจมตี ระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่มีเสียงปืนยิงตอบโต้จากข้าศึกแม้แต่นัดเดียวเหมือนเช่นเคย
“บิ๊กแมน ไอ้แกวมันหายจากสนามเพลาะไปใหนหมดก็ไม่รู้ ปืน 12.7 ที่เคยระดมยิงพวกผมก้ไม่รู้ว่า พวกมันเอาไปซ่อนไว้ที่ใหนกันแน่...ผมตรวจการณ์ไม่เห็นมันเลย จะให้ผมทำงานอีกไหมครับ”
นักบินส่งวิทยุลงมาถามผมอย่างคลางแคลงใจ ที่เขาตรวจการณ์ไม่พบทหารเวียดนามเหนือแม้แต่คนเดียว
คำคมกัดกรามแน่น เขาทำอากัปกริยาเหมือนอย่างจะคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้เอ่ยคำพุดขึ้นมาอย่างชนืดที่ผมเย็นวาบเข้าไปถึงหัวใจ
“ติดดาบ...บิ๊กแมน ติดดาบปลายปืน เคลื่อนที่เข้าหาฐานปฏิบัติการของมันในขณะท่พวกมันกำลังหลบเครื่องบินอยู่ในอุโมงค์ คุณพยายามหาทางถ่วงเวลาให้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่พวกมันนานๆจนกว่าเราจะเคลื่อนถึงฐานมัน จากระยะนี้ ผมคิดว่าไม่ถึง20 นาทีก็จะถึงแนวลวดหนามของมันแล้ว”
ผมไม่มีทางเลือก! กองร้อย 1 กองร้อย 2 ซึ่งโอบอยู่ทางปีกทั้งสองข้าง ต้องตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกับกองร้อยของผมทุกประการ ผมอธิบายเหตุการณืให้นักบิน T-28 ทราบ นักบินกำชับให้พวกผมระวังสะเก็ดระเบิด แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีถ่วงเวลาทันที
ด้วยรหัสวิทยุอย่างสั้นๆ ทหารรับจ้างทุกคนติดดาบปลายปืนแล้วลุกขึ้นยืน กระชับปืนอยู่ในท่าเตรียมแทง เคลื่อนที่เข้าหาแนวกระสอบทรายซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 200 เมตร สายตาจ้องเขม็งไปเบื้องหน้า เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาเต็มดวงหน้าที่หยาบกร้านและเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าไฟ ควสมรู้สึกของผมในขณะที่เคลื่อนที่เข้าหาแนวของข้าศึก ก็คือความตื่นเต้นอย่างสุดขีด ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ ต่างๆเหล่านี้ผมจะเคยเห็นและเคยผ่านมาก่อน ก็ตามที ครั้งนั้น ผมถูกความจำเป็นบังคับให้สู้...ถ้าไม่สู้ก็ตาย! ผมก็เลยสวมวิญญาณหมาบ้าไล่จวกพวกมันเสียกระเจิงไป
แต่ครั้งนี้ ทั้งๆที่กองพันของผมมีทางเลือก ! มีทางเลือกที่เสี่ยงน้อยกว่านี้มากนัก! แต่ทว่าความเป็นผู้บังคับบัญชาที่กล้าได้กล้าเสีย อ่านแผนของข้าศึกทะลุปรุโปร่งเหมือนกับเล่นไพ่เผ ทำให้คำคมต้องเลือกวิธีที่แปลกและแหวกแนวกว่าวิธีใดๆของผบ.พันที่ผมเคยพบเห็นมาในสมรภูมิลาว มันเป็นวิธีที่ผมเองต้องขนหัวลุกมาจนกระทั่งแทบทุกวันนี้ บอกกับท่านผู้อ่านอย่างไม่อายเลยครับ หัวใจของผมก็แทบจะหลุดลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มอยู่รอมร่อแล้ว
ความคิดบ้าๆทีพุ่งขึ้นมาก็คืออยากจะทำปืนลั่นใส่ตัวเอง แล้วนอนรอพรรคพวกให้ “เข้าตี” ฐานข้าศึกจนเสร็จแล้วจึงค่อยปีนเขาขึ้นไปสมทบทีหลัง แต่เมื่อมองเห็นทหารรับจ้างที่เดินอกตั้งอยู่ข้างๆ ผมก็บังเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมาทันที ความอาย! ทำให้ผมบังคับจิตใจได้อย่างแปลกประหลาดที่สุด และแล้วความคิดบ้าๆอีกชนิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้นมาแทกซ้อน
ผมอยากจะเป็นพระเอกหนังไทยหรือว่าพระเอกในนวนิยายโชกเลือดทั้งหลาย ที่มีความสามารถเข้าห้ำหั่นกับข้าศึกด้วยตัวเพียงคนเดียว ยิงปืนก็แม่น ปืนหมดกระสุนก็ยังใช้มีดพกขว้างเสียบลุกกระเดือกได้อย่างแม่นยำ แถมยังตะลุมบอนด้วยหมัดลุ่นๆเสียจนผู้ร้ายนอนระเนระนาดเกลื่อนสมรภูมิ
ผมอยากจะให้พ่อพระเอกทั้งหลายแหล่เหล่านี้ ลองหลุดเข้ามาเจอะสถานะการณ์อย่างเดียวกับผมดูบ้างเป็นไร เชื่อผมเถอะ พี่แกอาจจะต้องลืมบทบาทที่เคยแสดงอยู่ในจอเงินอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเปลี่ยนอาชีพเป็นนักวิ่งทีมชาติ ชวน “อาณัติ รัตนพล” วัดฝีเท้ากันไปเท่านั้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 15:56  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19327

คำตอบที่ 58
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 5
เสียงระเบิด ตึงตังโครมครามดังใกล้เข้ามาทุกที เอ๊ะนี่ผมคิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อยเปื่อยจนใกล้ฐานปฏิบัติการของข้าศึกแล้วหรือนี่?
ความคิดบ้าๆบวมๆของผมสะดุดลงเมื่อประสาทหูได้ยินเสียงแว้ดยาวๆดังแหวกอากาศออกมาจากฐานเบื้องหน้า มันเป็นเสียงจรวด RPG ของข้าศึก และก็ทิศทางของมันก็คือถล่มทหารที่เดินเรียงแถวเป็นหน้ากระดานอยู่นั้น
ผมโดนเตะข้อเท้าทางด้านหลังล้มค่ำหน้าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สึกตัว ผงกหน้าขึ้นไปดู ก็มองเห็นหมู่สมพรเจาะลวดหนามที่ถล่มทลายอยู่ก่อนแล้ว ด้วย M-72 อันทรงอานุภาพเข้าพอดี
ทหารเวียตนามเหนือเพิ่งจะอ่านแผนการของพวกเราออก และพวกมันก็ไม่รั้งรอ ที่จะเปิดฉากดวลกับกระสุนกับเราอย่างชนิดยอมตายคารังปืน
กองร้อย 1,2 ตะลุยรั้วลวดหนามเข้าไปถึงฐานปฏิบัติการของทหารเวียตนามเหนือเข้าให้แล้ว เนื่องจากฐานปฏิบัติการบนยอดเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟมีพื้นที่ไม่ค่อยจะกว้างเท่าใดนัก ดังนั้น เมื่อทหารรับจ้างจากกองร้อย 1 และกองร้อย 2 เคลื่อนที่จากไหล่เขาขึ้นมาถึงพื้นที่หน้าตัดบนยอดเนินก็เลยมองเห็นซึ่งกันและกันด้วยสายตาเต็มพรืดไปหมด
T-28 ทั้ง 3 คันหมดภารกิจบินกลับไปแล้ว ทหารเวียตนามเหนือพรั่งพรูออกมาจากแห่งใดแห่งหนึ่งที่ผมยังตรวจการณ์ไม่เห็น...
...พวกมันติดดาบปลายปืน วิ่งเข้ามาสกัดพวกเราอย่างบ้าคลั่ง
และก็มีอีกจำนวนหนึ่ง หามปืน 12.7 วิ่งปร๊าดเข้ามาทางด้านบริเวณที่พวกผมกำลังวิ่งควบเข้าไปพอดี หมู่สมพรวิ่งแซงผมออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่มีโอกาสรู้ มองเห็นอีกที หมู่สมพรก็กำลังเสือกดาบปลายปืนเข้าไปยังช่องท้องของพลปืน 12.7 คนหนึ่งอย่างเมามัน
ผมอยู่ห่างจากหมู่สมพร 20 กว่าเมตร
คนที่โดนหมู่สมพรแทงผงะล้มนอนหงายลงไปกับพื้น พรรคพวกของมันที่ติดอยู่กับตัวปืนอีกคนชักมีดขาววับออกมา
พระเจ้าช่วย! แทนที่มันจะช่วยเพื่อนของมันที่นอนตาเบิกโพลงอยู่นั้น มันกลับใช้มีดอันนั้นฟาดฉับลงไปบนข้อมือซ้ายของมันเองเต็มแรง
มือขาดกระเด็น! เลือดพุ่งกระฉูดออกมาเหมือนกับน้ำพุ มันเบิ่งตามองดูมือที่ขาดอยู่ชั่วอึดใจก็วิ่งควบถอยหลังไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกของมันที่กำลังชุลมุนอยู่ ณ บริเวณกึ่งกลางฐาน พอดิบพอดี
ผมไม่เข้าใจ... ทำไมมันถึงตัดข้อมือตัวเอง
หมู่สมพรใช้เท้าเหยียบลงไปบนหน้าอกของทหารเวียตนามเหนือผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น แล้วออกแรงกระชากดาบปลายปืนเต็มแรง
ไม่มีรอยเปรอะเปื้อนบนดาบปลายปืนที่ขาววับนั้นแม้แต่นิดเดียว
ผมวิ่งปร๊าดเข้าไปที่ตัวปืน 12.7 หวังจะยึดและอาศัยอำนาจของปืนกระบอกนั้นยิงถล่มพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลอง
พระเจ้าช่วย! สายตาของผมไม่ฝาดอย่างแน่ๆ ผมมองเห็นข้อมือมนุษย์ที่เพิ่งจะถูกตัดขาดอย่างสดๆร้อนๆ ห้อยติดอยู่กับตัวปืน โดยมีโซ่เส้นเล็กๆห้ามเอาไว้อย่างแข็งแรง
และทหารเวียดนามเหนือที่ตายจากน้ำมือของหมู่สมพรก็มีโซ่ล่ามติดข้อมือเอาไว้เช่นกัน จากข้อสงสัยที่พวกมันฟันข้อมือตัวเองขาด ปลิวหายออกไปจากความคิดของผมในบัดดล
ฟันข้อมือตัวเองเพียงเพื่อจะให้หลุดจากเครื่องพันธนาการ ยอมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ยอมพิการไปจนชั่วชีวิต เพื่อช่วยให้พ้นจากความตายเท่านั้น
อา! ชีวิตของใคร-ใครก็รัก ทหารเวียดนามเหนือมิใช่คนกล้าตายเสทอไปหยั่งที่เขาร่ำลือกันเสียแล้ว
ฉากการประจัญบานกันอย่างท่วมเลือดปรากฏอยู่แค่เอื้อม ทหารเวียดนามเหนือถูกไล่ต้อนเข้าไปจนมุมรวมกันเป็นกระจุกอยู่กลางฐานปฏิบัติการ
ทั้งขวาและซ้าย และด้านหน้าซึ่งตีโอบขึ้นไปพร้อมๆกัน ทำให้ทหารเวียตนามเหนือส่วนหนึ่ง (ซึ่งตามสายตามีจำนวนน้อยจนผิดสังเกตุ) ถอยร่นเข้าไปจนมุมอยู่ในบังเกอร์แห่งหนึ่ง
และบังเกอร์แห่งนั้นก็มีความใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าบังเกอร์บนฐานปฏิบัติการใดๆที่ผมเคยเห็นมา จากการสังเกตุคร่าวๆ สภาพของยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟ กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไปเสียแล้ว ร่องสนามเพลาะบังเกอร์และแนวกระสอบทรายกระจุยกระจายเหมือนกับโดนไต้ฝุ่น
ทำไมบังเกอร์มโหฬารอันนั้นถึงรอดพ้นจากอำนาจระเบิดของ B-52 ไปได้
กระสุนปืน M-16 ที่เหลือค้างแม็กกาซีน ถูกทหารรับจ้างระดมยิงการดเข้าไปยังหน้าบังเกอร์แห่งนั้นเป็นจักรผัน
ร่างของทหารเวียดนามเหนือที่เต้นผงะอยู่เบื้องหน้า ทำให้ประสาทผมชาดิกเหมือนกับโดนไฟช็อท
ประตูบังเกอร์เปิดผางออกมา ทหารเวียตนามเหนือที่ถอยร่นเข้าไปจุกอยู่หน้าประตูผลุบหายลงไปเหมือนกับปิศาจ
พวกที่ลงไปไม่ทัน ก็โดนยิงตายเกลื่อนอยู่หน้าประตูนั่นเอง ชั่วพริบตาพวกมันก็หายลงไปในช่องประตูลึกลับแห่งนั้นจนหมดสิ้น
หมู่สมพรกับทหารรับจ้างอีก 6-7 คน เป็นชุดแรกที่เคลื่อนที่ถึงช่องประตูที่เปิดท้าทายเอาไว้นั้น เขาพาตัวเองหายเข้าไปเป็นคนแรก ทหารรับจ้าง 6-7 คนที่ติดตามทำอาการรีรออยู่ชั่วครู่ก็เผ่นตามเข้าไปด้วยความผลีผลาม
ผมใจหายวาบ ขยับจะร้องห้ามออกไป ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“เฮ้ย! ออกมาสมพร! อย่าเข้าไป ระวังกับระเบิด”
คำคมร้องเสียงหลงออกมาจากกลุ่มทหาร ชั่วอึดใจผู้พันใจถึงก็วิ่งควบแซงผมขึ้นไปเบื้องหน้า
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...ๆๆๆๆ”
เสียงระเบิดที่ดังประหนึ่งขุนเขาทลายได้กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แรงระเบิดของมันทำให้แผ่นดินที่พวกผมยืนอยู่โยกไปโยกมาเหมือนกับแผ่นดินไหว ทหารรับจ้างบางคนที่อยู่ใกล้ๆกับบังเกอร์ดังกล่าวกระเด็นลอยขึ้นจากพื้นดินเหมือนกับโดนพายุหมุน
ทุกคนฟุบตัวลงตามสัญชาติญาณอันเคยชิน และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ตาลีตาเหลือกกระโดดเผ่นลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในหลุมระเบิด B-52 ที่ระเกะระกะอยู่นั้น
บังเกอร์มหึมายุบตัวเองลงกองกับพื้น ช่องประตูที่เปิดท้าทายอยู่นั้น หายไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง
ก่อนที่ทุกคนจะตั้งสติเป็นของตัวเองก็ได้บังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เสียงระเบิดดังสะท้อนเป็นลูกโซ่อยู่ไต้พื้นดินเป็นระยะเวลานานกว่า 5 นาที เสียงระเบิดเริ่มขึ้น ณ จุดบังเกอร์ที่พังพินาศแล้วดังสะท้อนห่างออกไปบนเส้นทางที่มุ่งขึ้นหายอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 400 เมตรเท่านั้น
สิ้นเสียงระเบิดที่รุนแรงนั้น กระสุนทุกชนิดบนยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟก็เงียบสนิทลงเป็นปลิดทิ้ง
คำคมยืนตะลึงอยู่กับที่เหมือนโดนสาป
ผมเข่าอ่อนยวบล้มลงก้นกระแทกพื้น การสูญเสียชีวิตของหมู่สมพรและทหารรับจ้างอีก 6-7 คนที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำให้ผมบังเกิดอาการ “แหยง”ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
ทหารรับจ้างบางคนที่มีสติตี ต่างก็ปลดเป้ออกจากหลังแล้วกระชากพลั่วสนามวิ่งปราดเข้าไปขุดคุ้ยซากหินเหล่านั้นเป็นพัลวัน ความหวังเพียงเพื่อต้องการขุดคุ้ยเอาร่างของหมู่สมพรและพรรคพวกออกจากอุโมงค์เท่านั้น
ออกมาทั้งๆที่สภาพกาลก็มองเห็นอยู่แล้วว่า โอกาสที่บุคคลเหล่านั้นจะรอดชีวิตไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีหวัง ทหารรับจ้างเหล่านั้นก็เฮโลกันเข้าไปขุดคุ้ยด้วยท่าทางเหมือนกับคนวิกลจริต บางคนร่ำไห้น้ำตาไหลพราก บางคนก็ร้องโฮออกมาสุดเสียง
น้ำตาของลูกผู้ชาย น้ำตาของนักรบซึ่งยากนักที่จะไหลออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ
“หมู่สมพร อ่ำนาดิน” ได้พิสูจน์แล้วว่า ตัวของเขาเป็นหัวใจของกองพันทหารรับจ้างกองพัน 617 อย่างแท้จริง
คำคม ผบ. พันใจเพชร กัดกรามน้ำตาไหลซึมออกมาเป็นทาง
ผมหันหน้าหนี จากภาพสะเทือนใจดังกล่าว ลุกข้นเดินโผเผไปยังวิทยุ PRC-77 ซึ่งหลุดจากหลังของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สึกตัว
“บิ๊กแมนจากนอร์แมน...บิ๊กแมนจากนอร์แมน...บิ๊กแมนจากนอร์แมน คุณเป็นอะไรไป ได้ยินเสียงของผมหรือเปล่า บิ๊กแมนจากนอร์แมน”
เสียงกระหืดกระหอบของเจ้านายผมดังแว่วๆอยู่ในปากพูดหูฟังซึ่งกลิ้งอยู่ที่พื้น
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 16:04  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19328

คำตอบที่ 59
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 6
ผมหยิบปากพูดหูฟังขึ้นนมาอย่างเนือยๆ รอจังหวะให้นอร์แมนพูดจบลงแล้วก็กรอกคำพูดตอบกลับไปอย่างยืดยาว
“นอร์แมน จาก บิ๊กแมน ขณะนี้เนินชาร์ลี-กอล์ฟ ที่พวกคุณ ให้สมญานามว่า “เนินมรณะ” ได้ถูกยึดโดยทหารกองพัน 617 เรียบร้อยแล้ว มันเป็นการรบที่โหดเหี้ยมและทารุณยิ่งกว่าการรบใดๆที่ผมได้เคยเห็นมาในสมรภูมิลาว ผมอยากจะบอกกับคุณซักอย่างหนึ่ง แต่บางทีคุณอาจจะไม่เชื่อ ทำไม B-52 ที่ทรงอานุภาพของรัฐบาลคุณจึงหยุดยั้งพวกมันไม่ได้ โปรดฟัง...นอร์แมน ใต้พื้นของยอดเนิน “สกายไลน์-วัน” ทั้งหมดมีอุโมงค์ใต้ดิน...ทหารเวียตนามเหนือได้ขุดอุโมงค์ติดต่อกันตลอด จากเสียงระเบิดใต้พื้นดินเมื่อกี๊ยืนยันให้ผมทราบว่า จากเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ ถึงเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี มีอุโมงค์เชื่อมติดต่อกันโดยตลอด ทหารเวียดนามเหนือเท่าที่ผมกะคร่าวๆด้วยสายตา เสียชีวิตบนเนินชาร์ลี-กอล์ฟไม่น้อยกว่า 90 คน ซึ่งตามความจริงแล้วยอดสูญเสียมันควรจะมากกว่านี้ แต่ทว่าพวกมันหลบเครื่องบินอยู่ในอุโมงค์เสียก่อน อุโมงค์บนชาร์ลี-กอล์ฟ ผมคาดว่ามันคงทำลายทิ้งแล้ว แต่อุโมงค์ที่ชาร์ลี-ชาร์ลี จะต้องเป็นปัญหาที่คุณจะต้องขบคิดไปอีกนานเลยทีเดียว...ที่ยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี สถานะการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?”
ประโยคสุดท้าย ผมย้อนถามผลการปฏิบัติงานของ BC.603 ที่ขึ้นตีเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ออกไปด้วยความสนใจ
“มายก็อด...มันเป็นไปได้เชียวหรือนี่ ระยะเวลาที่ทหารเวียดนามเหนือยึดครองยอดเนินสกายไลน์-วัน มันก็ไม่น่าที่จะเนรมิตอุโมงค์ได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ไช่คุณรายงายผมจะไม่เชื่อเป็นอันขาด ยอดเนินชาร์ลี่-ชาร์ลี กำลังซีเรียส สูญเสียทหารไปไม่ใช่น้อยแล้ว ผมกำลังส่ง T-28 ไปสนับสนุนอีก 6 เครื่อง F.A.G. 603 ได้รับบาดเจ็บ...ขณะนี้ผมสั่งสมอลแมนขึ้นไปแทนแล้ว จะให้ผมสนับสนุนอะไรก็บอกมา แล้วก้ฝากบอกคำคมด้วยว่า ผมขอฝากความระลึกถึงมาด้วยความจริงใจ...โชคดี บิ๊กแมน”
บูสเตอร์ F.A.G. ประจำ BC.603 ได้รับบาดเจ็บ ทหารรับจ้างสูยเสียชีวิตเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย จนกระทั่งนอร์แมนต้องส่ง T-28 มาสนับสนุนถึง 6 เครื่อง
บา...สงครามชิงภูเขานี่ มันออกรสชาดสะเด็ดสะเด่าหยั่งนี้เองหนอ
คำคมสั่งยุติการขุดอุโมงค์ เพราะจากสภาพอุโมงค์ที่ขุดลงไปก็ปรากฏว่ามีแต่ก้อนหินมหึมาถล่มทลายทับทางเข้าออกจนไม่สามารถที่จะขุดคุ้ยทะลุเข้าไปได้
อนิจจา! ที่ฝังศพของวีระบุรุษนิรนามจากศูนย์สงครามพิเศษอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินบนยอดเนินสกายไลน์-วันนี่เอง
คำคมสั่งทหารประจำแนวอย่างเร่งด่วน ทหารกองร้อยต่างๆถูกแบ่งยอดกำลังออกซ่อมแซมฐานปฏิบัติการอย่างรีบเร่ง
ศพทหารเวียดนามเหนือถูกลากมารวมกันกองเป็นพะเนินเทินทึกอยู่ ณ. บริเวณหน้าหลุมระเบิดของ B-52 นั่นเอง
จากนั้นก็ถึงเวลาเช็คยอดสูญเสียของแต่ละกองร้อย
ร.ท.ชัยสิทธิ์(แดง) นายร้อยพิเศษจากกรมการทหารสื่อสาร เสียชีวิตจากการประจัญบานอันเลือดท่วมครั้งนี้ อย่างสมศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร
“ชัยสิทธิ์” ผบ.ร้อย 3 โดนรุมแทงจากข้าศึกอย่างชนิด 5 ต่อ 1
ซากศพทหารเวียดนามเหนือที่นอนสุมกันอยู่รอบๆตัว แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน
แน่นอนเหลือเกิน ก่อนเสียชีวิต ผู้กองชัยสิทธิ์ได้แลกชีวิตของเขากับทหารเวียดนามเหนือได้อย่างคุ้มค่าแล้ว
เท่าที่ผมทราบ “ชัยสิทธิ์” สำเร็จการศึกษาจากวิยาลัยพลศึกษา เคยเป็นนักฟุตบอลและนักรักบี้ฝีมือดีของทางวิทยาลัยมาก่อน
อุปนิสัย รักการต่อสู้และผจญภัย ทำให้ “ชัยสิทธิ์” เปลี่ยนอาชีพจากครูพละเบนเข็มมาเข้านายร้อยพิเศษรุ่นเดียวกับ “ร.ท. อาณัติ รัตนพล”
จบการศึกษาจาก จปร. หลักสูตรเร่งรัดก็ถุกบรรจุเข้ารับราชการที่กรมทหารสื่อสารทันที
ด้วยความอยากผจญภัย และหาความก้าวหน้าในชีวิตราชการ ทำให้ “ชัยสิทธิ์” สมัครเข้ามาร่วมรบในสมรภูมิลาว สมัครมาท่ามกลางการทัดทานของญาติพี่น้อง
ด้วยการรบที่ห้าวหาญ “แดง” หรือ “ชัยสิทธิ์” ก็ต้องสละชีวิตเพื่อสังเวยความบ้าคลั่งของสงครามที่ปราศจากกติกาใดๆทั้งสิ้น เขาจากไปท่ามกลางความอาลัยรักของผู้ใต้บังคับบัญชา และญาติพี่น้องที่อยู่ทางเบื้องหลัง
จะไม่มีความเสียใจหรือความโศกกสลดใดๆบนสนามรบ!
นิยามข้อนี้ ดูเหมือนจะเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นจริงๆ
ภาระกิจที่หนักอึ้งและเหตุการณ์ที่ตรึงเครียดทำให้ทหารรับจ้างทุกคนลืมผู้เสียชีวิตจากการรบไปในวันเวลาอันรวดเร็ว
ศพของทหารรับจ้างถูกหามมาวางบนเสื้อฝน “ปันโจ” แล้วจัดแจงห่อหุ้มอย่างมิดชิด พร้อมกับทำป้ายชื่อ, ยศ และกองพันต้นสังกัดผูกติดเอาใว้อย่างเรียบร้อย
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการเยียวยาอย่างรีบเร่ง
15.30 น. ชอปเปอร์ 3 ตัวก็บินข้ามเนินเถิดเทิงตรงมายังฐานปฏิบัติการของผมเพื่อทำการขนย้ายทหารผู้ได้รับบาดเจ็บกลับไปยังสนามบินล่องแจ้งต่อไป...
ทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งของแต่ละกองร้อยถูกเคลื่อนย้ายลงไปขนทหารรับจ้างที่เสียชีวิตบนไหล่เขาในขณะเข้าตีเนินสกายไลน์-วัน
ชอปเปอร์จากล่องแจ้งทะยอยบินมาส่งสัมภาระและอาวุธยุทโธปกรณืไม่ขาดระยะ
ทหารหมวดอาวุธหนักและอาวุธทุกชนิดที่ตั้งฐานการยิงอยู่ที่หมู่บ้าน 50 หลัง ได้รับการขนย้ายทางอากาศในครึ่งชั่วโมงต่อมา
ทหารเวียตนามเหนือสูยเสียชีวิตทั้งหมด 89 คน บาดเจ็บสาหัส 8 คน ถูกจับเป็นเชลยศึก 15 คน
อาวุธที่ยึดได้ นอกจากจะมีอาวุธประจำกายจำพวกปืนกลอาก้า,ระเบิดสากกะเบือ,ปืนพก,จรวด RPG แล้ว ก็ยังมีปืนต่อสู้อากาศยาน 12.7 ซึ่งพลยิงได้ตัดข้อมือของตัวเองแล้วทิ้งปืนเอาไว้ หนีเตลิดลงไปในอุโมงค์ได้อย่างหวุดหวิดเต็มที
นอร์แมนส่งวิทยุเข้ามาเพื่อขอรับปืน 12.7 ดังกล่าวไปเก็บเอาไว้ที่ “เบาวเดอร์คอนโทรล”
แต่คำคมปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลว่าต้องการปืนชนิดนี้เอาไว้ป้องกันฐานปฏิบัติการ แถมตบท้ายด้วยการขอร้องให้นอร์แมนจัดหากระสุนของปืน 12.7 มาให้โดยด่วน...
ซี.ไอ.เอ. ซะอย่าง ไม่มีอะไรใต้ดวงอาทิตย์ที่ซี.ไอ.เอ.จะทำไม่ได้ ไม่ถึง 2 ชั่วโมง กระสุน 12.7 จำนวน 20 หีบจาก “วังเวียง” ก็บินตรงมาทิ้งร่มให้อย่างเรียบร้อย
ทหารรับจ้างชาวไทยเสียชีวิตบนไหล่เขาในขณะเข้าตี 8 คน บาดเจ็บสาหัส 6 คน
เสียชีวิตจากการประจัญบานด้วยดาบปลายปืน 4 คน...โดนกับระเบิดตายในอุโมงค์ 8 คน บาดเจ็บ 3 คน
รวมยอดสูยเสียทั้งหมด ตาย 20 คน บาดเจ็บ 9 คน พอดิบพอดี
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทหารรับจ้างที่เสียชีวิตในขณะเข้าตีทั้ง 8 คนนั้น เป็นทหารจากกองร้อย 3 ซึ่งกระทำหน้าที่เป็นหน่วยเข้าตีหน้าสุด เสีย 6 คน...และทุกคนโดนกระสุน 12.7 แขนขาขาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง จนเหลือความสามารถที่จะค้นหามาได้
ลวดหนามที่เพิ่งจะถูก “ฮ้อย” มาอย่างสดๆร้อนๆจากเครื่อง “สกายเครน” ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ (ชอปเปอร์) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกทหารรับจ้างวางขึงเป็นแนวยาวอ้อมฐานปฏิบัติการเอาไว้ทุกด้าน
แฟลร์สะดุด...เคลย์โมว์-ไมน์(กับระเบิด) ถูกติดตั้งเอาใว้พร้อมเสร็จ
ก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน ทุกสิ่งทุกอย่างก้เรียบร้อย และทหารรับจ้างก็เพิ่งจะเสร็จจากอาหารเย็นซึ่งเอร้ดร่อยที่สุดในชีวิต
“คืนนี้ ไม่จำเป็นต้องจัดชุดซุ่มโจมตีกลางคืนออกไปนอกฐาน พื้นที่ติดต่อจากเนินชาร์ลี-กอล์ฟออกไป เรายังไม่ได้เคลียร์ และพวกมันก็คงยังไม่กล้าบุกเข้ามาหาพวกเราแน่ๆ เพราะภาระกิจที่พวกมันกำลังหาทางยับยั้งทหารกองพัน 603 อยู่ในขณะนี้ก็หนักอึ้งอยู่แล้ว ถ้าผมเดาไม่ผิด คืนนี้ทั้งคืน พวกมันจะต้องถ่างตาคอยพวกเราอยู่ในบริเวณปากทางเข้าเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี โน่นแล้ว พวกมันจะต้องนึกว่าพวกเราจะต้องเข้าตีพวกมันในเวลากลางคืนแน่ๆ”
คำคมพูดพลางส่งถ้วยกาแฟกลิ่นหอมฉุยที่เหลืออยู่ค่อน “รองใน” กระติกน้ำมาให้ผม พร้อมกับกล่าวต่อไปอีกด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายต่อสภาพการในปัจจุบัน
“ลูกน้องของผมตายเยอะเหลือเกิน การรบครั้งนี้ ทำให้เซ็งและเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก คุณรู้ไหม บิ๊กแมน อีกไม่กี่วันผมก็จะบินไปเรียนโรงเรียน ผบ.พันที่สหรัฐอยู่แล้ว ผมได้รับการขอร้องให้มาที่นี่... ทั้งๆที่ผมสมควรจะปฏิเสธ... แต่ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนมันดลใจให้พลั้งปากรับงานห่าเหวนี่ออกไปจนได้... ผมสงสารสมพรมัน... มันตายต่อหน้าต่อตาผม เพราะความเผลอเรอของมันแท้ๆ ผมก็เกือบไป บิ๊กแมน เจอะพานท้ายอาก้าเข้าโครมเบ้อเร่อที่ต้นคอ หน้ามืดไปวูบหนึ่ง... ถ้าไม่ได้ทหารเข้ากันไว้... ป่านนี้ผมเห็นทีจะข้ามไปเรียนโรงเรียนผบ.พัน ที่เมืองนรกโน่นแล้ว”
พอพูดจบ คำคมก็หัวเราะหึหึ เหมือนจะประชดประชันชีวิตตัวเอง
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 16:11  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19329

คำตอบที่ 60
       ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ตอนที่ 7 (ตอนจบ)
ผมครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่กับเป้สนามที่วางอยู่ข้างแนวกระสอบทราย สายตาเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขาด้วยอาการเลื่อนลอย ความคิดที่สับสนอยู่ในสมองที่วุ่นวายและอลเวงจนผมลืมไปอย่างสนิทใจว่า ผมได้ตอบคำพูดของคำคมออกไปหรือยัง ความมัวซัวของบรรยากาศ ทำให้ผมเผลอหลับลงไปจนได้
21.30 น. ผมตกใจตื่นขึ้นมาก็มองเห็นคำคมกำลังนั่งรับฟังข่าว จาก บก.ล่องแจ้งอยู่พอดี
“ผมเห็นคุณนอนหลับ ไม่อยากกวน พอดีทาง เบาว์เดอร์-คอนโทรล มีข่าวด่วนถึงคุณ ผมก็เลยรับเอาไว้ให้ รีบถอดรหัสด้วยครับ ผมขอตัวออกไปตรวจแนวก่อน”
นอร์แมนส่งข่าวลับสุดยอดมาให้ผม โดยอ้างว่า หน่วยอินเตอร์เซฟ ของ ซี.ไอ.เอ เพิ่งจะดักข่าวได้ตอน 21.00 น. ข้อความของข่าวบอกเอาไว้ว่า ข้าศึกได้รับการขนย้ายขึ้นมาตั้งอาวุธหนักอยู่บนเนิน “ทันเดอร์” เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะยิงสนับสนุนพวกมันในตอน 23.30 น. เป้าหมายก็คือฐานปฏิบัติการของผม และฐานขั่วคราวของกองพัน 603 ซึ่งตั้งอยู่ตีนเขาสกายไลน์-วัน มันเป็นข่าวกรองที่แน่นอน และมีประสิทธิภาพอย่างยอดเยี่ยมของซี.ไอ.เอ. และเวลาที่จะพิสูจน์ก็เหลืออยู่เพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น
ผมให้ทหารไปตามคำคมอย่างเร่งด่วน พอทราบข่าวจากผม คำคมไม่ปริปากพูดซักคำ เขานั่งลงกับพื้น งัดแผนที่ออกมาวางกับลังกระสุน คำนวณระยะอยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมอย่างเครียดขรึม
“ระยะจาก เนินทันเดอร์ มายังยอดเนินของเราห่างกัน 4.5 กม.(ทางตรง) ผมจะเสี่ยงเอาปืน ค. 4.2 ยิงถล่มพวกมันดู..เมื่อรู้ว่ามันจะจวกพวกเราในตอน 23.30 น. ผมก็จะเล่นงานมันก่อนในเวลา 23.00 น. ตรง เล่นงานมันด้วยอาวุธหนักทุกชนิดเท่าที่มีอยู่บนฐานของเขา พลนำสารคำสั่งของอั๊วไปให้ ผบ.ร้อยทุกคน กำชับอย่าให้ใช้วิทยุอย่างเด็ดขาด”
ประโยคสุดท้าย คำคมหันไปออกคำสั่งกับพลนำสารพร้อมกำชับให้ ผบ.ร้อยต่างๆเข้มงวดในการใช้วิทยุสนาม สองชั่วโมง ก่อนถึงหมายกำหนดการยิงของข้าศึก ทหารรับจ้างทุกคนรีบขุดหลุม “ชนิดพิเศษ” ขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
“หลุมพิเศษ” จากการออกแบบของคำคมก็คือใช้พลั่วสนามแซะเข้าไปจากบริเวณก้นหลุมเพลาะให้เป็นโพรงให้กว้างพอที่จะซุกตัวเข้าไปหลบซ่อนในขณะข้าศึกระดมยิงอาวุธหนักเข้ามา
จากลักษณะดังกล่าว ทหารทุกคนก็จะ “ปลอด” จากอำนาจสะเก็ดระเบิดไปอย่างสิ้นเชิง
แม้กระทั่งผมก็ต้องช่วยตัวเอง ด้วยการเร่งขุดหลุมเสียจนมือไม้พองไปหมด เล่นเอา “เอียน” สนามเพลาะไปนานแสนนานเลยทีเดียว
23.00 น. แฟลร์จาก ค. 4.2 ก็ถูกยิงโด่งขึ้นไปสว่างโร่อยู่เหนือเนิน “ทันเดอร์”
บัดดลนั้นเอง กระสุนจากอาวุธหนักทุกชนิด ที่อยู่บนฐานของผมก็ถล่มเข้าใส่เนิน “ทันเดอร์” ซึ่งมองเห็นเด่นชัดท่ามกลางแสงแฟลร์ที่สว่างไสวนั้น... ด้วยการยิงอย่างต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดยั้ง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็ยังไม่มีการยิงตอบโต้จากอาวุธหนักของข้าศึกที่อยู่บนเนินทันเดอร์แม้แต่นัดเดียว หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คำคมก็เลยออกคำสั่งให้หมวดอาวุธหนักยุติการยิงเนิน “ทันเดอร์” อย่างสิ้นเชิง
24.00 น. มันเลยหมายกำหนดการของข้าศึกมาแล้วครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ซี.ไอ.เอ. โดนต้มเป็นครั้งแรก หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพสูงถูกต้มจากทหารเวียดนามเหนืออย่างเจ็บแสบเข้าไปถึงหัวใจ
“ผมบอกคุณแล้วบิ๊กแมน บางทีข่าวกรองของ ซี.ไอ.เอ. ก็มักจะเชื่อไม่ได้เหมือนกัน... ซี.ไอ.เอ.อาจจะโดนซ้อนแผนจากไอ้แกวก็ได้ เชื่อผมเถอะ คืนนี้ทั้งคืน บางทีอาจจะมีอะไรต่ออะไรที่เราคาดไม่ถึงบังเกิดขึ้นมาอีกก็ได้”
ผมซึ่งเป็นคนรับข่าวจากนอร์แมน พูดอะไรไม่ออกหรอกครับ ทั้งๆที่ความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมทางด้านข่าวกรองของ ซี.ไอ.เอ. ว่า แน่นอน ถูกต้อง ไม่มีวันผิดพลาด แต่สำหรับครั้งนี้ ซี.ไอ.เอ.ชักจะทำให้ผมเสื่อมศรัทธาลงไปแยะเลยทีเดียว ผมขยับตัวจากท่านั่งขัดสมาธิ เอนหลังลงไปพิงเป้สนาม ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประสานกันรองศีรษะ นอนหลับตานิ่งด้วยความขุ่นเคืองใจ
24.55 น. ข่าววิทยุจาก F.A.G. ซึ่งเคยเซ็งแซ่อยู่ตลอดเวลานั้น บัดนี้เงียบสนิท มันเงียบเสียจน บางครั้งผมนึกว่า ความถี่ดังกล่าวจะถูกยกเลิกการใช้ติดต่อไปเสียแล้วละกระมัง ในขณะที่ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ประสาทหูของผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อผมดังแว่วๆออกมาจากลำโพงชนิดพิเศษที่ผมเสียบติดเอาไว้ข้างๆตัววิทยุนั้น
“บิ๊กแมนจากไฮโล...โปรดไปที่ความถี่ที่ผมเคยติดต่อกับคุณมาแล้ว โปรดไปเดี๋ยวนี้...ผมมีเวลาจำกัด”
ประสาทผมกระตุกพรวดขึ้นมาเหมือนกับโดนไฟช็อต ความทรงจำในอดีตแล่นปร๊าดขึ้นสมองในฉับพลัน
อา...ผมจำได้แล้ว “ไฮโล” มิตรยามยากซึ่งเคยติดต่อกับผมบนเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ก่อนที่ฐานปฏิบัติการของผมจะพังพินาศนั่นเอง
และก็ “ไฮโล” คนนี้มิใช่หรอกหรือที่แอบส่งข่าวการเคลื่อนไหวของข้าศึกมาให้ผมทราบล่วงหน้าอยู่เสมอๆ...จนทำให้พวกผมมีโอกาสเตรียมตัวและรอดพ้นจากการสูญเสียย่อยยับมาได้อย่างหวุดหวิดมาแล้ว
“ความถี่ที่ผมเคยติดต่อกับคุณมาแล้ว” จริงสินะ ถ้าผมจำไม่ผิด เจ้าความถี่ดังกล่าวนั้นก็คือ 60.45 นั่นเอง
ผมหมุนความถี่ไปยังหมายเลข 60.45 อย่างรวดเร็ว คำคมคลานเข้ามานอนตาแป๋วอยู่ข้างๆ
“บิ๊กแมนจากไฮโล...ขณะนี้ผมเคลื่อนที่ลงจากยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เรียบร้อยแล้ว เคลื่อนที่ลงมาทางอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดทะลุออกมาทางเบื้องหลังของเนินอานม้า เคลื่อนที่ผ่านทหารของคุณที่โอบล้อมอยู่ตามบริเวณตีนเขาไปได้อย่างปลอดภัย...ทหารเวียตนามเหนือต้องสูญเสียชีวิตจาก B-52 ไปเกือบครึ่ง และที่เหลือก็ตายจากการปะทะก็โดน M-72 จากทหารของคุณที่ติดตามเข้ามาในอุโมงค์จนกระทั่งอุโมงค์ถล่มทลายไม่มีชิ้นดี ผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งรอดชีวิตจากเนินชาร์ลี-กอล์ฟอย่างหวุดหวิด ผมขอบอกกับคุณอีกครั้ง ขณะนี้ทหารเวียตนามเหนือจำนวนสุดท้าย 30 คนได้ถอนตัวออกจากยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี หมดแล้ว ขอให้ทหารของคุณขึ้นไปยึดก่อนเช้ามืด และรีบทำลายปากทางเข้าอุโมงค์โดยเร็วที่สุด ปากทางเข้าอุโมงค์อยู่บริเวณใกล้ๆกับหลุมระเบิด B-52 สองหลุมที่ปรากฏอยู่กึ่งกลางฐานพอดี... สำหรับทางออกอยู่หลังบริเวณเนินอานม้า ข้อควรระวังเมื่อจะทำลายอุโมงค์ ควรจะให้ทหารออกเคลียร์พื้นที่หาทางออกของอุโมงค์โดยด่วน
ประการสุดท้าย เป็นข่าวส่วนตัวที่ผมจะขอบอกกับคุณบิ๊กแมนโดยเฉพาะ พลยิงทั้งสองคนที่ถูกร้อยโซ่ติดตัวกับปืน 12.7 แล้วโดนพวกคุณฆ่าตายนั้น เป็นทหารไทยเช่นเดียวกับคุณ! และเช่นเดียวกับผม! พวกเราโดนจับเป็นเชลยศึก แล้วโดนบังคับให้กระทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงใดๆทั้งสิ้น คนที่ฟันข้อมือตัวเองขาดเป็นทหารราบลพบุรียศสิบเอก...เขาปรารภกับผมว่า ถ้าไม่ฟันข้อมือก็ต้องโดนทหารไทยด้วยกันฆ่าตาย เขาเสียใจที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเดียวกันก็เลยตัดสินใจฟันข้อมือตัวเอง ขณะนี้เขาปลอดภัย และเดินอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง...ลาก่อนบิ๊กแมนและเพื่อนๆทหารไทยทุกคน ขอให้โชคดี...และถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไปนัก ไฮโลจะคอยส่งข่าวให้พวกคุณทราบอยู่เสมอๆ”
จบคำพูดอันยืดยาวของไฮโล ผมตัวชาดิกไปทั้งร่าง คำคมซึ่งเคยได้ทราบเรื่องราวของตัวไฮโลจากกองสิงห์มาแล้ว ถึงกับอุทานออกมา...
“ผมบอกแล้ว...ว่า แผนซ้อนแผน ทหารเวียดนามเหนือปล่อยข่าวการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักเพื่อที่จะให้กองพัน 603 พะวักพะวงไม่กล้าเข้าจู่โจมขึ้นไปยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี และในเวลาเดียวกันพวกมันก็ถอนตัวออกจากฐานอย่างเงียบเชียบ ถ้าคำพูดของไฮโลเชื่อถือได้ ประเดี๋ยวพวกเราก็คงจะได้เห็นกัน”
“ผมเชื่อข่าวของไฮโลยิ่งกว่าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ.เสียอีกครับ ผู้พัน เมื่อครั้ง BC 616 ถอนตัวลงมาจากสกายไลน์ ถ้าไม่ได้ไฮโลส่งข่าวล่วงหน้ามาก่อน ป่านนี้ “กองสิงห์” เพื่อนของผู้พันคงจะพบกับการสูญเสียอย่างย่อยยับยิ่งกว่านั้นมากมายนัก”
คำคมติดต่อวิทยุเป็นการส่วนตัวกับ ผบ.พัน 603 ด้วยความถี่พิเศษอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
ต่อจากนั้นกองพันของผมก็ได้รับการร้องขอให้ยิงแฟลร์ขึ้นไปยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เป็นระยะ อย่างชนิดต่อเนื่องกัน
กองพัน 603 พาเหรดขึ้นยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี แบบสายฟ้าแลบ! บุกตะลุยขึ้นไปโดยมิได้เสียเลือดเนื้อแม้แต่คนเดียว
เสียงกระสุนนานาชนิด ที่ยิงเคลียร์ออกไปรอบๆฐานปฏิบัติการในขณะที่ส่งกำลังเข้ายึด สร้างความตื่นเต้นให้กับ บก.ล่องแจ้งจนต้องสอบถามกันให้วุ่นวายทางวิทยุสนาม
อา...เนินสกายไลน์-วัน ขุนเขามรณะ ที่กลืนชีวิตทหารรับจ้างและทหารเวียตนามเหนือมาแล้วอย่างเหลือคณานับ บัดนี้ตกอยู่ในความยึดครองของทหารรับจ้างอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ทหารเวียดนามเหนือถอนตัวลงไปจากเนินสกายไลน์จนหมดสิ้น บางส่วนที่เหลือรอดชีวิตจากการโจมตีของ B-52 ก็ต่างพากันไปตั้งฐานอยู่บนเนินทันเดอร์ แล้วคอยใช้อาวุธหนักคอยยิงพวกเราไม่เว้นแต่ละวัน และแล้วแผนการอันใหญ่หลวงที่จะรวบรวมกำลังพลทหารลาว, และทหารรับจ้างทั้งหมดพาเหรดเข้ายึดเนินทันเดอร์...สนามบินซำทอง, และกวาดล้างดะขึ้นไป จนกระทั่งถึงบริเวณทุ่งไหหินก็ได้เริ่มต้นขึ้น



ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ “พ็อคเก็ตบุ๊ค” ที่ผมนำเสนอผลงานออกมาตามลำดับนั้น บัดนี้ได้จบพฤติการณ์ตอนหนึ่งของทหารรับจ้างลงแล้ว ถ้าผลงานของผมยังคงเป็นที่ต้องการของท่านผู้อ่าน ผมจะกลับมาพบท่านอีกครั้ง ขอได้รับความปรารถนาดีอย่างจริงใจ จากผม ... สยุมภู ทศพล



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 16:28  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19330

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพฤหัสบดี,26 ธันวาคม 2567 (Online 9956 คน)