คำตอบที่ 79
เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล
ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล
ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 10
ไอ้โล้น หยุดชะงักเหมือนกับถูกตรึง แต่ก็เป็นเพียงชั่วอึดใจหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่ร่างของนอร์แมนจะผ่านพ้นประตูห้องออกไป มันก็ผวาเข้าไปยึดแขนเสื้อเอาไว้แน่นปากก็ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน
" - หัวหน้า...ผมกับไอ้แสบเพิ่งจะแหกคุกออกมาหยก ๆ เล่นให้ผมไปเดินโชว์หุ่นที่สนามบินดอนเมือง มันก็เกมส์เท่านั้นซีครับ...ถ้าจะให้ผมกับไอ้แสบ ทำงานชิ้นนี้ละก็ ผมว่าหัวหน้าส่งตัวพวกผมเข้าไปในคุกเหมือนเดิมดีกว่า...เพราะผลลัพธ์มันก็ไอ้ครือ ๆ กัน นั่นแหละครับ "
นอร์แมนหันหลังกลับ เดินหน้าเครียดเข้ามาที่โต๊ะเขาจ้องหน้าไอ้โล้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระเบิดคำพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว
" - ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ "ซี.ไอ.เอ." จะทำไม่สำเร็จ หน่วยเหนือช่วยพวกคุณออกจากคุกได้ โดยที่พวกคุณไม่ได้รับความบาดเจ็บ แม้แต่นิดเดียว แค่นี้มันก็เป็นหลักประกันสำหรับพวกคุณดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ประสิทธิภาพการทำงานของ ซี.ไอ.เอ. ไม่เคยผิดพลาด...แม้กระทั่งข่าวการเคลื่อนไหวของ "จอมพลถนอม" ที่สิงคโปร์ ฝ่ายเราก็ทราบก่อน และเพิ่งจะแจ้งให้คณะรัฐบาลของคุณเมื่อตอนสิบหกนาฬิกานี่เอง...มิสเตอร์โล้น ผมขอย้ำอีกครั้งคุณจะต้องรับงานชิ้นนี้...ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว "
" - ฮึ ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ซี.ไอ.เอ. จะทำไม่ได้...หัวหน้าคงจะลืมเหตุการณ์ในเขมร, เวียดนามใต้และประเทศลาวไปละกระมังครับ...ถ้า ซี.ไอ.เอ. แน่จริงทหารอเมริกันก็คงจะไม่กระเจิงออกจากแหลมอินโดจีนเหมือนกับหมาโดนน้ำร้อนหรอกครับ ถ้าเรามาพลิกประวัติศาสตร์ การทำงานของ ซี.ไอ.เอ. กันดู...เอากันอย่างง่าย ๆ ถ้าแผนของ ซี.ไอ.เอ. วิเศษจริง ๆ ทำไมพลร่มหน่วยกล้าตายของอเมริกันที่กระโดร่มลงบนเกาะคิวบา เพื่อลอบสังหาร " คาสโตร " ถึงโดนฆ่าตายจนหมดเกี้ยง...เพราะอะไร...เพราะอะไรถึงพลาด?...ซี.ไอ.เอ. อาจจะเก่งและมีปาฏิหาริย์ แต่ก็เป็นเพียงเก่งแต่ในบ้านของตัวเองเท่านั้นแผนงานที่สนามบินดอนเมือง ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์พลาดมีอยู่เกือบครึ่ง พวกผมอาจจะเป็น " หนูตะเภา " ให้ ซี.ไอ.เอ. ลองยา เหมือนอย่างที่เคยโดนมาแล้วในสงครามอินโดจีน "
ไอ้โล้นสวนคำพูดออกมาอย่างยืดยาว ด้วยท่าทางฉุนเฉียวพอ ๆกัน...
นอร์แมน ยกมือทุบโต๊ะเต็มแรง หน้าตาแดงก่ำ ชั่วอึดใจเขาก็ระงับโทสะได้อย่างน่าประหลาด เขาชี้นิ้วเป็นทำนองสั่งให้ทุกคนนั่งลง เมื่อทุกคนทำตาม เขาก็หันไปพูดกับไอ้โล้น ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนจากเมื่อกี้นี้เป็นคนละคน
" มิสเตอร์โล้น เรามาเริ่มทำความเข้าใจกันใหม่ในปัญหาสงครามอินโดจีน...ตามความรู้สึกของพวกคุณหรืออาจจะทั้งโลกที่พากันเข้าใจว่า อเมริกันพ่ายแพ้ในสงครามอินโดจีนอย่างไร้ศักดิ์ศรีและอัปยศ "
นอร์แมน หยุดพูด พร้อมกับกวาดสายตาไปยังเหล่าเพชฌฆาตรับจ้างที่นั่งจ้องเขม็งอยู่เบื้องหน้า เป็นทำนองยืนยันคำพูดของตัวเอง
ทุกคนนอกจาก ผู้กองอังคาร พยักหน้าในทำนองตอบรับ
นอร์แมน ยิ้ม แล้วขบกรามระบายคำพูดออกมาอย่างยืดยาว
" - โซเวียต รัสเซีย ช่วยเหลือเวียดนามเหนือ 2,570 ล้านดอลล่าร์ จีนแดง ส่งเข้าไปสมทบอีก1,080 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่งบช่วยเหลือของสหรัฐพุ่งขึ้นไปถึง 107,000 ล้านดอลล่าร์ เรามาลองคิดคำนวณกันดูอย่างง่าย ๆว่า ในขณะที่สหรัฐทุ่มเทความช่วยเหลือลงไปมากกว่าโซเวียต และ จีน รวมกันถึง 29 เท่า แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะรักษา " ดุลย์อำนาจ " ทางการเมืองในภูมิภาคนี้เอาไว้ได้ทำไม ?...ทำไมชาติมหาอำนาจทั้งสาม จึงแข่งขันกันเพื่อหวังยึดครองแหลมอินโดจีนอันกระจ้อยร่อยนี้ ? ผมไม่อยากจะตั้งคำถามโง่ ๆ แก่พวกคุณให้เสียเวลา...ลองเอาแผนที่ของประเทศในแหลมอินโดจีนมาเปิดดูกัน โดยเฉพาะแผนที่ที่แสดงที่ตั้งของประเทศลาว เราก็จะได้คำตอบทันทีว่าทำไมชาติมหาอำนาจทั้งสามประเทศนั้น ถึงได้ตื่นตาตื่นใจในเหยื่อชิ้นโอชะนี้เป็นพิเศษ ประเทศลาวมีพรมแดนติดต่อกับไทย, พม่า, จีน, เขมร, เวียดนามเหนือ, เวียดนามใต้ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาเกือบทั่วประเทศ...และโดยเฉพาะ "ทุ่งไหหิน" ทั้งผู้เชี่ยวชาญของ "ซี.ไอ.เอ." และ"เค.จี.บี." ต่างเล็งเห็นตรงกันว่าเป็นฐานทัพอากาศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน...กำลังทางอากาศจากทุ่งไหหินจะสามารถครอบคุลมภาคใต้ของจีนแดงทั้งหมดและยังสามารถจะบินตรงไปยังดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างสบาย...นอกจากนั้นอาวุธอีเล็คโทรนิคและอาวุธจรวดทุกชนิดก็ได้ถูกนำเข้ามาวิจัยและค้นคว้าทดลองในประเทศลาว ไม่เว้นแต่ละวัน สงครามช่วงชิงแหลมอินโดจีนได้ปะทุขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม...และแล้วในที่สุดอเมริกันก็ผละหนีออกไปจากแหลมอินโดจีนในลักษณะที่พ่ายแพ้อย่างหมดประตูสู้ ยอมเจรจาสงบศึกอย่างไร้ศักดิ์ศรีและอัปยศ "
"แพ้แหง๋ ๆ ...หัวหน้า...ยอมเจรจาสงบศึกหรือยอมแพ้มันก็ไอ้ครือ ๆ กันนั่นแหละครับ "
ไอ้โล้น ทะลุกลางปล้องขึ้นมาอีก คราวนี้นอร์แมนระบายยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่อารมณ์ดีขึ้นกว่าเก่า พร้อมกับพูดต่อไปอย่างเนินนาบ
" - คุณเข้าใจผิด - อเมริกันไม่แพ้...อเมริกันต้มคนทั้งโลก ต้มแม้กระทั่งประชาชนของตัวเอง ด้วยแผนหมากรุกการเมืองที่ "ซี.ไอ.เอ." ได้กำหนดเอาไว้อย่างแยบยล ทำให้อเมริกันสามารถตบตาคนทั้งโลกได้อย่างแนบเนียนจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว จุดประสงค์และแผนการเมืองในการทำสงครามของสหรัฐในแหลมอินโดจีนเป็นแผนไม่ต้องการชัยชนะ อเมริกันเพียงต้องการสร้างสถานการณ์ตึงเครียดและหยั่งเชิง ตลอดจนทดลองอาวุธอีเลคโทรนิคใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของตัวเองผลิตขึ้นเท่านั้น โดยเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ อเมริกาคาดว่า สหภาพโซเวีตซึ่งหนุนหลังเวียดนามเหนือ และขบวนการประเทศลาวอย่างลับ ๆ คงจะส่งอาวุธที่ทรงอานุภาพเข้ามาร่วมทดลองในสงครามที่ไม่มีการประกาศนี้ด้วย...แต่รัซเซียอ่านแผนของเราออก ก็เลยส่งอาวุธประเภท "เหลือใช้สงคราม" ที่หมดประสิทธิภาพมาช่วยเวียตกงรบอย่างขอไปที...อเมริกันผิดหวังแต่จะผละออกจากแหลมอินโดจีนไปก็ใช่ที่เพราะได้ลงทุนไปแล้วอย่างมหาศาล ก็พอดีได้จังหวะสงคราม "ยิว-อาหรับ" ระเบิดตูมขึ้นมา คราวนี้ ทั้งอเมริกันและรัสเซียซึ่งเป็นพ่อค้าสงครามต่างก็ออกโรงหนุนหลังทั้งสองฝ่ายอย่างออกหน้าออกตา...อเมริกันสนับสนุนยิวส่วนโซเวีตรัสเซียหันไปคบกับกลุ่มอาหรับทั้งหมด "ยิว-อาหรับ" ฟัดกันจนทะเลทรายแทบจะลุกเป็นไฟ รัสเซียประเคนอาวุธทันสมัยเข้าช่วยอาหรับ เต็มอัตราศึก และคราวนี้แผนการแหย่เสือหลับของ ซี.ไอ.เอ. ก็สัมฤทธิ์ผล "
นอร์แมนหยุดพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม แล้วพูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว
" - อาวุธอีเล็คโทรนิคของอเมริกาและรัสเซียตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน จากผลการรบครั้งแรก " ยิว " จวกอาหรับแตกกระเจิงไม่เป็นขบวน ไม่ว่าจะเป็นรถถังชนิดล่าสุดหรือแม้กระทั่งเครื่องบิน " มิค " ของรัสเซีย โดนอาวุธของสหรัฐถล่มเสียหายพังยับเยิน อันเป็นข้อมูลที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีในช่วงเวลานั้น อาวุธของสหรัฐเหนือชั้นกว่าโซเวียตมากมายนัก พอสงคราม 6 วันสงบลง โซเวียตรัสเซียก็ใช้เวลาที่เหลือพัฒนาและปรับปรุงเครื่องอีเล็คโทรนิคอย่างรีบเร่ง พอสร้างเสร็จก็ดำเนินแผนยุแหย่ให้ยิวกับอาหรับ " จวก " กันอีกเช่นเคย...แผน "เค.จี.บี." ได้ผล...สงคราม ยิว-อาหรับ ประทุขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เครื่องบินและรถถังของสหรัฐที่เคยเป็นต่ออยู่หลายขุม ถูกอาวุธของโซเวียตทำลายอย่างย่อยยับ ข้อมูลดังกล่าวทำให้ ซี.ไอ.เอ. ต้องวางแผนให้อเมิรกันผละออกจากแหลมอินโดจีน แล้วหันไปค้าสงครามกับยิวและอาหรับเป็นล่ำเป็นสันต่อไป โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะจุดชนวนและสร้างสถานการณ์ทางด้านนั้นให้ลุกโชนและตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา นี่คือต้นเหตุที่แท้จริงที่อเมริกันต้องถอนตัวออกไปจากแหลมอินโดจีนหรือแม้กระทั่งการถอนทหารสหรัฐไปจากประเทศไทยก็ตามใช่ว่าสหรัฐจะถอนทหารออกไปเพราะการบีบคั้นของนิสิตนักศึกษาที่พากันเดินขบวนประท้วงก็หาไม่ "
" - หัวหน้าครับ...เหตุผลอื่น ๆ ที่หัวหน้าชักแม่น้ำทั้ง 5 เล่าให้พวกผมฟัง มันก็มีเหตุผลพอที่จะเข้าทีอยู่บ้าง...เอาละ ! พวกผมยอมเชื่อว่า อเมริกันไม่แพ้...เท่าที่ถอนจากแหลมอินโดจีนก็เพราะเหตุผลทางการเมือง...แต่เท่าที่อเมริกันออกจากประเทศไทยนี้ ผมเชื่อพันเปอร์เซ็นต์ว่า ต้นเหตุเกิดขึ้นจากการเดินขบวนขับไล่ของนิสิตนักศึกษาแหง ๆ "
ไอ้โล้นขัดขึ้นมาอีกด้วยเหตุผลที่น่าฟัง นอร์แมนยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าพร้อมพูด
" - ตามความรู้สึกของทุก ๆ คนมันก็น่าจะเป็นไปในรูปนั้น รัฐบาลของคึกฤทธิ์อาจจะคุยได้ว่าเป็นรัฐบาลแรกที่สามารถฉีกสัญญาดึกดำบรรพ์ระหว่างไทยกับสหรัฐลงได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็เป็นการคุยที่ไม่ค่อยสนิทปากเท่าใดนัก เพราะเหตุผลอันแท้จริงแล้ว เท่าที่สหรัฐ " ถอน " ทหารออกไปจากผืนแผ่นดินไทยนั้น มันเป็นความต้องการของสหรัฐเองต่างหาก "
" - เหตุผล...หัวหน้า...ผมชักจะ "มันส์ส์" ในนิยายของหัวหน้าซะแล้วซี ช่วนกรุณาอธิบายให้ผมหายข้องใจหน่อยครับ "
ไอ้โล้นซึ่งกลายเป้นพระเอกในการซักย้อนถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ
" - มันต้องมีเหตุผลแน่นอน...มิสเตอร์โล้น แต่ก่อนโน้นอเมริกาประสบกับปัญหาขนย้ายทหารจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่แห่งหนึ่งอยู่เสมอ ๆ การขนย้ายทหารจำนวนเป็นหมื่น ๆ คนไปยังส่วนต่าง ๆของโลกรู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร และอึกทึกครึกโครมมิใช่น้อย และจะต้องใช้เวลานับเป็นสิบ ๆ ชั่วโมงขึ้นไป และอุปสรรคดังกล่าวนี้ทำให้ " ดุลย์อำนาจ " ทางทหารของอเมริกาต้องเป็นรองสหภาพโซเวียตอยู่บ่อยครั้ง แต่ขณะนี้ ซี.ไอ.เอ. ได้ค้นพบวิธีที่สามารถสร้าง "ดุลย์อำนาจ" ทางทหารเหนือกว่าโซเวียตรุสเซียได้แล้ว "
นอร์แมนหยุดพูดเหมือนหนึ่งต้องการให้ผู้หนึ่งผู้ใดในห้องซักถาม แต่เมื่อเห็นทุกคนเงียบเขาก็พูดต่อไปอีกยืดยาว
" - ซี.ไอ.เอ. ได้ออกแบบสร้างเครื่องบินขนส่งขนาดยักษ์ขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ เครื่องบินดังกล่าวนี้มีชื่อตามรหัสว่า "ซี - 5 - เอ "หรือ "กาแล็คซี่" ผู้ทรงพลังนั่นเอง...รูปร่างลักษณะของ "ซี - 5 -เอ" เมื่อนำมาจอดเทียบเครื่องบิน 747 แล้วมองดูเหมือนกับว่า เจ้าเครื่องบินโดยสารยักษ์ลำดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นเครื่องบินแคระไปทันที เครื่งบิน "ซี - 5 - เอ " สามารถบรรทุกทหารราบได้ถึง 800คน หรือถ้าจะเปลี่ยนเป็นบรรทุกรถยนต์ก็สามารถที่จะบรรทุกรถ "โฟล์คสวาเก้น" ในรคราวเดียวได้ถึง 88 คัน เลยทีเดียว "ซี - 5 - เอ " เป้นเครื่องบินไอพ่นที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังขับเคลื่อนสูงที่สุดในปัจจุบัน ลำตัวภายในแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น สามารถรับน้ำหนักรถบารรทุกได้ถึง 265,000 ปอนด์ เมื่อน้ำหนักบรรททุกเต็มที่ "ซี- 5 - เอ " จะสามารถบินได้ไกลถึง 2,875 ไมล์ทะเล โดยไม่ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อลดน้ำหนักบรรทุกลงเหลือ 100,000 ปอนด์ " ซี - 5 - เอ " ก็สามารถยึดพิสัยการบินออกไปถึง 6,335 ไมค์เลยที่เดียว คราวนี้ถ้าอเมริกันต้องการจะขนทหารซัก 8,000 คน ไปยังจุดใดจุดหนึ่งของโลกเท่าทีอเมริกันต้องการจะไป อเมริกันก็จะใช้เครื่องบิน "ซี - 5 - เอ " 10 เครื่องขนทหารขึ้นไปลอยลำในอากาศอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าวนี้นับเป็นวลาสิบ ๆ ชั่วโมง พอเกิดเหตุฉุกเฉินก็บินลงทันที่ด้วยเหตุผล และข้อมูลดังกล่าวนี้ทำให้ฐานทัพที่สหรัฐลงทุนสร้างเอาไว้อย่างมหาศาลในประเทศไทย ก็เลยหมดความหมายไปโดยปริยาย...ขอให้รู้เอาไว้เสียด้วยมิสเตอร์โล้น ขณะนี้...เวลานี้เหนือศีรษะของพวกคุณประมาณ 30,000ฟิต หรืออาจจะสูงกว่านั้น เครื่องบิน "ซี - 5 - เอ " บรรทุกทหารราบพร้อมอาวุธได้บินสะแตนบายเอาไว้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, อเมริกาใต้, เกาหลี, และอินโดจีน "ซี - 5 - เอ " พร้อมที่จะบินลงในทันทีเมื่อประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐโดนโจมตี
" - อ๋อให้มันหยั่งนี้ซี้ สหายอเมริกันถอนทหารออกไป แต่ก็ยังสัญญาขอใช้สนามบินตาคลีและอู่ตะเภาเอาไว้...เอา...เอากันให้เหมาะ เท่าทีหัวหน้า " กล่อม " ผมมาตั้งชั่วโมงนี่ ก็ต้องการจะให้ผมรับงานที่สนามบินดอนเมืองใช่ไหมครับ ?...โอเค..." ซี.ไอ.เอ." ซะอย่าง พรุ่งนี้คงจวกกันน่าดูชม หายข้องใจแล้วครับ "
ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นตัดบทเอาดื้อ ๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องปฏิบัติการใต้ดินอย่างรวดเร็ว
05.30 ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ บริเวณห้องผู้โดยสารขาเข้า ประชาชนที่มารับผู้โดยสารจากสายการบินต่าง ๆ พากันยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่เงียบ ๆ แต่ส่วนมากครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่หน้าห้องผู้โดยสารที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริเซ่นนั้น
ตามปกติท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ ในวันอาทิตย์ จะไม่ค่อยกมีประชาชนคึกคักเท่าใดนัก เนื่องจากมีเครื่องบินเข้าออกน้อย...แต่สำหรับในเช้าวันนี้กลับคึกคักเป็นพิเศษจนสังเกตได้ชัด นักข่าวหนังสือพิมพ์พร้อมกล้องถ่ายภาพเริ่มทยอยกันเข้ามาไม่ขาดระยะ ช่างภาพจากสถานีโทรทัศน์เกือบทุกช่องตระเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วยืนกระสับกระส่าย สายตาชำเลืองดูนาฬิกาที่ผนังบ่อยครั้ง
ไอ้โล้นสวมสูทสีน้ำเงินเข้มคาบไป๊ป์สะพายกล้องถ่ายรูปยืนไหล่เอียง ซุบซิบกับไอ้แสบ ซึ่งวันนี้แต่งตัวเท่ห์เป็นพิเศษ ด้วยชุดสากลลายพร้อย ที่บริเวณกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายปรากฏป้ายสีเหลี่ยมขนาดเล็กกลัดแนบติดกับขอบกระเป๋ามองเห็นถนัดตา
มันเป็นป้ายนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ " สเตรท-ไทมส์" ของมาเลย์เซีย ซึ่งองค์การ ซี.ไอ.เอ. ได้จัดแจง "ปลอม" ขึ้นมาอย่าง สด ๆ ร้อน ๆ เพื่อแผนงานนี้โดยเฉพาะ
หมวกแขกทรงเรือแจวที่สวมอยู่บนศีรษะอันโล้นเลียนของไอ้โล้น กอปรกับมาดอันเหลือร้ายของแขกเจ้าเล่ห์หยั่ง " โมฮาหมัด อับดุล รามาห์ " ทำให้ไอ้โล้นและไอ้แสบ สามารถพาตัวเองเข้ามาปะปนกับบรรดานักข่าวทั้งไทยและเทศได้อย่างสะดวกโยธิน
ห่างออกไปทางด้านซ้ายมือ มิสเตอร์ นอร์แมน หัวหน้าข่าวกรองของค่ายรามสูร ซึ่งเพิ่งจะสลัดคราบของหมอสอนศาสนาออกอย่างสด ๆ ร้อน ๆ แล้วสวมชุดกัปตันของสายการบิน "แพน-แอม" ยืนสนทนากับผู้กอง "อังคาร ไพรีพินาศ" ซึ่งอยู่ในชุด "สจ๊วต" (พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน) ของสายการบินเดียวกันอย่างออกรสชาติบางครั้งก็มีหัวเราะประสานกันอย่างครื้นเครง
เสียงหัวเราะของคนทั้งสองทำให้ นักข่าวจอมปลอมจากมาเลย์หันไปมองด้วยท่าทางอึดอัดใจ
" - ไอ้แสบ มึงดูเจ้านายของเราโน่น...ไอ้ห่าเสี่ยงฉิบเผงเลยว่ะ หนอยดันเสีอกแต่งตัวเป็นนักบินพาณิชย์เกิดซวยเจอะกับนักบินตัวจริงขึ้นมาล่ะก็มึงเอ๋ยสนุกแน่"
ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับชำเลืองสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความอึดอัดใจ
" - มัวแต่ห่วงคนอื่น...มึงกับกูจะซวยไม่รู้ตัว ไอ้ห่าปลอมตัวเป็นนักข่าวมาเลเซีย แต่เสือกฟังภาษาแขกไม่ออกซักตัว ยังไง ๆ มึงอย่าเสือกพูดกับกูมากนักก็แล้วกัน เฮ้ย...ไอ้โล้น เสี่ยวิชัย กับชาติอยู่ที่ไหนวะ กูมองไม่เห็นเลยตั้งแต่ขึ้นมาข้างบนนี่ "
" - อยู่ข้างนอก...ที่จอดรถ...มีอะไรผิดปกติเขาจะวิทยุมาเอง...เฮ้ยนั่นสารวัตรทหารเสือกแห่กันมาทำไมมากนักวะ "
ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นสะกิดให้เพื่อนคู่หูหันไปดูขบวนสารวัตรทหารอากาศ ซึ่งขณะนี้เดินแถวเข้ามาภายในบริเวณหน้าห้องโดยสาร "ขาเข้า" สะพรึ่บไปหมดทุกคนมีอาวุธสะพายอยู่บนไหล่ครบครัน พอเคลื่อนขบวนมาถึงบริเวณหน้าห้องโดยสารขาเข้าก็กระจายกำลังออกรายล้อมบริเวณดังกล่าวหเอาไว้รอบพร้อม ๆ กับเชิญประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นให้ออกไปด้วยความสุภาพแกมบังคับอยู่ในที
ประชาชนที่มารับผู้โดยสารถูกต้อนออกไปยืนอยุ่รอบ ๆ นอก แทบทุกคนมีท่าทีประหลาดใจแต่ชั่วอึดใจต่อมาข่าวคราวของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" ที่จะเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ขาดปาก บางคนพยายามเบียดสารวัตรทหารยื่นหน้ายื่นตาชะเง้อมองไปที่ช่องทางประตูเข้าอกด้วยความตื่นเต้น
ด้วยอำนาจของ " บัตร " นักข่าวที่กลัตติดอยู่ที่หน้าอกเสื้อ ทำให้ไอ้โล้นและไอ้แสบสามารถพาตัวเองปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้สื่อข่าวทั่ว ๆ ไปได้อย่างสบาย
"เฮ้ย...ไอ้โล้น...นั่นวิทยุเรียกมึงมาแล้วโว้ย"
ไอ้แสบกระซิบกระซาบพร้อมกับสะกิดให้ไอ้โล้นมองดูไฟแดงที่กระพริบอยู่บนกล้องถ่ายรูปนั้น
ไอ้โล้นเอื้อมมือไปกดปุ่มข้าง ๆ ชัตเตอร์ไฟสีแดงแวบหายไป ชั่วอึดใจก็มีไฟสีเขียวกระพริบขึ้นมาแทนที่พร้อม ๆ กับมีสัญญาณคำพูดดังแว่วออกมาเบา ๆ
"ระวัง...ชายอาหรับสองคนที่อยู่ในชุดสากลสีน้ำตาลไหม้กับชุดเทาซึ่งกำลังจะเข้าไปข้างในห้องโดยสารให้ดี เช็คดูแล้วรถที่ใช้ทะเบียนเป็นของสถานทูตโซเวียตไม่ต้องห่วงข้างล่าง "บล๊อค" เอาไว้หมดแล้ว"
" - เออ...ให้พ่อมึงขึ้นมา ประเดี๋ยวกูจะเจี๋ยนคอหอยมันเอง...บอกลักษณะมันอีกครั้ง กูไม่อยากฆ่าผิดตัว "
ไอ้โล้นกระซิบตอบลงไปด้วยน้ำเสียงลึก ๆ ร่างกายซึ่งยืนอยู่ดี ๆ บังเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน...
"เอาอีกแล้วมึง...ไอ้โล้น...พออยากจะฆ่าใครขึ้นมามึงเป็นสั่นทุกที ไอ้โรคจังไรของมึงนี่รำคาญนัยน์ตากูจังเลยว่ะ"
ไอ้แสบบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจ
" - ช่วยไม่ได้พอ "เซี่ยน" ขึ้นมาทีไรกูต้องเป็นยังงี้ทุกที...ประเดี๋ยวก็หาย...เพื่อน"
ไอ้โล้นกระซิบตอบพร้อมกับชำเลืองไปที่ช่องทางเข้าออก ซึ่งขณะนี้บังเกิดการเบียดเสียดเยียดยัดชุลมุนวุ่นวายอยู่ชั่วอึดใจ ก็ปรากฏร่างของชายอาหรับสองคนแหวกฝูงชนเข้ามาในบริเวณหน้าห้องพักผู้โดยสารขาเข้าได้อย่างทุลักทุเล ป้ายซึ่งกลัดติดอยู่ที่หน้าอกของชายอาหรับทั้งสอง ถูกชูขึ้นหราเหนือศีรษะ ปากก็ร้องขอทางเป็นภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา
" - สูงทั้งคู่...ไว้หนวด...มีกล้องถ่ายรูปชนิด "กลองบ๊อคซ์" สะพายอยู่คนละกล้อง"
เสียงวิทยุจากเสี่ยวิชัยรายงานรูปร่างลักษณะของชายอาหรับทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง
" - เออ เห็นตัวแล้ว...พวกมันอยู่ข้างล่างอีกกี่คน...ชาติ "
ไอ้โล้นย้อนถามกลับไปเบา ๆ...
" - สองคน...ขณะนี้เดินออกจากรถไปแล้ว เสี่ยวิชัยกำลังลงไปวาง " ของ " ที่รถ...ทางนี้...สบายมากไม่ต้องห่วง ระวังเจ้านายด้วยโว้ยพรรคพวก "
ประโยคสุดท้าย ชาติกำชับให้เพื่อนร่วมทีมคอยระวังคุ้มกัน นอร์แมน กับผู้กอง " อังคาร " อยู่ในที
ไอ้โล้นไม่ตอบมันเอื้อมมือลงไปปิดสวิทช์วิทยุ ที่ข้างชัตเตอร์แล้วพยักหน้าให้เพื่อนคู่หูเดินเฉียดเข้าไปหาชายอาหรับทั้งสองทันที
ชายอาหรับทั้งสองหยุดยืนคุยกับนักข่างหญิงคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนม ไอ้แสบชำเลืองดูแว่บหนึ่งก็หันมากระซิบกับไอ้โล้นเบา ๆ
" - อีคนที่ถ่ายรูปในโรงงานผลิตอาวุธของกรมสรรพาวุธแหง ๆ กูจำได้ อีห่าจิกนี่ชื่อผกาวรรณชัดเลย...พวกมันมารอเล่นงาน "สาย" ของเราเป็นทีมอยู่แล้ว...จะทำยังไงดีวะ...ไอ้โล้น "
" - ต้องไปคิดให้ปวดหัวสมองทำไมวะ เจี๋ยนแม่มันเป็นราย ๆ ไปก็สิ้นเรื่อง...ประเดี๋ยวกูจะหาทางให้ไอ้เหี้ยสองตัวนั่นเข้าไปในห้องน้ำให้ได้ แล้วมึงคอยดูสีมือของกูก็แล้วกัน...เฮ้ย...ได้การแล้วโว้ย ไอ้ห่านั่นเดินไปทางห้องน้ำโน่นแล้ว"
ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับก้าวเท้าออกเดินตามชายอาหรับคนที่แต่งสูทสีเทาไปติด ๆ โดยมีไอ้แสบตามคุมเชิงไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา
ชายอาหรับพาตัวเองตรงเข้าไปที่ประตูห้องน้ำไอ้โล้นหันกลับมามองดูทางเบื้องหลังแว่บหนึ่งแล้วแทรกตัวตามชายอาหรับเข้าไปติด ๆ
ชายอาหรับไหวกายเยือก สะบัดตัวหมุนกลับมาประจัญหน้ากับไอ้โล้น มีดโบวี่ขาวปร๊าบกระชับอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต เสือกตรงเข้ามาที่ช่องท้องของไอ้โล้นจนมองดูแทบไม่ทัน
" - ยากส์ส์...ไอ้ลูกแมว"
ไอ้โล้นคำรามออกมาพร้อมกับเบี่ยงตัวหันข้างให้คมมีด มือข้างหนึ่งปัดแขขนชายอาหรับเต็มแรง
คมมีดเฉออกจากช่องท้อง ไอ้โล้นปราดเข้าประชิดตัวแบบสายฟ้าแลบ มือขวาที่เต็มไปด้วยสันกระดูกแบบมือนักคาราเต้กระแทกโครมเข้าไปที่บริเวณคอหอยสุดแรงเกิด พร้อม ๆ กับมืออีกข้างหนึ่งตวัดกำข้อมือของชายอาหรับชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระชากพลิกหักลงไปทางเบื้องหลัง พร้อม ๆ กับออกแรงกระชากแขนขึ้นเต็มแรง
" กรึ๊บ "
ไม่มีเสียงร้องจากชายอาหรับผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นเขาสลบเหมือดตั้งแต่วินาทีแรกที่สันมือฟาดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยแล้ว ในขณะที่ตัวของชายอาหรับเริ่มซวนเซลงมาไอ้โล้นก็ออกแรงผลักร่างของนักข่าวอาหรับกระเด็นเข้าไปนั่งงอก่องอขิงอยู่บนโถส้วมชักโครกพอดิบพอดี
" - ทางสะดวก...ไอ้โล้น...บรรเลงต่อไปตามถนัด"
ไอ้แสบซึ่งยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้องน้ำ ยื่นหน้าเข้าไปพูดเบา ๆแล้วถอยกลับออกมายืนคุมเชิงเหมือนอย่างเดิมโดยปราศจากอาการพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น
ไอ้โล้นก้มลงเก็บมีดที่ตกอยู่ที่พื้น แล้วพาตัวเองเข้าไปดึงประตูส้วมปิด ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้ปลายมีดงัดปากของชายอาหรับขึ้นมาดู
" - ฟันทองเต็มปากเชียวมึง...ขอกูเอาไปทำบุญทอดกฐินซักซี่ สองซี่เถอะวะ พรรคพวก"
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 10 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ