WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


การเตรียมรถเพื่อเดินทางไกล
pongtct052
จาก pongtct052
IP:124.122.53.55

จันทร์ที่ , 1/11/2553
เวลา : 19:12

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อแบ่งปันความรู้แก่เพื่อนสมาชิก ไม่ว่าจะเดินทางใกล้ ไกล เข้ามาครับ ช่วยกันแบ่งความรู้ ประสบการณ์การเดินทางของท่านที่ผ่านมา ถูก ผิดไม่เป็นไร เราจะช่วยกัน


อย่าลืม ดูแล-รักษา-เตรียมพร้อม อย่างสม่ำเสมอ ครับ
จาก : tct225(tct225) 10/12/2553 18:09:03 [157.95.211.201]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  

คำตอบที่ 31
       ลองอ่านดูครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก KAI 125.26.93.219 อาทิตย์, 14/11/2553 เวลา : 19:37  IP : 125.26.93.219   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224099

คำตอบที่ 32
       แต่ทรูเปอร์เรานั้น น้ำหนักมันมากกว่า 1,600 กิโลกรัมนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

boyTCT389 จาก boyTCT389 115.87.39.107 อาทิตย์, 14/11/2553 เวลา : 20:07  IP : 115.87.39.107   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224117

คำตอบที่ 33
       รถทูเปอร์ น้ำหนักเกินก็จริงครับ แ๋ต่เป็น "รถยนต์นั่งส่วนบุคคล"ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

pongtct052 จาก pong 115.87.48.64 จันทร์, 15/11/2553 เวลา : 19:42  IP : 115.87.48.64   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224194

คำตอบที่ 34
       ครับ อาจารย์ ป๋อง ไปหาที่ปล่อยโคมไฟ แล้ว ลอยกระทง ที่เชียงใหม่ไหมครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 จันทร์, 15/11/2553 เวลา : 19:48  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224195

คำตอบที่ 35
       กรมการขนส่งทางบก ตรวจเข้มรถที่เข้าเติมก๊าซ CNG หรือ LPG ตามสถานีจำหน่าย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ เนื่องจากพบปัญหาอุบัติเหตุเกิดจากรถที่ติดตั้งถังแก๊ส ไม่ถูกต้อง พร้อมเตือนประชาชนให้ใช้บริการรถตู้สาธารณะ “ป้ายเหลือง” เท่านั้น

เทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิด เผยว่า จากการตรวจสอบรถตู้ที่ประสบอุบัติเหตุตกทางด่วนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา พบว่า เป็นรถตู้ส่วนบุคคลที่นำไปดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบ โดยการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องยนต์เบนซิน พร้อมติดตั้งระบบแก๊ส โดยไม่ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้องตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และเป็นรถที่มีอายุการใช้งานยังไม่ถึง 7 ปี ซึ่งยังไม่ต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถก่อนชำระภาษีรถประจำปี

ทั้งนี้หากเป็นรถโดยสารสาธารณะจะต้องผ่านการตรวจสภาพจากกรมการขนส่ง ทางบกปีละ 2 ครั้ง ส่วนการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการใช้ก๊าซ LPG หรือ CNG เป็นเชื้อเพลิงต้องติดตั้งกับผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก เท่านั้น โดยภายหลังการติดตั้งอุปกรณ์แล้วต้องนำรถเข้ารับการตรวจและทดสอบความปลอดภัย จากผู้ตรวจและทดสอบที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมฯอีกครั้ง ก่อนการแจ้งขอเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง โดยรถที่ใช้ก๊าซ CNG ต้องตรวจและทดสอบเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบทุกปี ยกเว้น รถที่ติดตั้งแก๊ส CNG จากโรงงานที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ให้ตรวจและทดสอบหลังจาก จดทะเบียนครั้งแรกมาแล้ว 3 ปี และครั้งต่อไปต้องตรวจทุกปีเช่นกัน ส่วนรถที่ใช้ก๊าซ LPG ให้ตรวจและทดสอบเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบทุก 5 ปี

นายเทียนโชติ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยแก่เจ้าของรถที่ใช้ก๊าซ CNG และ LPG เป็นเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ( 3 พ.ย. 53) กรมการขนส่งทางบกจะจัดเจ้าหน้าที่จากกองตรวจการขนส่งออกตรวจสอบความถูกต้อง และปลอดภัยของรถที่เข้าเติมก๊าซตามสถานีจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีสถานีจำหน่ายก๊าซ CNG ทั่วประเทศ จำนวน 353 แห่ง (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2553) อยู่ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 102 แห่ง และมีสถานี จำหน่ายก๊าซ LPG ทั่วประเทศ จำนวน 1,042 แห่ง อยู่ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 217 แห่ง
ในระยะแรกหากพบรถที่มีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการใช้แก๊สที่ไม่ผ่าน ขั้นตอนตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด จะแจ้งให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และในระยะต่อไปจะมีการเปรียบเทียบปรับตามความผิดในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ฐานเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ส่วนควบโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามมาตรา 60 โทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยังฝากเตือนผู้โดยสารให้ใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะที่จดทะเบียนถูกต้อง เท่านั้น โดยให้สังเกตสีพื้นแผ่นป้ายทะเบียนเป็นสีเหลือง ที่ด้านข้างตัวรถจะมีเครื่องหมายแสดงการเข้าร่วมบริการกับ ขสมก. พร้อมชื่อเส้นทาง ทั้งนี้ การใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมายจะได้รับการคุ้มครอง ความปลอดภัยด้วยการตรวจสภาพรถปีละ 2 ครั้ง พร้อมทั้งเตือนเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลอย่าได้ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซ อย่างไม่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้วยังมีความผิดตามกฎหมายด้วย สอบถามรายละเอียดที่กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก หมายเลข 0-2271-8604



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 จันทร์, 15/11/2553 เวลา : 21:01  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224198

คำตอบที่ 36
       กรมการขนส่งทางบก เตือนเจ้าของรถที่ดัดแปลงโคมไฟหน้ารถเป็น "ไฟซีนอน" ที่มีแสงสว่างจ้ามากเกินไป นอกจากมีความเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุสูงแล้ว ยังอาจมีความผิดตามกฎหมายต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท หลอดไฟซีนอนแม้จะมีข้อดีในเรื่องของประสิทธิภาพการส่องสว่างแต่การที่จะนำมาใช้เป็นหลอดไฟหน้ารถได้อย่างปลอดภัยนั้น หลอดไฟจะต้องมีคุณลักษณะในเรื่องแนวจำกัดของแสงและรูปแบบการกระจายของแสงให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด โดยไฟหน้าของรถยนต์และรถจักรยายนต์จะต้องมีแสงสีขาวหรือเหลืองอ่อน จำนวน ๒ ดวง ติดตั้งอยู่ในระดับเดียวกันที่หน้ารถด้ายซ้ายและขวา แห่งละ ๑ ดวง ติดตั้งสูงจากผิวทางไม่น้อยกว่า ๔๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑.๓๕ เมตร ความสว่างของไฟสามารถส่องทางด้านหน้าได้อย่างชัดเจน และไม่เอียงไปทางขวาจนรบกวนสายตาของผู้อื่น การดัดแปลงไฟหน้าให้เป็นแสงสีอื่น หรือทำให้มีความสว่างจ้ามากจนเกินไป เมื่อนำไป ใช้งานบนท้องถนนจะส่องเข้าตาผู้ขับขี่ที่สวนทางมาทำให้สายตาพร่ามัวจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หากเจ้าของรถดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบหรือเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป จนก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือ จิตใจผู้อื่น อาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช ๒๕๒๒ มาตรา ๑๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 จันทร์, 15/11/2553 เวลา : 21:15  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224201

คำตอบที่ 37
      

ไฟตัดหมอก อุปกรณ์แต่งรถที่กำลังเป็นแฟชั่นระบาดไปทั่วทั้งรถเก๋ง และรถปิกอัพ คือ ที่มาของแสงสว่างจ้าบนท้องถนนยามค่ำคืน

การเปิดไฟตัดหมอกอาจดูเท่ในสายตาเจ้าของรถ แต่สำหรับผู้ขับขี่ที่โดนแสงไฟตัดหมอกที่เปิดในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม สาดใส่แล้วละก็กลับกลายเป็นความทุกข์ที่ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็น และต้องจำทนกับสภาพนี้โดยทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขับหนี หรือปล่อยให้แซงหน้าไป

จากการใช้งานในช่วงเวลาที่ผิดนี้เอง อาจทำให้คุณประโยชน์ที่มีมหาศาลของไฟตัดหมอก กลายเป็นแค่สินค้าแฟชั่น ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและอุบัติเหตุแก่รถยนต์คันอื่นบนท้องถนนได้

ความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก

“ไฟตัดหมอก” ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง อากาศหนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา

ไฟตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและส่องได้ไกลกว่า โดยเฉพาะในยามที่ฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด
หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัด มุมที่เอียงลงต่ำทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อย หรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10 - 15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสาร เพราะสามารถทะลุทะลวงได้มาก และสะท้อนกลับมาในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30 - 80 เมตร

ในทำนองเดียวกัน เมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆ ในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปอีกมุมหนึ่ง ซึ่งบางครั้งแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำ แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฎบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ เพราะ ไฟตัดหมอกเป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอกจะไปแยงและรบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมาทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ

การใช้ไฟตัดหมอกให้ถูกวิธี จึงมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องจากทั้งทางภาครัฐ และเอกชน โดยกรณีที่จำเป็นต้องเปิดไฟตัดหมอก ประกอบด้วย

1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน

2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆ นั้น หมอกจะมีมากกว่าปกติ

3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว

4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ควรปิดไฟตัดหมอกทันทีที่มีรถสวนมาในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอก คงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญาณจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม

การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีจะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเสริมทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้ดีขึ้น

ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย



"ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ"




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 จันทร์, 15/11/2553 เวลา : 21:19  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224202

คำตอบที่ 38
       ครับอย่า ลืมตรวจสอบ การตรวจเช็คสภาพหรือรายการซ่อม กับอู่ที่เราเคยไปซ่อมนะครับ ว่ามี เปลี่ยนอะไหล่ ปลอมแล้วคิดราคาของแท้นะครับ ดูว่ามีการรับประกัน และเก็บบิลรายการซ่อมไว้ (กลัวว่าจะเกิดปัญหาภายหลังหาว่าเป็นการจัดฉาก กลั่นแกล้งกัน ) บางที่พวกนี้ก็อ้างชื่อ อ้างชมรม หาเรื่องอ้างไปทั่ว (คนดี ชอบแก้ไข คน..Junrai.. ชอบแก้ตัว) เป็นคำที่เป็นกล่าวขานกันมานานครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 อังคาร, 16/11/2553 เวลา : 06:25  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224214

คำตอบที่ 39
       106 ใช่ไหม เหลือ ครึ่งเดียว





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 182.53.107.230 อังคาร, 16/11/2553 เวลา : 09:20  IP : 182.53.107.230   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224227

คำตอบที่ 40
       เคล็บลับการดูแลรถ

การตรวจสอบรถก่อนใช้งาน ในการเดินทางระยะใกล้ เช่น ไปทำงานประจำวัน ท่านอาจจะไม่ต้องตรวจสอบรถเป็นประจำาวันทุกวัน แต่ควรอย่างน้อยภายในาย 1 สัปดาห์ แต่หากท่านต้องการเดินทาง ไกล เช่น ไปต่างจังหวัด การตรวจสอบรถก่อนใช้งานเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

1. ยาง
ดอกยางควรอยู่ในสภาพดีและควรลึกไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตร เพื่อให้เพียงพอต่อการยึดเกาะถนนและการทรงตัวที่ดี ลมยางควรมี มากพอขึ้นอยู่กับอัตราการสูบลมยางของรถแต่ละคัน

2. กระจก
กระจกมองหลังและกระจกมองข้าง ควรอยู่ในลักษณะที่เหมาะสม สามารถมองเห็นรถทางด้านหลัง

3. สัญญาณไฟ
ไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเลี้ยว และไฟเบรค ต้องอยู่ในสภาพที่ดี โคมไฟหน้าไม่ควรส่องสูงเกินจนเข้าตาคน หรือรถที่สวนมา

4. ที่ปัดน้ำฝน
ใบปัดน้ำฝนจะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี

5. แตร
ต้องอยู่ในสภาพที่ดี เสียงแตรไม่แตกพร่า

6. คลัทซ์ คันเหยีบเบรค
ต้องอยู่ในระดับพอดีไม่สูงต่ำเกินไป รวมทั้งเบรคมือต้องอยู่ในสภาพที่ดี

7. หม้อน้ำ
น้ำในหม้อน้ำต้องมีอยู่เต็มพอดีเสมอ

8. น้ำ มันคลัทซ์ น้ำมันเบรค น้ำมันเกียร์ เฟื่องท้าย เกียร์พวงมาลัย พวงมาลัย
ต้องอยู่ในสภาพการใช้ได้ดี

9. สายพาน
ต้องอยู่ในสภาพดี ไม่หย่อนมีรอยปริหรือหัก

10. เบาะที่นั่งของคนขับรถ
ต้องอยู่ในระยะและลักษณะที่เหมาะสม

11. ประตู
ต้องปิด และล็อคเป็นอย่างดี

12. ติดเครื่องดูหน้าปัดมาตรวัด
ตรวจดูว่าทุกมาตรทำงานอย่างถูกต้อง

13. น้ำหนัก บรรทุก
ต้องอยู่ในสภาพที่เหมาะสม หากรถเอียงไปข้างใดหรือข้างหนึ่งเนื่องจากการบรรทุก ให้แก้ไขจัดวางสิ่งของที่บรรทุกเสียใหม่ รวมทั้งหากมีการบรรทุกสิ่งของยื่นยาวเกินไปจากตัวรถ ต้องผูกรัดให้มั่นคงแข็งแรง และจัดให้มี สัญญาณธงหรือไฟห้อยเตือนอันตรายไว้

14. อุปกรณ์ความปลอดภัย
ต้องอยู่ในสภาพที่ดีใช้งานได้ เช่น เครื่องดับเพลิง เข็มขัดนิรภัย ฯลฯ

15. การดูแลรถยนต์
เดินเบาเครื่องยนต์ 2-3 นาที ก่อนนำรถออกใช้งาน จะช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิง ถ้าท่านขับรถความเร็วเกิน 20 กม./ชม. ขึ้นไป การอุ่นเครื่องยนต์ก่อนจะทำให้ท่านประหยัดน้ำมัน
ปรับแต่งรอบเครื่องยนต์เดินเบาให้ถูกต้องอย่าให้เร่งจนเกินไป
การ ติดตั้งคลัทซ์พัดลมหม้อน้ำ ก็ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:08  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224284

คำตอบที่ 41
       เคล็บลับการดูแลรถ

วิธีการสังเกตุการสึกของยางรถ ทราบหรือไม่ว่าทุกครั้งที่ท่านขับรถด้วยความเร็วสูง จะทำให้เกิดความร้อนต่อยาง รถยนต์ของท่าน ซึ่งอาจทำให้ยางเกิดการระเบิดได้อย่างกะทันหันขณะใช้งาน

อาการ
ขอบยางสึกเร็วผิดปกติ ยางสึกเร็วตรงกลางดอกยางแตก สึกข้างเดียว ดอกยางสึกเป็นมุม สึกไม่เป็น แห่ง

สาเหตุ
ยางอ่อนไป ยางแข็งไป หรือใช้ความเร็วเกิน ความสามารถของยาง แคมเบอร์มากไป TOE ไม่ถูกต้อง ล้อไม่ได้ถ่วง

การ แก้ไข
ปรับแรงดันลมให้ตรงตามข้อกำหนดขณะที่ยางยังเย็นอยู่ ปรับมุมแคมเบอร์ ปรับมุม TOE ใหม่ถ่วงล้อ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:10  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224285

คำตอบที่ 42
       เมื่อคุณคิดจะซื้อรถใหม่

รถกลายเป็นปัจจัยในชีวิตประจำวันอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์เราไปเสียแล้ว หากคุณต้องการจะซื้อรถสักคัน คุณจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ ไม่เร่งรีบ ควรสอบถามผู้รู้ที่ไว้ใจและเชื่อถือได้ อย่าไปถามคนขายเพราะเขาจะตอบทุกอย่างเท่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาเท่านั้นซึ่งเราอาจจะไม่ได้ความจริงที่แท้

สิ่งที่ คุณควรคำนึงก่อนซื้อรถใหม่ ก็คือ

1. รูปร่างของรถ
ควรเลือกแบบรถให้เหมาะกับความชอบของตนเองเพราะคุณต้องใช้รถมันอีกนานับปีทีเดียว

2. สีของรถ
ควรสีรถที่ตัวเองชอบและ ต้องคำนึงไปถึงเรื่องความสะอาด เรื่องการรักษาสภาพของสีและอื่นอีกด้วย เพราะว่าสีบางสีจะสวยเฉพาะเวลาล้างขัดเงาใหม่ๆ เท่านั้น

3. สมรรถนะของเครื่องยนต์
ควรพิจารณาดูว่ารถของคุณใช้สภาพไหน เช่น คนนั่งเยอะหรือเปล่า ต้องบรรทุกของหนักไหม รถที่มี ซี.ซี.ต่ำ จะกินน้ำมันน้อย ตัวถังรถมักเบาเปราะบาง ขับเร็วมากนักไม่ได้ ในขณะที่รถที่มี ซี.ซี. สูงขี้นสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาก็จะสูงขี้นเป็นเงาตามตัว

4. ระบบความ ปลอดภัย
รถบางชนิด บางยี่ห้อ ทำออกมาเพื่อให้ขับได้อย่างเดียว สถาพความปลอดภัยมีน้อยมาก ตัวถังใช้เหล็กบาง โครงสร้างไม่แข็งแรง อย่างเช่นรถญี่ปุ่นนั้นระบบความปลอดภัยน้อยแต่ราคาถูกกว่ารถยุโรปแต่รถยุโรปมีระบบ ความปลอดภัยมากกว่ารถญี่ปุ่น แล้วแต่คุณจะพิจาณาในการซื้อรถเพราะมันเกี่ยวกันราคาด้วย

5. ตรวจสภาพรถก่อนรับรถ ชิ้นส่วนสำคัญที่ควรตรวจสอบมีดังนี้
ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟกะพริบ ไฟท้าย ไฟส่องป้าย ไฟภายในรถ ไฟไล่ฝ้า
ที่ปัดน้ำฝน
สภาพภายใน ทุกอย่างต้องใหม่และไม่มีตำหนิ
สภาพตัวถัง ต้องไม่มีตำหนิ
เครื่องวัดต่างๆ ต้องทำงานได้
ตัวเลขระยะทางการวิ่ง บนหน้าปัดจะต้องไม่มากไปกว่า 10 กม. ถ้าเกินนั้นระวังจะเป็นรถตัวอย่างที่วิ่งไปโชว์ตามงานต่างๆ หรือวิ่งไปโชว์ให้ลูกค้าดูมานานหลายเดือนแล้ว
เครื่องจะเสียงจะต้องใช้ได้ใหม่ และตรวจตามที่ได้โฆษณา ไว้
6. มีใบรับประกัน
ไม่ว่าจะเป็นตัวรถ แอร์ เครื่องเสียง จะต้องมีใบรับประกัน ระยะประกันจะต้องเหมาะสมอย่างน้อยก็หนึ่งปีขึ้นไป นอกจากนั้นควรจะมีสมุดประจำรถ มีระยะตรวจสอบสภาพรถ หากเป็นไปได้ จะซื้อรถยี่ห้อไหนก็ควรสอบถามคนที่เขาที่ใช้รถยี้ห้อนั้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:13  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224286

คำตอบที่ 43
       เมื่อคุณคิดจะซื้อรถมือสอง

ข้อดีของรถมือสอง คือ ราคาถูก แต่ท่านควรตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด เพราะรถที่ถูกใช้งานมาแล้วล้วนมีความเสี่ยงต่อสภาพความสึก เหรอของเครื่องยนต์ หากจะซื้อรถมือสองควรตรวจสอบอะไรบ้าง

1. สุมดประวัติประจำรถ
มักไม่ค่อยมี เพราะเจ้าของรถไม่พิถีพิถัน แต่ถ้ามีก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยม เพราะสมุดประวัติประจำรถทำให้รู้ว่าเขาตรวจซ่อมอะไรมาบ้าง ตรวจ ทุกระยะประจำหรือเปล่า

2. เจ้าของรถ
คุณควรดูเจ้าของรถคันเดิมว่าเขาเป็นใครใช้รถอย่างไรดูแลรถหรือไม่ มีคนกล่าวว่า ไม่ควรซื้อรถต่อจากวัยรุ่น ผู้หญิง และคนชรา เพราะว่าทั้งสามประเภทนี้ ใช้รถอย่างเดียวไม่ ค่อยดูแลรถที่ใช้อยู่

3. มือที่เท่าไหร่
ก็คือรถคันนี้มีคนเป็นเจ้าของมามากน้อยเพียงใด ถ้าผ่านมาแล้วหลายมือก็ควรไม่ซื้อ เพราะรถอาจจะมีปัญหาได้

4. ตัวเลขระยะทางการใช้รถ
ในการซื้อ รถคุณควรดูเลขตัวไมล์โดยปกติการใช้รถไม่ควรจะมากกว่าสามหมื่นกิโลเมตรต่อปี หากมากไปกว่านี้ถือว่ามากอาจทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้งานหนัก

5. สภาพภายใน
หมายถีงเบาะนั่ง ระบบไฟฟ้าต่างๆ ต้องใช้ได้ อย่าง ไรก็ตาม สภาพดีมาก ดีน้อย ย่อมแล้วแต่ผู้ใช้และการดูแลรักษา

6. สภาพภายนอก
ควรดูสภาพตัวถังมีผุพัง สีถลอกปอกเปิก กันชนบุบ ตัวถังงอ ประตูตก บ้างหรือไม่

7. ทำสีมาหรือเปล่า
รถ ที่ต้องทำสีใหม่ คือ รถที่เก่ามากอายุควรจะเกิน 15 ปีขี้นไป หากทำสีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่ารถไม่ได้รับการดูแล ในการทดสอบว่าไปทำสีมาหรือเปล่า ก็ลองเคาะเบาๆ ด้วยสันมือ ถ้าเสียงโปร่งก็สีเดิม ถ้าเสียงทึบบ้างโปร่งบ้าง ก็ทำบางส่วน ถ้าทึบหมดก็ทำทั้งคันรถทำสีใหม่สีจะไม่ทน อาจซีด หรือด้านหรือโปร่ง ภายในสองสามปีเป็นอย่างมาก

8. ประวัติรถ
หากสามารถรู้ประวัติการใช้รถของเจ้าของเดิมมาบ้างก็จะดี เพราะจะได้รู้ว่าเจ้าของรถคนเก่าเคยนำ รถไปใช้อย่างไร เช่น ไปชนคนตายมาก่อนหรือเปล่า เคยนำรถไปใช้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเปล่า เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนน่ากลัวหรือเปล่า ส่งเหล่านี้เราต้องสืบหาเอาเอง

9. ซื้อรถจากเจ้าของดีกว่าซื้อจากเต้นท์รถ หรือพ่อค้าคนกลาง
ถ้าซื้อรถจากพ่อคนกลาง พ่อค้าคนกลางอาจโอนเป็นชื่อของตนเองหรือโอนลอยไว้ พวกนี้จะเอาของดีๆ ออกจากตัวรถก่อนจะขาย ก็ได้ เช่น เครื่องเสียง อุปกรณ์ความปลอดภัย อุปกรณ์ประกอบรถอื่นๆ ที่พอจะ นำไปขายแยกได้ ส่วนเต๊นท์รถนั้นก็คือพ่อค้าคนกลางเหมือนกันแต่เจ้าเล่ห์มากกว่า และมักจะขายราคาแพงกว่าท้องตลาดประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อคัน เวลาจะซื้อรถคุณควรดูให้มั่นใจเสียก่อน ก่อนจะตัดสินใจ ซื้อ

10. หากซื้อรถจากเต้นท์จะต้องนำรถออกทันที
คุณอย่าไปวางเงินแล้ววางใจ ไม่อย่างนั้น เครื่องเสียง ล้อแม็กซ์ ยาง เครื่องยนต์ และอื่น ของคุณอาจจะถูกเปลี่ยนไป โดยที่คุณเองก็อาจทำอะไรก็ไม่ ได้

11. ต้องรีบโอนรถให้เรียบร้อย
ถ้าคุณซื้อรถจากเจ้าของแล้วควรนำรถออกทันที แต่ถ้าซื้อรถจากเต๊นท์จะต้องทำสัญญาซื้อขายให้ดี ขอใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อย ถ้านัดไปโอนทะเบียบภายหลังจะต้องกำหนดเวลา การโอนในสัญญาซื้อขายอย่างแน่นอน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:14  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224287

คำตอบที่ 44
       เรื่องราวของล้อแม็ก

ล้อแม็ก มาจากคำว่า ?แม็กนีเซียม? ซึ่งหมายถึงโลหะชนิดหนึ่ง ที่นำมาทำเป็นกระทะล้อแทนเหล็ก

ล้อแม็ก ที่คุณลักษณะเด่นที่สุด คือ มีน้ำหนัก เบา เพราะว่าถ้า น้ำหนักเบา ระบบเบรคก็ไม่ต้องทำงานหนัก แถมยังสามารถระบาย ความร้อนในขณะที่เบรคได้ดีกว่าเหล็ก จึงเบรคได้ดีกว่า น้ำหนักที่กด ลงบนยางก็น้อยลงช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้ นอกจากนี้น้ำหนัก รวมของตัวรถก็น้อยลงด้วย ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย แต่ข้อเสีย ของล้อแม็กคือความแข็งแรงน้อยกว่ากระทะเหล็ก เมือมีการกระแทก อย่างรุนแรงกระทะเหล็กอาจบิดงอซึ่งพอซ่อมได้ แต่กรณีที่เป็น แม็กนีเซียมก็จะบิ่นหรือ แตกไม่สามารถใช้การได้อีกเลย นอกจากถ้าเป็น โลหะผสมก็ยังพอซ่อมได้ โดยการเชื่อมพอกแล้วกลึงให้ใช้ได้แต่ไม่ค่อย ดี

ก่อนจะเลือกล้อแม็กเราควรเลือกขนาดเท่าเดิม เพื่อให้สามารถ ใส่กับยางเส้นเดิมได้คือต้อง ให้มีความกว้างและเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าเดิม จะต้องดูจากตัวเลยที่ปั๊มไว้ที่กระทะล้อ เช่น 5 1 / 2Jx13 ก็หมายความว่า กระทะล้อกว้าง 5 นิ้วครึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลาง 13 นิ้ว หรือถ้าเป็นรหัสอื่น ๆ ตัวหน้าหมายถึงความกว้าง ส่วนตัวหลังคือ เส้นผ่าศูนย์กลาง

ถ้าอยากเปลี่ยนพร้อมกันหมดทั้งแม็กและยางอยากให้รถมันเตี้ยลง และยางกว้างขึ้นเพื่อการเกาะถนนก็ต้องหาอันที่มันมีความกว้างมากขึ้น ลดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ถ้าอยากให้มันสูงขึ้นก็เพิ่มขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลาง อันนี้ก็ต้องคำนึงถึงกำลังของรถด้วย

สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงต่อไปนี้คือ ขนาดรูนัต มี 4 หรือ 5 รู รถแต่ละยี่ห้อจะทำออกมาไม่เท่ากัน แต่ถ้าขนาดรูนัตไม่เท่ากันแต่ใกล้เคียงกัน 1-2 มม. ก็พอจะใส่เข้าไปได้ แต่ว่า รูนัตต้องใหญ่กว่านัตจึงจะใส่ได้ แต่ถ้ามีขนาดที่ผิดกันมากกว่านี้ก็ใส่กันไม่ได้ ล้อแม็กที่ได้รับการรับรองโดยดูจากอักษรย่อที่ปั๊มไว้ขอบวง เช่น TUV หมายความว่าได้รับมาตราฐานของเยอรมัน ส่วน JU หมายความว่าได้รับมาตรา ฐาน ซึ่งทดสอบโดย VIA (JAPAN VEHICLE INSPEC TION ASSOCIATION) ขอบประเทศญี่ปุ่น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:17  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224288

คำตอบที่ 45
       เรื่องของไฟรถ
ได้มีกฎหมายโดย พรบ.จราจรทางบกฯ ซึ่งกำหนดทั้งจำนวนและลักษณะของไฟรถและ จักรยานยนต์ทั่วไปไว้ดังต่อไปนี้

1. โคมไฟหน้ารถ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
โคมไฟแสงพุ่งไกล
ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวง สูง จากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร แต่ เกิน 1.35 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟ แสงขาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 50 วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็น พื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร ศูนย์รวมแสงต้องสูง กว่าแนวขนานกับพื้นทางราบและ ไม่เฉไปทางขวา

โคมไฟแสงพุ่งต่ำ
ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวง สูง จากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า0.60 เมตร แต่ ไม่เกิน 1.35 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงยาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 50 วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้น ทางราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตร ในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา

โคมไฟเล็ก
ให้ติดหน้ารถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โดยให้อยู่ด้านริมสุด แต่จะล้ำเข้ามาได้ไม่เกิน 0.40 เมตร โคมไฟ ทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขวาหรือแสง เหลือมี กำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 10 วัตต์ และต้องมีแสงสว่างสามารถ มองเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร โคมไฟแสงพุ่งไกล โคมไฟแสงพุ่มต่ำ และโคมไฟเล็ก จะรวมอยู่ในดวงเดียวกันได้

2. โคมไฟท้ายรถ มี 3 ประเภท คือ
โคมไฟท้าย
ให้ติดท้ายรถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกันใช้ไฟแสงแดงมีกำลังไฟ เท่ากัน และมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่ น้อยกว่า 50 เมตร

โคมไฟหยุด
ให้ติดท้ายรถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โคมไฟทั้สองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกันใช้ไฟแสงแดด มีกำลังไฟ เท่ากัน และมีแสงสว่างสามารถเห็นได้จากระยไม่น้อยกว่า 30 เมตร

โคมไฟส่องป้ายทะเบียนรถ
ให้ติดท้ายรถใช้ไฟแสง ขาวส่องป้ายทะเบียนรถ มีแสงสว่างสามารถมองเห็นเครื่องหมายหรือ ตัวอักษรและตัวเลขได้ชัดเจนจากระยะไม่น้อยกว่า 20 เมตร แต่ต้อง มี ที่บังมิให้แสงเพ่งออกไปท้ายรถ

กฎหมายเขียนไว้ว่าในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ จะมองเห็นคน สัตว์ รถ หรือสิ่งกีดขวางในทางได้โดยชัดเจนภายใน ระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร จึงให้ผู้ขับขี่เปิดไฟรถ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 125.26.92.35 พฤหัสบดี, 18/11/2553 เวลา : 06:19  IP : 125.26.92.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224289

คำตอบที่ 46
       รถยนต์สตาร์ทไม่ติดอะไรเสียกันแน่สงสัยจัง ลองอ่านดูไหมครับ



ข้อสังเกตแบตเตอรี่เสื่อมหรือเก็บไฟไม่อยู่
1.สตาร์ทรถยากหรือสตาร์ทไม่ติดเลย ( ส่วนมากจะเป็นตอนเช้า ) ถ้าเอาแบตใหม่มาเปลี่ยนหรือพ่วงแบตจากรถคันอื่น แล้วสตาร์ทติดง่ายหรือสตาร์ทติดทันที นั้นอาจสรุปได้ว่าแบตเตอรี่อาจเสียหรือ ไดชาร์จอาจชาร์จไฟไม่เต็มที่ก็ได้

2.ถ้าสตาร์ทรถตอนเช้าติดแล้ว ( อาจสตาร์ทยาก หรือพ่วงแบตจากรถคันอื่นมาก็ตาม ) แล้วท่านยังสามารถขับรถได้ตลอดวัน บางครั้งอาจจอดรถบ้างแต่จอดไม่นานเท่าไรแล้วก็ยังพอสตาร์ทรถได้ แต่ถ้ายิ่งจอดนานก็จะรู้สึกว่ายิ่งสตาร์ทรถยากเท่านั้น

3.สตาร์ทรถยากหรือสตาร์ทไม่ติดเลย เกิดขึ้นอีกแล้วในวันต่อๆไป ( เป็นตอนเช้าอีกแล้ว รู้สึกเซ็งมากเลยครับ ) ถ้าเป็นลักษณะอาการแบบนี้ สรุปได้เลยว่าแบตเตอรี่ก็ไฟไม่อยู่แล้วเลยควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่




ข้อสังเกตมอเตอร์สตาร์มีปัญหาหรือเสีย
1.สตาร์ทรถไม่ติด อาจเป็นเวลาใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงเช้า อาการเสียแบบนี้ วิเคราะคราวๆได้สองอย่าง คือระบบไดสตาร์ทอาจมีปัญหา หรือ แบตเตอรี่อาจจะไม่มีกระแสไฟฟ้าพอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ วีธีแก้ปัญหาเบื้องต้น คือลองเปลี่ยนแบตที่มีกระแสไฟฟ้าเต็มๆมาลองสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง หรือพ่วงแบตจากรถคันอื่นก็ได้ ถ้าลองพ่วงแบตดูแล้วสตาร์ทติดง่าย ได้ปกติ ก็คิดว่าน่าจะเป็นที่แบตเริ่มเก็บไฟไม่อยู่แล้วมากกว่า , หรืออาจใช้ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ขณะดับเครื่องยนต์ นานเกินไป จนกระทั่งกระแสในแบตเตอรี่ไม่พอสตาร์ทเครื่องยนต์ได้

2.ถ้าลองพ่วงแบตแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่เครื่องไม่ติด วิเคราะคราวๆได้ว่าระบบมอเตอร์สตาร์ทอาจมีปัญหา สาเหตุอาจเกิดจาก , ฟิวส์ มอเตอร์สตาร์ทขาด , สายไฟที่ต่อไปยังมอเตอร์สตาร์ทขาดหรือหลุดออกจากจุดต่อต่างๆ ,ตัวมอเตอร์สตาร์ทเองมีปัญหา เช่น แปรงถ่านที่อยู่ในมอเตอร์สตาร์ทกำลังจะหมด หรือหมดแล้ว ควรเข้าศูนย์ตรวจเช็ครถยนต์ยี่ห้อนั้นๆดีกว่า


ข้อสังเกตไดชาร์จ ( GENERATOR ) มีปัญหา

1. ถ้าแบตเตอรี่ไม่เสียเป็นปกติอาจจะเพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่มา ช่วงเปลี่ยนแบตเตอรี่มาให่มๆสตาร์ทรถติดง่ายมาก สตาร์ทชึ่งเดียวเครื่องยนต์ก็ติดแล้ว แต่อยู่ใช้ไปสักพักปรากฏว่าเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ยาก หรือขับๆรถอยู่เครื่องยนต์ก็ดับไปเอง อาการเสียลักษณะนี้วิเคราะคราวๆได้ว่าอาจจะเป็นสาเหตุมาจาก ไดชาร์จหรือชุดจ่ายไฟในระบบรถยนต์มีปัญหา อาการระบบไดชาร์จเสีย สังเกตจากหน้าปัดในรถจะมีรูปแบตเตอรี่โชว์เป็นสีแดง ควรเข้าศูนย์ตรวจเช็ครถยนต์ยี่ห้อนั้นๆดีกว่า



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 157.95.211.201 ศุกร์, 10/12/2553 เวลา : 18:01  IP : 157.95.211.201   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224820

คำตอบที่ 47
      
วิธีการชาร์ทแบตเตอรี่ที่ถูกต้อง
1.การประจุทีละน้อย (Trickle Recharge)

ถ้ากระแสในวงจรถูกรักษาไว้ที่อัตราเท่ากับ C/10 (10% ของความจุ) แล้ว เซลที่หมดประจุอย่างสมบูรณ์สามารถจะประจุได้ภายใน 10 ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงจะใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมง การประจุทีละน้อยด้วยอัตราขนาดนี้สามารถประจุทิ้งไว้ค้างคืนได้ ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของการประจุเซลด้วยอัตราขนาดนี้คือ ถึงแม้ว่าเซลจะถูกประจุเต็มแล้วก็ตาม ก็ไม่จำเป็นต้องนำเซลออก เนื่องจากถ้าเราประจุต่อไปก็จะไม่ทำความเสียหายให้แก่เซล เนื่องจากก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ขั้วบวกจะรวมตัวกับขั้วลบ การประจุเซลโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งจะไม่ทำให้ความเสียหายแก่เซล ยกตัวอย่างเช่น เซลมีขนาดความจุ 500 มิลลิแอมป์ – ชั่วโมง ถ้าประจุด้วยอัตรา C/10 ก็เท่ากับ 10% ของความจุ คือ 50 มิลลิ-แอมป์

2.การประจุอย่างเร็ว (Fast Recharge)

เซลแบบนิแคดนี้สามารถจุประจุด้วยอัตราที่สูงขึ้นกว่าได้ เช่นด้วยอัตรา C/3 (33% ของความจุ) ถึง C/5 (20% ของความจุ) โดยจะต้องเตรียมการตัดการประจุ เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว ซึ่งสามารถทำได้อย่างอัตโนมัติ โดยใช้วงจรตรวจจับแรงดัน ซึ่งจะตัดกระแสที่ใช้ในการประจุออก เมื่อแรงดันของเซลเพิ่มขึ้นเกินกว่าค่าปัจจุบัน รูปที่ 10 แสดงถึงการแปรเปลี่ยนของแรงดันของเซลกับอัตราการประจุเท่ากับ C/4 (25% ของความจุ) จะเห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้สามารถใช้ได้เฉพาะ ถ้าสามารถวัดค่าแรงดันได้อย่างเที่ยงตรงและว่องไว สามารถตัดกระแสที่ใช้ประจุออกก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น ปัญหาในการใช้การประจุแบบนี้ก็คือ ถ้ากระแสที่ใช้ในการประจุค่าสูงๆ นี้ไม่ได้ถูกตัดออกอย่างทันที เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว ก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นมากเกินจากขั้วลบในปริมาณที่เพียงพอ ความดันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเซลจะระบายก๊าซออกซิเจนออกไปโดยที่ รูระบายที่ปิดไว้จะเปิดออกและปล่อยก๊าซออกซิเจนกับอิเลคทรอไลท์บางส่วนออกมา เนื่องจากเมื่ออิเลคทรอไลท์สูญเสียออกมาจากเซลแล้ว ก็ไม่สามารถเติมกลับเข้าไปใหม่ได้ ดังนั้น ความจุของเซลจะลดลงอย่างถาวรก็คือ เซลนั้นจะมีความจุน้อยลงตลอดไป


3.การประจุอย่างเร่งด่วน (Super – Fast Recharging)

มีบางกรณีที่ผู้ใช้ต้องการที่จะประจุเซลภายในเวลาเพียง 2 – 3 นาที ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินเล็กที่ใช้แบตเตอรี่เป็นตัวจ่ายกำลังจะต้องการการประจุเซลที่หมดประจุ เพื่อที่จะนำเครื่องบินนี้ บินขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
มันเป็นไปได้ที่จะประจุเซลอย่างเร่งด่วน ด้วยอัตราการประจุถึง 4C (4 เท่าของความจุ) หรือมากกว่านี้ โดยวิธีการต่อไปนี้ คือวัดแรงดันของเซลและตัดกระแสที่ใช้ประจุออก เมื่อแรงดันของเซลขึ้นสูงถึงค่าที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตามมีวิธีการที่ง่ายกว่า แล้วก็เที่ยงตรงด้วย โดยจากหลักความจริงที่ว่าเซลได้หมดประจุอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะพยายามทำการประจุมันใหม่ ให้ประจุไฟเข้าโดยกำหนดค่ากระแสประจุคงที่ไว้ใช้เวลาในการประจุตามที่ต้องการ เช่นหลังจากเซลหมดประจุแล้ว กระแสที่ใช้ในการประจุขนาด 3C (3 เท่าของความจุ) จะถูกป้อนเป็นเวลา 20 นาที หรือจะใช้กระแสในการประจุเป็น 5C (5 เท่าของความจุ) ป้อนเข้าไปเป็นเวลา 12 นาที เป็นต้น แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่ดี เช่น สำหรับนักเล่นเครื่องบินจำลองที่มีเพียงแหล่งจ่ายไฟเป็นเพียงแบตเตอรี่รถยนต์ก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่ควรระวังไว้ เนื่องจากการประจุมากเกินไปเพียง 2 – 3 วินาที อาจจะทำให้เกิดการรั่วของเซลได้ กล่าวย่อๆ ก็คือ เมื่อจะใช้วิธีการนี้เซลจะต้องหมดประจุอย่างเต็มที่ และใช้กระแสในการประจุค่าที่แน่นอนเป็นระยะเวลาที่ถูกต้อง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 157.95.211.201 ศุกร์, 10/12/2553 เวลา : 18:06  IP : 157.95.211.201   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224821

คำตอบที่ 48
       คุณรู้มั้ยว่าควรเติมลมยางเท่าไหร่
หลายท่านสงสัยว่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์นั้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ ควรใช้แรงม้าหรือน้ำหนักรถเป็นเกณฑ์วัด
มาใส่ใจกับการสูบลมยางให้ถูกวิธี วันนี้เรามีสิ่งจำเป็นที่ควรปฏิบัติตามมาฝาก

ข้อควรปฏิบัติ

ควรตรวจเช็กลมยาง และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ

ในกรณีของยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้

ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ

เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา

สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็กลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน

หากขับรถที่ความเร็วสูง ควรเติมลมมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ จะช่วยลดการบิดตัวของโครงยาง ทำให้เกิดความร้อนน้อยลง หรืออาจใช้การสังเกตุ จากที่ใช้งานทุกวัน และความชอบของผู้ขับรถเป็นเกณฑ์ โดยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยของความดันลมยางของรถเก๋ง จะประมาณ 28-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนรถกระบะ จะประมาณ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว (ขับขี่ทั่วไปไม่บรรทุกหนัก)

อย่างไรก็ตาม ในการตรวจเช็กและปรับแต่งลมยางนั้น ให้ทำเมื่อยางอยู่ในสภาพเย็น หรือทำในตอนเช้าก่อนใช้งาน ด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน อันเดียวกันเท่านั้น จึงจะได้ค่าแรงดันลมยางที่ถูกต้อง หมั่นตรวจเช็กลมยางสม่ำเสมอ ประมาณสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทาง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 157.95.211.201 เสาร์, 11/12/2553 เวลา : 09:13  IP : 157.95.211.201   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224834

คำตอบที่ 49
       แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง

หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง

บางคนรู้สึกยางอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา


เดินทางไกล เติมแรงดันลมเพิ่ม

ควรเติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนอันเนื่องมาจากการบิดตัวของแก้มยาง อาจตรงข้ามกับความคิด ที่ผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและแรงดันเพิ่มขึ้นจากหลักการของก๊าชอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดัน ลมยางจากปกติ ซึ่งไม่ถูกต้อง หากมีการลดแรงดันลมยางต่ำกว่าค่าแรงดันลมยางปกติในการเดินทางไกล โครงสร้างของยางมีโอกาสการเสียรูปสูง อันเนื่องมาจากการบิดตัวของ แก้มยางต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และทำให้อุณหภูมิของยางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสการเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิดได้ นอกจากนี้ยังทำให้ยางมีอายุการใช้งานสั้นลงมากอีกด้วย

วิธีที่ถูกต้อง คือ เมื่อเดินทางไกล ควรเติมลมยางมากกว่าปกติ 2-3ปอนด์/ตารางนิ้ว แรงดันลมที่เพิ่มขึ้นจะช่วยต้านการบิดตัวของแก้มยางน้อยลง ทำให้ไม่เกิดความร้อนมากเกินไปขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิด

**เมื่อเสร็จจากการเดินไกลแล้ว ก็ควรลดแรงดันลมยางมาเป็นแรงดันลมปกติ**


ยางอะไหล่ต้องพร้อม
ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้ว เมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 113.53.44.160 เสาร์, 11/12/2553 เวลา : 09:46  IP : 113.53.44.160   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224836

คำตอบที่ 50
       ในยุคที่น้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ใช้รถหลายๆ ท่านได้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG และ NGV กันมากขึ้นตามลำดับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ยังคงใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่เหมือนเดิม โดยมีเหตุผลต่างๆ นาๆ เช่น ใช้ก๊าซอันตราย, ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูง, สถานีบริการมีน้อย, กลัวว่าเครื่องยนต์มีปัญหา และอื่นๆ เป็นต้น

หลายๆหน่วยงานได้มีการรณรงค์ให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงก็มีอยู่ไม่น้อย และได้แนะนำวิธีการต่างๆ ที่เห็นอยู่ตามสื่อทั่วไป แต่ถึงกระนั้น ก็มิได้กล่าวถึงว่า “การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้” ถึงแม้จะประหยัดได้เพียงนิดหน่อย ก็ขึ้นชื่อว่าประหยัดใช่ไหมครับ

น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนถ่าย หรือ บำรุงรักษาตามระยะทางที่กำหนดอยู่แล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายใหม่ในแต่ละครั้ง ผู้ขับขี่จะรับรู้ได้ตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ ขณะติดเครื่องใหม่ถ้าสังเกตไฟเตือน (รูปกาน้ำมันเครื่องสีแดง) จะดับอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนั้นจะดับค่อนข้างช้า นอกจากนั้นผู้ขับขี่จะมีความรู้สึกว่า เครื่องยนต์มีการทำงานเงียบขึ้นและเครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น ลื่นขึ้น ดังนั้น เครื่องยนต์จึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้ยาวนาน และยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้

ประหยัดได้จริงหรือ ?

จริง เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงาน กลไกต่างๆ ที่เคลื่อนที่ภายในเครื่องยนต์ต่างทำงานได้สะดวกขึ้น (ลื่นขึ้น) ทำให้การตอบสนองจากการจุดระเบิด มีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเต็มประสิทธิภาพ ตรงนี้เองเมื่อเครื่องยนต์ทำงานดี มีการสูญเสียกำลังงานน้อย ก็จะได้กำลังงานมากขึ้นและเร็วขึ้น ถึงแม้ไม่สามารถชี้วัดออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่ผู้ขับขี่จะได้รับความรู้สึกว่า ขับรถยนต์ได้ระยะทางที่มากขึ้น หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องมา เมื่อเป็นดังนี้ ความประหยัดก็จะเกิดขึ้นนั่นเอง

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในแต่ละครั้ง นอกจากจะเป็นผลดีต่อเครื่องยนต์โดยตรงแล้ว ท่านยังสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง อาจจะมีบางท่านสงสัยว่า จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเท่าไหร่ถึงจะ “ดีที่สุด” ข้อมูลส่วนนี้ท่านสามารถศึกษาได้จากคู่มือการใช้รถยนต์ของท่าน ตามที่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หากท่านไม่มีคู่มือดังกล่าว ท่านยังสามารถทำความเข้าใจในบทความของเราได้ ในหมวด “การใช้รถ” ลำดับที่ 2 ในหัวข้อ “เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อใดดี”

* ความประหยัดดังที่กล่าวมา ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เป็นเพียงความรู้สึกของผู้ขับขี่เท่านั้น อย่างไรแล้ว การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมีด้วยกันหลายปัจจัยขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษาของแต่ละท่านครับ การเลือกใช้ประเภทของน้ำมันเครื่อง ก็มีส่วนที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติไปจากเดิมได้เช่นเดียวกันครับ
น้ำมันเครื่องใหม่ ใช้ดีแน่


 แก้ไขเมื่อ : 11/12/2553 9:56:02



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 113.53.44.160 เสาร์, 11/12/2553 เวลา : 09:54  IP : 113.53.44.160   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224837

คำตอบที่ 51
       รถยนต์ที่สามารถวิ่งอยู่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์นั้น

ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์มีความสำคัญยิ่งทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ระบบช่วงล่าง และยาง รถยนต์

แต่วันนี้เราจะขอพูดเรื่องของยางรถยนต์ และวิธีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า ที่เราสวมใส่ ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาจจะทำให้ผู้ใส่เกิดอาการเจ็บเท้าหรือเดินไม่ถนัด ทำให้เสียบุคลิกในการเดินได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะยางรถยนต์จะต้องหมุนไปตลอด เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ยางรถยนต์ทำหน้าที่ รองรับน้ำหนักรถ และน้ำหนักบรรทุก ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ทำหน้าที่ส่งแรงม้าจากเครื่องยนต์ สู่พื้นผิวถนนและยึดเกาะถนนในการเข้าโค้ง ยางรถยนต์ จะมีประโยชน์และให้สมรรถนะสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับ การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย การตรวจยางในชั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็คือ เรื่องการวัดลมยางหรือการสูบลมยาง สาเหตุที่ต้องวัด หรือสูบ หรือเติมลมยางเข้าไปเนื่องจาก ยางรถยนต์ของรถแต่ละประเภท แรงดันของลมในยาง จะไม่เท่ากันซึ่งต้องดูถึงสภาพของรถที่ท่านใช้ด้วย อย่างเช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ ส่วนยางของรถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดของยาง และจำนวนชั้นของผ้าใบ ถ้ายางที่มีจำนวนชั้นผ้าใบน้อย ถ้าเติมลมมากไป อาจจะทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้
ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์

1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai TCT.225 113.53.44.160 เสาร์, 11/12/2553 เวลา : 09:57  IP : 113.53.44.160   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 224838

คำตอบที่ 52
       เตียมรถให้พร้อมกันนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tct225 จาก Kai CLUB 100 180.180.163.27 พฤหัสบดี, 27/1/2554 เวลา : 06:56  IP : 180.180.163.27   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 225621

คำตอบที่ 53
       ใกล้สงการนต์แล้วเตรียมรถให้พร้อมครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TCT225 จาก kai Club 100 101.108.203.69 ศุกร์, 8/4/2554 เวลา : 06:57  IP : 101.108.203.69   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 227193

คำตอบที่ 54
       อย่าลืมนะครับ
1ตรวจเงินในกระเป๋า
2ตรวจคนที่บ้าน(อยากไปด้วยไหม)
3ตรวจว่าที่ ที่จะไปน้ำท่วม แผ่นดินไหวหรือเปล่า (อินเทรน) หน่อย
4ตรวจตัวเองด้วยว่าพร้อมหรือเปล่าที่จะไปดู "รถติด"
5ขอให้สนุกกับ สงกรานต์ ปีนี้นางสงกรานต์มือซ้ายถือปืนนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

pongtct052 จาก PONG Club 100 115.87.47.254 ศุกร์, 8/4/2554 เวลา : 18:13  IP : 115.87.47.254   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 227200

คำตอบที่ 55
       เผยปฏิทินหลวงนางสงกรานต์ปี 54 ชื่อ ‘กิริณีเทวี’ นั่งหลังช้าง หัตถ์ขวาจับตะขอ ด้านซ้ายถือปืน พยากรณ์ปีนี้ดุ เกิดเหตุเภทภัยทั่วประเทศ ประชาชนเจ็บไข้ วัวควายล้มตาย ทหารมีชัย อาหารบริบูรณ์ นาคให้น้ำ 5 ตัว…

นางสงกรานต์กิริณีเทวี วันพฤหัสบดี
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ปฏิทินหลวงวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2554 สงกรานต์ปีใหม่ไทยนี้ ตรงกับปีเถาะ นางสงกรานต์ มีนามว่า ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่ว งา พระหัตถ์ขวาทรงขอ พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะ วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 เวลา 13 นาฬิกา 25 นาที 25 วินาที วันที่ 16 เมษายน เวลา 17 นาฬิกา 31 นาที 12 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1373
น.ส.ทัศชล กล่าวต่อว่า วันศุกร์เป็นธงชัยและอธิบดี วันพฤหัสบดี เป็นอุบาทว์ วันอาทิตย์เป็นโลกาวินาศ น้ำฝนปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 600 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 60 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 240 ห่า นาคให้น้ำ 5 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปถวี (ดิน) น้ำงามพอดี
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ สวธ. กล่าวอีกว่า จากคำประกาศสงกรานต์ดังกล่าว จะตรงกับคำทำนายและความเชื่อคนโบราณ ซึ่งจากหนังสือตรุษสงกรานต์ของนายสมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2553 ได้กล่าวถึงความเชื่อ เกี่ยวเนื่องนางสงกรานต์เสด็จนั่งมาบนหลังช้าง วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพฤหัสบดี วันเนาตรงกับวันศุกร์ และ วันเถลิงศกตรงกับวันเสาร์ รวมคำทำนายว่า จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย และเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ นอกจากนี้ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่และเจ้านาย แร้งกาจะเป็นโรคสัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แต่แม่หม้ายจะมีลาภ และบรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ส่วนคำทำนายของล้านนาบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกเสมอต้นเสมอปลายชอบตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันอาทิตย์มีโชค
“จากคำทำนายค่อนข้างออกไปร้ายมากกว่าดี แต่นางสงกรานต์กิริณีเทวี นั่งมาบนหลังช้าง ซึ่งถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่เป็นมงคลจะช่วยขับไล่สิ่งร้ายๆ ให้ออกไป และยังทัดดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์อยู่บนสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อว่าจะช่วยพ้นวิกฤติจากหนักเป็นเบา เมื่อรวมกับภักษาหารที่เป็นถั่วงา ทางพืชผลข้าวปลาอาหารยังมีความสมบูรณ์อยู่ ส่วนคำทำนายที่ว่าทหารจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็น่าจะแสดงถึงความสงบสุขของบ้านเมืองในปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตามคำทำนายดังกล่าวมาจากตำราตรุษสงกรานต์” น.ส.ทัศชล กล่าว
เผยปฏิทินหลวงนางสงกรานต์ปี 54 ชื่อ ‘กิริณีเทวี’ นั่งหลังช้าง หัตถ์ขวาจับตะขอ ด้านซ้ายถือปืน พยากรณ์ปีนี้ดุ เกิดเหตุเภทภัยทั่วประเทศ ประชาชนเจ็บไข้ วัวควายล้มตาย ทหารมีชัย อาหารบริบูรณ์ นาคให้น้ำ 5 ตัว…
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ปฏิทินหลวงวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2554 สงกรานต์ปีใหม่ไทยนี้ ตรงกับปีเถาะ นางสงกรานต์ มีนามว่า ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่ว งา พระหัตถ์ขวาทรงขอ พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะ วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 เวลา 13 นาฬิกา 25 นาที 25 วินาที วันที่ 16 เมษายน เวลา 17 นาฬิกา 31 นาที 12 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1373
น.ส.ทัศชล กล่าวต่อว่า วันศุกร์เป็นธงชัยและอธิบดี วันพฤหัสบดี เป็นอุบาทว์ วันอาทิตย์เป็นโลกาวินาศ น้ำฝนปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 600 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 60 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 240 ห่า นาคให้น้ำ 5 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปถวี (ดิน) น้ำงามพอดี
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ สวธ. กล่าวอีกว่า จากคำประกาศสงกรานต์ดังกล่าว จะตรงกับคำทำนายและความเชื่อคนโบราณ ซึ่งจากหนังสือตรุษสงกรานต์ของนายสมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2553 ได้กล่าวถึงความเชื่อ เกี่ยวเนื่องนางสงกรานต์เสด็จนั่งมาบนหลังช้าง วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพฤหัสบดี วันเนาตรงกับวันศุกร์ และ วันเถลิงศกตรงกับวันเสาร์ รวมคำทำนายว่า จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย และเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ นอกจากนี้ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่และเจ้านาย แร้งกาจะเป็นโรคสัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แต่แม่หม้ายจะมีลาภ และบรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ส่วนคำทำนายของล้านนาบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกเสมอต้นเสมอปลายชอบตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันอาทิตย์มีโชค
“จากคำทำนายค่อนข้างออกไปร้ายมากกว่าดี แต่นางสงกรานต์กิริณีเทวี นั่งมาบนหลังช้าง ซึ่งถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่เป็นมงคลจะช่วยขับไล่สิ่งร้ายๆ ให้ออกไป และยังทัดดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์อยู่บนสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อว่าจะช่วยพ้นวิกฤติจากหนักเป็นเบา เมื่อรวมกับภักษาหารที่เป็นถั่วงา ทางพืชผลข้าวปลาอาหารยังมีความสมบูรณ์อยู่ ส่วนคำทำนายที่ว่าทหารจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็น่าจะแสดงถึงความสงบสุขของบ้านเมืองในปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตามคำทำนายดังกล่าวมาจากตำราตรุษสงกรานต์”






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TCT225 จาก kai Club 100 125.26.88.27 ศุกร์, 8/4/2554 เวลา : 20:08  IP : 125.26.88.27   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 227201

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,18 ธันวาคม 2567 (Online 10079 คน)