คำตอบที่ 121
ปฏิบัติการพลีชีพที่บ้านหมากแข้ง
บันทึกความทรงจำของ พล.ต.ต.เขมณัส(มนัส) สุขเจริญ
อดีต..หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(หน.นปพ.)
กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย(พ.ศ.2514-2516)
อดีต..ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี(พ.ศ.2547-2549)
-1-
หมากแข้ง ชื่อนี้เป็นชื่อที่นิยมตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านและตำบลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และบ้านหมากแข้งในความทรงจำของข้าพเจ้านี้ก็เป็นหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในเขตพื้นที่ ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตข้าพเจ้าใด้เข้าไปผูกพันและเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤติถึงขั้นปฏิบัติการพลีชีพเพื่อชาติของตำรวจชุดเล็กๆชุดหนึ่งในสมรภูมิสู้รบภายในประเทศบนความขัดแย้งทางลัทธิอุดมการณ์การปกครองของไทยในอดีต
ปฏิบัติการพลีชีพครั้งนั้นได้บังเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2515 เวลาประมาณ 02.00น. ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.)ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วซึ่งซ่องสุมกำลังอยู่บริเวณเทือกเขาภูลมโล ภูขี้เถ้า ภูหินร่องกล้า กำลังประมาณ 200 คนได้เข้าปิดล้อมโจมตีฐานปฏิบัติการบ้านหมากแข้ง ซึ่งเป็นฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(นปพ.)ของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ซึ่งมีข้าพเจ้า ร.ต.ท.มนัส สุขเจริญ หน.นปพ.เป็นผบ.ฐานพร้อมกำลังตำรวจนปพ.รวม 15 นายอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ผกค.ได้ระดมยิงโจมตีอย่างรุนแรงด้วยระเบิดอาร์พีจีอาวุธปืนอาก้าและระเบิดขว้าง เป็นเหตุให้ตำรวจนปพ.เสียชีวิต 7 นายและได้รับบาดเจ็บสาหัสรวม 8 นาย สำหรับผู้ที่ต้องพลีชีพประกอบด้วย พลฯสุรสีห์ แสนทวีสุข, พลฯศิริเดช ชนะกาญจน์, พลฯเสถียร ไชยโสต, พลฯชัยสิทธิ์ ธนศรีรังกูล, พลฯสุชาติ มาแสนจันทร์, พลฯวีระ ทาแก้ว และพลฯอุเทน ชูทิพย์ ส่วนข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้พร้อมกับผู้ร่วมงานอีก 7 คน คือ ส.ต.ต.สัมภาษณ์ เวียงพล, ส.ต.ต.วิเชียร ไพรสุวรรณ, ส.ต.ท.ทองหลาง ประเสริฐ, พลฯพลเตียง เกตแก้วเกลี้ยง, พลฯมูละ อินพินิจ, พลฯอุไร จันทะฟอง และ พลฯกิตทอง อินทร์พิทักษ์
ข้าพเจ้ากับพวกที่เหลือ รอดชีวิตมาได้อย่างไรในสถานการณ์สู้รบที่รวดเร็วรุนแรงอย่างนั้น จะได้กล่าวถึงในบันทึกความทรงจำบทต่อไป
-2-
สถานการณ์การสู้รบภายในประเทศในห้วงระยะเวลานั้น นับแต่วันเสียงปืนแตกที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ในปีพ.ศ.2508 ประเทศไทยมีความขัดแย้งในอุดมการณ์ลัทธิการปกครอง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)ได้ก่อตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์นอกประเทศ ได้มีการปลุกระดมมวลชนซ่องสุมกำลังเพื่อยึดอำนาจการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ในแนวทาง ป่าล้อมบ้าน บ้านล้อมเมือง เมืองล้อมนคร เพื่อบรรลุเป้าหมายชัยชนะของเขา ดังนั้นกำลังของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.)ส่วนใหญ่จึงตั้งฐานที่มั่นอยู่ในป่าและเทือกเขาซับซ้อนเป็นรอยต่อเขตการปกครองระหว่างจังหวัด เพื่อยากแก่การเข้าค้นหาปราบปรามของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐบาล
พื้นที่ปฏิบัติการที่สำคัญ จะอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) เพราะมีลักษณะเกื้อกูลดังกล่าวแล้ว และพื้นที่ปฏิบัติการสู้รบที่มีชื่อเสียงเป็นที่จดจำกล่าวขานจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ พื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดเชื่อมโยงภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือจังหวัดเลย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ได้แก่พื้นที่อำเภอด่านซ้าย ภูเรือ และนาแห้วของจังหวัดเลย อำเภอนครไทยของจังหวัดพิษณุโลก อำเภอหล่มสัก หล่มเก่าและเขาค้อของจังหวัดเพชรบูรณ์ พวกเราคงจดจำกันได้ถึงพื้นที่สู้รบที่หลั่งเลือดและฝั่งร่างของพี่น้องคนไทยจำนวนไม่น้อย นับแต่ภูลมโล ภูขี้เถ้า ภูหินร่องกล้า ป่ายาบ ภูทับเบิก ภูแผงม้า ภูสามหมื่น ถ้ำเสา และเขาค้อ ซึ่งในปัจจุบันหลังจากการสู้รบยุติลง ได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงให้ลูกหลานได้ไปเที่ยวชม และเล่าขานถึงตำนานการสู้รบของนักรบวีรชนคนกล้าในอดีตมิรู้ลืม
ฐานปฏิบัติการบ้านหมากแข้ง เริ่มต้นจากการเป็นฐานปฏิบัติการเล็กๆของตำรวจภูธรจังหวัดเลย โดยมี พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย์ ผู้กำกับการในขณะนั้นเป็นผู้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนภารกิจของฝ่ายทหาร และทำหน้าที่คุ้มครองหมู่บ้านเพื่อมิให้ผกค.เข้ามาแทรกซึมและยึดครอง ซึ่งหน่วยกำลังตำรวจที่ พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย์ ส่งไปปฏิบัติการจะมีหมวด นปพ.ของตำรวจภูธรจังหวัดเลย ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้ามีกำลังตำรวจนปพ. 50 นาย และมีตำรวจหมวดโจมตีของสภ.อ.ด่านซ้ายอีก 1 ชุด หมวดนปพ.จะแบ่งกำลังตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่บ้านห้วยมุ่น และบ้านหมากแข้ง หมวดโจมตีตั้งฐานอยู่ที่บ้านน้ำหมัน ซึ่งกำลังตำรวจทั้ง 3 ฐานนี้ สามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันได้ตามสถานการณ์และการปรับเปลี่ยนกำลังพล
พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย์ มีประวัติการสู้รบที่กล้าหาญมาก่อนในสมรภูมิภูขี้เถ้า จนได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญชั้น รามมาลาเข็มกล้ากลางสมร และมีสมญานามเรียกขานกันว่า อัศวินภูขี้เถ้า ท่านได้อบรมปลูกฝังปลุกเร้าให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติอย่างเต็มที่ ด้วยคำพูดสั้นๆประโยคหนึ่งว่า สู้ตายนะห้ามทิ้งฐานเด็ดขาด ข้าพเจ้ายังจำได้จนถึงทุกวันนี้ พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย์ คัดเลือกและเสนอแต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพราะเห็นว่าจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจซึ่งผ่านการฝึกภาคสนามมาแล้วคงต้องรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของ นรต.อย่างเต็มที่ ภารกิจของข้าพเจ้าและกำลังพลประจำฐานคือการคุ้มครองดูแลราษฎรในหมู่บ้าน การออกลาดตระเวณหาข่าวรอบฐานในรัศมี 1 กิโลเมตรทุกวัน ที่ตั้งฐานหมากแข้งอยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน ทางด้านตะวันออกจะเป็นเทือกเขาภูแผงม้าสูงทะมึน และทางตะวันตกเป็นเนินป่าช้าที่สูงข่มกับฐานพอดี
-3-
นาทีวิกฤต ระทึกขวัญ ระทึกใจ เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.00น.ของวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2515 ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดและหนาวเยือกเย็นของฤดูกาล...ข้าพเจ้านอนหลับอยู่ในเต็นท์ซึ่งขุดเป็นหลุมและมุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก รอบฐานสร้างเป็นกำแพงบังเกอร์ด้วยท่อนไม้ 2 แถวใส่ดินตรงกลางมีความสูงเกือบเท่าแนวไหล่ พ.ต.อ.กฤช ท่านสั่งให้ทำโดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันระเบิดอาร์พีจีของฝ่ายผกค. ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาเองเพราะเสียงวิทยุทรานซิสเตอร์ที่เปิดฟังก่อนนอนแล้วเผลอหลับไปโดยไม่ได้ปิด พอข้าพเจ้าเอื้อมมือไปหมุนสวิตซ์ปิดวิทยุ ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังตูมขึ้นอย่างรุนแรงมาก ด้วยจิตสำนึกและสัญชาติญาณ ข้าพเจ้ารู้ทันที่ว่าถูกโจมตีแล้วด้วยระเบิดอาร์พีจี ข้าพเจ้าคว้าอาวุธปืนประจำกายและสายซองกระสุนพุ่งตัวออกจากเต็นท์ทันที พอพ้นปากหลุมเสียงระเบิดลูกที่สองก็ดังขึ้นทางด้านซ้ายในขณะที่ข้าพเจ้าหมอบก้มพอดี สะเก็ดระเบิดเข้าที่แขนซ้าย ขาซ้าย หูซ้าย และใต้ตาขวา ตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นวิ่งเข้าประจำบังเกอร์แล้วพาดปืนยิงตอบโต้ ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงปืนคาร์บิน เอ็มทู(ปลย.87 บ.2)ที่ข้าพเจ้ายิงออกไปเลยเพราะเสียงปืนอาร์ก้าและระเบิดของผกค.ดังกลบหมด ขณะนั้นข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่าลืมพระเครื่องพวงใหญ่ที่ถอดจากคอไว้ที่หัวนอน พอคิดว่าจะวิ่งกลับเข้าไปเอาเหลียวมองไปที่เต็นท์ปรากฏว่าไฟได้ลุกไหม้ขึ้นอย่างรุนแรงเพราะหลังคาเป็นหญ้าแฝก และชั่วอึดใจเต็นท์ของข้าพเจ้าก็ระเบิดกระจายขึ้นอย่างรุนแรง เข้าใจว่าเป็นเพราะลังระเบิดสำรองที่ข้าพเจ้าเก็บไว้ในเต็นท์ด้วยและพวกผกค.คงรู้ว่าผบ.ฐานนอนอยู่ตรงไหน ข้าพเจ้าหันกลับไปยิงต่อสู้ขณะที่ไฟได้ไหม้ลุกลามไปติดเต็นท์อื่นๆ จนภายในฐานสว่างไปด้วยแสงไฟแต่ข้างนอกมืดสนิท ข้าพเจ้ายิงตอบโต้ไปทางแสงปืนอาร์ก้าที่ผกค.ยิงเข้ามาเท่านั้นเองโดยไม่เห็นตัวเลย ไม่อยากพูดถึงเลยว่ากระสุนปืนของข้าพเจ้าขัดลำกล้องด้วยต้องงัดลูกปืนออกแล้วกระชากลูกเลื่อนบรรจุกระสุนใหม่ พอยิงหมดแม็กกาซีนยังถอดแม็กเปล่าเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้เพราะเป็นของหลวงและเผื่อบรรจุใช้ใหม่ ขณะที่ข้าพเจ้ายังคงพาดปืนยิงตอบโต้อยู่นั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนวิ่งตึกๆมาทางด้านซ้ายเหลียวดูจำได้ว่าเป็นพลฯเสถียร ไชยโสต พลฯเสถียร ได้เข้ามายืนติดกับข้าพเจ้าและพาดปืนกับบังเกอร์ยิงตอบโต้ไปได้ชุดเดียว เขาก็หงายผลึ่งลงไปนอนพาดกับบาร์เบลที่ใช้ยกออกกำลังกาย เงียบสนิท ข้าพเจ้าก้มลงไปดูเขาและคิดในใจต่อมาว่า เหมือนเขามาตายแทนข้าพเจ้าแท้ๆ เพราะข้าพเจ้ายืนยิงอยู่ก่อนและตัวเขาเตี้ยกว่าข้าพเจ้ามากแค่ไหล่ของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง เขาเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าก่อนมาอยู่หมวดนปพ.กับข้าพเจ้า เขาออกลาดตระเวณกับชุดปฏิบัติการรุ่นก่อน ถูกผกค.ดักซุ่มโจมตีเขารอดตายมาเพราะกระสุนปืนข้ามศรีษะเขาไปถูกเพื่อนที่เดินตามหลังเสียชีวิต แต่คราวนี้เขาโชคไม่ดีพอ
ข้าพเจ้ายังคงยิงตอบโต้ที่บังเกอร์ที่เดิม ผกค.ระดมยิงและขว้างระเบิดใส่ จากแสงไฟที่ลุกไหม้ลามไปทั่วภายในฐาน ข้าพเจ้ามองเห็นกระทั่งผกค.ที่ชาร์ตเข้ามาประชิดบังเกอร์แล้วเหวี่ยงแขนขว้างระเบิดเข้ามาในฐานเป็นระเบิดขว้างของจีนแบบที่มีด้ามถือ ข้าพเจ้าคิดว่าจะออกไปทางช่องประตูด้านข้างยิงใส่ผกค.ที่เข้ามาประชิดแล้ววิ่งกลับเข้ามา แต่มาระแวงว่าพอวิ่งกลับเข้ามาจะถูกลูกน้องยิงด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นพวกผกค.บุกเข้ามา และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆพอข้าพเจ้าวิ่งไปตรวจดูทางด้านตะวันออกภูแผงม้าที่ไฟยังลามไปไม่ถึง เพื่อดูว่าลูกน้องมีใครเหลืออยู่บ้าง พบ ส.ต.ต.วิเชียร ส.ต.ต.สัมภาษณ์ และพลฯพลเตียง ต่างพูดว่า ผมเกือบยิงผู้หมวด นึกว่าเป็นพวกมันบุกเข้ามา ตอนนั้นสารรูปของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยฝุ่นดินที่ศรีษะและใบหน้ามีเลือดไหล พลฯพลเตียงเข้ามาพูดระล่ำระลักกับข้าพเจ้าว่า ผู้หมวดครับ เมื่อกี๊ผมถูกระเบิดกระเด็นเลย ผมไม่เป็นอะไรเลยครับ เมื่อเห็นผบ.ฐานยังอยู่ ขวัญและความกล้ากลับมาอย่างไรไม่รู้ ข้าพเจ้ากับลูกน้องช่วยกันตะโกนร้องว่า พวกเราสู้ตาย ยิงหวังผลไว้ ทั้งๆที่ตอนนั้นเห็นกันเพียง 4 คนเอง พลฯพลเตียง ตำรวจหนุ่มนิสัยเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงแต่ชอบเล่นคาราเต้เกิดความฮึกเหิม เขากระโดดข้ามบังเกอร์ออกไปนอกฐาน ขว้างระเบิดและยิงใส่ผกค.ที่บุกขึ้นมา แล้วกระโดดข้ามบังเกอร์กลับมาอีกผ้าขนหนูพาดคออยู่ก็ยังไม่หลุด นี่แหละที่เขาว่า สถานการณ์สร้างวีระบุรุษ ต่อมาพลเตียงก้าวหน้าได้เป็นนายตำรวจยศถึงพันตำรวจโท เขาเปลี่ยนชื่อเป็น พชรพล แต่พวกเราก็ยังคงเรียกเขาว่าพลเตียงเหมือนเดิม
นาทีสำคัญมาถึงเมื่อระเบิดลูกหนึ่งลอยผ่านแสงไฟเข้ามาตกลงใกล้ๆเสียงดังปั้ก แต่ละคนต่างร้องขึ้นว่า เฮ้ย หมอบหลบ ข้าพเจ้ากับพวกต่างพากันหมอบหลบลงคูเหรดที่ขุดไว้เดิมก่อนทำรั้วบังเกอร์ ส.ต.ต.สัมภาษณ์ เอาตัวลงคูเหรดทันแต่ขายังอยู่ข้างบน เขาจึงโดนระเบิดลูกนี้เข้าที่ขาอย่างจัง ข้าพเจ้าถามทุกคนว่า เฮ้ย เอายังไงว่ะ สู้ตายคาฐานมั้ย ส.ต.ต.สัมภาษณ์ บอกว่า ไม่ไหวแล้ว อยู่ก็ตายหมด ถอนตัวเถอะครับผู้หมวด ข้าพเจ้านึกถึงคำกำชับของผู้กำกับกฤชที่สั่งไว้ แต่ก็ต้องตัดสินใจถอนตัวออกจากฐาน นาทีสำคัญมาถึงอีกแล้ว จะออกไปอย่างไรถึงจะไม่ถูกยิงหรือถูกจับตัว ข้าพเจ้าตัดสินใจออกทางด้านภูแผงม้าซึ่งไม่ได้ยินเสียงแนวยิงของฝ่ายผกค. โชคดีเพราะมันวางกำลังเข้าตีแบบครึ่งวงกลมหรือรูปเกือกม้าทางด้านหมู่บ้านและเนินป่าช้า ข้าพเจ้ากับพวกกระโดดข้ามบังเกอร์แล้วคลานออกไปลอดรั้วลวดหนาม ลวดหนามเกี่ยวขาข้าพเจ้าไม่มีเวลาปลดกระชากอย่างแรงจนกางเกงขาดขาเป็นแผลเหวอะ แต่พอพ้นลวดหนามแค่ 2 วาก็ติดพงหนามไปไม่ได้ ใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ผู้หมวดครับ หนีเข้าหมู่บ้านเถอะ ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ไป เดี๋ยวไปเจอมันดักที่ทางลงหมู่บ้านแล้วมันจะปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้าน หมอบอยู่ที่นี่แหละ ข้าพเจ้ามีความคิดวูบขึ้นมาว่า เราจะหนีแบบวัวพันหลัก โดยศัตรูไม่คาดคิดว่าเราจะอยู่ตรงนี้ เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์ที่เคยเห็นมาก่อน เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นผบ.หมวด สภ.อ.เมืองเลย ก่อนที่จะมาเป็นหัวหน้านปพ. มี พ.ต.อ.สำราญ พงษ์สถิตย์ เป็นผู้กำกับการจังหวัด ข้าพเจ้าเป็นนายร้อยเวรสอบสวนคดีที่ผกค.ดักซุ่มยิง พ.ต.อ.สำราญ, นายอำเภอเมืองเลย และพันเอกทหาร ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้และเป็น รองผอ.รมน.จว.เลย เหตุเกิดที่ทางเข้าหมู่บ้านกอไร่ใหญ่ เขตอำเภอเมืองเลยในตอนหัวค่ำ ปรากฎว่านายอำเภอเมืองถูกยิงตายในที่เกิดเหตุ รองผอ.รมน.กับลูกน้องทหารคนหนึ่งหนีกลับเข้าไปในเมืองได้ แต่ พ.ต.อ.สำราญ หายตัวไปไม่มีใครพบเห็น ต่อมาวันรุ่งขึ้นทางจังหวัดนำกำลังเข้าไปเคลียร์พื้นที่จึงได้พบว่า พ.ต.อ.สำราญ ยังคงนอนหมอบมือกำดินอยู่ข้างทางในที่เกิดเหตุนั้นเอง มีปลอกกระสุนปืนอาร์ก้าตกเกลื่อนเต็มไม่หมด ท่านได้เล่าให้ฟังภายหลังว่า ท่านหมอบมือกำดินพร้อมกับอธิฐานว่า แม่ธรณี ช่วยลูกด้วย พวกผกค.เดินเฉียดผ่านท่านไปมาก็มองไม่เห็น ท่านจึงรอดชีวิตมาได้
เป็นอันว่าข้าพเจ้ากับลูกน้องรวม 4 คน หมอบนิ่งอยู่ข้างรั้วฐานนั้นเอง เสียงพวกผกค.เข้ายึดฐานไชโยโห่ร้อง สักพักหนึ่งก็มีแสงไฟฉายฉายกราดไล่มาตามแนวรั้วที่ข้าพเจ้ากับพวกหมอบอยู่ ข้าพเจ้าบอกกับลูกน้องว่าอยู่เฉยๆไม่ต้องยิง เว้นแต่แสงไฟฉายหยุดที่เราหรือฉายย้อนกลับมาแสดงว่ามันเห็นเรา แสงไฟฉายผ่านข้ามศรีษะข้าพเจ้าไปในขณะที่ข้าพเจ้าหมอบตะแคงพร้อมยิง วินาทีนั้นระทึกใจมากกว่าตอนยิงสู้อยู่ในฐานเสียอีก เพราะเราอยู่ในที่อับถ้ามันเห็นเราเราก็จบแน่นอน โชคดีอีกครั้งที่แสงไฟฉายผ่านไปเลยโดยไม่ฉายย้อนกลับมา และมันไม่ได้ยิงกราดเคลียร์พื้นที่แม้แต่นัดเดียว
ข้าพเจ้าคาดการณ์ตามยุทธวิธีของผกค.ว่า เมื่อเข้ายึดฐานมันจะต้องตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหลืออยู่ของฝ่ายเราและฝั่งระเบิดไว้ใต้ศพหรือภายในฐานและจากนั้นจะเข้าปิดล้อมหมู่บ้านตรวจค้นหาฝ่ายเราที่อาจหลบซ่อนอยู่รวมทั้งจับตัวผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นานผู้ใหญ่บ้านได้นำกำลังตำรวจนปพ.ชุดที่กลับลงไปพัก ซึ่งมี ส.ต.อ.วีระพล ประไชยโย รองผบ.หมวดนปพ.เป็นหัวหน้าบุกไปถึงหน้าถ้ำเสาซึ่งพวกผกค.แม้วแดงปลูกข้าวไร่ไว้กินและยิงพวกที่ออกมาเก็บเกี่ยวข้าวตายไปหลายคน เสร็จแล้วรีบถอนตัวถอยกลับมาที่ฐานรอดจากการไล่ติดตามและดักสกัดจากพวกผกค.อย่างหวุดหวิด สร้างความโกรธแค้นให้กับผกค.อย่างมาก นี่เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ผกค.ระดมกำลังเข้าโจมตีฐานหมากแข้งเพื่อแก้แค้นตอบโต้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นฐานแรกที่ถูกผกค.โจมตีในการเปิดยุทธการภูหินร่องกล้าในปี พ.ศ.2515
ข้าพเจ้ากับลูกน้องจึงหมอบนิ่งอยู่ที่เดิมข้างฐานนั้นเองไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหนเลย อย่างน้อยเราก็นึกปลอบใจตัวเองว่า เราสู้เต็มที่แล้วเราไม่ได้ทิ้งฐาน จากเวลาสองนาฬิกาเศษคืนนั้นจนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยงวันรุ่งขึ้น มีเสียงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาตรวจสอบฐานซึ่งยังคงมีควันคุกรุ่นอยู่ เราเริ่มดีใจคิดว่าฝ่ายเรามาช่วยแล้ว แต่แล้วก็มีเสียงปืนระดมยิงใส่ ฮ.จนต้องบินหลบกลับไปและไม่บินกลับมาอีกเลย จนเวลาประมาณบ่ายสองโมงมีเสียงชาวบ้านมาตะโกนร้องเรียกถามหาว่ามีเจ้าหน้าที่หลบซ่อนอยู่แถวนี้ไหม ข้าพเจ้าบอกลูกน้องว่าอย่าเพิ่งรีบร้องตอบ ฟังดูให้แน่ใจก่อนว่าชาวบ้านมาค้นหาเองโดยไม่มีผกค.ควบคุมมา เมื่อแน่ใจแล้วจึงร้องขานตอบ พวกชาวบ้านต้องใช้มีดถางป่าเข้ามาหาพวกเราแล้วพาพวกเราเข้าไปในหมู่บ้าน เอาข้าวเหนียวกับน้ำมาให้เรากิน จากการพูดคุยสอบถามเหตุการณ์จึงได้ทราบว่ากำลังผกค.ได้ถอนตัวไปแล้วแต่คาดว่ายังคุมเชิงอยู่ไม่ไกล ในคืนนั้นผกค.ได้เข้าไปในหมู่บ้านเต็มไปหมดค้นหาผู้ใหญ่บ้านหวังจับตัวไปจริงๆ เคราะห์ดีวันนั้นผู้ใหญ่บ้านไม่อยู่ลงไปประชุมที่อำเภอยังไม่ได้กลับขึ้นมาจึงรอดจากการถูกจับตัวไปได้
ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินเท้าเพื่อไปแจ้งเหตุที่ฐานห้วยมุ่นหรือฐานน้ำหมันเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีกำลังเข้าไปช่วยเหลือเมื่อใด จึงฝากให้ชาวบ้านนำตัว ส.ต.ต.สัมภาษณ์ ซึ่งถูกระเบิดที่ขาเดินไม่ไหว และพลฯมูละ ซึ่งถูกยิงที่ข้อมือบาดเจ็บมากไปซ่อนตัวไว้ก่อน ส่วนข้าพเจ้าพร้อมด้วย ส.ต.ต.วิเชียร พลฯพลเตียง และพลฯกิตทอง พากันเดินลัดเลาะไปตามป่าเขาโดยมีชาวบ้านที่เห็นใจ 2 คนอาสาเดินนำทางไป ต้องเดินหลบเส้นทางหลักที่ไปถึงบ้านห้วยมุ่น หลบทั้งกระสุนปืนใหญ่จากทหารปืนใหญ่ที่ฐานห้วยมุ่นซึ่งยิงเคลียร์พื้นที่ทุกคืน พออ่อนแรงก็หยุดพักนอนที่ซอกหลืบริมห้วยพอมีแรงก็ออกเดินต่อ ข้าพเจ้ากับพวกเดินไปถึงฐานบ้านน้ำหมันเวลาประมาณเที่ยงวันรุ่งขึ้น พ.ต.อ.กฤช ซึ่งขึ้นไปอยู่ที่ฐานห้วยมุ่นแล้วทราบข่าว ได้นำรถไปรับข้าพเจ้ากับพวกไปที่ฐานห้วยมุ่นทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วนำขึ้นฮ.ไปส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดเลย ฮ.ลำเลียงคนเจ็บคนตายไปส่งลงที่สนามหน้าหน่วย พตท. มีชาวจังหวัดเลยมาคอยรับเต็มไปหมด เป็นที่น่าสงสารภรรยาตำรวจที่มาคอยรับด้วยใจจดจ่อว่า สามีของตนจะบาดเจ็บรอดชีวิตหรือตาย แล้วเธอหลายคนก็ร่ำไห้เมื่อทราบข่าวร้าย
ข้าพเจ้าได้ทราบภายหลังว่า กำลังทหารตำรวจได้ร่วมกันเข้าไปกู้ยึดฐานหมากแข้งคืน พบศพตำรวจเสียชีวิตอยู่ภายในฐานและมีคนหนึ่งถูกยิงตายที่ทางเดินลงหมู่บ้านซึ่งถูกผกค.ที่วางกำลังขวางไว้ยิงเอาจริงตามที่ข้าพเจ้าคาดการณ์ไว้ ฝ่ายทหารได้ใช้เครื่องมือตรวจระเบิดเข้าไปตรวจหาระเบิดที่ผกค.ฝังไว้ภายในฐานเสร็จแล้วร้องบอกว่า ตำรวจเข้าไปเอาศพได้ พลฯมนัส อดทน(ชื่อเดียวกับข้าพเจ้าเลย) ซึ่งไปจากฐานห้วยมุ่นพร้อมกับ ร.ต.ท.ทวีศักดิ์ ศิวิลัย เพื่อนของข้าพเจ้าซึ่งทำหน้าที่ผบ.หมวดโจมตี ได้เดินเข้าไปที่ศพพอจะดึงออกมา ระเบิดก็ดังตูมขึ้นมา พลฯมนัส ทรุดตัวลงเพราะขาขาดเหนือหัวเข่าไปข้างหนึ่ง ร.ต.ท.ทวีศักดิ์ ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังกระเด็นไปอีกทาง พลฯมนัสมีความอดทนสมกับนามสกุลของเขาจริงๆ เขาบอกกับร.ต.ท.ทวีศักดิ์ ว่า ผู้หมวดช่วยเอาขาผมไปดูเป็นที่ระลึกด้วย เขาร้องเพลงปลอบใจตลอดเวลาขณะที่นอนมาในฮ.นำส่งโรงพยาบาล เขารอดชีวิตมาได้และใส่ขาเทียมทำงานตลอดมา จนมีอาการป่วยและเสียชีวิตที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอท่าลี่เมื่อปี พ.ศ.2549 ในงานศพที่เรียบง่ายของเขา ข้าพเจ้าตอนนั้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานีได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีฌาปนกิจ ภรรยาและบุตรสาวของเขาได้เข้ามากอดข้าพเจ้าและร้องไห้ จบตำนานนักรบตำรวจในอดีตไปอีกคนหนึ่ง ในงานศพวันนั้นข้าพเจ้าได้พบตำรวจเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายคน ต่างดีใจที่ได้พบกันอีก
ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ายังไม่ปรากฎตัวหลังเหตุการณ์ปะทะนั้น หนังสือพิมพ์รายวันพาดหัวข่าวใหญ่ว่า ผกค.โจมตีฐานปฏิบัติการหมากแข้ง ร.ต.ท.ผบ.ฐานหายตัวไปไม่ทราบชะตากรรม ส่วนมากเข้าใจว่าข้าพเจ้าต้องเสียชีวิตแล้วหรือไม่ก็ถูกผกค.จับตัวไป ส.ต.ท.ทองหลางกับพลฯอุไร ซึ่งขึ้นไปเปลี่ยนยามกันบนหอคอยตอนเวลาตีสอง ถูกระเบิดอาร์พีจีลูกแรกยิงใส่หอคอยทั้งสองคนตกลงมาจากหอคอย ได้เดินไปจนถึงฐานบ้านห้วยมุ่นแจ้งกับร.ต.ท.ทวีศักดิ์ ว่าข้าพเจ้าคงไม่รอดแล้วเพราะมองเห็นเต็นท์ของข้าพเจ้าระเบิดก่อนเพื่อน ร.ต.ท.ทวีศักดิ์ ถึงกับน้ำตาซึมและรำพึงในใจว่า เพื่อนเราไปเสียแล้ว สำหรับภรรยาของข้าพเจ้านั้นเธออายุยังน้อยพอภรรยาตำรวจวิ่งมาบอกเธอที่บ้านพักตำรวจนปพ.ว่า คุณนายๆ ฐานหมากแข้งแตกแล้ว เธอยังย้อนถามว่า อ้าว ทำไมมันถึงแตกล่ะ พอได้รับคำอธิบายว่าฐานแตกเพราะถูกผกค.โจมตี เธอจึงรู้สึกตกใจเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว เอาเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามากองไว้รอบตัวเต็มไปหมด คุณแม่ของเธอแอบเอาปืนพกของข้าพเจ้าไปซ่อนไว้ กลัวว่าเธอจะฆ่าตัวตายถ้าทราบข่าวว่าข้าพเจ้าตาย แต่ข้าพเจ้าก็ได้รอดชีวิตมาแล้ว แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกสะเก็ดระเบิดและเสียงระเบิดทำให้แก้วหูทะลุ ข้าพเจ้าต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดเลยและโรงพยาบาลตำรวจนานเดือนกว่า เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว ข้าพเจ้ายังคงกลับไปปฏิบัติหน้าที่นปพ.ในพื้นที่เดิมต่อไปอีกจนถึงปลายปี พ.ศ.2516 จึงได้รับแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งที่อื่น และรับราชการวนเวียนอยู่หลายจังหวัดในภาคอีสานจนครบเกษียณอายุราชการในที่สุด
-4-
ข้าพเจ้าเพิ่งจะบันทึกความทรงจำนี้เป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2553 นี้เอง และเขียนเสร็จในวันเดียวเพราะได้ทราบข่าวจากเพื่อนตำรวจนปพ.ที่จังหวัดเลยว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะเสด็จไปทรงเปิดอนุสรณ์สถานที่บ้านหมากแข้ง ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินการสร้างเสร็จแล้ว และทางทหารต้องการทราบข้อมูลของฝ่ายตำรวจที่อยู่ร่วมปฏิบัติงานกันมา ข้าพเจ้าจึงรีบเขียนบันทึกนี้ส่งไปให้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานถึง 38 ปีแล้ว แต่ความทรงจำยังคงตราตรึงบันทึกอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าตลอดมามิรู้ลืม ถึงจะลงมือเขียนในวันใดเวลาใด ก็ยังคงเขียนได้เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน และสิ่งที่สำคัญที่สุดอันเป็นข้อคิด เป็นคติเตือนใจเราตลอดมาก็คือ ความมีสติ รอบคอบใช้ปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์ ทำให้เรารอดชีวิตมาได้ สมดังคำพระราชนิพนธ์ กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสมร
ขอไว้อาลัยแด่ดวงวิญญาณของเพื่อนตำรวจทุกคนที่พลีชีพในการปฏิบัติการครั้งนี้ ด้วยจิตคารวะและระลึกถึงตลอดไป.
พล.ต.ต.เขมณัส(มนัส) สุขเจริญ
5 มีนาคม 2553
---------------------------------
แก้ไขเมื่อ : 27/1/2557 19:03:23
แก้ไขเมื่อ : 27/1/2557 19:10:21
แก้ไขเมื่อ : 27/1/2557 20:09:38
แก้ไขเมื่อ : 30/1/2557 21:31:07
แก้ไขเมื่อ : 11/2/2557 22:03:57
แก้ไขเมื่อ : 11/2/2557 22:11:59