คำตอบที่ 1
จากคำพูดของพ่อ ที่พ่อเคยพูดให้ฟังบ่อยๆ ในเรื่องราวเก่าๆที่พ่อประทับใจที่สุดในชีวิตราชการของพ่อ คือพ่อคือคนหนึ่งในหลายๆคนที่เคยผ่านการรบ การทำสงครามกับ ผกค. ในยุคแรกๆ เมื่อปี พ.ศ.2511 ที่เขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ (พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-เลย) ใช้กำลังจาก พลเรือน ตำรวจ ทหาร ร่วมกันเรียกย่อๆว่า (พตท) พ่อคือ ตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษ(นปพ)สังกัด เขต 4 เมื่อ เดือน พฤศจิกายน 2511 หน่วยของพ่อ( นปพ เขต 4 จำนวน 135 นาย)ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าช่วยเหลือ ตํารวจตระเวนชายแดน ที่ถูกปิดล้อมที่บ้านแม้วภูขี้เถ้า โดยนั่งรถยนต์จาก อ.ด่านซ้าย จ.เลย มาลงที่บ้านห้วยมุ่น แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์จากบ้านห้วยมุ่นมาลงที่บ้านป่ายาบ โดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ ก็ยิงปะทะกันเลย แล้วก็บุกตีภูขี้เถ้าต่อ เมื่อทางเราบุกยึดภูขี้เถ้าได้แล้ว พ่อก็ต้องพบกับศพของตำรวจตระเวนชายแดนที่ถูกแ้ม้วแดงปิดล้อมไว้ถูกยิงเสียชีวิตที่ข้างรถแทรกเตอร์(คนบ้านเดียวกับพ่อ อ.บ้านไผ่ ชื่อ สมนึก เกศรี ตชด.รุ่นพี่ มีรายชื่อถูกสลักไว้ที่อนุสรณ์เขาค้อ) พ่อรู้สึกเศร้าใจ และที่ภูขี้เถ้า มีเฮลิคอปเตอร์ถูกยิงไม่สามารถบินขึ้นไปได้จอดอยู่ กับรถแทรกเตอร์ที่ถูกเผา(รถแทรกเตอร์ ที่ใช้สร้างทางถูกยึดมา) พ่อได้ขุดหลุมนอนที่ใต้รถแทรกเตอร์ เครื่องบินสนับสนุนของฝ่ายเราก็มาทิ้งระเบิด รอบๆบริเวณเพื่อทำลายฐานที่ตั้งของ ผกค. พ่อบอกว่าเป็นระเบิดไฟ เขาเรียกว่าระเบิดนาปาม พ่อบอกว่าได้ปักหลักอยู่บนภูขี้เถ้าเป็นเดือน หลังจากตีภูขี้เถ้าได้แล้วได้รับภาระกิจให้ปลดธงแดงของ ผกค. ที่ปักบนยอดเขาภูลมโลที่ห่างจากภูขี้เถ้าออกไปอีกเมื่อทำการบุกยึดภูลมโลได้แล้วปลดธงแดงของ ผกค.ลง และได้ตั้งฐานบนยอดเขาภูลมโล บนยอดเขาภูลมโลพื้นที่เป็นแอ่งตอนที่พ่อขึ้นไปมีต้นฝิ่นด้วย ดอกฝิ่นสวยงามมาก และที่ยอดเขาภูลมโลแห่งนี้พ่อบอกว่าพ่อได้ลองสูบฝิ่นดิบ ยอดเขานี้สูงมาก อากาศหนาวจัดเวลากลางคืน กลางวันเวลาก้อนเมฆลอยปะทะยอดภูลมโลจะมืดจนมองไม่เห็นกันเลย พ่อและคณะได้อยู่บนยอดภูลมโลเป็นเดือน และต่อมาก็ได้รับคำสั่งจากวิทยุให้ทำภาระกิจต่อไปคือ เก็บกู้ค้นหาศพตำรวจพลร่มที่บ้านร่องกล้า ชุดตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษของพ่อก็เดินทางต่อจากภูลมโลไปที่บ้านร่องกล้า ที่บ้านร่องกล้าแห่งนี้พ่อบอกว่าตำรวจพลร่มตายเป็นสิบและเพื่อนตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษของพ่ออีกคนก็ต้องมาตายที่บ้านร่องกล้า(สมบัติ หมื่นจร มีรายชื่อถูกสลักไว้ที่อนุสรณ์เขาค้อ) และมีเพื่อนพ่ออีก 2 คนที่ตกหลุมขวากของแม้วแดง โดนไม้แทงทะลุขา (เสรี เหล็กยัง . สุเทพ นาสมตึก) พ่อบอกว่าตำรวจพลร่มบางคนถูกยิงไม่ตายแต่หนีไม่ได้ หนีไม่้ทัน ถูกแม้วแดงเอามีดฟันที่หน้าที่ปากต้องตายอย่างทรมาน หลายๆศพนอนแช่น้ำตายอยู่ในลำห้วยบ้านร่องกล้า เดินทางมาเก็บกู้ค้นหาเมื่อเห็นศพแล้วหดหู่ใจมาก มีเฮลิคอปเตอร์มาลำเลียงศพออกไป และยังมีอยู่ 1 คนที่ศพยังค้นหาไม่เจอศพหายสาบสูญจนกระทั่งปัจจุบัน สุดท้ายจากบ้านร่องกล้าเดินทางเข้าสู่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ระหว่างเข้า อ.นครไทย ชาว อ.นครไทย จัดโต๊ะอาหารคาวหวานเป็นแถวยาวเหยียดเลี้ยงต้อนรับ คณะตำรวจ ทหาร ที่เข้าปฎิบัติการในครั้งนี้ เมื่อมาถึงอ.นครไทย ก็มีรถมารับไปพักที่สนามบินหล่มสัก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ภาระกิจครั้งนี้ใช้วิธีเดินเท้าจากบ้านแม้วป่ายาบ ภูขี้เถ้า ภูลมโล บ้านร่องกล้าเข้าอ.นครไทย เดินจนรองเท้าจังเกิ้ลฟัง ปากอ้าต้องใช้เชือกกล้วยมัดเอาไว้หลายๆเส้น ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พ่อใช้ประจำกาย คือ ปืน ปลย 88 (พ่อบอกว่าหนักเอาการเลย ) ป่าแถวนี้เมื่อก่อนเป็นป่าดงดิบ ต้นไม้เยอะมากแต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเขาหัวโล้น ยังดีที่บนยอดเขาภูลมโลมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่แต่ไม่เยอะเหมือนแต่ก่อน ***เรื่องราวที่เล่ามาครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเสี้ยวประวัติศาสตร์บนสมรภูมิรบ บ้านป่ายาบ บ้านแม้วภูขี้เถ้า ภูลมโล ภูร่องกล้า เพื่อสดุดีความกล้าของเหล่าผู้กล้าที่เสียสละความสุขส่วนตัว เสียสละแขนขาและเสียสละชีวิต เพื่อปกป้องประเทศจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค) ขอไว้อาลัยแด่ท่านผู้เสียสละ***จนกระทั่งปี พ.ศ.2515 พ่อจึงย้ายไปสู้รบต่อ ที่ อ.นาแก จ.นครพนม หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ได้กลับมาที่แห่งนี้อีกเลย พ่อของผมวันนี้ในวัยเกือบ 70 ปี เล่าสู่ลูกหลานฟัง 45 ปี ที่แล้วของพ่อ กับวันวานที่ผ่านมา แต่ความทรงจำเก่าๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ยังฝังอยู่ในใจพ่อเสมอ สถานที่แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะจนจำแทบไม่ได้ วันนี้ผมในวัยเกือบ 40 ปีพร้อมแม่ผมลูกเมียผม ได้มีโอกาสได้พาพ่อกลับไปที่เก่าที่พ่อเคยอยู่ ไปรำลึกความหลังของพ่อ เรื่องเก่าๆของพ่อ ณ สถานที่แห่งนี้ยาวมากถ้าจะเขียนก็คงจะมีหลายตอน ทั้งเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน มีโอกาสจะนำเสนออีกนะครับ ทริปนี้เพื่อพ่อครับ