คำตอบที่ 756
ขอบคุณ คุณ panmiles ที่กล่าวชมผมและเข้ามาชมและทักทายกัน มีผู้คนอีกมากมาย ที่ท่องเที่ยวและเดินทางในช่องทางนี้ มาช้านานแต่บางท่านอาจไม่ได้เก็บภาพไว้หรือไม่ได้เล่นเน็ต จึงไม่ได้ถ่ายทอด บอกกล่าวให้ใครฟัง เส้นทางนี้เป็นเส้นทางติดต่อ-ค้าขาย ไป-มา หาสู่กันมาช้านาน เราเพียงมาขีดเขตแดนแบ่งแยกว่าเป็น ไทย-พม่า เท่านั้นครับ
ใครใช้นามสกุลนี้หรือรู้จักนามสกุลนี้ มาอ่านข้อมูลแบ่งปันความรู้กัน นามสกุล ภูมาธิบดี เสลาคุณและ เสลากุล มีประวัติยาวนานนะครับ
ประวัติมอญ 7 หัวเมืองกับเมืองกาญจนบุรี(อ่าน 1193/ ตอบ 0)
chumporn
c26042507@gmail.com หัวข้อ :ประวัติมอญ 7 หัวเมืองกับเมืองกาญจนบุรี 01/04/2011 , 16:24 Quote
จากหลักฐานทางเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงเมืองกาญจนบุรี คือ พงศาวดารเหนือ กล่าวว่า "กาญจนบุรีเป็นเมืองพญากง พระราชทานบิดาของพระยาพาน เป็นเมืองสำคัญของแคว้นอู่ทอง หรือสุวรรณภูมิ มีผู้สันนิษฐานว่าพญากงสร้างขึ้นราว พ.ศ.1350" ต่อมาขอมได้แผ่อิทธิพลนำเอาศาสนาพุทธมหายานเข้ามาประดิษฐานในเมืองกาญจนบุรี ปรากฏหลักฐานคือปราสาทเมืองสิงห์ เมืองครุฑ เมืองกลอนโด จนอำนาจอิทธิพลขอมเสื่อมลงไป
สมัยอยุธยาเป็นราชธานี
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองกาญจนบุรีปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ต้องกลายมาเป็นเมืองหน้าด่าน เพราะตั้งอยู่ติดกับประเทศคู่สงครามคือพม่า กาญจนบุรีจึงเป็นเส้นทางเดินทัพและสมรภูมิ ด้วยเหตุว่ามีช่องทางเดินติดต่อกับพม่า คือ ด่านพระเจดีย์สามองค์ และด่านบ้องตี้ จึงนับว่ามีความสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในทางยุทธศาสตร์ ยังปรากฏชื่อสถานที่ในพงศาวดารหลายแห่งเช่น ด่านพระเจดีย์สามองค์ สามสบ ท่าดินแดง พุตะไคร้ เมืองด่านต่าง ๆ เมืองกาญจนบุรีตั้งอยู่ในช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่มีลำตะเพินอยู่ทางด้านทิศเหนือ ด้านหลังติดเขาชนไก่ ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันไปประมาณ 14 กิโลเมตร ชาวบ้านเรียกกันว่าเมืองกาญจนบุรีเก่ามีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 170x355 เมตร มีป้อมมุมเมืองก่อด้วยดินและหินทับถมกัน ลักษณะของการตั้งเมืองเหมาะแก่ยุทธศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นซอกเขาที่สกัดกั้นพม่าที่ยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มุ่งจะไปตีเมืองสุพรรณบุรีและอยุธยาจำเป็นต้องตีเมืองกาญจนบุรีให้ได้เสียก่อน หากหลีกเลี่ยงไปอาจจะถูกกองทัพที่เมืองกาญจนบุรีตีกระหนาบหลัง ปัจจุบันยังมีซากกำแพงเมือง ป้องปราการ พระปรางค์ เจดีย์ และวัดร้างถึง 7 วัดด้วยกัน สมัยอยุธยานี้ไทยต้องทำสงครามกับพม่าถึง 24 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิหลายครั้ง และเป็นทางผ่านไปตีอยุธยาจนต้องเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 และต้องย้ายราชธานีใหม่
สมัยธนบุรีเป็นราชธานี
กรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่จากการกู้เอกราชโดยพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสมัยนี้เกิดสงครามกับพม่าถึง 10 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิอีกหลายครั้ง เช่น สงครามที่บางกุ้ง และที่บางแก้ว ซึ่งมีสมรภูมิรบกันที่บริเวณบ้านหนองขาว
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
เมื่อไทยย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียง 3 ปี ก็เกิดสงครามใหญ่คือ สงคราม 9 ทัพ แต่ไทยสามารถยันกองทัพพม่าแตกพ่ายไปได้ ณ สมรภูมิรบเหนือทุ่งลาดหญ้าในปีต่อมาก็ต้องทำสงครามที่สามสบและท่าดินแดงอีก และไทยตีเมืองทวาย จากนั้นจะเป็นการรบกันเล็กน้อยและมีแต่เพียงข่าวศึก เพราะพม่าต้องไปรบกับอังกฤษในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้น และเลิกรบกับไทยตลอดไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยุทธศาสตร์การรบเปลี่ยนไป โดยเหตุที่พม่าต้องนำทัพลงมาทางใต้เพื่อเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องมีทัพเรือล่องลงมาจากสังขละบุรี มาตามลำน้ำแควน้อยผ่านอำภอไทรโยค มายังปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้งสอง ด้วยเหตุนี้หลังจากสิ้นสงคราม 9 ทัพแล้ว จึงได้เลื่อนที่ตั้งฐานทัพจากเมืองกาญจนบุรีที่ลาดหญ้า มาตั้งที่ตำบลปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย กลายเป็นแม่น้ำแม่กลอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงอธิบายว่า "ที่จริงภูมิฐานเมืองปากแพรกดีกว่าเขาชนไก่ เพราะตั้งอยู่ในที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย พื้นแผ่นดินที่ตั้งเมืองก็สูงแลเห็นแม่น้ำน้อยได้ไกล ป้อมกลางย่านตั้งอยู่กลางลำน้ำทีเดียว แต่เมืองกาญจนบุรีที่ย้ายมาตั้งใหม่นี้เดิมปักเสาระเนียดแล้วถมดินเป็นเชิงเทินเท่านั้น" ในสมัยรัชกาลที่ 2 กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จออกมาขัดตาทัพ กำแพงเมืองก็คงเป็นระเนียดไม้อยู่ ต่อมาจนถึง พ.ศ.2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นถาวร ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จพระพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน
การปกครองของเมืองกาญจนบุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยเมืองด่าน 8 เมือง อยู่ในแควน้อย 6 เมือง แควใหญ่ 2 เมือง ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ เพราะได้ตั้งให้พวกมอญอาสา มอญเชลย และกะเหรี่ยง เป็นเจ้าเมืองปกครองกันเอง เพื่อให้มีเกียรติศัพท์ดังออกไปเมืองพม่าว่ามีหัวเมืองแน่นหนาหลายชั้น และมีหน้าที่คอยตระเวรด่านฟังข่าวคราวข้าศึกติดต่อกันโดยตลอด เมื่อสงครามว่างเว้นลงแล้ว เจ้าเมืองกรมการเหล่านี้ก็มีหน้าที่ส่งส่วย ทองคำ ดีบุก และสิ่งอื่นๆ แก่รัฐบาลโดยเหตุที่ในสมัยนั้นมิได้จัดเก็บภาษีอากรจากพวกเหล่านี้แต่อย่างใด เมืองด่าน 7 เมือง(รามัญ 7 เมือง) ประกอบด้วยเมืองในสุ่มแม่น้ำแควน้อย 6 เมือง และแควใหญ่ 1 เมือง คือ
เมืองสิงห์
เมืองลุ่มสุ่ม
เมืองท่าตะกั่ว
เมืองไทรโยค
เมืองท่าขนุน
เมืองทอผาภูมิ
เมืองท่ากระดาน
เมืองต่างๆ เหล่านี้ผู้สำเร็จราชการเมืองยังไม่มีพระนาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นภาษาสันสกฤตแก่ผู้สำเร็จเมือง ดังนี้
เมืองสิงห์ เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ ปัจจุบันเป็นต้นสกุล สิงคิบุรินทร์ ธำรงโชติ
เมืองลุ่มสุ่ม เป็น พระนินภูมิบดี ปัจจุบันเป็นต้นสุกล นินบดี จ่าเมือง หลวงบรรเทา
เมืองท่าตะกั่ว เป็นพระชินติฐบดี ปัจจุบันเป็นต้นสกุล ท่าตะกั่ว ชินอักษร ชินหงสา
เมืองไทรโยค เป็น พระนิโครธาภิโยค ปัจจุบันเป็นต้นสกุล นิโครธา
เมืองท่าขนุน เป็นพระปนัสติฐบดี ปัจจุบันเป็นต้นสกุล หลักคงคา
เมืองทองผาภูมิ เป็น พระเสลภูมิบดี เป็นต้นสกุลเสลานนท์ เสลาคุณ
เมืองท่ากระดาน เป็นพระผลกติฐบดี เป็นต้นสกุล พลบดี ตุลานนท์
ครั้นเมื่อมีการปกครองตามระเบียบสมัยใหม่ ร.ศ.114 เมืองด่านเหล่านี้ถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน ตำบล กิ่งอำเภอ เป็นอำเภอบ้างตามความสำคัญของสถานที่ ดังนี้
เมืองทองผาภูมิ (เดิมเรียกว่าท้องผาภูมิ) ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในเขตกิ่งอำเภอสังขละบุรี(ต่อมาเป็นอำเภอสังขละบุรี) ปัจจุบันเป็นอำเภอทองผาภูมิ
เมืองท่าขนุน(สังขละบุรี) ยุบลงเป็นกิ่งอำเภอสังขละบุรี ขึ้นต่ออำเภอวังกะ ซึ่งตั้งใหม่อยู่ห่างจากท่าขนุนขึ้นไป ตั้งที่ว่าการริมน้ำสามสบ ต่อมาอำเภอวังกะและกิ่งอำเภอ สังขละบุรีได้ถูกเปลี่ยนฐานสลับกันหลายครั้ง และต่อมากิ่งอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลวังกะ เดิมขึ้นต่ออำเภอทองผาภูมิและเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสังขละบุรี ส่วนกิ่งอำเภอ สังขละบุรีเดิมตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนุน เปลี่ยนเป็นอำเภอทองผาภูมิ ตั้งแต่ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา
เมืองไทรโยค ยุบลงเป็นกิ่งอำเภอวังกะ ใน พ.ศ.2492 ต่อมาได้โอนขึ้นกับอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้ย้ายที่ทำการหลายครั้ง ปัจจุบันนี้ตั้งที่ทำการอยู่ที่ตำบลวังโพธิ์ และได้ ยกขึ้นเป็นอำเภอไทรโยค เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2506
เมืองท่าตะกั่ว ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค
เมืองลุ่มสุ่ม ยุบลงเป็นหมู่บ้านในตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค
เมืองสิงห์ ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค
ผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมือง
บรรพชนต้นตระกูลของชาวรามัญในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี
อ.โสภณ นิไชยโยค ( ขอคัดบทเพื่อเผยแพร่ประวัติเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ )
มอญที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามโดยเฉพาะในสมัยแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เขามาอาศัยตั้งถิ่นฐานบ้าน เรือนทํามาหากินอยู่ในประเทศสยามหลายแห่งหลายตําบลหลายอําเภอและหลายจังหวัดมอญเหล่านี้ตระหนักดี วาพระมหากษัตริย์เจ้าแห่งสยามประเทศนั้นเป็นพระบรมโพธิสมภารแหล่งสุด ท้ายของพวกเขาไม่มีที่อื่นใดอีกด้วยเพราะพวกเขาได้หมดสิ้นแล้วซึ่งแผ่นดินถิ่นอาศัยสิ้นแล้วซึ่งพระเจ้าเหนือหัวของพวกเขาเองมาเป็นเวลากว่า ๒๐๐ ปีแล้วเพราะฉะนั้นมอญที่เข้ามาอยู่ใน ประเทศสยามนี้จึงได้เทิดทูนองค์พระมหากษัตราธิราชเจ้าของไทยให้ทรงเป็นองค์พระมหากษัตริยร์ของพวกตนด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุดด้วยใจจริง เราคงจะเคยได้ยินได้ฟังพฤติกรรม ของชาวมอญในประเทศไทยในแห่งหนใดก็ตาม นอกจากมอญจะทําตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยโดยการประพฤติตนให้ชอบตามกฎหมายบ้านเมือง ประกอบการอาชีพที่สุจริตแล้ว เราก็อาจจะเคยได้ยินว่ามีมอญจํานวนไม่ใช่น้อย ได้มีโอกาสอาสาเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในหน้าที่ต่างๆ กันบางพวกก็รับ ราชการเป็นนายทหารเป็นแม่ทัพนายกองเป็นกรมอาทมาตเป็นกรมดั้งทองเป็นกรมดาบสองมือ เป็นผู้ว่าราชการเมืองทั้งส่วนกลางและหัวเมือง มีปรากฏในประวัติศาสตร์ของ ไทยโดยเฉพาะในตอนต้น ของกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดมา
ในโอกาสนี้จะกล่าวถึงเกียรติประวัติของมอญกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมีความดีความชอบ และมีเกียรติคุณอันพึงยกย่องสรรเสริญ เป็นเกียรติที่ลูก หลานและทายาทพึงจะภาคภูมิใจและยึดถือเป็นฉบับที่ควรเอาอย่างตลอดไปมอญกลุ่มนี้เป็นกลุ่มชาวมอญโพธาราม ที่มีนิวาสน์สถานอยู่บริเวณบ้านคงคาราม ตําบลคลองตาคต อําเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และอีกหลายตําบลในอําเภอโพธาราม อําเภอบ้านโป่ง และหลายๆ หมู่บ้านในอําเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี อําเภอท่า มะกา จังหวัดกาญจนบุรี ได้อพยพมาจากบ้านเกิดเมืองนอนเดิมของตนที่เป็น ประเทศ พม่า ปัจจุบันนี้แล้วก็ได้มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนทํามาหากินอยู่ในบริเวณสถานที่ดังกล่าวแล้ว ต่อมาก็ได้อาสาเข้ารับ ราชการสนองพระเดชพระคุณโดยได้เป็นผู้ว่าราชการหัวเมืองต่าง ๆ จํานวน ๗ หัวเมือง โดยขึ้นกับเมืองกาญจนบุรี ทั้งนี้เพื่อมีหน้าที่เป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ เนื่องจาก หัวเมืองต่างๆ เหล่านี้เป็นเมืองหน้าด้านเป็น ทางผ่านของอริราชศัตรูอยู่เป็นนิตย์ ส่วนหน้าที่โดยละเอียดและปลีกย่อย ตลอดจนความเป็นอยู่ของบรรดาท่านผู้ว่าราชการเหล่านี้ และชาวเมืองคนมอญที่อาศัยอยู่ด้วยจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างนั้น ผู้เขียนจะได้กล่าวต่อไปเป็นลําดับดังนี้
ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๓ (ปีมะโรงจุลศักราช ๑๑๒๒)พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพมาตีเมืองหงสาวดี พะสิม เมาะตะมะ เมาะลําเลิง ของมอญได้ และได้เกณฑ์ให้พวก มอญเมืองเมาะตะมะเมาะลําเลิงให้ยกทัพมาตีไทยสมัยพระเจ้าเอกทัศน์และได้ยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เดือน ๕ จนถึงเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ พระเจ้า อลองพญาทรงบัญชาการรับ และจุดปืนใหญ่ด้วยตนเอง เผอิญปืนแตกถูกพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวรหนักในวันนั้น เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ พม่าก็เลิกทัพขึ้นไปทางเหนือทางด้านแม่ละเมา ยังไม่ทันพ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอลองพญาก็สิ้นพระชนม์ในกลางทาง (หนังสือไทยรบพม่า) ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ
๑ พระเจ้ามังลอกราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระเจ้าอลองพญา พวกพม่ามอญแข็งเมืองก่อการกบฏ อาทิ เจ้าเมืองพุกาม เมืองหงสาวดี เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลําเลิง สมิงทอมาซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเชียงใหม่ รวมสมัครพรรคพวกเข้ายึดเมืองเมาะตะมะ เมาะลําเลิงได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเมาะตะมะแต่ในที่สุดก็ถูกพระเจ้ามังลอก ปราบปรามสําเร็จ ทําให้หัวหน้ามอญในเมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลําเลิง และพรรคพวกประมาณ ๑ ๐๐๐ คนได้อพยพหนีภัยจากพม่าเข้ามาทางด้านเจดีย์สามองค์ เพื่อมาพึ่งพระบรม โพธิสมภารพระเจ้ากรุงสยามในปี พ.ศ.๒๓๐๓ (ประวัติมอญเข้ากรุงสยามของ ก.ศ.ร.กุหลาบ )
๒ พระยากาญจนบุรีจึงมีใบบอกมายังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์โปรดให้จัดครัวมอญเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ชายแดนไทยตั้งแต่บ้านท่าขนุน ทองผาภูมิ ไทรโยค ท่าตะกั่ว ลุ่มสุ่ม เมืองสิงห์ และท่ากระดาน และให้ คอยดูแลสอดส่องลาดตระ เวนชายแดนไทย และรายงานความเคลื่อนไหวของพม่ารายงานมายังกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาได้ในวันอังคารเดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน พวกมอญชายแดนเจ็ดหัวเมืองที่เป็นชาวบ้านและกรมการเมืองบางส่วนก็หลบลี้ หนีภัยพม่าเข้ามาอาศัยอยู่กับพวกมอญเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณบ้านโพธาราม บ้านบางเลา บ้านนครชุมน์ แขวงเมืองราชบุรี และในเดือน ๑๒ ปีชวด ระยะเวลา ๗ เดือน พระเจ้าตากสินก็กู้เอกราชได้ และเห็นความสําคัญของมอญอพยพในปีพุทธศักราช ๒๓๐๓ ที่อยู่ตามชายแดนเมือง กาญจนบุรี จึงตั้งให้เป็นเมืองด่านขึ้นทั้ง ๗ ด่านและตั้งให้หัวหน้ามอญทั้ง ๗ คน ซึ่งเป็นญาติกันทั้ง ๗ คน เป็น นายด้าน ผู้เขียนเป็นคนในตระกูลเจ้าเมืองไทรโยค ทราบว่านายด้านท่านแรกของเมืองไทรโยคนี้ เป็นขุนนาง มอญมาแต่เมืองเมาะลําเลิง มีชื่อว่าสมิงพะตะเบิดซึ่งเป็นตําแหน่งขุนนางมอญ ส่วนนายด่านเมืองท่าขนุนนั้น ตระกูลหลักคงคาได้เขียนไว้ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนอาโภคคดี มีชื่อว่าพญาท่าขนุนเฒ่า ส่วนเมืองอื่นๆ นั้นได้ชื่อแน่นอนเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ เท่านั้น ในปีพุทธศักราช ๒๓๒๕ พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปราบดาภิเษกขึ้นเป็น ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและในปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๓๒๘ พระเจ้าประดุงได้ยกกองทัพเข้ามาตีไทยถึงเก้าทัพ ชาวด่าน ๗ เมือง มีบทบาทสําคัญในการเป็นกองเสบียง และช่วยรบในสงครามเก้า ทัพด้วย โดยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระยากาญจนบุรีส่วนหนึ่งและพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี ) อีกส่วนหนึ่ง เพราะพวกมอญเหล่านี้มีความชํานาญ ภูมิประเทศแถบนี้เป็นอย่างดี กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงยกกองทัพไปตั้งรับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า แขวงเมืองกาญจนบุรี และทรงให้พระยามหาโยธา ( เจ่ง ) คุมกองทัพมอญ จํานวนพล ๓ ,๐๐๐ คน ยกออกไปขัดตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง และในจํานวนนี้มีนายด่านและกองมอญ ๗ ด่านนี้ร่วมรบอยู่ด้วย จนเสร็จสิ้นสงครามเก้าทัพพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปูนบําเหน็จความดีความชอบแก่ข้าราชการทหารทั้งปวงและโปรดให้ยก ๗ ด่านขึ้นเป็นเมือง เพื่อให้ชื่อเสียงปรากฏไปยังพม่าว่าสยามประเทศมีเมืองตาม ชายแดนเพื่อป้องกันข้าศึกมากขึ้นและให้นายด่านทั้ง ๗ เป็นเจ้าเมืองมีตําแหน่งเป็นพระ ดังนี้
ท่าขนุน มีตำแหน่ง พระท่าขนุน
ทองผาภูมิ มีตำแหน่ง พระทองผาภูมิ
ไทรโยค มีตำแหน่ง พระไทรโยค
ท่าตะกั่ว มีตำแหน่ง พระท่าตะกั่ว
ลุ่มสุ่ม มีตำแหน่ง พระลุ่มสุม
สิงค์ มีตำแหน่ง พระสิงค์
ท่ากระดาน มีตำแหน่ง พระท่ากระดาน
และตั้งกรมการเมืองเช่นเดียวกับเมืองต่าง ๆ ของไทยทั่วไป ผิดแต่ว่ากรมการเมืองและชาวเมืองในบังคับล้วนแต่เป็นชาวมอญทั้งสิ้น และที่น่าสังเกตมีตําแหน่งเพิ่มอีก ๑ ตําแหน่ง ซึ่งไทยไม่มีแต่ ๗ เมืองนี้มีคือตําแหน่งจักกาย เพราะเป็นตําแหน่งกรมการเมืองของฝ่ายเมืองมอญมาแต่อดีตครั้งยังมีประเทศรามัญ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ เมือง นี้ได้เลื่อนยศเป็น พระยาหรือไม่หรือเลื่อนยศเฉพาะบางเมือง เพราะในจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ ๒ ฉบับประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ ท้องตราเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึงพระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี เรื่องรามัญในกองพระยา รัตนจักรหลบหนีการทัพ ๕ คน ให้บอกด้านทาง แลแต่ง คนออกสกัดจับตัว จ.ศ. ๑๑๘๓
๑ หนังสือเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึงพระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี ด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้า ฯ สั่งว่า พระยามหาโยธากราบทูลพระกรุณาว่ารามัญในกองพระยารัตนจักร จัดล่องเรือลงมาถึงปากแพรก มะจุ นายหมวดหายไปคนหนึ่ง ครั้นขึ้นไปดูอ้ายมะจุซึ่งลองแพลงมาถึงยางเกาะก็ทิ้งแพเสีย หายไปอีก มะถอ ๑ มะรอย ๑ มะจับ ๑ รวม ๓ หญิง ๑ รวม ๔ คน เข้ากันเป็น ๕ คนก็หาได้บอกแก่พระยาราชบุรีพระยากาญจนบุรีให้รู้ไม่ แลมอญเหล่า นี้ก็ตั้งขัดตาทัพอยู่ ณ แก้งไผ่ เข้าใจอยู่ว่า อ้ายหาญหักค่ายหนีไป ทางช่องเขาหนีบ ช่องเขารวก เห็นว่ามอญเหล่านี้จะหนีไปทางช่องเขาหนีบ จะทําแพล่องลง ลงไปทางแม่น้ำท้องชาตรี ให้พระยาราชบุรีพระยากาญจนบุรี แต่งคนขึ้นไปให้ พระยาท่าตะกั่ว พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พวกด้านทางทุกแห่ง ทุกตําบล ให้ออกก้าวสกัดจับเอาตัวรามัญซึ่งหนีไปให้จงได้แล้ว จําจองให้มั่นคง ส่งเข้าไป ณ กรุงฯ โดยเร็ว หนังสือมา ณ วัน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะเส็ง ตรีนิศก วัน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ป มะเส็ง ตรีนิศก เพลาค่ำ จหมื่นไชยพรรับตราไป เรือยาว ๙ วา พลพาย ๑๔ พาย
๒ หนังสือเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี มาถึงพระยาราชบุรีด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าสั่งว่ารามัญไม่ออกไปขัดตาทัพอยู่ ณ แก่งไผ่ ล่องแพลงมาถึงยางเกาะแล้วหนีไป เป็นชายหญิง ๕ คน ได้มีตราออกมาให้พระยาราชบุรี กรรมการ ติดตามแจ้งอยู่แล้ว แลทุกวันนี้รามัญได้พาบุตรภรรยาไปเที่ยวทํามาหากินทุกแห่ง ทุกตําบล ที่เป็นคนดีมีภาคภูมิไม่มีหนี้สิน และเล่นเบี้ยกินเหล้า ก็พาบุตรภรรยากลับมาบ้านเรือน ที่เป็นหนี้ สินเขาติดค้างอยู่ก็พากันหลบหนีไป จะเอาใช้ราชการก็มิได้ ได้มีตราแต่งให้ข้าหลวงไปขับไล่ทุกหัวเมือง ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่กลับเข้ามา แลรามัญใหม่ซึ่งไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ คลองบางสองร้อย โพธาราม บางเลาละครชุม ในบรรดาแขวงเมืองราชบุรีจะไว้ใจหาได้ไม่ จะหนีไป เหมือนอ้ายหาญหักค่าย แลรามัญหนีครั้งนี้นั้น ให้พระยาราชบุรีแต่ง กรมการกํากับด้วยสมิงอาทมาต กวาดไล่ครอบครัวรามัญใหม่ ชายหญิง ให้เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทํามาหากิน ณ กรุงฯ ให้สิ้นเชิงอย่าให้หลงเหลือแต่คนหนึ่งได้ แลอย่าให้สมิงอาทมาต กรมการ ลงเอาพัสดุ ทอง เงิน แก่รามัญใหม่ เป็นค่าสินบน และค่าทุเลาแต่เฟื้องหนึ่งขึ้นไปได เป็นอันขาดทีเดียว ถ้าขับไล่ได้เข้าไป ณ กรุงฯ เป็น รามัญกองใดมากน้อยเท่าใด ให้มีบาญชีบอกเข้าไปให้แจ้ง หนังสือมา ณ วัน ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ จุลศักราช ๑๑๘๓ ปีมะเส็ง ตรีนิศก *๑๒
๓. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ บอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี ตอบรับท้องตราเรื่องให้ พระยาไทรโยค แต่งคนออกไปลาดตระเวนจับพม่าทางเมืองทวาย วัน ๔ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๑๘๔
๔ ข้าพเจ้า พระยาไชยภักดีศรีมหัยสวรรคี พระยากาญจนบุรี หลวงกาญจนบุรี ยกระบัตร กรมการ ขอบอกมายังท่านออกพันนายเวน ขอให้กราบเรียน ฯพณฯ หัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลา ให้ทราบด้วยอยู่ ณ วันเดือนเก้า แรมเก้าค่ำ ปีมะเมีย จัตวาศก เพลาเช้า หมื่นวิสูตรภักดี ถือตราราชสีห์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกมาถึง ฯ ข้า ฯ กรมการว่าพระยา รัตนจักร ไปจับอ้ายพม่าได้สองคนให้การว่าเจ้า อังวะให้มองษาเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ ให้ตะแคงมองมูกับมหาอุตนากลับไปเมืองอังวะมหาอุตนาให้คนรักษาด้านสามตําบล เป็นคนเจ็ดร้อยห้าสิบคน ทรงพระราชดําริว่า ณ เดือนสิบ เดือนสิบเบ็ดนี้เป็นต้นระดูศก จะไว้ใจหาได้ไม่ ให้ ฯข้าฯ กรมการมี หนังสือไปถึง พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่วให้จัดหลวงขุนหมื่นกรมการแลไพร่ให้ได้ห้าสิบหกสิบ สรรพไปเครื่องศัสตราวุธไปลาดตระเวนจับพม่าทางเมืองทวายให้จงได้ แต่พระยาไทรโยคนั้นอย่าให้ไปเลย นั้น ฯข้าฯ กรมการได้ทราบเกล้า ทราบกระหม่อม ในท้องตราซึ่งโปรดออกมาทุกประการแล้ว ข้าพเจ้ากรมการคัดสําเนา ท้องตราให้ขุนศรีวันคีรีกับไพร่สามคน ถือหนังสือไป ถึงพระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่ว แต่ ณ เดือนเก้า แรมเก้า ค่ำ เพลาบ่ายตามท้องตราซึ่งโปรดมา ถ้าผู้ถือหนังสือกลับมา พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่ว บอกจํานวนคนนายไพร่ เครื่องศาสตราวุธมากน้อยเท่าใด ยกไปจากแมน้ำน้อยวันใด ข้าพเจ้ากรมการจะบอกให้มาครั้งหลัง ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ฯข้าฯ บอกมา ณ วันพุธ เดือนเก้า แรมสิบสองค่ำ ปีมะเมีย จัตวาศก * ๑๑ และจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ เรื่องบอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี เรื่อง แต่งขุนหมื่นกรมการ ออกลาด ตระเวนชายแดน วัน ๗ ฯ ๕ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๘๕
๕ ข้าพเจ้าพระยาไชยภักดีศรีมหัยสวรรค์ พระยากาญจนบุรี กรมการ ขอบอกมายังท่านออกพันนายเวน ขอได้กราบเรียนแต่ ฯพณฯ หัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลาให้ทราบ ด้วยมีตราพระราชสีห์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกมาว่า พระยาไทรโยคกรมการออกไปจับพม่าทางเมืองทวาย ไปถึงปลายคลองน้ำกระมองสวยพบอ้ายพม่าได้รบพุ่งกัน กองพระยาไทรโยคตายหนึ่งคน หายไปเจ็ดคน พากันแตกกลับมานั้น ทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า พระยาสิงหจักรยกไปจับพม่าหาระวังรักษาตัวไม่ ทําให้ เสียทีแก่อ้ายพม่านั้นผิดอยู่ให้พระยามหาโยธาคิดอ่านจัดแจงออกไปจับพม่าอีกและหน้าด้านเมือง กาญจนบุรี ศรีสวัสดิ์ เมืองไทรโยค ทองผาภูมิ ท่าตะกั่วนั้น อย่าให้ข้าพเจ้า พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ กรมการไว้ใจแก่ราชการ ให้กําชับกําชาผู้ไปลาดตระเวนรักษาการให้ระมัดระวังตัว จงสามารถอย่าให้อ้ายพม่ามาจับเอาผู้คนไปได้นั้น ข้าพเจ้ากรมการได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมในท้องตราซึ่งได้โปรดออกมาแล้ว ข้าพเจ้าได้แต่งให้หมื่นราชหมื่นรองแล้วนายไพร่ร้อยสิบคนเป็นคาบศิลาสามสิบเบ็ด บอกยกขึ้นไปลาดตระเวนให้ถึงแม่น้ำเมืองอีก ได้ยกไปจากเมืองกาญจนบุรี แต่ ณ วันเดือนห้า ขึ้นหก ค่ำ ถ้าแลผู้ไปราชการกลับมาได้ราชการประการใด ข้าพเจ้าจะบอก เข้ามาครั้งหลัง อนึ่ง พระยาไทรโยคกรมการบอกลงมาถึงข้าพเจ้ากรมการ ว่าพระยาไทรโยค จัดให้นายไพร่สิบสามคน ออกไปสืบดูที่รบกันทางหนึ่ง พระยาไทรโยคจัดให้นาย ไพร่สิบสองคน กองพระยามหาโยธานายไพร่สี่สิบคน ไปก้าวสกัดให้ถึงปลายคลองโป้กะทะปลายที่บ่อแม่น้ำเราะลําหมู่หนึ่งทางหนึ่ง พระยาไทรโยคจัดให้ขุนหมื่นนายไพร่ สามสิบเบ็ดคน เป็นคาบศิลาสิบห้าบอกออกไปตามทางหลวงแม่น้ำ เราะให้ถึงเขาสูงแดนต่อแดน ได้ยกไปแต่ ณ วันเดือนสี่ แรมสิบค่ำ ยังหากลับมาไม่ ถ้ากลับมาได้ราช การประการใด ข้าพเจ้าจะบอกเข้ามาครั้งหลัง แลข้าวคงฉาง ณ เมืองกาญจนบุรีมีอยู่เก้าสิบหกเกียน แลให้ข้าวค้านาจัดซื้อ
ข้าพเจ้าแต่งให้กรมการกํากับข้าหลวงเสนาออกไปประเมินนาของราษฎรยังหาเสร็จ ถ้าได้จํานวนนาข้าว ค้านาจัดซื้อ มากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าจะบอกเข้ามาให้ทราบ ข้าพเจ้าบอกมา ณ วันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ปีมะแม เบญจศก ฯ
จากจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง ๓ ฉบับ จะเรียกว่า พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระยาท่าตะกั่ว หลักฐานที่สําคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ตระกูลของผู้เขียนเก็บไว้ คือผ้านุ่งที่ เป็นห้าสมปัก และผ้าปูม ผ้าสมปกนั้นขุนนางชั้นพระยาถึงนุ่ง ส่วนผ้าปูมนั้น ขุนนางชั้นคุณพระนุ่ง ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าผ้าสมปกนั้นเป็นผ้านุ่งของพระยาไทรโยค ส่วนผ้าปูมนั้นเป็นผ้านุ่งของพระนิโครธาภิโยค ซึ่งเป็นบรรพบุรุษต้นตระกุลของผู้เขียนทั้ง เป็น ไปได้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองด้านทั้ง ๓ เมืองนั้นได้เลื่อนยศเป็นพระยา เพราะอาจเป็นด้านสําคัญ ตระกูลเสลานนท์ ยังเก็บรักษาผ้านุ่งและผ้าไหมพระราชทานไว้เป็นอย่างดี และธงชาติ ธงช้างเผือกพระราชทาน(พื้นสีแดง ช้างสีขาวไม่มีทรงเครื่อง)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ภายในประเทศให้ขึ้นกับกรมต่าง ๆ ถึง ๓ กรม คือกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม และกรมท่าหัวเมืองที่ขึ้นกับกรมมหาดไทยได้แก่เมืองกรุงเก้า อ่างทอง พรหม อินทร์ ไชยนาท พยุหคีรี บรรพตพิไสย พิษณุโลก ศรีสําโรง พิไชย อุตรดิษฐ์ ตาก ลพบุรี สระบุรี วิเชียร เพชรบูรณ์ หลวงพระบาง นครจําปาศักดิ์ มุกดาหาร พาลุกาดลภูมิ อุบล พิบูลมังสาหาร ตระการ พืชผล มหาชลาลัย กาฬสินธุ์ สหัสขันธ์ กมลาสัย ภูวดลสอาง สว่างแดนดิน ยโสธร นครพนม ขอนแก่น หนองคาย ภูเวียง วานรนิวาส สิงขรภูมิ กันทราลักษ์ อุทุมพรพิไสย ฉะเชิงเทรา พนมสารคาม พระตะบอง นครเสียงมราฐ เป็นต้น
หัวเมืองที่ขึ้นกับกรมพระกลาโหมได้แก่เมือง นครเขื่อนขันธ์ ปทุมธานี ราชบุรี สมิงขบุรี ลุ่มสุ่ม ท่าตะกั่ว ท่าขนุน ท่ากระดาน ไทรโยค ทองผาภูมิ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กําเนิดนพคุณ ประทิว ท่าแซะ หลังสวน กาญจนดิฐ พัทลุง ประเหลียน สงขลา ยะหริ่ง ระแงะ กลันตัน ตรังกานู ไทร สตุล ภูเก็ต พังงา ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ระนอง กระ เป็นต้น หัวเมืองที่ขึ้นกับกรมท่าได้แก่ เมืองนนทบุรี นครไชยศรีสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ชลบุรี บางลมุง ระยอง จันทรบุรี แกลง ตราด ประจันตคีรีเขตต์ เป็นต้น
๖ เมืองสมิงสิงหบุรี ๑ เมืองลุ่มสุ่ม ๑ เมืองท่าตะกั่ว ๑ เมืองไทรโยค ๑ เมืองท่าขนุน ๑ เมืองทองผาภูมิ ๑ เมืองท่ากระดาน ๑ ทั้งเจ็ดหัวเมืองเหล่านี้ แต่เดิมก็ไม่เป็น เมืองเป็นแต่ที่ตั้งค่ายที่ด้าน ตั้งอยู่เท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ทรงพระราชดําริว่าจะให้มีเกียรติศัพท์ดังออกไปข้างเมืองพม่าว่า มีหัวเมือง แน่นหนาหลายชั้น จึงโปรดตั้งให้เป็น หัวเมืองขึ้น มีกรมการอยู่รักษาทุก ๆ เมือง
๗ เมือง บริเวณหัวเมืองชายแดนทาง ด้านตะวันตกของประเทศซึ่งติดต่อกับประเทศพม่าโดยเฉพาะเมืองกาญจนบุรีและราชบุรีนั้น เป็นบริเวณที่พวกมอญมักจะอพยพเข้ามา อาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารในยามที่ได้รับความเดือดร้อนจากพม่าอยู่เนือง ๆ ฝ่ายรัฐบาลได้จัดให้คนพวกนี้อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าตามเมืองหน้าด้าน ตําบลต่าง ๆ ที่เป็นเมืองหน้าศึกกับพม่าเรียกรวมกันว่า รามัญ ๗ เมือง ขึ้นต่อเมืองกาญจนบุรี รามัญทั้ง ๗ เมืองนี้ได้แก่เมืองสิงห์ (หรือสมิงขะบุรี) เมืองลุ่มสุ่ม เมืองไทรโยค เมืองทองผาภูมิ เมือง ท่าตะกั่ว เมืองท่า ขนุน และเมืองท่ากระดาน เมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ในแควลําน้ำน้อย ยกเว้นเมืองท่ากระดานเท่านั้นที่ตั้งอยู่บนแควใหญ่ลําน้ำเมืองกาญจนบุรีใต้เมืองศรีสวัสดิ์ลงมา อนึ่งทรงพระราชดําริว่า ผู้สําเร็จราชการเมือง ต่าง ๆ ทั้งเจ็ดหัวเมืองเหล่านี้ไม่มีชื่อตั้งไม่สมควร ฉะนั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๑๐ ค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก (พ.ศ.๒๔๐๑) จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อเป็น ภาษาสันสกฤตแก่ผู้สําราชการเมืองเหล่านี้เสียใหม่ ชื่อของผู้สําเร็จราชการหัวเมืองมอญทั้ง ๗ ที่ได้รับพระราชทานเปลี่ยนใหม่มีดังนี้
เมืองสิงขบุรี พระสุรินทรศักดา พระสมิงสิงขบุรี ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระสมิงสิงหบุรินทร์
เมืองลุ่มซุ่ม พระนรินทรเดชะ พระลุ่มซุ่ม ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระนิพนธ์ภูมิบดี
เมืองท่าตะกั่ว พระณรงคเดชะผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระชินดิฐบดี
เมืองท่าขนุน พระพรหมภักดี ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระปนัศติฐบดี
เมืองท่ากระดาน พระท่ากระดาน ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระผลกติฐบดี เมืองไทรโยค พระไทรโยค ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระนิโครธาภิโยค
เมืองทองผาภูมิ พระทองผาภูมิผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระเสลภูมิบดี
แล้ว พระราชทานเสื้อเข้มขาบคนละตัว ๆ เป็นของขวัญ หัวเมืองทั้งเจ็ดนั้น ขึ้นแก่เมืองกาญจนบุรีทั้งสิ้น แต่ผู้สําเร็จราชการการกรมการเมืองแยกย้ายกันมาตั้งอยู่ในแขวงเมืองราชบุรี ทั้ง ๗ ในหนังสือจดหมายเหตุระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๔๓๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์
๘ ได้ทรงบันทึกเรื่องการพระราชทานชื่อแก่ผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ เช่นเดียวกันกับที่ได้ กล่าวมาในข้างบน แต่ชื่อของผู้ว่าราชการบางคนผิดเพี้ยนไปจากที่ได้พระราชทานไว้ เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ บ้างเล็กน้อย ดังท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากบันทึกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ดังต่อไปนี้ แผนที่รามัญ ๗ หัวเมือง รามัญทั้ง ๗ เมือง มีเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ปกครองดูแล และยังมีหลวงปลัดยกระบัตร หลวงพลกรมการ ขุนหมื่นไพร่เมืองละมาก ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนมอญด้วยกันทั้งหมด เจ้าเมืองมียศเป็น พระ เรียกตามชื่อเมืองนั้น ๆ เช่น พระไทรโยค พระท่าขนุน เป็นต้น ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ เป็นตํา แหน่งยศดังนี้
พระเมืองสิงห์ เป็น พระสมิงสิงหบุรินทร์
พระลุ่มสุ่ม เป็น พระนินนภูมิบดี
พระท่าตะกั่ว เป็น พระชินดิษฐบดี
พระไทรโยค เป็น พระนิโครธาภิโยค
พระทองผาภูมิ เป็น พระเสลภูมาธิบดี
พระท่าขนุน เป็น พระปันนสดิษฐบดี
พระท่ากระดาน เป็น พระผลกะดิฐบดี
บริเวณที่เป็นที่ตั้งเมืองทั้ง ๗ นั้น ไม่สู้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก เนื่องจากว่าพื้นที่เป็นป่าทึบและภูเขาสูง ซึ่งไม่สามารถทํานาทําไร่ให้ได้ผลเพียงพอที่จะยังชีพอยู่ได้ บรรดาชาวเมืองจึงพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ นครชุมน์ บ้านบางเลา (วัดคงคาราม) บ้านโพธาราม แขวงเมืองราชบุรีเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเจ้าเมืองกรมการจะไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตแขวงเมืองนั้น ๆ แต่ก็มี บ้านเรือนของขุนหมื่นนายด้านตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ และผู้ว่าราชการ กรมการก็ได้ไปตรวจตราอยู่เสมอเพราะเป็นช่องด้านทางไปมากับเมืองนอกราชอาณาเขตได้หลายช่องทางหลายตําบล บางเมืองก็มีคนไทยบ้าง กะเหรี่ยงบ้าง มอญบ้าง เข้าไปตั้งบ้านทําไรตัดไม้อยู่เป็นระยะ และถ้ามีบ้านเรือนมากก็จะมีกรมการเมืองออกไปกํากับอยู่ด้วย เช่น แขวงไทรโยค เป็นต้น
๙ รามัญ ๗ เมือง มีอาชีพเกี่ยวกับการตัดไม้เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าและเขา
กล่าวคือเมืองไทรโยคนั้นมีป่าไม้สักขนาดเล็กใหญ่ที่สุดประมาณ ๗ กํา ชาวเมืองจะตัดผูกแพล่องมาขายแถบกาญจนบุรี ราชบุรีเสมอ แขวงเมืองท่าตะกั่วเมืองลุ่มสุ่มจะมีการตัดเสาไม่เต็งรัง และตัดไม้ไผ่ป่า
ล่องมาขาย แขวงเมืองสิงห์ตัดไม่ฝาง ไม่รวกใหญ่ขนาดทํารั้วโป้ะปลา ซึ่งชาวเมืองสมุทรสงครามมารับเป็นสินค้าไป และยังมีไม้เสาเล็ก ๆ บ้าง นอกจากนี้ก็มีการหาของป่า ทําน้ำมันยาง ทําไต้ เป็นต้น บางแห่งมีการทําไร่บ้างแต่ก็เพียงพอใช้ในครอบครัวเท่านั้น
๑๐ ส่วนพวกมอญที่เข้ามาอยู่แถบบ้านแขวงเมืองราชบุรีนั้นมีอาชีพในการทำนา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสไทรโยค ครั้งที่๒ ได้ทรงพระบรมราชาธิบายว่า
๑๑ เมืองกาญจนบุรีนี้ แต่เดิมเมื่อกรุงเก้าขึ้นกรมมหาดไทย ภายหลังมาจึงได้ยกมาขึ้นกลาโหม เมืองมีอาณาเขตทางตะวันออกเขตแดนเมืองราชบุรีใหม ทางพระแทนดงรังเพียงห้วยขานางต่อ แขวงสุพรรณที่เขาหลอกลวง ข้างเหนือคือเมืองศรีสวัสดิ์และเมืองอุทัยธานี ข้างใต้ต่อแขวงเมืองราชบุรีคนละ
ฝั่งกันกับคลองสํารอง..มีเมืองศรีสวัสดิ์เป็นเมืองใหญ่มีละว่ากะเหรี่ยงและมีข้าสอดอีกพวกหนึ่งพูดภาษาหนึ่งต่างหากประพฤติตัวเหมือนกระเหรี่ยงแต่ไม่โพกผ้า เมืองขึ้นที่เป็นมอญ ๗ เมือง แต่เจ้าเมืองไม่ได้อยู่มีแต่กองด้านขึ้นไปลาดตระเวน ตัวเจ้าเมืองกรมการลงไปอยู่ที่โพธารามแขวงเมืองราชบุรี คือ เมืองสิงคลบุรี เรียกว่าเมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ ที่เมืองทองผาภูมินี้เป็นด้านชั้นนอก เมือง ๖ เมืองนี้เป็นเมืองอยู่ในลําแม่น้ำน้อย เมืองท่ากระดานอยู่ในแควใหญ่อีกเมืองหนึ่งเป็น ๗ เมือง กระเหรี่ยงนั้นมีเป็นกองตั้งอยู่เป็นตําบล ๆ ที่วังกะตําบล ๑ นาสวนตําบล ๑ ที่อื่น ๆ อีกหลายตําบล ในที่นาสวนนั้นมีจีนเขยสู่อยู่มาก จีนเขยสู่เหล่านี้สักข้อมือเสียส่วนปีละ ๖ บาท คนเลขคงเมืองกาญจนบุรีอยู่ใน ๓๕๐ เศษ มีกองส่วยผึ้งส่วนเงินขึ้นพระยาสุรเสนา ๑๐๐ เศษ ส่วยน้ำรักขึ้นกรมพระกลาโหมเล็กน้อย ละว่าข้าสอดเมืองศรีสวัสดิ์ประมาณ ๑๒๐๐ คน มอญ ๗ เมืองอยู่ใน ๓๕๐ เศษ ส่วยทอง ๗ กอง คนอยู่ใน ๗๐ เศษ ส่วยวังหน้ามีบ้านเล็กน้อย คนพลเมืองพระยากาญจนบุรีเขาประมาณว่าสักหมื่นเศษในเมืองกาญจนบุรี นี้แต่ก่อนเป็นเมืองหน้าศึกด้วยเขตแดนข้างตะวันตกนั้นต่อกันกับเขตแดนเมืองมริดทวาย พม่ายกเข้าตีอยู่เสมอ เมืองราชบุรีเมืองกาญจนบุรีนี้แต่เดิมไม่มีคนอยู่ข้างฝั่งตะวันตกเลย ด้วยพม่ามักมาลาดตระเวนทีละ ๒๐ คน ๓๐ คน ถ้าไทยพลัดมาข้างฝ่ายตะวันตกน้อยคนพม่าก็จับไป ถ้าพม่าน้อย ไทยก็จับมา แต่เป็นดังนี้จนตลอดเมืองมะริดเมืองทวายเสียแก่อังกฤษ จึงได้ขาดข้าศึกแก่กันและกัน ไทยจึงได้ข้ามมาอยู่ฝั่งตะวันตกได้...อนึ่งเราได้ผลัดไว้แต่ก่อนว่าสืบเรื่องฝาง ท่าที่ฝางลงนั้นมักจะลงทางหนองบังท่ามะขามมากกว่าที่อื่น เป็นลูกค้าไปรับซื้อกันที่นั่น ที่ท่าบ้านอื่นและเมืองศรีสวัสดิ์และหัวเมืองมอญ ๗ เมือง มีพวกมอญ ละว่า ข้าสอดตัดฝางบรรทุก แพลงมาขายเมืองกาญจนบุรีบ้าง ล่องลงไปขายถึงเมืองราชบุรีบ้าง ราคาฝาง ๓ ดุนหนักหาบ ๑ เป็นฝางขนาดใหญ่ราคา ๑๖ ตําลึง ฝาง ๔ ดุนหนักหาบ ๑ เป็นอย่างกลาง ราคา ๙ ตําลึง ฝาง ๕ ดุ้น ๖ ดุ้นหนักหาบหนึ่ง ร้อยดุ้นเป็นราคา ๖ ตําลึง ยังฝางยอมดุนเล็กน้อยไม่ได้นับเป็นดุนขาย ขายกันหาบละบาท ราคานี้เป็นราคากลาง ๑ ฝางออกเมืองกาญจนบุรีใหญ่เล็กประมาณสองแสนดุนเศษเสมอเป็น ธรรมดา ถ้าเวลาราคาฝางแพงก็ออกมากขึ้น ถ้าถูกก็ออกน้อยลง...๖ โดยทั่วไปแล้วอาชีพที่ราษฎรรามัญ ๗ เมืองทํานั้นเป็นการทําเพื่อยังชีพไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น เนื่องจากภูมิประเทศกันดาร และอัตคัดมาก ราษฎรส่วนใหญ่จัดอยู่ในขั้นที่ขัดสน ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่ารัฐบาลไม่เคยเก็บภาษีอากรจากคนพื้นนี้เลย
๑๒ อีกประการหนึ่งการทําทะเบียนจํานวนคนก็ไม่สู้จะแน่นอนเพราะมีการอพกลับไปพม่าบ้าง อพยพจากพม่าเข้ามาเพิ่มบ้างครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากที่มีการแก่ไขการปกครองเป็น แบบมณฑล เทศาภิบาลแล้วพระยาวรเดชศักดาวุธ ข้าเหลวงเทศาภิบาลมณฑลราชบุรีได้เสนอให้เก็บเงินค้าราชการจากราษฎรชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยงที่ประกอบอาชีพอยู่ตามชายพระราชอา ณาเขตเพื่อให้เป็นการเสมอภาคกับราษฎรทั่ว ๆ ไป แต่ให้เก็บคนละ ๓ บาทต่อปี เนื่องจากคนพวกนี้ยากจน ที่ทางทํามาหากินก็ฝืดเคืองและกันดารจึงไม่สามารถจะเก็บตามอัตราปีละ ๖ บาท เท่ากับคนทั่วไปได้
๑๓ หลังจากที่เสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๔๓ (ร.ศ. ๑๑๙) พร้อมทั้งพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะให้มีการกําหนดอัตราการเก็บ โดยการแบ่งเขตตําบลตามความขัดสนมากน้อยแทนกากําหนดตามเชื้อชาติแล้ว ปรากฏว่าคนมอญในรามัญ ๗ เมืองได้รับการลดเงินส่วยลง คงเสียคนหนึ่งปีละ ๒ บาท ทั้งนี้ได้ยกเว้นคน ที่เพิ่งอพยพ
เข้ามาอยู่ในปีแรก ต่อเมืองถึงปีที่สองจึงให้เสียเท่ากับคนที่อยู่เดิม
๑๔ การเก็บเงินค่าราชการจากราษฎรในรามัญ ๗ เมืองในอัตราดังกล่าวได้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเหมาะสม ดังปรากฏในรายงานของพระยาวรเดชศักดาวุธ หลังจากที่ได้ไปตรวจราชการ เมืองกาญจนบุรีว่า เงินค่าราชการที่เก็บแก่คนกะเหรี่ยง มอญ ลาว ซึ่งอยู่ปลายพระราชอาณาเขตในที่กันดาร โปรดเกล้าฯ ให้เก็บแต่เพียงคนละกึ่งตําลึงนั้นเป็นการสมควรแก่ภูมิพิเศษที่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปเห็นในเวลานี้ ถ้าต้อไปผลประโยชน์มีความเจริญขึ้นจึงคิดเก็บให้มาขึ้นตามสมัย...
๑๕ คนมอญในรามัญ ๗ เมืองมีฐานะเป็นไพร่หลวง (ส่วย) กล่าวคือมีหน้าที่ต้องส่งส่วยทอง
แก่รัฐบาลทุกปี เมืองถึงเทศกาลแล้งราว ๆ เดือนธันวาคม-มกราคม จะโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าเมืองกรมการเกณฑ์ไพร่หลวงรามัญ ๗ เมืองออกไปร่อนทองที่คลองปิลอกคลองพลู ให้ร้อนได้ ทองขุนหมื่นไพร่คนละ ๓ สลึง บุตรหมื่นทนายทาสคนละ ๑ สลึง ๑ เฟื้อง
๑๖ และให้เจ้าเมืองกรมการเก็บรวบรวมทองส่วยนําขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย หน้าที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือต้องลาดตระเวนรักษาด่านอยู่เป็นประจํา ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง โดยเฉพาะใน สมัยรัชการที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อไม่ให้พม่าเล็ดลอดเข้ามาสืบข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านชั้นนอกต่อแดนเมืองเมาะลําเลิง ก็หมั่นสืบฟังข่าวราชการในประเทศพม่าด้วย ในบางครั้งเมื่อมีคนในพระราชอาณาจักรหลบหนีออกจากพระราชอาณาเขต เช่นพวกมอญ บรรดาเจ้าเมืองรามัญทั้ง ๗ จะได้รับคําสั่งให้ กําชับนายด่านทางทุกแห่งตําบลให้กวดขันบริเวณปลายด่านเป็นพิเศษ และออกสกัดจับผู้ที่หลบหนีเพื่อส่งกลับไปกรุงเทพฯ โดยเร็ว คนมอญที่หนีออกไป
ส่วนมากมักเป็นพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในแขวงเมืองราชบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยถึงกับมีรับสั่งให้อพยพมอญใหม่ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองบางสร้อย โพธาราม บางเลา นครชุมน์ แขวงเมืองราชบุรี เข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยเกรงว่าจะหลบหนีไปอีก
๑๗ ในชั้นหลังต้อมาก็ยังมีการหลบหนีอยู่บ้าง เช่นในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพวกมอญโรงเรือหลบหนีไป ๑๒ ครอบครัว ออกไปทางเมืองอุทัยธานีและเมืองตากในราว พ.ศ. ๒๓๙๖
๑๘ และขณะเดียวกันก็มีพวกมอญลาวที่หนีไปอยู่เมาะลําเลิง และทวาย ลักลอบเข้ามาชักชวนญาติพี่น้องแถบเมืองราชบุรี กาญจนบุรี ให้อพยพหนีไปด้วย
๑๙ เรื่องการหลบหนีออกนอกพระราชอาณาเขตนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสมรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีมอญตําบลบางเลา แขวงเมืองราชบุรีอพยพหนีไป ๖ ครอบครัว และกําลังขายบ้านเรือนไร่นา เตรียมการอพยพอีก ๗ ครอบครัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระยามนตรีสุริยวงศ์แทนสมุหกลาโหมออกไประงับเหตุแห่งความเดือดร้อนอันทําให้พวกมอญต้อง อพยพทิ้งบ้านเรือนไป และกําชับพวกด้านทางให้ป้องกันให้เข้มแข็งขึ้น
๒๐ นอกจากงานดังกล่าวแล้ว รามัญทั้ง ๗ เมืองก็อาจจะมีงานอื่นๆที่เป็นการจร ซึ่งแล้วแต่
ว่าจะได้รับคําสั่งมาเป็นคราว ๆ ไปเป็นต้นว่าเกณฑ์ให้ตัดไม่เพื่อใช่ทําด้ามพระแสงหอก
๒๑.ทําพลับพลาที่ประทับเวลาเสด็จพระราชดําเนินไปประพาสแควน้อยไทรโยค
๒๒.และในระยะหลังที่ไทยมีการติดต่อกับหัวเมืองพม่าตอนล้างที่เป็นของอังกฤษ ก็มีการไปมาค้าขายติดต่อกับเมาะตะมะ เมาะลําเลิง ร่างกุ้ง เป็นต้น ครั้นเมื่อมีราชการที่จะออกไปยัง เมืองเหล่านั้น ก็ได้อาศัยพวกรามัญ ๗ เมืองคอยรับส่งจัดที่พักและนําทางพวกอาทมาตเข้าไปถึงปลายด้านอยู่เสมอ ๆ
๒๓.ส่วนในยามสงครามนั้น รามัญทั้ง ๗ เมือง ก็ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเมืองเหล่านี้เป็นเส้นทางที่ยกทัพไปมาของพม่าและฝ่ายไทยเวลายกทัพไปรบก็อาศัยการเดินเรือในลําน้ำแควน้อยไปขึ้นบกไทรโยค และได้อาศัยพวกรามัญ ๗ เมือง ในการทําทางจัดตั้งกองเสบียงอาหารและที่พักเป็นระยะไป บรรดานายด้านนายกองได้รับพระราชทานเบี้ยหวัด คนหนึ่งปีละ ๖-๒๐ บาท ส่วนเจ้าเมืองได้ปีละ ๔๐ บาทเป็นอย่างสูง ๒๔ ทั้งเจ้าเมือง กรมการ นายด้านนายกอง จะต้องไปถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาปีละ ๒ ครั้ง ในเทศกาลตรุษและสารทเช่น เดียวกับข้าราชการทั่วไป โดยเข้าไปทําพิธีร่วมกับพระยากาญจนบุรีและกรมการ ณ วัดอารามในเมืองนั้น
การกระทําสัตยานุสัจจบ่ายหน้าไปยังกรุงเทพฯ หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสุวรรณวรรัตน์ เจ้าอาวาสวัดแป้นทองโสภาราม แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ หน้าที่ ๑๖๕ ได้สรุปหน้าที่ของชาวรามัญ ๗ หัวเมืองนี้ มีหน้าที่ดังนี้
๑. ลาดตระเวนรักษาด้านเป็นประจําฤดูเพื่อป้องกันพม่าเข้ามาสืบข้าวจากทางไทย
๒. สืบข่าวความเคลื่อนไหวของพม่า และคอยสกัดจับผู้คนที่หนีเข้าและออกในราชอาณาเขต
๓. ทําทางเดิน และจัดตั้งกองเสบียงในยามศึกสงคราม
๔. ตัดไม้เพื่อทําพระแสง หอก พลับพลาที่ประทับเวลาเสด็จหัวเมือง
๕. เกณฑ์คนรามัญเข้าร่วมขบวนแห่ในพระราชพิธีสําคัญ
๖. เกณฑ์คนไปร่อนทองที่คลองปีล็อก และคลองพลู เพื่อส่งส่วยทองคําให้กษัตริย์ไทยทุกปี
๗. ทําหน้าที่อื่น ๆ ตามรับสั่งหน้าที่อื่น ๆ เท่าที่ผู้เขียนทราบ เช่น ๑ ผาอิฐสร้างพระปฐมเจดีย์ สมัยรัชกาลที่ ๔ (สมุดไทยดําบ้านผู้เขียน) ๒. ตัดไม้จากป่าเมืองไทรโยค ลุ่มสุ่ม ท่าตะกั่ว สร้างพระเมรุมาศของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรม วงศานุวงศ์ (คําบอกเล่าของ ศาสตราจารย์ เกียรติคุณนายแพทย์สุเอ็ด คชเสนี)
ครั้นเมื่อเริ่มจัดการปกครองตามระเบียบใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ.๑๑๔) เป็นต้นมาได้ยกเลิกรามัญ ๗ หัวเมือง โดยยุบไปสังกัดขึ้นแก่เมืองกาญจนบุรี ฐานะของเมืองเหล่านั้นจึงมีการเปลี่ยน แปลงไปคือ เมืองทองผาภูมิ (เดิมเรียกว่าทองผาภูมิ) ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในเขตกิ่งอําเภอสังขละบุรี(ต่อมาเป็นอําเภอสังขละบุรี) ปัจจุบันเป็นอําเภอทองผาภูมิ เมืองท่าขนุน(สังขละบุรี) ยุบลงเป็นกิ่งอําเภอสังขละบุรี ขึ้นต่ออําเภอวังกะ ซึ่งตั้งใหม่อยู่ห่างจากท่าขนุนขึ้นไป ตั้งที่ว่าการริมน้ำสามสบ ต่อมาอําเภอวังกะและกิ่งอําเภอสังขละบุรีได้ถูกเปลี่ยนฐานสลับกันหลายครั้ง และต่อมากิ่งอําเภอสังขละบุรีตั้งอยู่ที่ตําบลวังกะ เดิมขึ้นต่ออําเภอทองผาภูมิและเปลี่ยนชื่อเป็นอําเภอสังขละบุรี ส่วนกิ่งอําเภอสังขละบุรีเดิมตั้งอยู่ที่ตําบลท่าขนุน เปลี่ยนเป็นอําเภอทองผาภูมิ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา เมืองไทรโยค ยุบลงเป็นกิ่งอําเภอวังกะใน พ.ศ.๒๔๙๒ ต่อมาได้โอนขึ้นกับอําเภอเมืองกาญจนบุรี ได้ย้ายที่ทําการหลายครั้ง ปัจจุบันนี้ตั้งที่ทําการอยู่ ที่ตําบลวังโพธิ์ และได้ยกขึ้นเป็นอําเภอไทรโยค เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เมืองท่าตะกั่ว ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตําบลท่าเสา อําเภอไทรโยค เมืองลุ่มสุ่ม ยุบลง
เป้นหมู่บ้านในตําบลลุ่มสุ่ม อําเภอไทรโยค เมืองสิงห์ ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตําบลสิงห์ อําเภอไทรโยค เมืองท่ากระดาน ยุบลงเป็นหมู่บ้าน ในอําเภอศรีสวัสดิ์ ในปัจจุบันนี้ทายาท ผู้สืบตระกูลของท่านผู้ว่าราชการหัวเมืองมอญทั้ง ๗ เมือง ได้อาศัยตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในบริเวณอําเภอโพธาราม อ. บ้านโป่ง ในตําบลต่าง ๆ ทั้งสองฝั่งแมน้ำแม่กลอง โดยเฉพาะตําบล คลองตาคต (บางเลาเดิมคือ บ้านคงคา) นอกจากนั้นก็มีกระจายอยู่เป็นอันมากในบริเวณตําบลต่าง ๆ ของอําเภอบ้านโป่ง และแม้ตําบลส่วนล่าง ๆ ของอําเภอท่ามะกาซึ่งอยู่ติดต่อกับส่วน บนของอําเภอบ้านโป่งก็มีเชื้อสายเครือของท่านเจ้าเมืองทั้ง ๗ อยู่เหมือนกัน
สําหรับบรรดาทายาทผู้สืบสกุลของท่านเหล่านี้จะทราบได้โดยง่ายโดยการสังเกตนามสกุลซึ่งมีอยู่มากมายหลายนามสกุลด้วยกัน
ผู้เขียนต้องขอออกตัวไว้เสียก่อนว่าอาจจะมีขาดตกบกพร้องไปบ้างไม่มากก็น้อย ตัวอย่างนามสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ เมืองแห่งจังหวัดกาญจนบุรีเท่าที่สามารถ จะรวบรวมได้มีดังนี้
พระสมิงสิงหบุรินทร์ เมืองสิงขบุรี ได้แก่นามสกุล สิงคิบุรินทร์ ธํารงโชติ ปลัดสิงห์
พระนิพนธ์ภูมิบดี เมืองลุ่มสุ่ม ได้แก่นามสกุล นิลบดี นินทบดี
พระบรรเทาพระชินดิฐบดี เมืองท่าตะกั่ว ได้แก่นามสกุล ป้นยารชุน ชินอักษร ชินบดี ชินหงษา มัญญหงส์ ท่ากั่ว อักษร จ่าเมือง หลวงพันเทา นิลบดี (สายหลวงพันเทาทุกขราษฎร์จุย)
พระปนนสติฐบดี เมืองท่าขนุน ได้แก่นามสกุล หลักคงคา กุลอาจยุทธ์ ยศศักดิ์ พลเภรีย์
พระผลกติฐบดี เมืองท่ากระดาน ได้แก่นามสกุล พลบดี ตุลานนท์ พลดี
พระนิโครธาภิโยค เมืองไทรโยค ได้แก่นามสกุล นิไชยโยค นิโครธา นิไทรโยค นิโกรธา
พระไทรโยค มะมม หลวงสงคราม หลวงพล หลวงปลัด ศรีสงคราม
พระเสลภูมิบดี เมืองทองผาภูมิ ได้แก่นามสกุล เสลานนท์ เสลาคุณ
นอกจากนี้ท่านผู้ใดเป็นลูกหลานมอญลุ่มน้ำแม่กลอง มีคําขึ้นต้นสกุลว่า จางวาง จักกาย หมื่น ขุนหลวง ยกกระบัตร นําหน้าล้วนแล้วแต่เป็นสกุลของคณะกรมการเมืองทั้ง ๗ นี้ทั้งสิ้น
ณ บัดนี้เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตกาลก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วสิ่งที่ท่านผู้นําชาวมอญทั้งหลายรวบรวมทั้งท่านที่มีเรื่องราวปรากฏดังที่ผู้เขียนได้บรรยายมาข้างต้นได้ทิ้งไว้เบื้องหลังของท่านก็คือเกียรติประวัติอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญจะเป็นเรื่องที่เล่าขานกันในบรรดาอนุชนรุ่นหลังตลอดจนทายาทสืบสายสกุลของท่านต่างๆเหล่านี้ไปอีกนานแสนนาน
สิ่งที่ท่านเหลือไว้ดูต่างหน้าก็คงจะไม่มีอะไรมากนอกจากพระเจดีย์ทรงรามัญรายรอบภายในกําแพงแก้วพระอุโบสถวัดคงคารามตัวแทนเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ และอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของท่าน เรียงรายกันอยู่ภายนอกกําแพงแก้วพระอุโบสถของวัดคงคาราม อันเป็นวัดที่ท่านเหล่านี้ได้ช่วยกันก่อร่างสร้างกันขึ้นมาและเป็นสถานที่ที่ท่านได้เคยทําบุญสมาทานศีล ตลอดจนเป็น แหล่งสุดท้ายที่พวกท่านหลับตา
ลงอย่างสงบเป็นวาระสุดท้าย ด้วยความหวังว่าลูกหลานของท่านภายหน้าคงจะไม่ละทิ้งแนวปฏิบัติและลัทธรรมเนียมประเพณีอย่างที่ท่านได้เคยกระทํามาในอดีตกาล ผู้ งชาติ ห้องสมุดโรงเรียนสตรีวิทยา ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ สุเอ็ด คชเสนี อดีตนายกสมาคมไทยรามัญ และอาจารย์สุภรณ์ โอเจริญ เป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้ด้วยเอกสารอ้างอิง
๑. ไทยรบพม่า พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ สํานักพิมพ์คลังวิทยา พ.ศ. ๒๕๑๔ หน้า ๓๔๖
๒. บรรณานุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนอาโภคคดี ณ เมรุวัดคงคาราม จ. ราชบุรี ประวัติมอญเข้า กรุงสยาม ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๘
๓. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ (ควรเป็นรัชกาลที่ ๒) ท้องตราเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึง พระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี เรื่องรามัญในกองพระรัตนจักรหลบหนีการทัพ ๕ คน ให้บอก ด้านทางและแต่งคนออกก้าวสกัดจับตัว จ.ศ. ๑๑๘๓ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๒
๔. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ บอกพระพิไชยภักดีเมืองกาญจนบุรี ตอบรับท้องตรา เรื่องให้พระยาไทรโยค แต่งคนออกไปลาดตระเวนจับ พม่า ทางเมืองทวายวัน ๔ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๒ ๑๑๘๔ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๗
๕. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ เรื่องบอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี เรื่องแต่งขุนหมื่น ๑๑ ออกลาดตระเวนชายแดนวัน ๗ ฯ
๕ . ปีมะแม จ.ศ. ๑๑๘๕ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๙
๖. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ สําหรับพระพิพิธสาลี ไม่ปรากฏชื่อโรงพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ หน้า ๓๙๗
๗. ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระมหาโพธิวงศาจารย์ อินทโชตเถระ) โรงพิมพ์ดํารงธรรม ธนบุรี พ.ศ. ๒๕๑๑
๘. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ จดหมายเหตุระยะทางเสด็จประพาสในรัชกาลที่ ๔เด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๒ ปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๔๓๑ (พิมพ์ในงานถวายพระเพลิง พระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ) โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒนากร กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๖๓ หน้า ๒๙-๓๐
๙. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๐
๑๐. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๘
๑๑. พระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงพิมพ์คุรุสภา กรุงเทพ ฯ พ.ศ.๒๕๐๔ หน้า ๗๙-๘๒ เอกสารอ้างอิงต่อไปนี้ (ตั้งแต่หมายเลข ๑๒ จนถึงหมายเลข ๒๔) เป็นเอกสารอ้างอิงที่ได้จากสุภรณ์ โอเจริญ ในวิทยานิพนธ์เพื่อปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิอทยาลัย พ.ศ. ๒๕๑๖ เรื่องชาวมอญในประเทศ : วิเคราะห์ฐานะและบทบาทในสังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางถึง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
๑๒. สมุดราชบุรี หน้า ๗๖ ๑๓. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ค.
๑๓. ๒/๒๓ หนังสือพระยาศรีสหเทพกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่อง การเก็บเงินส่วยพวกมอญและเกรี่ยงในมณฑลราชบุรีและเพชรบุรี ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓)
๑๔. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ,แฟ้มค. ๑๓.๒/๒๓ หนังสือสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพเสนาบดี มหาดไทย กราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่องการเก็บเงินส่วย ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๙
๑๕. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ม.๒.๑๔/๕๔ รายงานพระยาเดชศักดาวุธ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล ราชบุรี ตรวจราชการเมืองกาญจนบุรี ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๙
๑๖. กองจดหมายเหตุ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔, เล่ม ๑๗ หน้า ๙๙
๑๗. หอสมุดแห่งชาติ,เอกสารตัวเขียนสมุดไทดํา รัชกาลที่ ๒ เลขที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๓
๑๘. หอสมุดแห่งชาติ, เอกสารตัวเขียนสมุดไทดํา รัชกาลที่ ๔ เลขที่๔๗ จ.ศ. ๑๒๑๕
๑๙. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ เล่ม ๕ เลขที่ ๖๗ จ.ศ. ๑๒๑๕,หน้า ๑๘๕-๑๘๘
๒๐. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้มม.๕.๑ ก./ ๓๑เรื่องพวกรามัญแขวงเมืองราชบุรีหนีออกไปนอกพระราชอาณาเขตร.ศ. ๑๐๙-๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔)
๒๑. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ และ ๕ เลขที่ ๗๒ จ.ศ. ๑๒๑๕ หน้า ๑๙๙
๒๒. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ม. ๒. ๑๒ ก./๓ ใบบอกเมืองกาญจนบุรีเรื่องได้เกณฑ์ผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมืองไปรับราชการทําพลับพลารับเสด็จพระราชดําเนินตามระยะทางถึงไทรโยค ลงวันที่ ๖ กันยายน ร.ศ. ๑๐๙
๒๓. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ ,ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ เล่ม ๓๓ จ.ศ. ๑๒๒๙ หน้า ๒๓๗ - ๒๓๘
๒๔. สมุดราชบุรี, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓
ประวัติมอญในจังหวัดราชบุรี
ราวปีพุทธศักราช 2300 ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาอัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และ พระยาทะระ พระมหากษัติร์มอญองค์สุดท้ายแห่งกรุงหงสาวดี โดยมี พระเจ้าอะลองพระยา(พระเจ้ามังลอง)ปกครองเมืองกรุงอังวะ ได้ยกทัพตีเมืองหงสาวดีได้จุดไฟเผาเมืองพินาศสิ้นจนถึงเมืองเมาะตะมะและเมาะลำเลิง มอญจึงเสียเอกราชให้แก่พม่าและชื่อรามัญประเทศ ก็หายไปจากแผนที่โลก มาจนถึงปัจจุบันนี้
ในราวพุทธศักราช 2310 ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้กู้เอกราชคืนมาได้ จึงตั้งกรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ความก็ทราบถึงหัวหน้ามอญที่หลบซ่อนอยู่ ก็ชวนสมัคร พักพวกอพยพครอบครัวมอญประมาณ 1,000 ครอบครัว หนีพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โดยหัวมอญติดต่อผ่านมายังเจ้าพระยารามัญวงศ์ แต่พอดีเกิดจราจลที่กรุงธนบุรี ครอบครัวมอญจึงต้องพักที่เมืองไทรโยคก่อน ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จกลับจากยกทัพไปปราบเขมรและเข้าปราบจราจลในกรุงธนบุรีแล้ว ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักกรีบรมนาถ ( พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เจ้าพระยารามัญวงค์ กราบทูลเรื่องมอญขอ พึ่งพระบรมโพธิสมภารให้ทรงทราบ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ เจ้านายมอญที่เหลือชีวิตอยู่ 7 คน ให้เป็นนายด่านป้องกันเมืองชายแดน 7 เมือง เมืองทั้ง 7 นั้น ได้แก่ ไทรโยค ท่าขนุน ท่ากระดาน ท่าตะกั่ว ลุ่มสุ่ม เมืองสิงห์และทองผาภูมิ ( ปัจจุบันเมืองเหล่านั้น บ้างก็เป็นอำเภอ บ้างก็เป็นตำบลอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ) ชาวรามัญเรียกเจ้าเมืองทั้ง 7 นี้ว่า จั๊ดเดิงหะเป๊าะ โดยมีเจ้าเมืองไทรโยคเป็นหัวหน้าอีกทีหนึ่ง เมืองทั้ง 7 มีหน้าที่เป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน ต่อมาได้มีมอญอพยพครอบครัวเข้ามาอีกประมาณ 5,000 ครอบครัวจึงทำ ให้ไม่มีที่ทำมาหากินเพราะภูมิประเทศเป็นภูเขาลำเนาไพร ดังนั้นมอญบางพวกจึงอพยพไปทางเมืองปทุมธานี ลพบุรี หัวหน้ามอญทั้ง 7 จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปหาเจ้าพระยารามัญวงค์และ พระยามหาโยธา เจ้าพระยาทั้งสองท่านจึงพาเข้ากราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ทำมาหากิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระยามอญทั้ง 7 เลือกที่ทำมาหากินเอาเองแล้วแต่จะพอใจที่ใด พยามอญทั้ง 7 จึงทูลขอที่ริมสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่เมืองไทรโยค จนถึงเมืองราชบุรี แล้วจึงพระราชทานท้องตราให้พระยามอญทั้ง 7 มาด้วย ฝ่ายพระยามอญทั้ง 7 ได้พิจารณาเห็นว่าที่บริเวรตั้งแต่อำเภอบ้านโป่งถึงอำเภอโพธาราม เป็นทำเลที่เหมาะแก่การที่จะตั้งบ้านเมืองของพวกตน
เดิมทีที่ตั้งสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองนี้เป็นที้ตั้งบ้านเรือนของชาวลาวเวียงจันทร์ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยครั้งสมัย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ซึ่งได้ตั้งบ้านเรือนเป็นโรงนาเล็กฯ พระยามอญจึงได้ เอาท้องตรามาให้ดูว่าบัดนี้ พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่เหล่านี้ให้แก่พวกมอญแล้ว ดังนั้นชาวลาวเวียงจันทร์จึงถอยร่นออกไปอยู่ ณ บริเวร วัดโบสถ์ วัดบ้านเลือก วัดบ้านฆ้อง บ้านสิงห์
เมื่อได้ทำเลแล้วจึงมีหนังสือมาถึงเจ้าพระยามอญทั้งสอง เพื่อขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯได้ ดังนั้น วัดคงคา จึงเป็น วัดแรกของชาวไทยรามัญ มีเจดีย์รอบๆพระอุโบสถ 7 องค์ ซึ่งหมายถึงเมืองหน้าด่านทั้ง 7 เมืองนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชทานตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคงคารามเป็นพระราชาคณะฝ่ายรามัญ ที่พระครูรามัญญาธิบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่รามัญนิกายเมืองราชบุรี จนถึงสมัยรัชการที่ 5 จึงยกเลิกถึงบัดนี้ ในสมัยรัชการที่ 2 ได้โปรดเกล้าให้เจ้าเมืองหัวหน้ามอญทั้ง 7 เป็นที่ พระไทรโยค พระท่าขนุน พระท่ากระดาน พระท่าตะกั่ว พระลุ่มสุ่ม พระสิงห์ และพระทองผาภูมิ ชาวมอญได้คิดสร้างวัดตามหมู่บ้านใหญ่รุ่นที่ 2 คือ วัดใหญ่นครชุมน์ วัดม่วง วัดบ้านฆ้อง ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีวัดมอญรุ่น ที่ 3 คือ วัดป่าไผ่ วัดไทร วัดเกาะ วัดตาผา วัดบ้านโป่ง วัดโชค วัดตาลปากลัด วัดหัวหิน วัดโพธิ์โสภาราม วัดมะขามและวัดม่วงล่าง และในสมัยรัชการที่ 4 มีวัดมอญรุ่นที่ 4 คือ วัดหนองกลางดง วัดชัยรัตน์ วัดหุบมะกล่ำ วัดดอนกระเบื้อง และวัดเขาช่องพราน ( โดยมีพระยาเทพประชุน ต้นตระกูลปัณยารชุน เป็นผู้ดูแล เป็นเชื้อสายพระยามอญทั้ง 7 เหมือนกัน)
ในสมัยสร้าง วัดใหญ่นครชุมน์ พระยาทองผาภูมิ ได้อพยพพาญาติพี่น้องไปอยู่ที่วัดใหญ่นครชุมน์เพื่ออุปการะวัดใหญ่นครชุมน์ ต่อมาวัดมอญในเขตอำเภอบ้านโป่งจะไปทำสังฆกรรมร่วมกันท ี่วัดใหญ่นครชุมน์
ในสมัยรัชการที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของเมืองหน้าด่านทั้ง 7 เมือง จึงพระราชทานนามเจ้าเมืองทั้ง 7 นี้เสียใหม่
1. พระไทรโยค เป็นที่ พระนิโครธาภิโยค ใช้นามสกุล นิไชยโยค นิโครธา นิไทร โยค มะมม
2. พระท่าขนุน พระปันนสติษฐบดี หลักคงคา
3. พระท่ากระดาน พระผลกะติฐบดี พลบดี ตุลานนท์
4. พระท่าตะกั่ว พระชินดิษฐบดี ชินอักษร ชินบดี ชินหงษา มัญญหงษ์
5. พระลุ่มสุ่ม พระนิพนธ์ภูมบดี นินบดี นิลบดี นิลทบดี พระบรรเทา จ่าเมือง หลวงบรรเทา หลวงพันเทา
6. พระเมืองสิงห์ พระสมิงสิงบุรินทร์ สิงคิบุรินทร์ ธำรงโชติ
7. พระทองผาภูมิ เป็นที่ พระเสลภูมาธิบดี เสลานนท์ น้องชายใช้ เสลาคุณ
ครั้นเมื่อเมื่อเริ่มจัดการปกครองใหม่เมื่อ พ.ศ.2438 (ร.ศ.114) เป็นต้นมาได้ยกเลิกรามัญ 7 หัวเมือง โดยยุบไปสังกัดแก่เมืองกาญจนบุรี ฐานะของเมืองเหล่านี้จึงเปลี่ยนไป
หนังสืออ้างอิง
1.พร เยี่ยงสว่าง , ประวัติมอญเมืองไทย , เอกสารเย็บเล่ม , 2522
2.บรรณนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ, รองอำมาตย์โท ขุนอาโภคคดี, รวมเกล็ด
พงศาวดารและประวัติศาสตร์ชนชาติมอญ, กรุงเทพฯ, กรุงสยามการพิมพ์ , 2525
3. บรรณานุสรณ์งานฌาปนกิจศพ, พระอาจารย์แป๊ะ สหโช , ประวัติวัดคงคาราม
4. ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอบ้านโป่ง , ท้องถิ่นศึกษา ตอน 1 เล่ม 1 รวมเผ่าพงษ์ไทยบ้านโป่ง
5. หลักฐาน คุณตาแคล้ว และคุณยายถนอม เสลานนท์
6. 100 วัน แม่ประจิม ปันปี
7. บันทึก สารตรา ท่านเจ้าพระ พระยาสาร วันที่ ๙ พฤศจิกายน รศ. ๑๒๒ ถึง หลวงวิวิตภักดี ผู้ช่วยสงคราม
ขออนุญาตคัดลอกเรื่องผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมือง
บรรพชนในตระกูลของชาวรามัญในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี
อ.โสภณ นิไชยโยค
มอญเจ็ดหัวเมืองกับสงครามเก้าทัพ
ทิศทางที่ ๑ เจ้าพระยาธรรมาธิบดี เป็นแม่ทัพหน้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นแม่ทัพหลวง พระยามหาโยธา คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ คนไปขัดตาทัพที่ด่านกรามช้าง
บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้มีว่า
แต่นายทัพนายกองทั้ง ๓ นาย คอยสกัดตีกองลำเลียงพม่า และจับพม่ามาได้บ้าง ส่งให้ทัพหลวง แล้วคิดย่อท้อต่อข้าศึก หลีกหนีไปซุ่มทัพตั้งอยู่ที่อื่น กรมพระราชวังบวรฯทรงทราบ จึงรับสั่งให้ข้าหลวง ไปสอบข้อเท็จจริง ถ้าจริงก็ให้ประหารชีวิต และตัดศีรษะมาถวาย ส่วนปลัดทัพทั้ง ๒ นั้น ให้เอาขวานสับศีรษะคนละ ๓ เสี่ยง ข้าหลวงไปสอบและประจักษ์ด้วยตาแล้วว่าเป็นความจริง จึงปฏิบัติตาม พระราชบัณฑูร ตัดศีรษะพระยาทั้งสาม นำชะลอมใส่ศีรษะทั้งสามมาถวาย ณ ค่าย มีพระราชบัณฑูรให้เสียบประจานไว้หน้าค่ายอย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง
แล้วดำรัสให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจรคุมพล ๑,๐๐๐ คน ไปสมทบกันกับกองโจรเดิม ๕๐๐ เป็น ๑,๕๐๐ คน ไปคอยสกัดตีกองลำเลียงของพม่าที่ตำบลพุไคร้ดังแต่ก่อน เพื่อมิให้พม่าส่งลำเลียงข้าวปลาอาหารได้ ปรากฏว่าได้ผลดี ส่งเชลยพม่าที่จับได้ ช้าง ม้า โค เสบียงอาหาร มาถวายเนืองๆ
ครั้งนั้น พม่าได้ตั้งหอรบแล้วเอาปืนใหญ่ไปตั้งยิงค่ายทัพไทย ทัพไทยไม่มีลูกปืนใหญ่ เอาไม้มาทำเป็นลูกปืนระดมยิงค่ายพม่าพังไปหลายตำบล พม่าถูกลูกปืนไม้ล้มตายและลำบากเป็นอันมาก ออกจากค่ายก็ไม่ได้ เสบียงก็ขัดสน ถอยกำลังลง กรมพระราชวังบวรฯ จึงทรงแต่งหนังสือข้อราชการสงครามให้ข้าหลวงถือมากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ซึ่งทรงเตรียมกองทัพไว้แล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงเสด็จฯกรีธาทัพหลวงกำลังพล ๒๐,๐๐๐ คนไปช่วย เพื่อให้ศึกเสร็จสิ้นโดยเร็ว...
พระองค์เจ้าขุนเณร นี้ เป็นโอรสเลี้ยงในสมเด็จพระพี่นางเธอพระองค์ใหญ่ (ในรัชกาลที่ ๑) คือเป็นบุตรของพระภัสดากับภริยาอื่น นัยว่าพระชนม์สูงกว่ากรมพระราชวังหลังพระโอรสองค์ใหญ่ใน สมเด็จพระพี่นางเธอฯ
พระยาเสลาภูมาธิบดี
พระทองผาภูมิได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พระยาเสลาภูมาธิบดี ภายหลังได้ทำศึกสงครามเก้าทัพที่ทุ่งลาดหญ้า ซึ่งมอญเจ็ดหัวเมืองนั้นได้รับใช้และเป็นหัวเมืองหน้าด่านทั้งหาข่าว กรองแล้วรีบรายงานด่วนถึงพระมหากษัตริย์ ในสงครามเก้าทัพมอญทั้งเจ็ดหัวเมืองเพื่อรายงานข่าวกรองว่าพม่าได้เดินทางมาทางด่านเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ให้สมเด็จเจ้าขุนเณรคุมกำลังส่วนหนึ่งและมี มอญทั้งเจ็ดหัวเมืองอยู่ในความบังคับบัญชา ตั้งค่ายทางทิศตะวันตก................ ภายใต้การบังคับบัญชาของกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท หลักฐานในบันทึก กรมทหารราบที่ ๙ ทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี พระยาเจ่งจะคุมมอญอีกชุดหนึ่ง การรบที่ทุ่งลาดหญ้านับเป็นสงครามที่สำคัญของประวัติชาติไทย ที่มีผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมิมีใครกลัว เกรงข้าศึก
มอญเจ็ดหัวเมืองมีความสำคัญมากในขณะนั้น และได้รับพระราชทานเป็น พระยา ๓ ท่าน ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามเก้าทัพ ถึงมอญเจ็ดหัวเมืองจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์น้อยมากแต่ก็ เป็นกำลังที่สำคัญโดยเฉพาะการข่าว ข่าวกรอง เพราะมอญเจ็ดหัวเมืองมีความชำนาญเส้นทางประจวบกับมีญาติที่อยู่ในเขตพม่าที่ให้ข่าวสาร จึงทำให้การข่าวของไทยได้รับทราบรวดเร็ว และสามารถตั้งรับข้าศึกดำเนินการวางแผนได้ดี
พระยาเสลาภูมาธิบดี ได้รับพระราชทานดังนี้
๑. ผ้านุ่งและผ้าไหม กำได้หนึ่งกำมือ และได้มอบให้บุตรชายคนรองเก็บรักษาอยู่
๒. ธงชาติพระราชทาน ธงพื้นสีแดงตรงกลางเป็นช้างเผือกไม่มีทรงเครื่อง
๓. ผ้าขลิบสีน้ำเงินพระราชทานให้หลวงวิชิตสงครามบุตรชายคนโตของพระยาเสลา
ภูมาธิบดี ผ้าผุพังหมดแล้วสมัยผมเป็นเด็กเคยจับดูขาดหมด แล้วจึงเก็บกระดุมไว้ ๓ เม็ด
จากหลักฐานทางเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงเมืองกาญจนบุรี คือ พงศาวดารเหนือ กล่าวว่า "กาญจนบุรีเป็นเมืองพญากง พระราชทานบิดาของพระยาพาน เป็นเมืองสำคัญของแคว้นอู่ทอง หรือสุวรรณภูมิ มีผู้สันนิษฐานว่าพญากงสร้างขึ้นราว พ.ศ.1350" ต่อมาขอมได้แผ่อิทธิพลนำเอาศาสนาพุทธมหายานเข้ามาประดิษฐานในเมืองกาญจนบุรี ปรากฏหลักฐานคือปราสาทเมืองสิงห์ เมืองครุฑ เมืองกลอนโด จนอำนาจอิทธิพลขอมเสื่อมลงไป
สมัยอยุธยาเป็นราชธานี
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองกาญจนบุรีปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ต้องกลายมาเป็นเมืองหน้าด่าน เพราะตั้งอยู่ติดกับประเทศคู่สงครามคือพม่า กาญจนบุรีจึงเป็นเส้นทางเดินทัพและสมรภูมิ ด้วยเหตุว่ามีช่องทางเดินติดต่อกับพม่า คือ ด่านพระเจดีย์สามองค์ และด่านบ้องตี้ จึงนับว่ามีความสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในทางยุทธศาสตร์ ยังปรากฏชื่อสถานที่ในพงศาวดารหลายแห่งเช่น ด่านพระเจดีย์สามองค์ สามสบ ท่าดินแดง พุตะไคร้ เมืองด่านต่าง ๆ เมืองกาญจนบุรีตั้งอยู่ในช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่มีลำตะเพินอยู่ทางด้านทิศเหนือ ด้านหลังติดเขาชนไก่ ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันไปประมาณ 14 กิโลเมตร ชาวบ้านเรียกกันว่าเมืองกาญจนบุรีเก่ามีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 170x355 เมตร มีป้อมมุมเมืองก่อด้วยดินและหินทับถมกัน ลักษณะของการตั้งเมืองเหมาะแก่ยุทธศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นซอกเขาที่สกัดกั้นพม่าที่ยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มุ่งจะไปตีเมืองสุพรรณบุรีและอยุธยาจำเป็นต้องตีเมืองกาญจนบุรีให้ได้เสียก่อน หากหลีกเลี่ยงไปอาจจะถูกกองทัพที่เมืองกาญจนบุรีตีกระหนาบหลัง ปัจจุบันยังมีซากกำแพงเมือง ป้องปราการ พระปรางค์ เจดีย์ และวัดร้างถึง 7 วัดด้วยกัน สมัยอยุธยานี้ไทยต้องทำสงครามกับพม่าถึง 24 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิหลายครั้ง และเป็นทางผ่านไปตีอยุธยาจนต้องเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 และต้องย้ายราชธานีใหม่
สมัยธนบุรีเป็นราชธานี
กรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่จากการกู้เอกราชโดยพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสมัยนี้เกิดสงครามกับพม่าถึง 10 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิอีกหลายครั้ง เช่น สงครามที่บางกุ้ง และที่บางแก้ว ซึ่งมีสมรภูมิรบกันที่บริเวณบ้านหนองขาว
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
เมื่อไทยย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียง 3 ปี ก็เกิดสงครามใหญ่คือ สงคราม 9 ทัพ แต่ไทยสามารถยันกองทัพพม่าแตกพ่ายไปได้ ณ สมรภูมิรบเหนือทุ่งลาดหญ้าในปีต่อมาก็ต้องทำสงครามที่สามสบและท่าดินแดงอีก และไทยตีเมืองทวาย จากนั้นจะเป็นการรบกันเล็กน้อยและมีแต่เพียงข่าวศึก เพราะพม่าต้องไปรบกับอังกฤษในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้น และเลิกรบกับไทยตลอดไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยุทธศาสตร์การรบเปลี่ยนไป โดยเหตุที่พม่าต้องนำทัพลงมาทางใต้เพื่อเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องมีทัพเรือล่องลงมาจากสังขละบุรี มาตามลำน้ำแควน้อยผ่านอำภอไทรโยค มายังปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้งสอง ด้วยเหตุนี้หลังจากสิ้นสงคราม 9 ทัพแล้ว จึงได้เลื่อนที่ตั้งฐานทัพจากเมืองกาญจนบุรีที่ลาดหญ้า มาตั้งที่ตำบลปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย กลายเป็นแม่น้ำแม่กลอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงอธิบายว่า "ที่จริงภูมิฐานเมืองปากแพรกดีกว่าเขาชนไก่ เพราะตั้งอยู่ในที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย พื้นแผ่นดินที่ตั้งเมืองก็สูงแลเห็นแม่น้ำน้อยได้ไกล ป้อมกลางย่านตั้งอยู่กลางลำน้ำทีเดียว แต่เมืองกาญจนบุรีที่ย้ายมาตั้งใหม่นี้เดิมปักเสาระเนียดแล้วถมดินเป็นเชิงเทินเท่านั้น" ในสมัยรัชกาลที่ 2 กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จออกมาขัดตาทัพ กำแพงเมืองก็คงเป็นระเนียดไม้อยู่ ต่อมาจนถึง พ.ศ.2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นถาวร ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จพระพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน
การปกครองของเมืองกาญจนบุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยเมืองด่าน 8 เมือง อยู่ในแควน้อย 6 เมือง แควใหญ่ 2 เมือง ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ เพราะได้ตั้งให้พวกมอญอาสา มอญเชลย และกะเหรี่ยง เป็นเจ้าเมืองปกครองกันเอง เพื่อให้มีเกียรติศัพท์ดังออกไปเมืองพม่าว่ามีหัวเมืองแน่นหนาหลายชั้น และมีหน้าที่คอยตระเวรด่านฟังข่าวคราวข้าศึกติดต่อกันโดยตลอด เมื่อสงครามว่างเว้นลงแล้ว เจ้าเมืองกรมการเหล่านี้ก็มีหน้าที่ส่งส่วย ทองคำ ดีบุก และสิ่งอื่นๆ แก่รัฐบาลโดยเหตุที่ในสมัยนั้นมิได้จัดเก็บภาษีอากรจากพวกเหล่านี้แต่อย่างใด เมืองด่าน 7 เมือง(รามัญ 7 เมือง) ประกอบด้วยเมืองในสุ่มแม่น้ำแควน้อย 6 เมือง และแควใหญ่ 1 เมือง คือ
เมืองสิงห์
เมืองลุ่มสุ่ม
เมืองท่าตะกั่ว
เมืองไทรโยค
เมืองท่าขนุน
เมืองทอผาภูมิ
เมืองท่ากระดาน
เมืองต่างๆ เหล่านี้ผู้สำเร็จราชการเมืองยังไม่มีพระนาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นภาษาสันสกฤตแก่ผู้สำเร็จเมือง ดังนี้
เมืองสิงห์ เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ ปัจจุบันเป็นต้นสกุล สิงคิบุรินทร์ ธำรงโชติ
เมืองลุ่มสุ่ม เป็น พระนินภูมิบดี ปัจจุบันเป็นต้นสุกล นินบดี จ่าเมือง หลวงบรรเทา
เมืองท่าตะกั่ว เป็นพระชินติฐบดี ปัจจุบันเป็นต้นสกุล ท่าตะกั่ว ชินอักษร ชินหงสา
เมืองไทรโยค เป็น พระนิโครธาภิโยค ปัจจุบันเป็นต้นสกุล นิโครธา
เมืองท่าขนุน เป็นพระปนัสติฐบดี ปัจจุบันเป็นต้นสกุล หลักคงคา
เมืองทองผาภูมิ เป็น พระเสลภูมิบดี เป็นต้นสกุลเสลานนท์ เสลาคุณ
เมืองท่ากระดาน เป็นพระผลกติฐบดี เป็นต้นสกุล พลบดี ตุลานนท์
ครั้นเมื่อมีการปกครองตามระเบียบสมัยใหม่ ร.ศ.114 เมืองด่านเหล่านี้ถูกยุบลงเป็นหมู่บ้าน ตำบล กิ่งอำเภอ เป็นอำเภอบ้างตามความสำคัญของสถานที่ ดังนี้
เมืองทองผาภูมิ (เดิมเรียกว่าท้องผาภูมิ) ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในเขตกิ่งอำเภอสังขละบุรี(ต่อมาเป็นอำเภอสังขละบุรี) ปัจจุบันเป็นอำเภอทองผาภูมิ
เมืองท่าขนุน(สังขละบุรี) ยุบลงเป็นกิ่งอำเภอสังขละบุรี ขึ้นต่ออำเภอวังกะ ซึ่งตั้งใหม่อยู่ห่างจากท่าขนุนขึ้นไป ตั้งที่ว่าการริมน้ำสามสบ ต่อมาอำเภอวังกะและกิ่งอำเภอ สังขละบุรีได้ถูกเปลี่ยนฐานสลับกันหลายครั้ง และต่อมากิ่งอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลวังกะ เดิมขึ้นต่ออำเภอทองผาภูมิและเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสังขละบุรี ส่วนกิ่งอำเภอ สังขละบุรีเดิมตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนุน เปลี่ยนเป็นอำเภอทองผาภูมิ ตั้งแต่ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา
เมืองไทรโยค ยุบลงเป็นกิ่งอำเภอวังกะ ใน พ.ศ.2492 ต่อมาได้โอนขึ้นกับอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้ย้ายที่ทำการหลายครั้ง ปัจจุบันนี้ตั้งที่ทำการอยู่ที่ตำบลวังโพธิ์ และได้ ยกขึ้นเป็นอำเภอไทรโยค เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2506
เมืองท่าตะกั่ว ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค
เมืองลุ่มสุ่ม ยุบลงเป็นหมู่บ้านในตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค
เมืองสิงห์ ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค
ผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมือง
บรรพชนต้นตระกูลของชาวรามัญในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี
อ.โสภณ นิไชยโยค ( ขอคัดบทเพื่อเผยแพร่ประวัติเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ )
มอญที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามโดยเฉพาะในสมัยแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เขามาอาศัยตั้งถิ่นฐานบ้าน เรือนทํามาหากินอยู่ในประเทศสยามหลายแห่งหลายตําบลหลายอําเภอและหลายจังหวัดมอญเหล่านี้ตระหนักดี วาพระมหากษัตริย์เจ้าแห่งสยามประเทศนั้นเป็นพระบรมโพธิสมภารแหล่งสุด ท้ายของพวกเขาไม่มีที่อื่นใดอีกด้วยเพราะพวกเขาได้หมดสิ้นแล้วซึ่งแผ่นดินถิ่นอาศัยสิ้นแล้วซึ่งพระเจ้าเหนือหัวของพวกเขาเองมาเป็นเวลากว่า ๒๐๐ ปีแล้วเพราะฉะนั้นมอญที่เข้ามาอยู่ใน ประเทศสยามนี้จึงได้เทิดทูนองค์พระมหากษัตราธิราชเจ้าของไทยให้ทรงเป็นองค์พระมหากษัตริยร์ของพวกตนด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุดด้วยใจจริง เราคงจะเคยได้ยินได้ฟังพฤติกรรม ของชาวมอญในประเทศไทยในแห่งหนใดก็ตาม นอกจากมอญจะทําตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยโดยการประพฤติตนให้ชอบตามกฎหมายบ้านเมือง ประกอบการอาชีพที่สุจริตแล้ว เราก็อาจจะเคยได้ยินว่ามีมอญจํานวนไม่ใช่น้อย ได้มีโอกาสอาสาเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในหน้าที่ต่างๆ กันบางพวกก็รับ ราชการเป็นนายทหารเป็นแม่ทัพนายกองเป็นกรมอาทมาตเป็นกรมดั้งทองเป็นกรมดาบสองมือ เป็นผู้ว่าราชการเมืองทั้งส่วนกลางและหัวเมือง มีปรากฏในประวัติศาสตร์ของ ไทยโดยเฉพาะในตอนต้น ของกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดมา
ในโอกาสนี้จะกล่าวถึงเกียรติประวัติของมอญกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมีความดีความชอบ และมีเกียรติคุณอันพึงยกย่องสรรเสริญ เป็นเกียรติที่ลูก หลานและทายาทพึงจะภาคภูมิใจและยึดถือเป็นฉบับที่ควรเอาอย่างตลอดไปมอญกลุ่มนี้เป็นกลุ่มชาวมอญโพธาราม ที่มีนิวาสน์สถานอยู่บริเวณบ้านคงคาราม ตําบลคลองตาคต อําเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และอีกหลายตําบลในอําเภอโพธาราม อําเภอบ้านโป่ง และหลายๆ หมู่บ้านในอําเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี อําเภอท่า มะกา จังหวัดกาญจนบุรี ได้อพยพมาจากบ้านเกิดเมืองนอนเดิมของตนที่เป็น ประเทศ พม่า ปัจจุบันนี้แล้วก็ได้มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนทํามาหากินอยู่ในบริเวณสถานที่ดังกล่าวแล้ว ต่อมาก็ได้อาสาเข้ารับ ราชการสนองพระเดชพระคุณโดยได้เป็นผู้ว่าราชการหัวเมืองต่าง ๆ จํานวน ๗ หัวเมือง โดยขึ้นกับเมืองกาญจนบุรี ทั้งนี้เพื่อมีหน้าที่เป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ เนื่องจาก หัวเมืองต่างๆ เหล่านี้เป็นเมืองหน้าด้านเป็น ทางผ่านของอริราชศัตรูอยู่เป็นนิตย์ ส่วนหน้าที่โดยละเอียดและปลีกย่อย ตลอดจนความเป็นอยู่ของบรรดาท่านผู้ว่าราชการเหล่านี้ และชาวเมืองคนมอญที่อาศัยอยู่ด้วยจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างนั้น ผู้เขียนจะได้กล่าวต่อไปเป็นลําดับดังนี้
ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๓ (ปีมะโรงจุลศักราช ๑๑๒๒)พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพมาตีเมืองหงสาวดี พะสิม เมาะตะมะ เมาะลําเลิง ของมอญได้ และได้เกณฑ์ให้พวก มอญเมืองเมาะตะมะเมาะลําเลิงให้ยกทัพมาตีไทยสมัยพระเจ้าเอกทัศน์และได้ยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เดือน ๕ จนถึงเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ พระเจ้า อลองพญาทรงบัญชาการรับ และจุดปืนใหญ่ด้วยตนเอง เผอิญปืนแตกถูกพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวรหนักในวันนั้น เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ พม่าก็เลิกทัพขึ้นไปทางเหนือทางด้านแม่ละเมา ยังไม่ทันพ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอลองพญาก็สิ้นพระชนม์ในกลางทาง (หนังสือไทยรบพม่า) ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ
๑ พระเจ้ามังลอกราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระเจ้าอลองพญา พวกพม่ามอญแข็งเมืองก่อการกบฏ อาทิ เจ้าเมืองพุกาม เมืองหงสาวดี เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลําเลิง สมิงทอมาซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเชียงใหม่ รวมสมัครพรรคพวกเข้ายึดเมืองเมาะตะมะ เมาะลําเลิงได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเมาะตะมะแต่ในที่สุดก็ถูกพระเจ้ามังลอก ปราบปรามสําเร็จ ทําให้หัวหน้ามอญในเมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลําเลิง และพรรคพวกประมาณ ๑ ๐๐๐ คนได้อพยพหนีภัยจากพม่าเข้ามาทางด้านเจดีย์สามองค์ เพื่อมาพึ่งพระบรม โพธิสมภารพระเจ้ากรุงสยามในปี พ.ศ.๒๓๐๓ (ประวัติมอญเข้ากรุงสยามของ ก.ศ.ร.กุหลาบ )
๒ พระยากาญจนบุรีจึงมีใบบอกมายังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์โปรดให้จัดครัวมอญเหล่านี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ชายแดนไทยตั้งแต่บ้านท่าขนุน ทองผาภูมิ ไทรโยค ท่าตะกั่ว ลุ่มสุ่ม เมืองสิงห์ และท่ากระดาน และให้ คอยดูแลสอดส่องลาดตระ เวนชายแดนไทย และรายงานความเคลื่อนไหวของพม่ารายงานมายังกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาได้ในวันอังคารเดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุน พวกมอญชายแดนเจ็ดหัวเมืองที่เป็นชาวบ้านและกรมการเมืองบางส่วนก็หลบลี้ หนีภัยพม่าเข้ามาอาศัยอยู่กับพวกมอญเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณบ้านโพธาราม บ้านบางเลา บ้านนครชุมน์ แขวงเมืองราชบุรี และในเดือน ๑๒ ปีชวด ระยะเวลา ๗ เดือน พระเจ้าตากสินก็กู้เอกราชได้ และเห็นความสําคัญของมอญอพยพในปีพุทธศักราช ๒๓๐๓ ที่อยู่ตามชายแดนเมือง กาญจนบุรี จึงตั้งให้เป็นเมืองด่านขึ้นทั้ง ๗ ด่านและตั้งให้หัวหน้ามอญทั้ง ๗ คน ซึ่งเป็นญาติกันทั้ง ๗ คน เป็น นายด้าน ผู้เขียนเป็นคนในตระกูลเจ้าเมืองไทรโยค ทราบว่านายด้านท่านแรกของเมืองไทรโยคนี้ เป็นขุนนาง มอญมาแต่เมืองเมาะลําเลิง มีชื่อว่าสมิงพะตะเบิดซึ่งเป็นตําแหน่งขุนนางมอญ ส่วนนายด่านเมืองท่าขนุนนั้น ตระกูลหลักคงคาได้เขียนไว้ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนอาโภคคดี มีชื่อว่าพญาท่าขนุนเฒ่า ส่วนเมืองอื่นๆ นั้นได้ชื่อแน่นอนเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ เท่านั้น ในปีพุทธศักราช ๒๓๒๕ พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปราบดาภิเษกขึ้นเป็น ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและในปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๓๒๘ พระเจ้าประดุงได้ยกกองทัพเข้ามาตีไทยถึงเก้าทัพ ชาวด่าน ๗ เมือง มีบทบาทสําคัญในการเป็นกองเสบียง และช่วยรบในสงครามเก้า ทัพด้วย โดยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระยากาญจนบุรีส่วนหนึ่งและพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี ) อีกส่วนหนึ่ง เพราะพวกมอญเหล่านี้มีความชํานาญ ภูมิประเทศแถบนี้เป็นอย่างดี กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงยกกองทัพไปตั้งรับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า แขวงเมืองกาญจนบุรี และทรงให้พระยามหาโยธา ( เจ่ง ) คุมกองทัพมอญ จํานวนพล ๓ ,๐๐๐ คน ยกออกไปขัดตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง และในจํานวนนี้มีนายด่านและกองมอญ ๗ ด่านนี้ร่วมรบอยู่ด้วย จนเสร็จสิ้นสงครามเก้าทัพพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปูนบําเหน็จความดีความชอบแก่ข้าราชการทหารทั้งปวงและโปรดให้ยก ๗ ด่านขึ้นเป็นเมือง เพื่อให้ชื่อเสียงปรากฏไปยังพม่าว่าสยามประเทศมีเมืองตาม ชายแดนเพื่อป้องกันข้าศึกมากขึ้นและให้นายด่านทั้ง ๗ เป็นเจ้าเมืองมีตําแหน่งเป็นพระ ดังนี้
ท่าขนุน มีตำแหน่ง พระท่าขนุน
ทองผาภูมิ มีตำแหน่ง พระทองผาภูมิ
ไทรโยค มีตำแหน่ง พระไทรโยค
ท่าตะกั่ว มีตำแหน่ง พระท่าตะกั่ว
ลุ่มสุ่ม มีตำแหน่ง พระลุ่มสุม
สิงค์ มีตำแหน่ง พระสิงค์
ท่ากระดาน มีตำแหน่ง พระท่ากระดาน
และตั้งกรมการเมืองเช่นเดียวกับเมืองต่าง ๆ ของไทยทั่วไป ผิดแต่ว่ากรมการเมืองและชาวเมืองในบังคับล้วนแต่เป็นชาวมอญทั้งสิ้น และที่น่าสังเกตมีตําแหน่งเพิ่มอีก ๑ ตําแหน่ง ซึ่งไทยไม่มีแต่ ๗ เมืองนี้มีคือตําแหน่งจักกาย เพราะเป็นตําแหน่งกรมการเมืองของฝ่ายเมืองมอญมาแต่อดีตครั้งยังมีประเทศรามัญ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ เมือง นี้ได้เลื่อนยศเป็น พระยาหรือไม่หรือเลื่อนยศเฉพาะบางเมือง เพราะในจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ ๒ ฉบับประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ ท้องตราเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึงพระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี เรื่องรามัญในกองพระยา รัตนจักรหลบหนีการทัพ ๕ คน ให้บอกด้านทาง แลแต่ง คนออกสกัดจับตัว จ.ศ. ๑๑๘๓
๑ หนังสือเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึงพระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี ด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้า ฯ สั่งว่า พระยามหาโยธากราบทูลพระกรุณาว่ารามัญในกองพระยารัตนจักร จัดล่องเรือลงมาถึงปากแพรก มะจุ นายหมวดหายไปคนหนึ่ง ครั้นขึ้นไปดูอ้ายมะจุซึ่งลองแพลงมาถึงยางเกาะก็ทิ้งแพเสีย หายไปอีก มะถอ ๑ มะรอย ๑ มะจับ ๑ รวม ๓ หญิง ๑ รวม ๔ คน เข้ากันเป็น ๕ คนก็หาได้บอกแก่พระยาราชบุรีพระยากาญจนบุรีให้รู้ไม่ แลมอญเหล่า นี้ก็ตั้งขัดตาทัพอยู่ ณ แก้งไผ่ เข้าใจอยู่ว่า อ้ายหาญหักค่ายหนีไป ทางช่องเขาหนีบ ช่องเขารวก เห็นว่ามอญเหล่านี้จะหนีไปทางช่องเขาหนีบ จะทําแพล่องลง ลงไปทางแม่น้ำท้องชาตรี ให้พระยาราชบุรีพระยากาญจนบุรี แต่งคนขึ้นไปให้ พระยาท่าตะกั่ว พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พวกด้านทางทุกแห่ง ทุกตําบล ให้ออกก้าวสกัดจับเอาตัวรามัญซึ่งหนีไปให้จงได้แล้ว จําจองให้มั่นคง ส่งเข้าไป ณ กรุงฯ โดยเร็ว หนังสือมา ณ วัน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะเส็ง ตรีนิศก วัน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ป มะเส็ง ตรีนิศก เพลาค่ำ จหมื่นไชยพรรับตราไป เรือยาว ๙ วา พลพาย ๑๔ พาย
๒ หนังสือเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี มาถึงพระยาราชบุรีด้วยทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าสั่งว่ารามัญไม่ออกไปขัดตาทัพอยู่ ณ แก่งไผ่ ล่องแพลงมาถึงยางเกาะแล้วหนีไป เป็นชายหญิง ๕ คน ได้มีตราออกมาให้พระยาราชบุรี กรรมการ ติดตามแจ้งอยู่แล้ว แลทุกวันนี้รามัญได้พาบุตรภรรยาไปเที่ยวทํามาหากินทุกแห่ง ทุกตําบล ที่เป็นคนดีมีภาคภูมิไม่มีหนี้สิน และเล่นเบี้ยกินเหล้า ก็พาบุตรภรรยากลับมาบ้านเรือน ที่เป็นหนี้ สินเขาติดค้างอยู่ก็พากันหลบหนีไป จะเอาใช้ราชการก็มิได้ ได้มีตราแต่งให้ข้าหลวงไปขับไล่ทุกหัวเมือง ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่กลับเข้ามา แลรามัญใหม่ซึ่งไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ คลองบางสองร้อย โพธาราม บางเลาละครชุม ในบรรดาแขวงเมืองราชบุรีจะไว้ใจหาได้ไม่ จะหนีไป เหมือนอ้ายหาญหักค่าย แลรามัญหนีครั้งนี้นั้น ให้พระยาราชบุรีแต่ง กรมการกํากับด้วยสมิงอาทมาต กวาดไล่ครอบครัวรามัญใหม่ ชายหญิง ให้เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทํามาหากิน ณ กรุงฯ ให้สิ้นเชิงอย่าให้หลงเหลือแต่คนหนึ่งได้ แลอย่าให้สมิงอาทมาต กรมการ ลงเอาพัสดุ ทอง เงิน แก่รามัญใหม่ เป็นค่าสินบน และค่าทุเลาแต่เฟื้องหนึ่งขึ้นไปได เป็นอันขาดทีเดียว ถ้าขับไล่ได้เข้าไป ณ กรุงฯ เป็น รามัญกองใดมากน้อยเท่าใด ให้มีบาญชีบอกเข้าไปให้แจ้ง หนังสือมา ณ วัน ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ จุลศักราช ๑๑๘๓ ปีมะเส็ง ตรีนิศก *๑๒
๓. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ บอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี ตอบรับท้องตราเรื่องให้ พระยาไทรโยค แต่งคนออกไปลาดตระเวนจับพม่าทางเมืองทวาย วัน ๔ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๑๘๔
๔ ข้าพเจ้า พระยาไชยภักดีศรีมหัยสวรรคี พระยากาญจนบุรี หลวงกาญจนบุรี ยกระบัตร กรมการ ขอบอกมายังท่านออกพันนายเวน ขอให้กราบเรียน ฯพณฯ หัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลา ให้ทราบด้วยอยู่ ณ วันเดือนเก้า แรมเก้าค่ำ ปีมะเมีย จัตวาศก เพลาเช้า หมื่นวิสูตรภักดี ถือตราราชสีห์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกมาถึง ฯ ข้า ฯ กรมการว่าพระยา รัตนจักร ไปจับอ้ายพม่าได้สองคนให้การว่าเจ้า อังวะให้มองษาเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ ให้ตะแคงมองมูกับมหาอุตนากลับไปเมืองอังวะมหาอุตนาให้คนรักษาด้านสามตําบล เป็นคนเจ็ดร้อยห้าสิบคน ทรงพระราชดําริว่า ณ เดือนสิบ เดือนสิบเบ็ดนี้เป็นต้นระดูศก จะไว้ใจหาได้ไม่ ให้ ฯข้าฯ กรมการมี หนังสือไปถึง พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่วให้จัดหลวงขุนหมื่นกรมการแลไพร่ให้ได้ห้าสิบหกสิบ สรรพไปเครื่องศัสตราวุธไปลาดตระเวนจับพม่าทางเมืองทวายให้จงได้ แต่พระยาไทรโยคนั้นอย่าให้ไปเลย นั้น ฯข้าฯ กรมการได้ทราบเกล้า ทราบกระหม่อม ในท้องตราซึ่งโปรดออกมาทุกประการแล้ว ข้าพเจ้ากรมการคัดสําเนา ท้องตราให้ขุนศรีวันคีรีกับไพร่สามคน ถือหนังสือไป ถึงพระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่ว แต่ ณ เดือนเก้า แรมเก้า ค่ำ เพลาบ่ายตามท้องตราซึ่งโปรดมา ถ้าผู้ถือหนังสือกลับมา พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระท่าตะกั่ว บอกจํานวนคนนายไพร่ เครื่องศาสตราวุธมากน้อยเท่าใด ยกไปจากแมน้ำน้อยวันใด ข้าพเจ้ากรมการจะบอกให้มาครั้งหลัง ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ฯข้าฯ บอกมา ณ วันพุธ เดือนเก้า แรมสิบสองค่ำ ปีมะเมีย จัตวาศก * ๑๑ และจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ เรื่องบอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี เรื่อง แต่งขุนหมื่นกรมการ ออกลาด ตระเวนชายแดน วัน ๗ ฯ ๕ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๘๕
๕ ข้าพเจ้าพระยาไชยภักดีศรีมหัยสวรรค์ พระยากาญจนบุรี กรมการ ขอบอกมายังท่านออกพันนายเวน ขอได้กราบเรียนแต่ ฯพณฯ หัวเจ้าท่านลูกขุน ณ ศาลาให้ทราบ ด้วยมีตราพระราชสีห์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมออกมาว่า พระยาไทรโยคกรมการออกไปจับพม่าทางเมืองทวาย ไปถึงปลายคลองน้ำกระมองสวยพบอ้ายพม่าได้รบพุ่งกัน กองพระยาไทรโยคตายหนึ่งคน หายไปเจ็ดคน พากันแตกกลับมานั้น ทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า พระยาสิงหจักรยกไปจับพม่าหาระวังรักษาตัวไม่ ทําให้ เสียทีแก่อ้ายพม่านั้นผิดอยู่ให้พระยามหาโยธาคิดอ่านจัดแจงออกไปจับพม่าอีกและหน้าด้านเมือง กาญจนบุรี ศรีสวัสดิ์ เมืองไทรโยค ทองผาภูมิ ท่าตะกั่วนั้น อย่าให้ข้าพเจ้า พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ กรมการไว้ใจแก่ราชการ ให้กําชับกําชาผู้ไปลาดตระเวนรักษาการให้ระมัดระวังตัว จงสามารถอย่าให้อ้ายพม่ามาจับเอาผู้คนไปได้นั้น ข้าพเจ้ากรมการได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมในท้องตราซึ่งได้โปรดออกมาแล้ว ข้าพเจ้าได้แต่งให้หมื่นราชหมื่นรองแล้วนายไพร่ร้อยสิบคนเป็นคาบศิลาสามสิบเบ็ด บอกยกขึ้นไปลาดตระเวนให้ถึงแม่น้ำเมืองอีก ได้ยกไปจากเมืองกาญจนบุรี แต่ ณ วันเดือนห้า ขึ้นหก ค่ำ ถ้าแลผู้ไปราชการกลับมาได้ราชการประการใด ข้าพเจ้าจะบอก เข้ามาครั้งหลัง อนึ่ง พระยาไทรโยคกรมการบอกลงมาถึงข้าพเจ้ากรมการ ว่าพระยาไทรโยค จัดให้นายไพร่สิบสามคน ออกไปสืบดูที่รบกันทางหนึ่ง พระยาไทรโยคจัดให้นาย ไพร่สิบสองคน กองพระยามหาโยธานายไพร่สี่สิบคน ไปก้าวสกัดให้ถึงปลายคลองโป้กะทะปลายที่บ่อแม่น้ำเราะลําหมู่หนึ่งทางหนึ่ง พระยาไทรโยคจัดให้ขุนหมื่นนายไพร่ สามสิบเบ็ดคน เป็นคาบศิลาสิบห้าบอกออกไปตามทางหลวงแม่น้ำ เราะให้ถึงเขาสูงแดนต่อแดน ได้ยกไปแต่ ณ วันเดือนสี่ แรมสิบค่ำ ยังหากลับมาไม่ ถ้ากลับมาได้ราช การประการใด ข้าพเจ้าจะบอกเข้ามาครั้งหลัง แลข้าวคงฉาง ณ เมืองกาญจนบุรีมีอยู่เก้าสิบหกเกียน แลให้ข้าวค้านาจัดซื้อ
ข้าพเจ้าแต่งให้กรมการกํากับข้าหลวงเสนาออกไปประเมินนาของราษฎรยังหาเสร็จ ถ้าได้จํานวนนาข้าว ค้านาจัดซื้อ มากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าจะบอกเข้ามาให้ทราบ ข้าพเจ้าบอกมา ณ วันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ปีมะแม เบญจศก ฯ
จากจดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง ๓ ฉบับ จะเรียกว่า พระยาไทรโยค พระยาทองผาภูมิ พระยาท่าตะกั่ว หลักฐานที่สําคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ตระกูลของผู้เขียนเก็บไว้ คือผ้านุ่งที่ เป็นห้าสมปัก และผ้าปูม ผ้าสมปกนั้นขุนนางชั้นพระยาถึงนุ่ง ส่วนผ้าปูมนั้น ขุนนางชั้นคุณพระนุ่ง ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าผ้าสมปกนั้นเป็นผ้านุ่งของพระยาไทรโยค ส่วนผ้าปูมนั้นเป็นผ้านุ่งของพระนิโครธาภิโยค ซึ่งเป็นบรรพบุรุษต้นตระกุลของผู้เขียนทั้ง เป็น ไปได้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองด้านทั้ง ๓ เมืองนั้นได้เลื่อนยศเป็นพระยา เพราะอาจเป็นด้านสําคัญ ตระกูลเสลานนท์ ยังเก็บรักษาผ้านุ่งและผ้าไหมพระราชทานไว้เป็นอย่างดี และธงชาติ ธงช้างเผือกพระราชทาน(พื้นสีแดง ช้างสีขาวไม่มีทรงเครื่อง)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ภายในประเทศให้ขึ้นกับกรมต่าง ๆ ถึง ๓ กรม คือกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม และกรมท่าหัวเมืองที่ขึ้นกับกรมมหาดไทยได้แก่เมืองกรุงเก้า อ่างทอง พรหม อินทร์ ไชยนาท พยุหคีรี บรรพตพิไสย พิษณุโลก ศรีสําโรง พิไชย อุตรดิษฐ์ ตาก ลพบุรี สระบุรี วิเชียร เพชรบูรณ์ หลวงพระบาง นครจําปาศักดิ์ มุกดาหาร พาลุกาดลภูมิ อุบล พิบูลมังสาหาร ตระการ พืชผล มหาชลาลัย กาฬสินธุ์ สหัสขันธ์ กมลาสัย ภูวดลสอาง สว่างแดนดิน ยโสธร นครพนม ขอนแก่น หนองคาย ภูเวียง วานรนิวาส สิงขรภูมิ กันทราลักษ์ อุทุมพรพิไสย ฉะเชิงเทรา พนมสารคาม พระตะบอง นครเสียงมราฐ เป็นต้น
หัวเมืองที่ขึ้นกับกรมพระกลาโหมได้แก่เมือง นครเขื่อนขันธ์ ปทุมธานี ราชบุรี สมิงขบุรี ลุ่มสุ่ม ท่าตะกั่ว ท่าขนุน ท่ากระดาน ไทรโยค ทองผาภูมิ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กําเนิดนพคุณ ประทิว ท่าแซะ หลังสวน กาญจนดิฐ พัทลุง ประเหลียน สงขลา ยะหริ่ง ระแงะ กลันตัน ตรังกานู ไทร สตุล ภูเก็ต พังงา ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ระนอง กระ เป็นต้น หัวเมืองที่ขึ้นกับกรมท่าได้แก่ เมืองนนทบุรี นครไชยศรีสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ชลบุรี บางลมุง ระยอง จันทรบุรี แกลง ตราด ประจันตคีรีเขตต์ เป็นต้น
๖ เมืองสมิงสิงหบุรี ๑ เมืองลุ่มสุ่ม ๑ เมืองท่าตะกั่ว ๑ เมืองไทรโยค ๑ เมืองท่าขนุน ๑ เมืองทองผาภูมิ ๑ เมืองท่ากระดาน ๑ ทั้งเจ็ดหัวเมืองเหล่านี้ แต่เดิมก็ไม่เป็น เมืองเป็นแต่ที่ตั้งค่ายที่ด้าน ตั้งอยู่เท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ทรงพระราชดําริว่าจะให้มีเกียรติศัพท์ดังออกไปข้างเมืองพม่าว่า มีหัวเมือง แน่นหนาหลายชั้น จึงโปรดตั้งให้เป็น หัวเมืองขึ้น มีกรมการอยู่รักษาทุก ๆ เมือง
๗ เมือง บริเวณหัวเมืองชายแดนทาง ด้านตะวันตกของประเทศซึ่งติดต่อกับประเทศพม่าโดยเฉพาะเมืองกาญจนบุรีและราชบุรีนั้น เป็นบริเวณที่พวกมอญมักจะอพยพเข้ามา อาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารในยามที่ได้รับความเดือดร้อนจากพม่าอยู่เนือง ๆ ฝ่ายรัฐบาลได้จัดให้คนพวกนี้อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าตามเมืองหน้าด้าน ตําบลต่าง ๆ ที่เป็นเมืองหน้าศึกกับพม่าเรียกรวมกันว่า รามัญ ๗ เมือง ขึ้นต่อเมืองกาญจนบุรี รามัญทั้ง ๗ เมืองนี้ได้แก่เมืองสิงห์ (หรือสมิงขะบุรี) เมืองลุ่มสุ่ม เมืองไทรโยค เมืองทองผาภูมิ เมือง ท่าตะกั่ว เมืองท่า ขนุน และเมืองท่ากระดาน เมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ในแควลําน้ำน้อย ยกเว้นเมืองท่ากระดานเท่านั้นที่ตั้งอยู่บนแควใหญ่ลําน้ำเมืองกาญจนบุรีใต้เมืองศรีสวัสดิ์ลงมา อนึ่งทรงพระราชดําริว่า ผู้สําเร็จราชการเมือง ต่าง ๆ ทั้งเจ็ดหัวเมืองเหล่านี้ไม่มีชื่อตั้งไม่สมควร ฉะนั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๑๐ ค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก (พ.ศ.๒๔๐๑) จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อเป็น ภาษาสันสกฤตแก่ผู้สําราชการเมืองเหล่านี้เสียใหม่ ชื่อของผู้สําเร็จราชการหัวเมืองมอญทั้ง ๗ ที่ได้รับพระราชทานเปลี่ยนใหม่มีดังนี้
เมืองสิงขบุรี พระสุรินทรศักดา พระสมิงสิงขบุรี ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระสมิงสิงหบุรินทร์
เมืองลุ่มซุ่ม พระนรินทรเดชะ พระลุ่มซุ่ม ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระนิพนธ์ภูมิบดี
เมืองท่าตะกั่ว พระณรงคเดชะผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระชินดิฐบดี
เมืองท่าขนุน พระพรหมภักดี ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระปนัศติฐบดี
เมืองท่ากระดาน พระท่ากระดาน ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระผลกติฐบดี เมืองไทรโยค พระไทรโยค ผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่าพระนิโครธาภิโยค
เมืองทองผาภูมิ พระทองผาภูมิผู้ว่าราชการเมือง แปลงว่า พระเสลภูมิบดี
แล้ว พระราชทานเสื้อเข้มขาบคนละตัว ๆ เป็นของขวัญ หัวเมืองทั้งเจ็ดนั้น ขึ้นแก่เมืองกาญจนบุรีทั้งสิ้น แต่ผู้สําเร็จราชการการกรมการเมืองแยกย้ายกันมาตั้งอยู่ในแขวงเมืองราชบุรี ทั้ง ๗ ในหนังสือจดหมายเหตุระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๔๓๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์
๘ ได้ทรงบันทึกเรื่องการพระราชทานชื่อแก่ผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ เช่นเดียวกันกับที่ได้ กล่าวมาในข้างบน แต่ชื่อของผู้ว่าราชการบางคนผิดเพี้ยนไปจากที่ได้พระราชทานไว้ เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ บ้างเล็กน้อย ดังท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากบันทึกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ดังต่อไปนี้ แผนที่รามัญ ๗ หัวเมือง รามัญทั้ง ๗ เมือง มีเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ปกครองดูแล และยังมีหลวงปลัดยกระบัตร หลวงพลกรมการ ขุนหมื่นไพร่เมืองละมาก ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนมอญด้วยกันทั้งหมด เจ้าเมืองมียศเป็น พระ เรียกตามชื่อเมืองนั้น ๆ เช่น พระไทรโยค พระท่าขนุน เป็นต้น ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ เป็นตํา แหน่งยศดังนี้
พระเมืองสิงห์ เป็น พระสมิงสิงหบุรินทร์
พระลุ่มสุ่ม เป็น พระนินนภูมิบดี
พระท่าตะกั่ว เป็น พระชินดิษฐบดี
พระไทรโยค เป็น พระนิโครธาภิโยค
พระทองผาภูมิ เป็น พระเสลภูมาธิบดี
พระท่าขนุน เป็น พระปันนสดิษฐบดี
พระท่ากระดาน เป็น พระผลกะดิฐบดี
บริเวณที่เป็นที่ตั้งเมืองทั้ง ๗ นั้น ไม่สู้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก เนื่องจากว่าพื้นที่เป็นป่าทึบและภูเขาสูง ซึ่งไม่สามารถทํานาทําไร่ให้ได้ผลเพียงพอที่จะยังชีพอยู่ได้ บรรดาชาวเมืองจึงพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ นครชุมน์ บ้านบางเลา (วัดคงคาราม) บ้านโพธาราม แขวงเมืองราชบุรีเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเจ้าเมืองกรมการจะไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตแขวงเมืองนั้น ๆ แต่ก็มี บ้านเรือนของขุนหมื่นนายด้านตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ และผู้ว่าราชการ กรมการก็ได้ไปตรวจตราอยู่เสมอเพราะเป็นช่องด้านทางไปมากับเมืองนอกราชอาณาเขตได้หลายช่องทางหลายตําบล บางเมืองก็มีคนไทยบ้าง กะเหรี่ยงบ้าง มอญบ้าง เข้าไปตั้งบ้านทําไรตัดไม้อยู่เป็นระยะ และถ้ามีบ้านเรือนมากก็จะมีกรมการเมืองออกไปกํากับอยู่ด้วย เช่น แขวงไทรโยค เป็นต้น
๙ รามัญ ๗ เมือง มีอาชีพเกี่ยวกับการตัดไม้เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าและเขา
กล่าวคือเมืองไทรโยคนั้นมีป่าไม้สักขนาดเล็กใหญ่ที่สุดประมาณ ๗ กํา ชาวเมืองจะตัดผูกแพล่องมาขายแถบกาญจนบุรี ราชบุรีเสมอ แขวงเมืองท่าตะกั่วเมืองลุ่มสุ่มจะมีการตัดเสาไม่เต็งรัง และตัดไม้ไผ่ป่า
ล่องมาขาย แขวงเมืองสิงห์ตัดไม่ฝาง ไม่รวกใหญ่ขนาดทํารั้วโป้ะปลา ซึ่งชาวเมืองสมุทรสงครามมารับเป็นสินค้าไป และยังมีไม้เสาเล็ก ๆ บ้าง นอกจากนี้ก็มีการหาของป่า ทําน้ำมันยาง ทําไต้ เป็นต้น บางแห่งมีการทําไร่บ้างแต่ก็เพียงพอใช้ในครอบครัวเท่านั้น
๑๐ ส่วนพวกมอญที่เข้ามาอยู่แถบบ้านแขวงเมืองราชบุรีนั้นมีอาชีพในการทำนา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสไทรโยค ครั้งที่๒ ได้ทรงพระบรมราชาธิบายว่า
๑๑ เมืองกาญจนบุรีนี้ แต่เดิมเมื่อกรุงเก้าขึ้นกรมมหาดไทย ภายหลังมาจึงได้ยกมาขึ้นกลาโหม เมืองมีอาณาเขตทางตะวันออกเขตแดนเมืองราชบุรีใหม ทางพระแทนดงรังเพียงห้วยขานางต่อ แขวงสุพรรณที่เขาหลอกลวง ข้างเหนือคือเมืองศรีสวัสดิ์และเมืองอุทัยธานี ข้างใต้ต่อแขวงเมืองราชบุรีคนละ
ฝั่งกันกับคลองสํารอง..มีเมืองศรีสวัสดิ์เป็นเมืองใหญ่มีละว่ากะเหรี่ยงและมีข้าสอดอีกพวกหนึ่งพูดภาษาหนึ่งต่างหากประพฤติตัวเหมือนกระเหรี่ยงแต่ไม่โพกผ้า เมืองขึ้นที่เป็นมอญ ๗ เมือง แต่เจ้าเมืองไม่ได้อยู่มีแต่กองด้านขึ้นไปลาดตระเวน ตัวเจ้าเมืองกรมการลงไปอยู่ที่โพธารามแขวงเมืองราชบุรี คือ เมืองสิงคลบุรี เรียกว่าเมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ ที่เมืองทองผาภูมินี้เป็นด้านชั้นนอก เมือง ๖ เมืองนี้เป็นเมืองอยู่ในลําแม่น้ำน้อย เมืองท่ากระดานอยู่ในแควใหญ่อีกเมืองหนึ่งเป็น ๗ เมือง กระเหรี่ยงนั้นมีเป็นกองตั้งอยู่เป็นตําบล ๆ ที่วังกะตําบล ๑ นาสวนตําบล ๑ ที่อื่น ๆ อีกหลายตําบล ในที่นาสวนนั้นมีจีนเขยสู่อยู่มาก จีนเขยสู่เหล่านี้สักข้อมือเสียส่วนปีละ ๖ บาท คนเลขคงเมืองกาญจนบุรีอยู่ใน ๓๕๐ เศษ มีกองส่วยผึ้งส่วนเงินขึ้นพระยาสุรเสนา ๑๐๐ เศษ ส่วยน้ำรักขึ้นกรมพระกลาโหมเล็กน้อย ละว่าข้าสอดเมืองศรีสวัสดิ์ประมาณ ๑๒๐๐ คน มอญ ๗ เมืองอยู่ใน ๓๕๐ เศษ ส่วยทอง ๗ กอง คนอยู่ใน ๗๐ เศษ ส่วยวังหน้ามีบ้านเล็กน้อย คนพลเมืองพระยากาญจนบุรีเขาประมาณว่าสักหมื่นเศษในเมืองกาญจนบุรี นี้แต่ก่อนเป็นเมืองหน้าศึกด้วยเขตแดนข้างตะวันตกนั้นต่อกันกับเขตแดนเมืองมริดทวาย พม่ายกเข้าตีอยู่เสมอ เมืองราชบุรีเมืองกาญจนบุรีนี้แต่เดิมไม่มีคนอยู่ข้างฝั่งตะวันตกเลย ด้วยพม่ามักมาลาดตระเวนทีละ ๒๐ คน ๓๐ คน ถ้าไทยพลัดมาข้างฝ่ายตะวันตกน้อยคนพม่าก็จับไป ถ้าพม่าน้อย ไทยก็จับมา แต่เป็นดังนี้จนตลอดเมืองมะริดเมืองทวายเสียแก่อังกฤษ จึงได้ขาดข้าศึกแก่กันและกัน ไทยจึงได้ข้ามมาอยู่ฝั่งตะวันตกได้...อนึ่งเราได้ผลัดไว้แต่ก่อนว่าสืบเรื่องฝาง ท่าที่ฝางลงนั้นมักจะลงทางหนองบังท่ามะขามมากกว่าที่อื่น เป็นลูกค้าไปรับซื้อกันที่นั่น ที่ท่าบ้านอื่นและเมืองศรีสวัสดิ์และหัวเมืองมอญ ๗ เมือง มีพวกมอญ ละว่า ข้าสอดตัดฝางบรรทุก แพลงมาขายเมืองกาญจนบุรีบ้าง ล่องลงไปขายถึงเมืองราชบุรีบ้าง ราคาฝาง ๓ ดุนหนักหาบ ๑ เป็นฝางขนาดใหญ่ราคา ๑๖ ตําลึง ฝาง ๔ ดุนหนักหาบ ๑ เป็นอย่างกลาง ราคา ๙ ตําลึง ฝาง ๕ ดุ้น ๖ ดุ้นหนักหาบหนึ่ง ร้อยดุ้นเป็นราคา ๖ ตําลึง ยังฝางยอมดุนเล็กน้อยไม่ได้นับเป็นดุนขาย ขายกันหาบละบาท ราคานี้เป็นราคากลาง ๑ ฝางออกเมืองกาญจนบุรีใหญ่เล็กประมาณสองแสนดุนเศษเสมอเป็น ธรรมดา ถ้าเวลาราคาฝางแพงก็ออกมากขึ้น ถ้าถูกก็ออกน้อยลง...๖ โดยทั่วไปแล้วอาชีพที่ราษฎรรามัญ ๗ เมืองทํานั้นเป็นการทําเพื่อยังชีพไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น เนื่องจากภูมิประเทศกันดาร และอัตคัดมาก ราษฎรส่วนใหญ่จัดอยู่ในขั้นที่ขัดสน ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่ารัฐบาลไม่เคยเก็บภาษีอากรจากคนพื้นนี้เลย
๑๒ อีกประการหนึ่งการทําทะเบียนจํานวนคนก็ไม่สู้จะแน่นอนเพราะมีการอพกลับไปพม่าบ้าง อพยพจากพม่าเข้ามาเพิ่มบ้างครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากที่มีการแก่ไขการปกครองเป็น แบบมณฑล เทศาภิบาลแล้วพระยาวรเดชศักดาวุธ ข้าเหลวงเทศาภิบาลมณฑลราชบุรีได้เสนอให้เก็บเงินค้าราชการจากราษฎรชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยงที่ประกอบอาชีพอยู่ตามชายพระราชอา ณาเขตเพื่อให้เป็นการเสมอภาคกับราษฎรทั่ว ๆ ไป แต่ให้เก็บคนละ ๓ บาทต่อปี เนื่องจากคนพวกนี้ยากจน ที่ทางทํามาหากินก็ฝืดเคืองและกันดารจึงไม่สามารถจะเก็บตามอัตราปีละ ๖ บาท เท่ากับคนทั่วไปได้
๑๓ หลังจากที่เสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๔๓ (ร.ศ. ๑๑๙) พร้อมทั้งพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะให้มีการกําหนดอัตราการเก็บ โดยการแบ่งเขตตําบลตามความขัดสนมากน้อยแทนกากําหนดตามเชื้อชาติแล้ว ปรากฏว่าคนมอญในรามัญ ๗ เมืองได้รับการลดเงินส่วยลง คงเสียคนหนึ่งปีละ ๒ บาท ทั้งนี้ได้ยกเว้นคน ที่เพิ่งอพยพ
เข้ามาอยู่ในปีแรก ต่อเมืองถึงปีที่สองจึงให้เสียเท่ากับคนที่อยู่เดิม
๑๔ การเก็บเงินค่าราชการจากราษฎรในรามัญ ๗ เมืองในอัตราดังกล่าวได้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเหมาะสม ดังปรากฏในรายงานของพระยาวรเดชศักดาวุธ หลังจากที่ได้ไปตรวจราชการ เมืองกาญจนบุรีว่า เงินค่าราชการที่เก็บแก่คนกะเหรี่ยง มอญ ลาว ซึ่งอยู่ปลายพระราชอาณาเขตในที่กันดาร โปรดเกล้าฯ ให้เก็บแต่เพียงคนละกึ่งตําลึงนั้นเป็นการสมควรแก่ภูมิพิเศษที่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปเห็นในเวลานี้ ถ้าต้อไปผลประโยชน์มีความเจริญขึ้นจึงคิดเก็บให้มาขึ้นตามสมัย...
๑๕ คนมอญในรามัญ ๗ เมืองมีฐานะเป็นไพร่หลวง (ส่วย) กล่าวคือมีหน้าที่ต้องส่งส่วยทอง
แก่รัฐบาลทุกปี เมืองถึงเทศกาลแล้งราว ๆ เดือนธันวาคม-มกราคม จะโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าเมืองกรมการเกณฑ์ไพร่หลวงรามัญ ๗ เมืองออกไปร่อนทองที่คลองปิลอกคลองพลู ให้ร้อนได้ ทองขุนหมื่นไพร่คนละ ๓ สลึง บุตรหมื่นทนายทาสคนละ ๑ สลึง ๑ เฟื้อง
๑๖ และให้เจ้าเมืองกรมการเก็บรวบรวมทองส่วยนําขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย หน้าที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือต้องลาดตระเวนรักษาด่านอยู่เป็นประจํา ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง โดยเฉพาะใน สมัยรัชการที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อไม่ให้พม่าเล็ดลอดเข้ามาสืบข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านชั้นนอกต่อแดนเมืองเมาะลําเลิง ก็หมั่นสืบฟังข่าวราชการในประเทศพม่าด้วย ในบางครั้งเมื่อมีคนในพระราชอาณาจักรหลบหนีออกจากพระราชอาณาเขต เช่นพวกมอญ บรรดาเจ้าเมืองรามัญทั้ง ๗ จะได้รับคําสั่งให้ กําชับนายด่านทางทุกแห่งตําบลให้กวดขันบริเวณปลายด่านเป็นพิเศษ และออกสกัดจับผู้ที่หลบหนีเพื่อส่งกลับไปกรุงเทพฯ โดยเร็ว คนมอญที่หนีออกไป
ส่วนมากมักเป็นพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในแขวงเมืองราชบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยถึงกับมีรับสั่งให้อพยพมอญใหม่ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองบางสร้อย โพธาราม บางเลา นครชุมน์ แขวงเมืองราชบุรี เข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยเกรงว่าจะหลบหนีไปอีก
๑๗ ในชั้นหลังต้อมาก็ยังมีการหลบหนีอยู่บ้าง เช่นในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพวกมอญโรงเรือหลบหนีไป ๑๒ ครอบครัว ออกไปทางเมืองอุทัยธานีและเมืองตากในราว พ.ศ. ๒๓๙๖
๑๘ และขณะเดียวกันก็มีพวกมอญลาวที่หนีไปอยู่เมาะลําเลิง และทวาย ลักลอบเข้ามาชักชวนญาติพี่น้องแถบเมืองราชบุรี กาญจนบุรี ให้อพยพหนีไปด้วย
๑๙ เรื่องการหลบหนีออกนอกพระราชอาณาเขตนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสมรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีมอญตําบลบางเลา แขวงเมืองราชบุรีอพยพหนีไป ๖ ครอบครัว และกําลังขายบ้านเรือนไร่นา เตรียมการอพยพอีก ๗ ครอบครัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระยามนตรีสุริยวงศ์แทนสมุหกลาโหมออกไประงับเหตุแห่งความเดือดร้อนอันทําให้พวกมอญต้อง อพยพทิ้งบ้านเรือนไป และกําชับพวกด้านทางให้ป้องกันให้เข้มแข็งขึ้น
๒๐ นอกจากงานดังกล่าวแล้ว รามัญทั้ง ๗ เมืองก็อาจจะมีงานอื่นๆที่เป็นการจร ซึ่งแล้วแต่
ว่าจะได้รับคําสั่งมาเป็นคราว ๆ ไปเป็นต้นว่าเกณฑ์ให้ตัดไม่เพื่อใช่ทําด้ามพระแสงหอก
๒๑.ทําพลับพลาที่ประทับเวลาเสด็จพระราชดําเนินไปประพาสแควน้อยไทรโยค
๒๒.และในระยะหลังที่ไทยมีการติดต่อกับหัวเมืองพม่าตอนล้างที่เป็นของอังกฤษ ก็มีการไปมาค้าขายติดต่อกับเมาะตะมะ เมาะลําเลิง ร่างกุ้ง เป็นต้น ครั้นเมื่อมีราชการที่จะออกไปยัง เมืองเหล่านั้น ก็ได้อาศัยพวกรามัญ ๗ เมืองคอยรับส่งจัดที่พักและนําทางพวกอาทมาตเข้าไปถึงปลายด้านอยู่เสมอ ๆ
๒๓.ส่วนในยามสงครามนั้น รามัญทั้ง ๗ เมือง ก็ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเมืองเหล่านี้เป็นเส้นทางที่ยกทัพไปมาของพม่าและฝ่ายไทยเวลายกทัพไปรบก็อาศัยการเดินเรือในลําน้ำแควน้อยไปขึ้นบกไทรโยค และได้อาศัยพวกรามัญ ๗ เมือง ในการทําทางจัดตั้งกองเสบียงอาหารและที่พักเป็นระยะไป บรรดานายด้านนายกองได้รับพระราชทานเบี้ยหวัด คนหนึ่งปีละ ๖-๒๐ บาท ส่วนเจ้าเมืองได้ปีละ ๔๐ บาทเป็นอย่างสูง ๒๔ ทั้งเจ้าเมือง กรมการ นายด้านนายกอง จะต้องไปถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาปีละ ๒ ครั้ง ในเทศกาลตรุษและสารทเช่น เดียวกับข้าราชการทั่วไป โดยเข้าไปทําพิธีร่วมกับพระยากาญจนบุรีและกรมการ ณ วัดอารามในเมืองนั้น
การกระทําสัตยานุสัจจบ่ายหน้าไปยังกรุงเทพฯ หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสุวรรณวรรัตน์ เจ้าอาวาสวัดแป้นทองโสภาราม แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ หน้าที่ ๑๖๕ ได้สรุปหน้าที่ของชาวรามัญ ๗ หัวเมืองนี้ มีหน้าที่ดังนี้
๑. ลาดตระเวนรักษาด้านเป็นประจําฤดูเพื่อป้องกันพม่าเข้ามาสืบข้าวจากทางไทย
๒. สืบข่าวความเคลื่อนไหวของพม่า และคอยสกัดจับผู้คนที่หนีเข้าและออกในราชอาณาเขต
๓. ทําทางเดิน และจัดตั้งกองเสบียงในยามศึกสงคราม
๔. ตัดไม้เพื่อทําพระแสง หอก พลับพลาที่ประทับเวลาเสด็จหัวเมือง
๕. เกณฑ์คนรามัญเข้าร่วมขบวนแห่ในพระราชพิธีสําคัญ
๖. เกณฑ์คนไปร่อนทองที่คลองปีล็อก และคลองพลู เพื่อส่งส่วยทองคําให้กษัตริย์ไทยทุกปี
๗. ทําหน้าที่อื่น ๆ ตามรับสั่งหน้าที่อื่น ๆ เท่าที่ผู้เขียนทราบ เช่น ๑ ผาอิฐสร้างพระปฐมเจดีย์ สมัยรัชกาลที่ ๔ (สมุดไทยดําบ้านผู้เขียน) ๒. ตัดไม้จากป่าเมืองไทรโยค ลุ่มสุ่ม ท่าตะกั่ว สร้างพระเมรุมาศของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรม วงศานุวงศ์ (คําบอกเล่าของ ศาสตราจารย์ เกียรติคุณนายแพทย์สุเอ็ด คชเสนี)
ครั้นเมื่อเริ่มจัดการปกครองตามระเบียบใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ (ร.ศ.๑๑๔) เป็นต้นมาได้ยกเลิกรามัญ ๗ หัวเมือง โดยยุบไปสังกัดขึ้นแก่เมืองกาญจนบุรี ฐานะของเมืองเหล่านั้นจึงมีการเปลี่ยน แปลงไปคือ เมืองทองผาภูมิ (เดิมเรียกว่าทองผาภูมิ) ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในเขตกิ่งอําเภอสังขละบุรี(ต่อมาเป็นอําเภอสังขละบุรี) ปัจจุบันเป็นอําเภอทองผาภูมิ เมืองท่าขนุน(สังขละบุรี) ยุบลงเป็นกิ่งอําเภอสังขละบุรี ขึ้นต่ออําเภอวังกะ ซึ่งตั้งใหม่อยู่ห่างจากท่าขนุนขึ้นไป ตั้งที่ว่าการริมน้ำสามสบ ต่อมาอําเภอวังกะและกิ่งอําเภอสังขละบุรีได้ถูกเปลี่ยนฐานสลับกันหลายครั้ง และต่อมากิ่งอําเภอสังขละบุรีตั้งอยู่ที่ตําบลวังกะ เดิมขึ้นต่ออําเภอทองผาภูมิและเปลี่ยนชื่อเป็นอําเภอสังขละบุรี ส่วนกิ่งอําเภอสังขละบุรีเดิมตั้งอยู่ที่ตําบลท่าขนุน เปลี่ยนเป็นอําเภอทองผาภูมิ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา เมืองไทรโยค ยุบลงเป็นกิ่งอําเภอวังกะใน พ.ศ.๒๔๙๒ ต่อมาได้โอนขึ้นกับอําเภอเมืองกาญจนบุรี ได้ย้ายที่ทําการหลายครั้ง ปัจจุบันนี้ตั้งที่ทําการอยู่ ที่ตําบลวังโพธิ์ และได้ยกขึ้นเป็นอําเภอไทรโยค เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เมืองท่าตะกั่ว ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตําบลท่าเสา อําเภอไทรโยค เมืองลุ่มสุ่ม ยุบลง
เป้นหมู่บ้านในตําบลลุ่มสุ่ม อําเภอไทรโยค เมืองสิงห์ ยุบลงเป็นหมู่บ้านอยู่ในตําบลสิงห์ อําเภอไทรโยค เมืองท่ากระดาน ยุบลงเป็นหมู่บ้าน ในอําเภอศรีสวัสดิ์ ในปัจจุบันนี้ทายาท ผู้สืบตระกูลของท่านผู้ว่าราชการหัวเมืองมอญทั้ง ๗ เมือง ได้อาศัยตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในบริเวณอําเภอโพธาราม อ. บ้านโป่ง ในตําบลต่าง ๆ ทั้งสองฝั่งแมน้ำแม่กลอง โดยเฉพาะตําบล คลองตาคต (บางเลาเดิมคือ บ้านคงคา) นอกจากนั้นก็มีกระจายอยู่เป็นอันมากในบริเวณตําบลต่าง ๆ ของอําเภอบ้านโป่ง และแม้ตําบลส่วนล่าง ๆ ของอําเภอท่ามะกาซึ่งอยู่ติดต่อกับส่วน บนของอําเภอบ้านโป่งก็มีเชื้อสายเครือของท่านเจ้าเมืองทั้ง ๗ อยู่เหมือนกัน
สําหรับบรรดาทายาทผู้สืบสกุลของท่านเหล่านี้จะทราบได้โดยง่ายโดยการสังเกตนามสกุลซึ่งมีอยู่มากมายหลายนามสกุลด้วยกัน
ผู้เขียนต้องขอออกตัวไว้เสียก่อนว่าอาจจะมีขาดตกบกพร้องไปบ้างไม่มากก็น้อย ตัวอย่างนามสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ เมืองแห่งจังหวัดกาญจนบุรีเท่าที่สามารถ จะรวบรวมได้มีดังนี้
พระสมิงสิงหบุรินทร์ เมืองสิงขบุรี ได้แก่นามสกุล สิงคิบุรินทร์ ธํารงโชติ ปลัดสิงห์
พระนิพนธ์ภูมิบดี เมืองลุ่มสุ่ม ได้แก่นามสกุล นิลบดี นินทบดี
พระบรรเทาพระชินดิฐบดี เมืองท่าตะกั่ว ได้แก่นามสกุล ป้นยารชุน ชินอักษร ชินบดี ชินหงษา มัญญหงส์ ท่ากั่ว อักษร จ่าเมือง หลวงพันเทา นิลบดี (สายหลวงพันเทาทุกขราษฎร์จุย)
พระปนนสติฐบดี เมืองท่าขนุน ได้แก่นามสกุล หลักคงคา กุลอาจยุทธ์ ยศศักดิ์ พลเภรีย์
พระผลกติฐบดี เมืองท่ากระดาน ได้แก่นามสกุล พลบดี ตุลานนท์ พลดี
พระนิโครธาภิโยค เมืองไทรโยค ได้แก่นามสกุล นิไชยโยค นิโครธา นิไทรโยค นิโกรธา
พระไทรโยค มะมม หลวงสงคราม หลวงพล หลวงปลัด ศรีสงคราม
พระเสลภูมิบดี เมืองทองผาภูมิ ได้แก่นามสกุล เสลานนท์ เสลาคุณ
นอกจากนี้ท่านผู้ใดเป็นลูกหลานมอญลุ่มน้ำแม่กลอง มีคําขึ้นต้นสกุลว่า จางวาง จักกาย หมื่น ขุนหลวง ยกกระบัตร นําหน้าล้วนแล้วแต่เป็นสกุลของคณะกรมการเมืองทั้ง ๗ นี้ทั้งสิ้น
ณ บัดนี้เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตกาลก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วสิ่งที่ท่านผู้นําชาวมอญทั้งหลายรวบรวมทั้งท่านที่มีเรื่องราวปรากฏดังที่ผู้เขียนได้บรรยายมาข้างต้นได้ทิ้งไว้เบื้องหลังของท่านก็คือเกียรติประวัติอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญจะเป็นเรื่องที่เล่าขานกันในบรรดาอนุชนรุ่นหลังตลอดจนทายาทสืบสายสกุลของท่านต่างๆเหล่านี้ไปอีกนานแสนนาน
สิ่งที่ท่านเหลือไว้ดูต่างหน้าก็คงจะไม่มีอะไรมากนอกจากพระเจดีย์ทรงรามัญรายรอบภายในกําแพงแก้วพระอุโบสถวัดคงคารามตัวแทนเจ้าเมืองมอญทั้ง ๗ และอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของท่าน เรียงรายกันอยู่ภายนอกกําแพงแก้วพระอุโบสถของวัดคงคาราม อันเป็นวัดที่ท่านเหล่านี้ได้ช่วยกันก่อร่างสร้างกันขึ้นมาและเป็นสถานที่ที่ท่านได้เคยทําบุญสมาทานศีล ตลอดจนเป็น แหล่งสุดท้ายที่พวกท่านหลับตา
ลงอย่างสงบเป็นวาระสุดท้าย ด้วยความหวังว่าลูกหลานของท่านภายหน้าคงจะไม่ละทิ้งแนวปฏิบัติและลัทธรรมเนียมประเพณีอย่างที่ท่านได้เคยกระทํามาในอดีตกาล ผู้ งชาติ ห้องสมุดโรงเรียนสตรีวิทยา ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ สุเอ็ด คชเสนี อดีตนายกสมาคมไทยรามัญ และอาจารย์สุภรณ์ โอเจริญ เป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้ด้วยเอกสารอ้างอิง
๑. ไทยรบพม่า พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ สํานักพิมพ์คลังวิทยา พ.ศ. ๒๕๑๔ หน้า ๓๔๖
๒. บรรณานุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนอาโภคคดี ณ เมรุวัดคงคาราม จ. ราชบุรี ประวัติมอญเข้า กรุงสยาม ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๘
๓. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ (ควรเป็นรัชกาลที่ ๒) ท้องตราเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีถึง พระยาราชบุรี พระยากาญจนบุรี เรื่องรามัญในกองพระรัตนจักรหลบหนีการทัพ ๕ คน ให้บอก ด้านทางและแต่งคนออกก้าวสกัดจับตัว จ.ศ. ๑๑๘๓ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๒
๔. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ บอกพระพิไชยภักดีเมืองกาญจนบุรี ตอบรับท้องตรา เรื่องให้พระยาไทรโยค แต่งคนออกไปลาดตระเวนจับ พม่า ทางเมืองทวายวัน ๔ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๒ ๑๑๘๔ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๗
๕. จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ เรื่องบอกพระยาพิไชยภักดี เมืองกาญจนบุรี เรื่องแต่งขุนหมื่น ๑๑ ออกลาดตระเวนชายแดนวัน ๗ ฯ
๕ . ปีมะแม จ.ศ. ๑๑๘๕ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๐ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๙
๖. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ สําหรับพระพิพิธสาลี ไม่ปรากฏชื่อโรงพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ หน้า ๓๙๗
๗. ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระมหาโพธิวงศาจารย์ อินทโชตเถระ) โรงพิมพ์ดํารงธรรม ธนบุรี พ.ศ. ๒๕๑๑
๘. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ จดหมายเหตุระยะทางเสด็จประพาสในรัชกาลที่ ๔เด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๒ ปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๔๓๑ (พิมพ์ในงานถวายพระเพลิง พระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ) โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒนากร กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๖๓ หน้า ๒๙-๓๐
๙. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๐
๑๐. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๘
๑๑. พระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงพิมพ์คุรุสภา กรุงเทพ ฯ พ.ศ.๒๕๐๔ หน้า ๗๙-๘๒ เอกสารอ้างอิงต่อไปนี้ (ตั้งแต่หมายเลข ๑๒ จนถึงหมายเลข ๒๔) เป็นเอกสารอ้างอิงที่ได้จากสุภรณ์ โอเจริญ ในวิทยานิพนธ์เพื่อปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิอทยาลัย พ.ศ. ๒๕๑๖ เรื่องชาวมอญในประเทศ : วิเคราะห์ฐานะและบทบาทในสังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางถึง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
๑๒. สมุดราชบุรี หน้า ๗๖ ๑๓. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ค.
๑๓. ๒/๒๓ หนังสือพระยาศรีสหเทพกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่อง การเก็บเงินส่วยพวกมอญและเกรี่ยงในมณฑลราชบุรีและเพชรบุรี ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓)
๑๔. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ,แฟ้มค. ๑๓.๒/๒๓ หนังสือสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพเสนาบดี มหาดไทย กราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่องการเก็บเงินส่วย ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๙
๑๕. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ม.๒.๑๔/๕๔ รายงานพระยาเดชศักดาวุธ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล ราชบุรี ตรวจราชการเมืองกาญจนบุรี ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๙
๑๖. กองจดหมายเหตุ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔, เล่ม ๑๗ หน้า ๙๙
๑๗. หอสมุดแห่งชาติ,เอกสารตัวเขียนสมุดไทดํา รัชกาลที่ ๒ เลขที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๓
๑๘. หอสมุดแห่งชาติ, เอกสารตัวเขียนสมุดไทดํา รัชกาลที่ ๔ เลขที่๔๗ จ.ศ. ๑๒๑๕
๑๙. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ เล่ม ๕ เลขที่ ๖๗ จ.ศ. ๑๒๑๕,หน้า ๑๘๕-๑๘๘
๒๐. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้มม.๕.๑ ก./ ๓๑เรื่องพวกรามัญแขวงเมืองราชบุรีหนีออกไปนอกพระราชอาณาเขตร.ศ. ๑๐๙-๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔)
๒๑. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ และ ๕ เลขที่ ๗๒ จ.ศ. ๑๒๑๕ หน้า ๑๙๙
๒๒. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, แฟ้ม ม. ๒. ๑๒ ก./๓ ใบบอกเมืองกาญจนบุรีเรื่องได้เกณฑ์ผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมืองไปรับราชการทําพลับพลารับเสด็จพระราชดําเนินตามระยะทางถึงไทรโยค ลงวันที่ ๖ กันยายน ร.ศ. ๑๐๙
๒๓. กองจดหมายเหตุแห่งชาติ ,ใบบอกกระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๔ เล่ม ๓๓ จ.ศ. ๑๒๒๙ หน้า ๒๓๗ - ๒๓๘
๒๔. สมุดราชบุรี, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓
ประวัติมอญในจังหวัดราชบุรี
ราวปีพุทธศักราช 2300 ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาอัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และ พระยาทะระ พระมหากษัติร์มอญองค์สุดท้ายแห่งกรุงหงสาวดี โดยมี พระเจ้าอะลองพระยา(พระเจ้ามังลอง)ปกครองเมืองกรุงอังวะ ได้ยกทัพตีเมืองหงสาวดีได้จุดไฟเผาเมืองพินาศสิ้นจนถึงเมืองเมาะตะมะและเมาะลำเลิง มอญจึงเสียเอกราชให้แก่พม่าและชื่อรามัญประเทศ ก็หายไปจากแผนที่โลก มาจนถึงปัจจุบันนี้
ในราวพุทธศักราช 2310 ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้กู้เอกราชคืนมาได้ จึงตั้งกรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ความก็ทราบถึงหัวหน้ามอญที่หลบซ่อนอยู่ ก็ชวนสมัคร พักพวกอพยพครอบครัวมอญประมาณ 1,000 ครอบครัว หนีพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โดยหัวมอญติดต่อผ่านมายังเจ้าพระยารามัญวงศ์ แต่พอดีเกิดจราจลที่กรุงธนบุรี ครอบครัวมอญจึงต้องพักที่เมืองไทรโยคก่อน ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จกลับจากยกทัพไปปราบเขมรและเข้าปราบจราจลในกรุงธนบุรีแล้ว ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักกรีบรมนาถ ( พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เจ้าพระยารามัญวงค์ กราบทูลเรื่องมอญขอ พึ่งพระบรมโพธิสมภารให้ทรงทราบ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ เจ้านายมอญที่เหลือชีวิตอยู่ 7 คน ให้เป็นนายด่านป้องกันเมืองชายแดน 7 เมือง เมืองทั้ง 7 นั้น ได้แก่ ไทรโยค ท่าขนุน ท่ากระดาน ท่าตะกั่ว ลุ่มสุ่ม เมืองสิงห์และทองผาภูมิ ( ปัจจุบันเมืองเหล่านั้น บ้างก็เป็นอำเภอ บ้างก็เป็นตำบลอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ) ชาวรามัญเรียกเจ้าเมืองทั้ง 7 นี้ว่า จั๊ดเดิงหะเป๊าะ โดยมีเจ้าเมืองไทรโยคเป็นหัวหน้าอีกทีหนึ่ง เมืองทั้ง 7 มีหน้าที่เป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน ต่อมาได้มีมอญอพยพครอบครัวเข้ามาอีกประมาณ 5,000 ครอบครัวจึงทำ ให้ไม่มีที่ทำมาหากินเพราะภูมิประเทศเป็นภูเขาลำเนาไพร ดังนั้นมอญบางพวกจึงอพยพไปทางเมืองปทุมธานี ลพบุรี หัวหน้ามอญทั้ง 7 จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปหาเจ้าพระยารามัญวงค์และ พระยามหาโยธา เจ้าพระยาทั้งสองท่านจึงพาเข้ากราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ทำมาหากิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระยามอญทั้ง 7 เลือกที่ทำมาหากินเอาเองแล้วแต่จะพอใจที่ใด พยามอญทั้ง 7 จึงทูลขอที่ริมสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่เมืองไทรโยค จนถึงเมืองราชบุรี แล้วจึงพระราชทานท้องตราให้พระยามอญทั้ง 7 มาด้วย ฝ่ายพระยามอญทั้ง 7 ได้พิจารณาเห็นว่าที่บริเวรตั้งแต่อำเภอบ้านโป่งถึงอำเภอโพธาราม เป็นทำเลที่เหมาะแก่การที่จะตั้งบ้านเมืองของพวกตน
เดิมทีที่ตั้งสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองนี้เป็นที้ตั้งบ้านเรือนของชาวลาวเวียงจันทร์ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยครั้งสมัย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ซึ่งได้ตั้งบ้านเรือนเป็นโรงนาเล็กฯ พระยามอญจึงได้ เอาท้องตรามาให้ดูว่าบัดนี้ พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่เหล่านี้ให้แก่พวกมอญแล้ว ดังนั้นชาวลาวเวียงจันทร์จึงถอยร่นออกไปอยู่ ณ บริเวร วัดโบสถ์ วัดบ้านเลือก วัดบ้านฆ้อง บ้านสิงห์
เมื่อได้ทำเลแล้วจึงมีหนังสือมาถึงเจ้าพระยามอญทั้งสอง เพื่อขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯได้ ดังนั้น วัดคงคา จึงเป็น วัดแรกของชาวไทยรามัญ มีเจดีย์รอบๆพระอุโบสถ 7 องค์ ซึ่งหมายถึงเมืองหน้าด่านทั้ง 7 เมืองนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชทานตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคงคารามเป็นพระราชาคณะฝ่ายรามัญ ที่พระครูรามัญญาธิบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่รามัญนิกายเมืองราชบุรี จนถึงสมัยรัชการที่ 5 จึงยกเลิกถึงบัดนี้ ในสมัยรัชการที่ 2 ได้โปรดเกล้าให้เจ้าเมืองหัวหน้ามอญทั้ง 7 เป็นที่ พระไทรโยค พระท่าขนุน พระท่ากระดาน พระท่าตะกั่ว พระลุ่มสุ่ม พระสิงห์ และพระทองผาภูมิ ชาวมอญได้คิดสร้างวัดตามหมู่บ้านใหญ่รุ่นที่ 2 คือ วัดใหญ่นครชุมน์ วัดม่วง วัดบ้านฆ้อง ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีวัดมอญรุ่น ที่ 3 คือ วัดป่าไผ่ วัดไทร วัดเกาะ วัดตาผา วัดบ้านโป่ง วัดโชค วัดตาลปากลัด วัดหัวหิน วัดโพธิ์โสภาราม วัดมะขามและวัดม่วงล่าง และในสมัยรัชการที่ 4 มีวัดมอญรุ่นที่ 4 คือ วัดหนองกลางดง วัดชัยรัตน์ วัดหุบมะกล่ำ วัดดอนกระเบื้อง และวัดเขาช่องพราน ( โดยมีพระยาเทพประชุน ต้นตระกูลปัณยารชุน เป็นผู้ดูแล เป็นเชื้อสายพระยามอญทั้ง 7 เหมือนกัน)
ในสมัยสร้าง วัดใหญ่นครชุมน์ พระยาทองผาภูมิ ได้อพยพพาญาติพี่น้องไปอยู่ที่วัดใหญ่นครชุมน์เพื่ออุปการะวัดใหญ่นครชุมน์ ต่อมาวัดมอญในเขตอำเภอบ้านโป่งจะไปทำสังฆกรรมร่วมกันท ี่วัดใหญ่นครชุมน์
ในสมัยรัชการที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของเมืองหน้าด่านทั้ง 7 เมือง จึงพระราชทานนามเจ้าเมืองทั้ง 7 นี้เสียใหม่
1. พระไทรโยค เป็นที่ พระนิโครธาภิโยค ใช้นามสกุล นิไชยโยค นิโครธา นิไทร โยค มะมม
2. พระท่าขนุน พระปันนสติษฐบดี หลักคงคา
3. พระท่ากระดาน พระผลกะติฐบดี พลบดี ตุลานนท์
4. พระท่าตะกั่ว พระชินดิษฐบดี ชินอักษร ชินบดี ชินหงษา มัญญหงษ์
5. พระลุ่มสุ่ม พระนิพนธ์ภูมบดี นินบดี นิลบดี นิลทบดี พระบรรเทา จ่าเมือง หลวงบรรเทา หลวงพันเทา
6. พระเมืองสิงห์ พระสมิงสิงบุรินทร์ สิงคิบุรินทร์ ธำรงโชติ
7. พระทองผาภูมิ เป็นที่ พระเสลภูมาธิบดี เสลานนท์ น้องชายใช้ เสลาคุณ
ครั้นเมื่อเมื่อเริ่มจัดการปกครองใหม่เมื่อ พ.ศ.2438 (ร.ศ.114) เป็นต้นมาได้ยกเลิกรามัญ 7 หัวเมือง โดยยุบไปสังกัดแก่เมืองกาญจนบุรี ฐานะของเมืองเหล่านี้จึงเปลี่ยนไป
หนังสืออ้างอิง
1.พร เยี่ยงสว่าง , ประวัติมอญเมืองไทย , เอกสารเย็บเล่ม , 2522
2.บรรณนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ, รองอำมาตย์โท ขุนอาโภคคดี, รวมเกล็ด
พงศาวดารและประวัติศาสตร์ชนชาติมอญ, กรุงเทพฯ, กรุงสยามการพิมพ์ , 2525
3. บรรณานุสรณ์งานฌาปนกิจศพ, พระอาจารย์แป๊ะ สหโช , ประวัติวัดคงคาราม
4. ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอบ้านโป่ง , ท้องถิ่นศึกษา ตอน 1 เล่ม 1 รวมเผ่าพงษ์ไทยบ้านโป่ง
5. หลักฐาน คุณตาแคล้ว และคุณยายถนอม เสลานนท์
6. 100 วัน แม่ประจิม ปันปี
7. บันทึก สารตรา ท่านเจ้าพระ พระยาสาร วันที่ ๙ พฤศจิกายน รศ. ๑๒๒ ถึง หลวงวิวิตภักดี ผู้ช่วยสงคราม
ขออนุญาตคัดลอกเรื่องผู้ว่าราชการรามัญ ๗ เมือง
บรรพชนในตระกูลของชาวรามัญในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี
อ.โสภณ นิไชยโยค
มอญเจ็ดหัวเมืองกับสงครามเก้าทัพ
ทิศทางที่ ๑ เจ้าพระยาธรรมาธิบดี เป็นแม่ทัพหน้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นแม่ทัพหลวง พระยามหาโยธา คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ คนไปขัดตาทัพที่ด่านกรามช้าง
บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้มีว่า
แต่นายทัพนายกองทั้ง ๓ นาย คอยสกัดตีกองลำเลียงพม่า และจับพม่ามาได้บ้าง ส่งให้ทัพหลวง แล้วคิดย่อท้อต่อข้าศึก หลีกหนีไปซุ่มทัพตั้งอยู่ที่อื่น กรมพระราชวังบวรฯทรงทราบ จึงรับสั่งให้ข้าหลวง ไปสอบข้อเท็จจริง ถ้าจริงก็ให้ประหารชีวิต และตัดศีรษะมาถวาย ส่วนปลัดทัพทั้ง ๒ นั้น ให้เอาขวานสับศีรษะคนละ ๓ เสี่ยง ข้าหลวงไปสอบและประจักษ์ด้วยตาแล้วว่าเป็นความจริง จึงปฏิบัติตาม พระราชบัณฑูร ตัดศีรษะพระยาทั้งสาม นำชะลอมใส่ศีรษะทั้งสามมาถวาย ณ ค่าย มีพระราชบัณฑูรให้เสียบประจานไว้หน้าค่ายอย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง
แล้วดำรัสให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจรคุมพล ๑,๐๐๐ คน ไปสมทบกันกับกองโจรเดิม ๕๐๐ เป็น ๑,๕๐๐ คน ไปคอยสกัดตีกองลำเลียงของพม่าที่ตำบลพุไคร้ดังแต่ก่อน เพื่อมิให้พม่าส่งลำเลียงข้าวปลาอาหารได้ ปรากฏว่าได้ผลดี ส่งเชลยพม่าที่จับได้ ช้าง ม้า โค เสบียงอาหาร มาถวายเนืองๆ
ครั้งนั้น พม่าได้ตั้งหอรบแล้วเอาปืนใหญ่ไปตั้งยิงค่ายทัพไทย ทัพไทยไม่มีลูกปืนใหญ่ เอาไม้มาทำเป็นลูกปืนระดมยิงค่ายพม่าพังไปหลายตำบล พม่าถูกลูกปืนไม้ล้มตายและลำบากเป็นอันมาก ออกจากค่ายก็ไม่ได้ เสบียงก็ขัดสน ถอยกำลังลง กรมพระราชวังบวรฯ จึงทรงแต่งหนังสือข้อราชการสงครามให้ข้าหลวงถือมากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ซึ่งทรงเตรียมกองทัพไว้แล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงเสด็จฯกรีธาทัพหลวงกำลังพล ๒๐,๐๐๐ คนไปช่วย เพื่อให้ศึกเสร็จสิ้นโดยเร็ว...
พระองค์เจ้าขุนเณร นี้ เป็นโอรสเลี้ยงในสมเด็จพระพี่นางเธอพระองค์ใหญ่ (ในรัชกาลที่ ๑) คือเป็นบุตรของพระภัสดากับภริยาอื่น นัยว่าพระชนม์สูงกว่ากรมพระราชวังหลังพระโอรสองค์ใหญ่ใน สมเด็จพระพี่นางเธอฯ
พระยาเสลาภูมาธิบดี
พระทองผาภูมิได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พระยาเสลาภูมาธิบดี ภายหลังได้ทำศึกสงครามเก้าทัพที่ทุ่งลาดหญ้า ซึ่งมอญเจ็ดหัวเมืองนั้นได้รับใช้และเป็นหัวเมืองหน้าด่านทั้งหาข่าว กรองแล้วรีบรายงานด่วนถึงพระมหากษัตริย์ ในสงครามเก้าทัพมอญทั้งเจ็ดหัวเมืองเพื่อรายงานข่าวกรองว่าพม่าได้เดินทางมาทางด่านเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ให้สมเด็จเจ้าขุนเณรคุมกำลังส่วนหนึ่งและมี มอญทั้งเจ็ดหัวเมืองอยู่ในความบังคับบัญชา ตั้งค่ายทางทิศตะวันตก................ ภายใต้การบังคับบัญชาของกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท หลักฐานในบันทึก กรมทหารราบที่ ๙ ทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี พระยาเจ่งจะคุมมอญอีกชุดหนึ่ง การรบที่ทุ่งลาดหญ้านับเป็นสงครามที่สำคัญของประวัติชาติไทย ที่มีผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมิมีใครกลัว เกรงข้าศึก
มอญเจ็ดหัวเมืองมีความสำคัญมากในขณะนั้น และได้รับพระราชทานเป็น พระยา ๓ ท่าน ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามเก้าทัพ ถึงมอญเจ็ดหัวเมืองจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์น้อยมากแต่ก็ เป็นกำลังที่สำคัญโดยเฉพาะการข่าว ข่าวกรอง เพราะมอญเจ็ดหัวเมืองมีความชำนาญเส้นทางประจวบกับมีญาติที่อยู่ในเขตพม่าที่ให้ข่าวสาร จึงทำให้การข่าวของไทยได้รับทราบรวดเร็ว และสามารถตั้งรับข้าศึกดำเนินการวางแผนได้ดี
พระยาเสลาภูมาธิบดี ได้รับพระราชทานดังนี้
๑. ผ้านุ่งและผ้าไหม กำได้หนึ่งกำมือ และได้มอบให้บุตรชายคนรองเก็บรักษาอยู่
๒. ธงชาติพระราชทาน ธงพื้นสีแดงตรงกลางเป็นช้างเผือกไม่มีทรงเครื่อง
๓. ผ้าขลิบสีน้ำเงินพระราชทานให้หลวงวิชิตสงครามบุตรชายคนโตของพระยาเสลา
ภูมาธิบดี ผ้าผุพังหมดแล้วสมัยผมเป็นเด็กเคยจับดูขาดหมด แล้วจึงเก็บกระดุมไว้ ๓ เม็ด
แก้ไขเมื่อ : 17/2/2555 13:05:27