คำตอบที่ 3
ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ โช๊คอัพ....
นับเป็นเวลายาวนานที่รถจักรยานยนต์ อยู่คู่กับผู้บริโภคชาวไทย
และร่วมเส้นทางไปในสถานที่ต่างๆ บนท้องถนนของเมืองไทย
ที่แสนจะสะดวกสบายเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ โดยเฉพาะฝาท่อที่โผล่อยู่กลางถนน
รถมอเตอร์ไซค์เมืองไทยจึงถูกออกแบบให้สามารถเอาตัวรอดได้
ในระดับหนึ่ง ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา
กระแสการปรับแต่งรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับการทำงาน
ในลักษณะๆ ต่างๆได้ดียิ่งขึ้น กับอีกทางหนึ่งคือการตกแต่งเพื่อความเท่
ความหล่อบนท้องถนน จนกระทั่งบางคนอาจจะไม่เคยรู้ความแตกต่าง
ของโช้คแต่ละแบบเลย วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะนำความรู้เกี่ยวกับ
ระบบกันสะเทือนมาฝากกันครับ
โช้คอัพ มาจากคำว่า Shock Absorber (ช็อค-อัพซอร์เบอร์)
เป็นตัวช่วยหน่วงเวลาไม่ให้สปริงมีการเคลื่อนตัวเร็วเกินไป
แต่อย่าเข้าใจ ผิดว่าใช้โช้คอัพรองรับน้ำหนักนะครับ
ผู้ขับขี่รถบางคนอาจจะเข้าใจกันว่า โช้คมีไว้รองรับน้ำหนักรถ
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์เลยครับ จริงๆ แล้ว ตัวรับน้ำหนักและแรงกระเทกทั้งปวง
คือสปริง แต่ในทางกลับกันถ้ารถคุณมี แต่สปริง พอเจอถนนขรุขระและหลุมบ่อ
รถคุณก็จะเด้งขึ้นเด้งลงตามค่า K ของ สปริงกันจนมึนไปเลย Shock Absorber
จึงถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อหน่วงไม่ใช้สปริงมีการเคลื่อนตัวได้เร็วนัก
ในกรณี เวลาที่คุณต้องการเลือกโช้คอัพมาใส่รถต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า
คุณต้อง ได้อย่างเสียอย่างเสมอ ถ้ารถคุณอยากได้โช้คนิ่ม มันจะหน่วงสปริงได้ น้อย
นั่งแล้วนิ่มตูดขึ้น แต่เวลาเข้าโค้งที่มีความเร็วถึงในระดับหนึ่งรถก็ จะออกอาการ ย้วย
ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของโช้คแบบผิดที่ผิดเวลานั่นเอง
ซึ่งนั่นเกิดจากแรงเหวี่ยงจากศูนย์กลางมันมากดโช้ค
แต่ถ้าในกรณีที่คุณเลือกโช้คหนึบในโค้งความนิ่มก็จะหายไปรวมทั้งบนทางตรง
เนื่องจากสปริงจะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก แต่เวลาเข้าโค้ง หรือขับซิกแซก
รุ ถคุณนิ่งอย่างแรงครับเพราะน้ำหนักกดลงไปถึงพื้นมีความสม่ำเสมอ
โช้คอัพ เดิมทีคือการใช้น้ำมันในการหน่วงการทำงานของกลไก โดยน้ำมันนี้
จะบรรจุอยู่ในกระบอกโช้คเต็มกระบอก แท่งแกนโช้ค ( Piston rod )
ถูกสอดลงไปในกระบอก มีก้อนวาล์ว (Piston valve) อยู่ตรงปลาย หลักการของมันคือ
รูวาวล์จะต้านแรงดันน้ำมันในเวลารับแรงกดและแรงยืดกลับ เวลาจังหวะโช้คยืดตัวขึ้น
น้ำมันจากห้องบนจะต้องถูกดันให้หนีลงมาห้อง ล่าง แต่วาล์วที่กั้นห้องนั้น
มีรูและซอกเล็กมากให้น้ำมันผ่านได้จำกัด มาก ทำให้น้ำมันผ่านได้ช้าลง
ผลก็คือเกิดการหน่วงไม่ให้ก้านสูบเลื่อนขึ้น เร็วเกินไป ในจังหวะโช้คกดตัวลงก็เช่นกันครับ
น้ำมันจากห้องล่างจะพยายามหนีขึ้นห้องบน เพราะโดนดัน วาล์วก็เป็นตัวหน่วงอีกเช่นกัน
การไหลผ่านร่องวาล์วเล็กๆในกระบอกสูบ หนืดไม่หนืด ขึ้นอยู่กับขนาดวาล์วและการออกแบบ
ช่องทางเดินน้ำมันในวาล์วให้ใกล้เคียงกับความต้องการการใช้งานมากที่สุด
ลักษณะพิเศษของโช้คแก้ส
โช้คแก้ส มันคือการขึ้นพัฒนาจากโช้คที่มีองค์ประกอบที่มีอยู่แล้ว มาสร้าง
ห้องพิเศษไว้ห้องหนึ่งแล้วอัดแก้สไนโตรเจนลงไป มีจุดประสงค์หลักคือทำให้มี
แรงดันเพิ่มขึ้น ฟองอากาศที่จะเกิดในน้ำมันซึ่งเป็นปัญหาเดิมจะลดลง
เนื่อง จากเวลาโช้คทำงานปกติบนถนน โช้คมีการขยับขึ้นลงมากกว่า 10 ครั้งต่อวินาที
พร้อมกับความร้อนซึ่งเกิดจากการเสียดสีเป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำมัน
เกิดฟอง อากาศ ประเด็นสำคัญ สิ่งที่เรียกว่าโช้คน้ำมันกึ่งแก้สนั้นหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็น
การอัดเฉพาะแก้สเข้าไปเต็มๆ นั่นเป็นความเข้าใจผิดครับ โช้คแก้ส
ก็ยังใช้น้ำมันในการไหลผ่านวาล์วเหมือนเดิม แก้สไม่เกี่ยวเลยแต่
แรงดันจากแก้สนี้จะสร้างแรงดันซึ่งมีผลไปสู่ฟองอากาศให้ลอยตัวเร็วมากขึ้น
ไม่เข้ามาพัวพันอยู่กับแกน และซีลโช้ค ซึ่งเป็นตัวการที่เกิดการสะดุด
ขณะที่โช้คทำงาน ดังนั้น ขอให้เข้าใจกันใหม่ด้วยนะครับ ว่าโช้คนั้นมีแค่เป็นน้ำมันล้วน
กับ แบบเอาแก้สมาอัดช่วยดันห้องล่าง แค่นั้น โช้คแก้สเปล่าๆ ไม่มีแน่นอนครับ
ในการออกแบบ้องแยกแก้สนั้น ในอดีต มีถูกออกแบบให้เป็นเหมือนกับเสื้อสูบซึ่ง
มีลูกสูบหรือจะเรียกว่าผนังกั้นก็ ไม่น่าจะผิด เป็นตัวกั้นระหว่างแก็สกับน้ำมัน
มันจะทำงานรับแรงดันขึ้นลงเหมือนลูกสูบ ซึ่งลักษณะแบบนี้ จะเกิดความร้อนสะสมในตัวกระบอก
ผู้ผลิตรุ่นใหม่จึงหันมาพัฒนาห้องแยกแก้สใหม่ ด้วยวัสดุยางสังเคราะห์เนื้อพิเศษ
ซึ่งทำงานคล้ายๆกับเตียงน้ำ ไม่มีการเสียดสีกับวัตถุอื่นจึงไม่เกิดความร้อนจึงทำงานได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพมากกว่า
ข้อสังเกตุสำคัญว่าโช้คของคุณเป็นน้ำมันหรือมีแก้สก็สามารถทำได้ไม่ยาก
เริ่มจาการถอดสปริงออกจากโช้ค แล้วลองวางตั้งกับพื้นนะครับ
เอามือกดโช้คลงไปจนสุด แล้วปล่อย ถ้าเป็นโช้คน้ำมัน มันจะจมอยู่เช่นนั้น
แต่ถ้าเป็นโช้คที่มีแก้สอยู่ด้วย มันจะค่อยๆยืดขึ้นมาเองช้าๆจนสุด
สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะมีห้องแก้สอยู่ช่วยดันให้น้ำมันในห้องล่างดันลูกสูบขึ้นไปในตำแหน่งปกติ
ความหนืดในกระบอกโช้ค
ความหนืดของโช้คอัพ จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับการออกแบบวาล์วที่ลูกสูบเท่า นั้น
อยู่ที่ว่าโช้คตัวนั้นจะถูกปรับเซ็ทค่าโช้คมาพอดีและลงตัวแค่ไหน
ไม่จำเป็นว่าต้องมีออฟชั่นมากแค่ไหน ถ้าคุณเปลี่ยนโช้คไปเป็นแก้ส
ก็มั่นใจได้อย่าง ว่ามันแข็งขึ้นแหงๆครับ ถ้า วาล์วถูกออกแบบมาเหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันคือ เมื่อโช้คแก้สถูกใช้ในการทำงานประเภทที่ต้องโดนเค้นประสิทธิภาพสุด
มันจะคงความเสถียรมากกว่า ซึ่งหมายถึงมันคงสภาพการใช้งานหนักเป็นเวลานานนั่นเอง
และเมื่อถึงกรณีนี้ จึงมีตัวช่วยของโช้คอัพเสริมขึ้นมา อย่างที่นักเลงขาซิ่งมอเตอร์ไซค์เขาเรียกกันว่า
ตัวปรับหนืด (Rebound Adjuster) ซึ่งเจ้าตัวนี้จะทำงานโดยการปรับรูทางผ่านของน้ำมันใน
Piston Valve ทำให้จากเดิมเป็นถนนสามเลนมีไฟกิ่งส่องสว่างไสว
โดนบีบเหลืออยู่เลนเดียวเปิดไฟสลับดวง ผลก็คือ การจราจรย่อมเดินทางยากขึ้น
อุปกรณ์นี้ จะถูกเสริมเมื่อผู้ขั่บขี่ต้องการความเที่ยงตรงให้เหมาะสมกับการงานมากที่ สุด
เช่นเดียวกับสปริง ที่จะมีตัว สตรัทปรับเกลียว (Spring preload Adjuster)
ซึ่งจะช่วยในการหาความแข็งของปริงที่จะรับกับน้ำหนักบรรทุกได้อย่างเหมาะสม
ปัญหาที่เกิดกับโช้คอัพ
ปัญหาของโช้คอัพ มีเรื่องสำคัญๆอยู่เรื่องเดียว คือน้ำมัน รั่วออกมาจากซีลโช้ค (Seal Block)
ทำให้โช้คอัพสูญเสียน้ำมันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้มันสูญเสียความสามารถใน การหน่วงไป
ทำให้รถคุณวิ่งเหมือนเด้งอยู่บนสปริง ถ้าเป็นไม่มาก ซึ่งพวกนัก แข่งในสนามแข่ง
เขาไม่มาก้มมุดดูโช้คให้เสียเวลา เพียงแค่เช็คดูที่หน้ายางดูก็รู้ได้แล้วครับ
ถ้าสึกเป็นบั้งๆในแนวขวาง ก็ สามารถฟันธงได้แล้วว่ารถคุณมีปัญหากะโช้คอัพแล้วล่ะ
สาเหตุสำคัญที่น้ำมันจะรั่วได้ ก็มาจากซีลยาง ซีลยางนี้ มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว
ตามระยะของผู้ผลิตโช้ค คุณ ควรเปลี่ยนโช้คอัพเมื่อรถวิ่งไปได้ในระยะทาง 100,000 กิโล
หรือห้าปี โดยไม่ ต้องรอให้รั่ว เพราะซีลมันเสื่อมแล้ว ถ้ารถคุณไม่ค่อยได้ใช้เลย
ซีลยางคุณจะ ยิ่งแย่กว่าปกติ เพราะทุกครั้งที่โช้คขึ้นลง ก้านแกนโช้คจะนำเอาน้ำมันออกมา
เล็กน้อยด้วยช่วยหล่อลื่นซีลครับ ถ้าคุณไม่ใช้รถเลย จอดไว้เป็นอาทิตย์ เฉยๆ
ซีลจะแข็งและเสื่อมสภาพและฉีกง่ายมากๆ ปัญหาโช้ครั่วก็จะตามมาแน่นอน ครับ
การติดตั้งโช้ค
เวลาติดตั้งโช้ค อย่าลืมเตือนช่างหรือแม้แต่คุณเองไม่ให้
ใช้คีมในการจับแกนโช้คตอนขันน้อตหรือแม้แต่กรณีใดก็ตามครับ
เพราะมันจะทำให้ แกนโช้คเป็นรอย ซึ่งเมื่อคุณเอารถไปขี่
รอยนี้มันจะไปเสียดสีให้ซีลยางมัน ขาด ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการรั่วตามมาในเวลาอันรวดเร็ว
ดังนั้นเวลาเจอโช้ครั่ว เร็ว บางทีก็อย่าโทษแต่ผู้ผลิตโช้คล่ะครับ มันมีปัจจัยอื่นๆอีกเพียบเลย
ตัวอย่างเช่น
ตอนขันน้อต ถ้าคุณขันแน่นเกินไปหรือองศาไม่ตรงกับจุดยึด
พอเจอน้ำหนักกดปุ๊บโช็คก็จองอปั๊ปเลยครับ
เพราะเมื่อโช้คท่านงอ เวลาเอาไปวิ่ง
มันก็ไปขูดซีลยางอีกน่ะแหละ (แหม ไอ้ซี ลยางนี่ช่างเจ้าปัญหาซะจริงเลยนะ)
ข้อคำนึงเกี่ยวกับโช้คอัพ
๑.คุณควรเปลี่ยนทั้งสองข้างพร้อมกัน
๒.คุณควรเปลี่ยนให้ได้ตามรุ่นที่ผู้ผลิตโช้คทำมาเพื่อรถรุ่นนั้นๆ
ไม่ควรดัด แปลง เพราะคุณไม่มีทางรู้ ค่าความแข็งของสปริงที่เหมาะสมแน่นอนครับ
เพราะ หากเป็นมาตรฐานของโรงงานผลิตโช้คที่ลงทุนกันเป็นล้าน
พัฒนาและวิจัยกันเกือบ ตายกว่าจะออกมาให้รถแต่ละรุ่น
๓. หมั่นก้มดูโช้คบ่อยๆครับ ว่ามีคราบน้ำมันรั่วหรือไม่
๔ เรื่องของระบบกันสะเทือนมาตรฐานเยอรมัน ถือเป็นชินส่วนสำคัญเกี่ยวกับ
เรื่องความปลอดภัยเทียบเท่ากับระบบเบรคเลยทีเดียว คุณควรใส่ใจกับมันให้ มาก
อย่าเห็นแก่ของถูก หรือเงินเพียงเล็กน้อยครับ
คนไทยเรา ยังมีอุปนิสัยไม่สนใจโช้คอัพ ไม่รั่ว ไม่มีวันเปลี่ยน จริงๆ แล้ว
คุณควรเปลี่ยนมันเมื่อวิ่งไปได้ 100,000 กิโล หรือห้าปีครับ เพราะซีล
ยางมันออกแบบมาให้มีอายุแค่นั้น ถามว่า โช้คไม่ดี ไม่เห็นเป็นไร
ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ ขับมาสิบปีแล้ว ไม่ เห็นเคยเปลี่ยนสักครั้ง
ตอบเลยนะครับ ว่าถ้าคุณวิ่งปกติดี มันก็แล้วไปครับ แต่ถ้าคุณไปเจอสถานการณ์คับขัน
เบรค กะทันหัน เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเข้าใจว่า โช้คนั้นสำคัญกับการทรงตัวของรถ
ขนาดไหน เปลี่ยนทัศนคติกันใหม่นะครับ อย่างที่เยอรมัน เค้าบอก
ว่า "Shock Absorber condition cannot be compromised." ครับ....