เสาร์,23 พฤศจิกายน 2567

เรื่องเล่าคนตกปลา

250 ไมล์กับนายชนบท
แล่นเรือโต้คลื่น
ปลากระบึกที่สีชัง
คืนพระจันทร์ยิ้มแฉ่ง
บางเสร่ยังมีลุ้น
ดอดไปฟันไอ้โฉม
วันนี้ที่รอคอย
มันแปลกดีนะ
สายันรัญจวน
ทุบไอ้สากที่สัพพะยื้อ
น้ำใจ
โฉมเอยโฉมงาม
แข่งขันตกปลาสัญจร#1
ปลายฝนต้นหนาว
แข่งขันตกปลาแสมสารครั้งที่#6
ลูกหมูจอมซ่าส์
โต้ลมหนาว
เก่งกับเฮง
เมษาฮาวาย
เมื่อผมไปงานแข่งฯ
ลองเรือใหม่กับไต๋โก๊ะ
หูดำที่เกาะค้างคาว
ไปลุยโฉมงามกับไต๋น้อง
มหาเฮง
นักเลงโตสากดำ
ฟ้าหลังฝน
หลังมรสุมสงบ
ตามล่าปลาจัมโบ้
บันทึกแห่งความทรงจำ
คุณพริ้งลองของ
อัดปลาโต้เดิ้ง
เพื่อนรักต่างแดน
เก๋าหน้าหวาน
ไต๋ยอช์ตพาเพลิน
สานสัมพันธ์คนตกปลา#1
หรรษาตะวันแดง
บางเสร่รำลึก#4
ตะล่อนไปกับไต๋อ้วน
ตะลอนไปกับไต๋เปี๊ยก
แดงจ๋าแดงจ่า
ลีลาสละ
ลูกหมูย่ำสวาท
ผู้กล้าแห่งวารี
ไต๋ระยอดนักสู้
สายสัมพันธ์คนตกปลา#2
มือใหม่หัดเหวี่ยง
ผู้พันอินทรี
สัตว์ประหลาด
ยุทธการหักเขี้ยวอินทรี
จิตสังหาร
ลากมาอุ้ม
ปริศนาที่เร้นลับ
ดอนตะวันแดง
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี3
ปลายักษ์ในตำนาน
ราพาร่าพรางตัว
สานสัมพันธ์คนตกปลา ครั้งที่ 4
อินทรีหลังโขด
ท่องไปกับตะวันแดง
รวมดาวกระจุย
บุกรังสีทอง
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี 4
อยากอัดไอ้หลาม
ปลอบขวัญที่กำพวน
วาฮูนักวิ่งน้ำลึก
วังสีทอง
กุเลาเกมส์พันธ์ดุ
รางวัลชีวิต
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี5
ธิดาย่ำสวาท
กุเลาเกมส์คนวัยมันส์
เมษาพาเพลิน

อันดา อันดามัน
ทับละมุ ไต๋ฮก 26-29 มี.ค. 52

ผู้ร่วมทริพ 1.ชนบท 2.พี่ซิง 3.ติ่ว 4.พี่ชาญ 5.คาเนย์ 6.พี่พนม

"เช้าวันหนึ่ง ณ สโมสรทหารเรือบ้านทับละมุ กระทาชายกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งซดกาแฟ แกล้มด้วยข้าวเหนี่ยวปิ้ง อาหารหลักของคนพื้นบ้านชาวใต้ เป็นธรรมเนียม ในวงสภากาแฟการสนทนาถือเป็นของแกล้มอย่างหนึ่ง ในวงสภากาแฟ “ อื่ม...วันนี้อากาศดีจริงๆ หวังว่าข้างนอกที่เรากำลังจะไปคงจะปลอดโปร่งเหมือนอย่างนี้นะ” พี่ชาญ เปิดปฐมบทในวงสนทนา “ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกันพี่ อากาศวันนี้ดีจริงๆ” นายติ่วกล่าวเสริม ในขณะที่ มิสเตอร์คาเน่ย์ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่บินตรงลัดฟ้ามาจากประเทศเยอรมันกำลังยืนคุยกับพี่ซิง ที่ลานจอดรถ โดยมีพี่พนม ยื่นรวงวงไพบูลย์ ด้วยอีกคน “กำลังคุย เรื่องอะไรกันอยู่หรือครับ พี่ซิง เห็นวาดมือวาดแขนกันใหญ่เชียว” นายชนบท ที่อิ่มหนำกับอาหารเช้า แล้วเดินตรงเข้ามาถาม “อ้อ....นายคาเน่ย์กำลังเล่าให้ฟัง ถึงการตกปลาที่ต่างประเทศ อ่ะโย” พี่ซิงกล่าวตอบ “ เล่าว่าอะไรละพี่” นายชนบทเอ่ยถามต่อ “คาเน่ย์บอกว่า ค่าใช้จ่ายในการตกปลาบ้านเราถูกกว่าต่างประเทศหลายเท่าตัว ปลาที่บ้านเราก็ตกสนุก มีหลากหลายให้ตก ไม่ต้องมีพิธีรีตองกฎข้อบังคับ ยุ่งยากและไม่จำกัดชนิดปลา เหมือนต่างประเทศที่ต่างประเทศ” พี่ซิงกล่าวจบ มิสเตอร์คาเน่ย์ เหมือนจะจับความหมาย ที่เรา กำลัง สนทนากันอยู่ จึงกล่าวเสริมพอแปลเป็นไทยได้ความว่า “ ค่าใช้จ่ายตกปลาต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง เอามาตกปลาในเมืองไทยได้ทั้งเดือน” ขณะที่มิสเตอร์คาเน่ย์กำลัง คุยเพลิน พี่พนมก็กล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ เขาจะมารับพวกเรากี่โมงละโย นี่มันก็สายแล้วนะ” นายชนบท ยกนาฬิกาขึ้นมาดู “ตายห่ะ...นี่มันจะ 3 โมง แล้วนี่หว่า ไต๋ลือ บอกว่าจะมารับตอน 8 โมงเช้า เดี๋ยวก็คงมาแล้วละ ผมโทรไปตามเลยดีกว่า” นายชนบท กล่าวจบ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเรียกเบอร์ไต๋ลือทันที “อีก ครึ่งชั่วโมง ลูกชายไต๋ลือ จะเอารถมารับ พาพวกเรา ไปลงเรือกันครับ” นายชนบทกล่าวกับเพื่อนๆ ซึ่งบัดนี้ได้มายืน รวมกลุ่ม กันที่ลาดจอดรถ หมดทุกคน สิ่งที่พวกเขารอคอย นั้นคือ เมื่อไหร่จะได้เวลาไปลงเรือสักที เกือบ 9 โมงครึ่ง ลูกชายไต๋ลือ ก็มารับพวกเราไปยังท่าเรือ "

ที่สะพานเทียบเรือ น้ำกำลังเต็มที่จนหลังคาเรืออยู่เกือบถึงพื้นสะพานปลา พวกเราช่วยกันขนสัมภาระลงเรืออย่างทุลักทุเล โดยมีเด็กประจำเรือ และไต๋ฮก มาช่วยขน พวกเราเลยเบาแรงไปเยอะ เมื่อสัมภาระเคลื่อนย้ายไปลงเรือหมดแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางสู่ไหล่ทวีป เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นท่าเรือ ใบจักรเริ่มหมุนตีน้ำดันเรือจ.ธาริณีฟิชชิ่ง 1 เคลื่อนตัวออกจากท่าเทียบเรือ มุ่งหน้าผ่านลำคลองสู่ปากน้ำ ที่มีทะเลพื้นกว้างอยู่เบื้องหน้า สีหน้าของเหล่าบรรดาสมาชิก เต็มไปด้วยความสุข สมดังใจที่ฝันใฝ่รอคอยกันมานานแรมเดือน อุปกรณ์ตกปลาที่นำพามาถูกนำขึ้นมาประกอบเข้าเป็นชุด และนำไปเก็บไว้ในกระบอกปักคัน ก่อนที่ทั้ง 6 ชีวิต จะมานั่งล้อมวงสรวนเสเฮฮา ตามประสาคนตกปลา โดยมีมิสเตอร์คาเน่ย์เป็น เครื่องชูรส เล่าถึงประสบการณ์ การที่ตนไปยิงกวางมาสดๆร้อนๆ แม้จะพูดไทยไม่ได้สักคำ ภาษาอังกฤษ ก็พูดได้บ้างไม่ได้บ้าง คำบางคำเป็นภาษาเยอรมัน ก็มีอยู่บ่อยๆ กว่า ที่พวกเราจะถึงบางอ้อ ก็เล่นเอามือไม้ เหมื่อยไปหลายยก แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรค์ ใหญ่หลวงอะไร ที่จะทำให้เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แม้ภาษาจะแตกต่าง แม้จะคนละเชื้อชาติ แม้จะอยู่กันคนละมุมโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงให้เรามาเป็นเพื่อนกันได้ สิ่งนั้นก็คือ ‘ตกปลา’ ใช่...พวกเราชอบตกปลาเหมือนกัน มันจึงเป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธภาพ เป็นมิตรภาพที่ไร้พรมแดน โดยแท้ “พี่ซิงไม่ลากเหยื่อปลอมเหรอพี่ เราพ้นชายฝั่งมาไกลพอสมควรแล้วนะ” นายติ่วกล่าว เมื่อเห็นว่า พวกพี่ๆ เอาแต่นั่ง คุยกัน ไม่เห็นมีใครสนใจจะไปปล่อยเหยื่อปลอมลากอินทรี สักคน “ เออ ใช่ลืมไปเลย มั่วแต่คุยกับเจ้าคาเน่ย์ จนเพลิน เดี๋ยวเอา CD-14 ไปปล่อยไว้สักตัวดีกว่า” พี่กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นมาเตรียมชุดลากตัวใหญ่ แล้วเดินไปทางท้ายเรือ “เอาเบริด์ไปลากคู่กันอีกสักตัวดีมั๊ยครับพี่ซิง แต่ผมไม่มีเหยื่อเบริด์นะ คุณโยมีมั๊ย เอามาให้ลากเล่นสักชุด” พี่ชาญยื่นข้อเสนอ ก่อนจะหันมาถาม หาเหยื่อจากนายชนบท

“ มีดิ พี่ เอาไปลากเล่นกันเลย ตัวนี้ พี่หมูโอเชี่ยน ให้มาใช้ เดี๋ยวถ้าไม่เอาใช้ จะเสียความรู้สึกคนให้” นายชนบทกล่าวจบ ก็เดินไปค้นหาเหยื่อเบริด์ในกล่องอุปกรณ์ของตนเอง ก่อนจะหยิบ เหยื่อปลอม ปลาบิน พร้อมสายหาง ไปให้พี่ชาญ คราวนี้เราลงสายลากพร้อมกัน 2 เส้น “เออ เกือบลืม เรามีเหยื่อตกปลากันรึเปล่าละนี่” พี่พนมเอ่ยปากถามขึ้นมาขณะที่เรือกำลังแล่นสู่ซั้งไม้ไผ่ ที่ชาวประมงทำไว้ “อ้อ...ไต๋ลือจัดไว้ให้แล้วครับ เป็นเหยื่อหมึกตาย 5 กิโล เรื่องอาหารก็เหมือนกัน ผมให้ไต๋ลือจัดให้หมดทุกอย่าง ไต๋ลือคิดเพิ่มอีกวันละ 2 พันครับ” นายชนบทสาธยาย ให้ฟังจนหมด “แล้วนี่เรากำลังจะไหนกันละโย”พี่พนมถามต่อ “ไปโสกลูกปลามาทำเหยื่อครับพี่ คงจะเป็นซั้งก่อ นู้นละม้าง สงสัย เตรียมเบ็ดโสกไว้ก่อนดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา” นายชนบทกล่าวต่อก่อนจะลุกไปเตรียมเบ็ดโสก ขุดซาบิกิ ที่ซื้อมาจากชาวบ้าน สินค้า OTOP ของชาวเรือเกาะสีชัง ชุดละ 25 บาท ถูกกว่า และปลากินดีกว่าซาบิกิที่ทำมาจากญี่ปุ่นสะอีก ไม่นานนักเรือ จ.ธาริณีฟิชชิ่ง 1 ก็แล่นเข้ามาใกล้ซั้ง เสียงใครบางคนตะโกนลั่นขึ้นมาว่า “นั้นมันอีโต้มอญนี่หว่าเขียวพรืดเต็มไปหมดเลย ดูสินั้น” เสียงดังกล่าวเหมือน ไปปลุกกระตุ้นต่อมปลุกวิญาณนักตกปลา ให้ตื่นขึ้นมา คราวนี้ไม่รู้ใครเป็นใครกันละ เหยื่อจิ๊กตัวเล็ก ปลิวกระเด็นลงน้ำเสียงดัง ต๋อมแต๋ม ปลาอีโต้มอญว่ายปรี่เข้าหาแย่งกันโฉบ เหยื่อจิ๊กกันพลันละวัน ความสนุกได้ระเบิดขึ้นแล้ว เป็นการเปิดตัวบรรยากาศ ที่ค่อนข้างจะสวยหรู ปลาอีโต้มอญ หลายตัวถูกเกี่ยวขึ้นมานอนในตะกร้า ก่อนที่จุมโพ่ จะนำไปแล่ แล้วทาเกลือตากแดด เก็บตุนไว้เป็นอาหาร สมาชิกมัวแต่สนุกกับเกมส์โต้มอญ จนลืมโสกปลาหาเหยื่ออย่างที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก ทำให้ไม่มีเหยื่อลูกปลาในห้องเหยื่อสักตัวเดียว “ป่ะหยุดได้แล้ว เดี๋ยวจะเข้าหมายดึกเกินไป จะพลาดโอกาส อดเล่นของใหญ่ช่วงหัวน้ำดำ” นายชนบทร้องบอกเพื่อนๆ เกมท์จิ๊กอีโต้มอญ จึงเป็นอันยุติลง ไต๋ฮก บังคับเรือแล่นสู่หมาย ตามที่เราได้วางแผนไว้ทันที “ป่ะไต๋ฮก เข้าหมายเลยดีกว่าเดี๋ยวจะมืดค่ำ”

เรือ จ.ธาสริณีฟิชชิ่ง 1 เดินทางมาถึง ‘ดอนใหม่’ ตามที่ไต๋ฮกได้บอกไว้ก่อนออกเดินทาง เสียงเครื่องยนต์เบาลง ไต๋ฮกเงยหน้าจับจ้องที่จอ Sounder เพื่อจะมองหาเชื้อปลา ขณะที่เรือแล่นเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ “เดี๋ยวเรารอสัญญาณจากไต๋ฮกก่อนนะ อย่าพึ่งลงสาย เราจะลอยลำจิ๊กกันก่อน” นายชนบทร้องบอกเพื่อนสมาชิกให้เตรียมตัว เหยื่อจิ๊ก ขนาด 120 กรัม ลักษณะลำตัวยาว หลากหลายสีตามความชอบและตามแรงศรัทธาของแต่ละคน ถูกนำขึ้นมาเตรียมพร้อม สีหน้าแต่ละคนมุ่งมั่น เกินร้อย จนเวลาเนินนานจนผิดสังเกต ไต๋ฮกยังคงวนเรืออยู่อย่างนั้น รอบแล้วรอบเล่า “ เมื่อไหร่ ไต๋จะบอกให้หย่อนเหยื่อสักทีฟ่ะ ตูรอจนมือค้าง ตะคิวจะแดร๊กอยู่แล้วนะเฟ้ย” เสียงใครบางคนดังเล็ดรอด ออกมาพอให้ได้ยิน “น้านสิ โยไปดูหน่อยสิ มันชักจะยังไงๆ อยู่นะ เล่นวนเรือเป็น 10 รอบแล้วละมั้ง” พี่ซิงเอ่ยปาก เมื่อเห็นว่ามันผิดสังเกต “ เป็นยังไง ไต๋ฮก ไม่มีเชื้อปลาใช่เปล่า ถ้าไม่มีก็ไปที่อื่นกันดีมั๊ย” นายชนบทเสนอ เมื่อเห็นว่าขืนทู่ซี้ วนเรืออย่างนี้ มีหวัง ได้เวียนหัวกันหมดทังลำเรือแน่ ไต๋ฮกพยักหน้ารับรู้ แล้วเร่งเครื่องยนต์หมุนพังงาสู่ กองซั้งเทียม แต่ไม่วายจะพึมพำออกมาอย่างดังว่า “ ทำไมดอนใหม่ไม่มีปลา แปลกจริง” ไต๋ฮกขับเรือแล่นจากดอนใหม่ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็มาถึงหมู่กองซั้งเทียม ที่ชาวประมงทำไว้ให้ปลามาอาศัยอยู่ ไต๋ฮกเบาเครื่องยนต์ลง บังคับเรือค่อยแล่นสู่กอซั้ง เมื่อเรือแล่นเข้าใกล้จนเกือบจะชิดกับก่อซั้ง พี่ชาญ พี่ซิง และ นายติ่ว ที่ยึดท้ายเรือเป็นทำเลที่มั่น ก็โรยสายส่งเหยื่อจิ๊กทันที ไม่สนใจสัญญาณจากไต๋กันแล้ว ส่วนพื้นที่ทางหัวเรือ มีมิสเตอร์คาเน่ย์ พี่พนมและนายชนบท ทันที ที่เหยื่อจิ๊กลงถึงพื้นด้างล่าง พี่ชาญเริ่มส่ายเอวบรรเลงบทเพลงจิ๊ก ได้ไม่ทันไร คันเบ็ดก็โค้งวูบ ตามแรงกระชากจากปลายสายทันที “อ่ะ อ่า โดนสะแล้ว แบบนี้ มีเฮ หนักดีเสียด้วย” พี่ชาญ อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “ของผมก็โดนแล้ว ใหญ่เสียด้วย” นายติ่ว ร้องออกมาด้วยอารามลิงโลด ดีใจจนสุดจะกลั่น ถึงกลับร้องลั่นด้วยความดีใจ ส่วนพี่ซิง ได้แต่มองแล้วค้อน พี่ชาญ ขวับๆ ด้วยอารมณ์ปนอิจฉาเล็กๆ เมื่อเห็น คนที่ยืนจิ๊กอยู่ข้างๆ ได้อัดปลาแล้ว ในขณะที่พี่ซิง มัวแต่ขว้างค้อน พี่ชาญอยู่นั้น ปลายสายก็โดนปลาดึงอย่างแรงจนคันเบ็ดที่อยู่ในมือแทบจะหลุดล่วงตกน้ำ

เสียงอารามความตกใจเมื่อคนกำลังเผลอ โดนปลากระชากอย่างแรง ดังออกมาไม่เป็นศัพย์ “ เหวอออออ.....อารายมาดึงมือข้าวะ นี่แน่ะ เล่นทีเผลอเร๊อะ” พี่ซิงร้องออกมาเสียงหลง พร้อมกับวัดคันอย่างแรง “เฮ้ยยยย ปลาผมรึเปล่าพี่ซิง ปลาผมมันไปพันสายพี่รึเปล่า อย่าวัดเดี๋ยวปลาผมขาด” พี่ชาญเมื่อเห็นพี่ซิงวัดคันอย่างนั้นถึงกับร้องเสียงหลง เพราะเกรงว่าปลาที่ตนกำลังอัดอยู่พาสายไปพันกับสายของพี่ซิง ถ้าสายมันพันกันจริงๆ แล้ววัดคันอย่างนี้ สายที่ตึงกว่ามีสิทธิขาดได้ “ ไม่ใช่หรอก ปลาคนละตัว ดูนี่เห็นมั๊ย สายผมไปทางขวา ส่วนสายพี่ชาญไปทางซ้าย นี่ไง” พี่ซิงกล่าวสยบความสงสัยให้หายไป ข้างฝ่ายนายติ่ว ที่กำลังอัดปลาอยู่ท้ายเรือเช่นกัน กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด กับวิบากกรรมที่ตนกำลังเผชิญอยู่ “เว้อออ...อย่าวิ่งไปทางซั้งเดียวจะขาด” เสียงนายติ่ว สบถออกมาเสียงหลงเมื่อปลาคู่ต่อกรว่างดำดิ่ง เข้าหาก่อซั้ง “โครตแรงเลยพี่โย ทำไง จะลากมันออกมาข้างนอกได้ละพี่” นายติ่ว หมดหนทาง จะรั้งปลาตัวนั้นแล้ว ไม่ช้ามันก็คงลากสายเข้าไปพันกับก่อซั้งและสายคงบาดเพรียงขาดไปแน่นอน และแล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้นกับนายติ่ว ปลาลากเข้าไปพันกับก่อซั้งแล้วขาดไปจริงๆ ส่วนพี่ชาญ กับพี่ซิง ยังคงทะเลาะกับปลาไม่เลิก บางครั้ง ก็หันมาทะเลาะกันเองก็มี “พี่ชาญ อย่ามัวเอาแต่เล่นสิ รีบๆ เอาตัวมันขึ้นมาเลย เดี๋ยวมันจะพาสายมาพันกับปลาของผม อึ๊บๆ นั้นๆ ดู ๆ พูดยังไม่ทันขาดคำ สายมาไขว่กันแล้วเห็นมั๊ย นี่ อึ๊บ อุ้ย ขาดเลย เป็นไง” พี่ซิง สบถออกมาเสียงดัง เมื่อปลาทั้งสอง ตัวมันว่ายพาสายมาไขว้กันจนทำให้สายของพี่ซิง นั้นขาดไปในมี่สุด “ไม่เป็นไร ปลาพี่ขาดไป แต่ปลาผมยังอยู่ ฮะ ฮ่า” พี่ชาญ กล่าวด้วยอารมณ์ ดี แต่คนที่ปลาขาดไปคงไม่มีอารมณ์ขำด้วยแน่ ไม่นานนักเราก็เริ่มเห็นเงารางๆ ปรากฏขึ้นมาช้าๆ ไต๋ฮก ถือตะขอรอท่าเตรียมเกี่ยวปลา ‘ฉับ’ เสียงตะขอสับเข้ากลางหลังปลากะมงพร้าว ตัวโต ก่อนที่จะดึงมันขึ้นมานอนบนพื้นเรือ หลังจากที่นายติ่วทำปลาตัวแรกขาดไป ก็ต้องมาทำสายหน้าใหม่ ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย พอนายติ่วทำชุดสายหน้าเสร็จ โดยมีเหยื่อจิ๊กยี่ห้อเดียวกับตัวที่ขาดไปผูกห้อย ไว้ปลายสายก่อนจะรีบไปหย่อนยังตำแหน่งเดิม และก็โดน ปลาดึงเหมือนเดิม ปลาวิ่งเข้า ซั้งเหมือนตัวแรก สุดท้าย สายก็ขาดและเสียเหยื่อไปเป็นตัวที่ 2 แม้จะเสียเหยื่อไป 2 ตัวติดต่อกัน วิบากกรรมยังรุมเร้านายติ่วอยู่ และต้องสละเหยื่อไปอีก ตัว ก่อนที่จะประสบผลสำเร็จ เมื่องัดเอา ปลาสำลีน้ำลึก หรือ อัมเบอร์แจ๊ค ขึ้นมาเป็นปฐมฤกษ์ แก่ตนเอง เวลานี้นับว่าเป็นชั่วโมงทองของนักตกปลาก็ว่าได้ เพราะ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของเรือ เป็นได้ ออกกำลัง งัดกับปลากันทั่วหน้า ความสนุก ความสุข แวะเวียนมาเยือนพวกเราทุกคน บางคนโชคดีหน่อย ก็จะโดนปลาอัดถี่กว่าคนอื่น อย่างเช่น พี่ชาญ ที่ดูเหมือนว่าจะๆได้อัดปลามากกว่าใคร ในขณะที่พี่ซิง ก็ไม่น้อยหน้าพี่ชาญเท่าไร เพราะงัดเอา ปลาเก๋าลายน้ำตาล ตัวใหญ่ ขึ้นมาอวดโฉม ให้เพื่อนๆ ได้เห็นเป็นขวัญตา พวกเราอัดปลากันจนปลาหยุดกินเหยื่อ จึงได้เวลาขยับหมายย้ายเรือ “ไต๋ฮก เราจะไปไหนกันต่อดี” นั้นคือคำถามยอดนิยมยามย้ายหมาย “ไปกอง 22 กันมั๊ย เห็นใครบอกผมว่า ปลาเข้ากอง 22” ไต๋ฮก ถามเพื่อความแน่ใจ “ใช้ ไต๋ลือบอกเมื่อคืนนี้เอง ว่าปลาเข้ากอง 22 แถมยังบอกอีกว่า ดอนใหม่ ปลายังไม่เข้า” นายชนบทกล่าว “งั้นเราไปกอง 22 กันเลยดีกว่า ป่ะ ย้ายหมาย” ไต๋ฮกกล่าว

เรือ จ.ธาริณีฟิชชิ่ง1 แล่นมาถึงกอง 22 ในยามดึกสงัด เรามองเห็นแสงไฟจากเรือลำหนึ่งที่มาจอดตกปลาก่อนหน้าเรา แสงไฟจากเรือลำนั้น ทำให้มองเห็น ผู้คนที่อยู่บนเรือได้อย่างชัดเจน “นั้นมันชาวต่างชาติ ทั้งนั้นเลยนี่หว่า พี่พนม สงสัย เป็นเรือมาจากภูเก็ต” นายชนบทกล่าว “นั้นไอ้คนนั้นมันกำลังอัดปลาอยู่นี่” พี่ซิงชี้ให้ดูคนท้ายเรือกำลังทำท่าอัดปลา “เออ ใช่ แสดงว่ามีปลาเข้ากอง 22 จริงๆ แล้วอย่างนี้” ภาพนักตกปลาบนเรืออีกลำอัดปลา สร้างความอุ่นใจให้กับพวกเราอย่างบอกไม่ถูก เหยื่อหมึกตาย ที่ออกอาการ เละ แล้ว ถูกนำมาเกี่ยวเบ็ด อย่างบรรจง และแล้วพี่ซิง ก็สร้างแรงกระตุ้น ให้เพื่อนๆ เมื่องัดเอา หัวเสี้ยม ตัวใหญ่ ขึ้นมานอนบนพื้นเรือเป็นตัวแรก จากนั้น ปลาตะมะ หรือปลาหัวเสี้ยม สลับแดงเขี้ยว ต่างถูกบรรดาเพื่อนๆ งัดขึ้นมานอนบนเรือ จนตะกร้า ไม่พอใส่ มหกรรมบ้าระห่ำ อุบัติขึ้นแล้ว ระหว่างนั้นเอง เสียงโดน้ำดังตูม ตูม ก็ดังขึ้นบริเวณชายแสงไฟ มองเห็นน้ำกระจายเป็นวงกว้าง “ นั้นมันกะมงพร้าวขึ้นไล่กินปลานกกระจอกนี่หว่า” นายชนบท พึมพำ ออกมาก่อนจะปรี่ไปคว้า เหยื่อปลั๊ก ขึ้นมาเปลี่ยนแทนเหยื่อจิ๊ก แล้วหวด ออกไปยังตำแหน่งที่ปลาขึ้นฮุบ ทันที ที่เหยื่อปลั๊กตกน้ำ เสียงก็ดังตูม น้ำแตกกระจายตรงตำแหน่งที่เหยื่อปลั๊กตกลงน้ำพอดี สาย PE เหยียดตัวเป็นเส้นตรง แล้วเบนตัวกรีดน้ำเป็นริ้วทาง ทันที “อะไร ฟ่ะ มันงาบทันที เลยรึวะเนี่ย” นายชนบท สบถเสียงเบาๆ ก่อนจะตวัดวัดคัน เกมส์การต่อสู้ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ก่อนจะจบลงด้วยตะขอปลิดวิญญาณในมือไต๋ฮก มันเป็นกะมงพร้าว จริงๆ เหยื่อปลั๊กกับปลาชายแสงไฟนี่มันได้ผลดีจริงๆ เพราะเราได้กะมงพร้าวจากเหยื่อปลั๊กขึ้นมาเพิ่มประชากรอีกหลายตัว คืนนี้พวกพี่ๆ สนุกกับเกมส์หน้าดินสมใจอยาก กระทั้งเช้าวันใหม่ ไต๋ฮก พาพวกเราไปไหล่ทวีป เพื่อตกปลาสีทอง ดูเหมือน อะไรๆ มันชักจะเริ่มเหมือนการไปตกปลาที่พม่าเข้าไปทุกที เริ่มจากน้ำทะเลที่เป็นเมือกสีเขียวมรกต ที่เรียกว่า ‘เกล็ดพญานาค’ น้ำทะเลแบบนี้ นักตกปลาต่างเข้าใจกันดีว่า ปลามักจะไม่กินเหยื่อ วันนั้นทั้งวัน ไต๋ฮกพยายามนี้มารผจญ เกล็ดพญานาคกระทั้งมืดค่ำ ไม่มีปลาสักตัวเข้ามาต่อแย กับเราเลย “ฮกเข้าไปข้างในดีกว่า เผื่อ มีปลาให้จิ๊กเล่นแก้เหงา” นายชนบทเสนอ ไต๋ฮก รีบสนอง ทันที่ “จะจิ๊กกันเหรอ งั้นจะพาจิ๊กไอ้มง” ไต๋ฮก กล่าว ก่อนจะดิ่งหัวเรือเข้าสู่ทิศตะวันออกเกมส์การจิ๊กบรรเลงขึ้นอีกรอบในยามวิกาล ปลากะมงตาเหลือก โฉบเหยื่อจิ๊ก เป็นว่าเล่น สร้างความสนุกสนานให้คลายเหงา ได้อย่างดี จนเหนื่อยล้าไปตามๆกัน “ปลาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับปลาที่เราไปพม่ากันเลยนะ”พี่ชขาญเอ่ยปากถาม “อื่ม นั้นซิ ยกเว้น ที่นี้ไม่มีเยลโลฟินกับเก๋าถ่านเท่านั้น นอกนั้นเหมือนปลาที่เราตกได้ในพม่าทุกอย่าง” พี่ซิงกล่าวตอบ “แล้วเราจะไปตกปลาที่พม่าทำไม ค่าใช้จ่ายก็สูงกว่าตั้งหลายเท่าตัว แต่ตกปลาสนุกเหมือนกัน” เสียงใครคนหนึ่งกล่าวสรุปตอบท้าย โดยมีความหวังว่า พรุ่งนี้ น้ำทะเลคงจะดีกว่าวันนี้ ไม่มีเกล็ดพญานาค อย่างเช่นวันนี้ เพี้ยง!

เช้าวันรุ่งขึ้น ไต๋ฮกพาไปไหล่ทวีปอีกครั้ง แต่วันนี้ ไม่มีเกล็ดพญานาคให้เห็นน้ำทะเลใสสะอาดไม่เขี้ยวมรกตอย่างเมื่อวาน การตกปลาสีทองที่ระดับน้ำลึก 180 เมตร จึงเป็นไปอย่างสนุกสนาน และสิ่งท้าทายสำหรับผู้ที่พละกำลัง เพียงชั่วโมงกว่า เราก็ได้ปลาสีทองและปลาแดงปากกว้าง ขึ้นมาถึง 4 ตะกร้า ค่ำคืนนี้เราตกลงกันว่าจะกลับไปยังกอง 22 อีกครั้งก่อนจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น เพราะพวกเรายังติดใจกับปลาหน้าดินที่นั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ ค่ำคืนนี้มันช่างต่างจากเมื่อคืนราวกลับฟ้ากับดิน นานๆ ที จะมีปลาฉวยเหยื่อสักครั้ง เมื่อปลาไม่ค่อยจะฉวยเหยื่อ ความเหมื่อยล้า ก็มาพาล ทำให้หลายคนหลับยาว กระทั้งเช้าวันใหม่ “เอ๋ะ โย น้ำดื่มหมดแล้วนะ เราไม่มีน้ำกินกันแล้ว ทำไงดี” พี่พนมเอยปากถาม เมื่อ รั้สึกว่าน้ำที่ทางคนเรือเตรียมมาจะหมด “ไม่ใช่น้ำอย่างเดียวนะ อะไรๆ ก็หมด นี่เขาเตรียมอาหารให้ยังไง ถึงไม่พอกิน นี่ขนาดเรามากันแค่ 6 คนเองนะ” พี่ซิงเสริม นายชนบทถึงกับอึ้ง กับเหตุการณ์นี้ แล้วเราจะทำกันยังไง? มันเป็นคำถาม ที่ทุกคนต้องการคำตอบ และนายวุฒิเด็กเรือก็ ขี่ม้ามาช่วย เมื่อวิทยุเข้าไปขอน้ำดื่มจากเรือพานักดำน้ำ มาช่วยให้พวกเรามีน้ำดื่มกัน ขอสรุปสุดท้ายครั้งต่อไปว่า เราควรจัดเตรียมอาหารกันเองจะดีกว่า..สวัสดี.....


[กลับสู่เมนู]


Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster