คำตอบที่ 12
ให้ผมเลือกผมเลือกปืน M16 โดยเฉพาะยิ่งรุ่น A2 ยิ่งดี เพราะ
1. น้ำหนักปืน M16 เบากว่าปืน HK33 สามารถถือหรือสะพายได้นานโดยไม่เมื่อยเอาเสียก่อน
2. ปืน M16 มีอุปกรณ์เสริมให้ใช้หลายชนิด เช่น เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม. M-203 ไฟฉายติดปืน ด้ามปืนและขาทราย แต่ปืน HK33 มีเพียงกล้องเล็งธรรมดา กล้องเล็งอินฟราเรด ลูกระเบิดชนิดยิงจากปากลำกล้อง ซึ่งผมเองก็ไม่กล้าใช้เพราะกลัวกระสุนมันจะวิ่งทะลุลูกระเบิดแล้วตูมเอาตอนยังคาปากลำกล้องอยู่ซะก่อนครับ
3. ปืน M16 มีระยะหวังผลไกลกว่าปืน HK33 ครับ โดยมีระยะหวังผลที่ 460 ม. (A1) และ 550 ม. (A2) ในขณะที่ HK33 ระยะหวังผลอยู่ที่ 400 ม.เอง แต่อย่างว่าละครับแค่ 200 ม.ก็เห็นเป้าตัวนิดเดียวแล้ว งานนี้ต้องพึ่งกล้องเล็งขนาด 1X-4X ช่วยละครับ
4. ปืน M16 นั้นผ่านการพัฒนามาจนทุกวันนี้จนถึงรุ่นล่าสุดคือปืน M16A4 และปืน M4A3 แล้ว แต่ปืน HK33 ของไทยผ่านมา 39 ปีก็ยังมีเพียง 3 รุ่นคือ HK33 , HK33A1 , HK33K เท่านั้น แถมไม่สามารถนำกระสุน M855 ของปืน M16A2 มาใช้ได้เพราะเกลียวลำกล้องกับรังเพลิงจะพังเอาครับ
5. ในการยิงประณีตนั้นปืน M16 สามารถยิงทำกลุ่มกระสุนได้ดีกว่าและแม่นยำกว่าปืน HK33 มากครับ เนื่องจากมีแรงรีคอยล์ของปืนน้อยกว่า
และข้อ 6 ข้อสุดท้าย ในกรณีลืมขึ้นลำปืนหรือไม่ได้ใส่ซองกระสุนแล้วลาดตระเวนไปพบข้าศึก ถ้าเป็นปืน M16 เราสามารถทำการขึ้นลำด้วยการดึงคันรั้งลูกเลื่อนออกมาแล้วค่อยๆดันกลับเข้าไป ซึ่งตอนนี้หน้าลูกเลื่อนจะยังไม่เข้าทีดีต้องใช้คันส่งลูกเลื่อนดันเข้าไปอีกครั้ง เพื่อให้หน้าลูกเลื่อนไปแนบกับท้ายลำกล้องให้สนิท ปืนจึงจะพร้อมทำการยิง
แต่กรณีของปืน HK33 ต้องดึงคันรั้งลูกเลื่อนให้สุด ห้ามดึงกึ่งๆกลางๆ แล้วทำการตบหรือปล่อยให้สปริงของคันรั้งลูกเลื่อนทำการดีดให้เต็มที่ดังเชี๊ยะเพื่อให้หน้าลูกเลื่อนเข้าที่สนิท ถ้ามาค่อยๆดึงค่อยๆปล่อยหน้าลูกเลื่อนปืนมันจะอ้าค้างอยู่อย่างนั้นตลอด แบบนี้ให้เหนี่ยวไกอย่างไรปืนก็ไม่ลั่นแล้วยังไม่มีทางที่จะดันกระสุนเข้ารังเพลิงได้ด้วยครับ แถมดีไม่ดีเจอครูฝึกเอาหมวกเหล็กเคาะหัวเอาง่ายๆด้วยครับ