คำตอบที่ 12
วิธีเลือกรถมือ 2posted on 18 Oct 2008 20:09 by usedcar http://usedcar.exteen.com/page-1
ใช่ครับ การเลือกซื้อรถมือ 2 เนี่ย เราต้องตั้งคำถามให้ตัวเองให้เคลียร์ก่อนว่า เราซื้อรถมาใช้วันละกี่กิโล นั่งกันกี่คน ใช้ถนน แบบไหน
เคยเจอ อยู่เคสนึง ซื้อรถมาใช้ขับไปทำงาน (ในเมือง) แต่ทุกปีต้องรับญาติไปเชงเม้งนั่งกัน 7-8 คน สรุปว่า ซื้อ ฟอร์จูนเนอร์มา ผลก็คือ ต้องลากรถ หนัก เกือบ 2 ตันขับไปทำงานทุกวัน เพื่อรอวันนั้นวันเดียว (วันเชงเม้ง) สุดท้ายแบกค่าน้ำมันไม่ไหวก็เลยขาย ไปซื้อ ซิตี้มาขับ ถามมันว่า แล้ววันเชงเม้งละ มันตอบสั้นๆ เช่ารถตู้ (เพิ่งคิดได้)
สรุปก็คือเราต้องถามตัวเองก่อนว่า
1.ส่วนใหญ่เราใช้รถวันละกี่กิโล
2.ขับแถวใหน ในเมือง นอกเมือง
3.มีคนนั่งกี่คน
4.บรรทุกของเยอะไหม
เลือกรถ
พอเราทำความรู้จักกับตัวเราแล้วก็ถึงเวลาที่เราก็ต้องทำความรู้จักรถกันแล้วครับ
เพื่อที่เราจะได้รถ ที่ตอบโจทย์เราได้ทุกข้อ
ส่วนเราจะหาข้อมูลอะไรบ้างก็ตามนี้เลย
1.อัตราสิ้เปลือง (กิโล/ลิตร)
2.ขนาดเครื่อง 1500 1600 2000 หรือ 3000 etc +++หาที่เหมาะกับลักษณะการใช้งาน
3. อัตราเร่ง ++++ อันนี้แนะนำให้ลองเองกะเท้า
4.เกียร์ กระปุก ออโต้ cvt or paddleshift etc.
5.ราคาค่าซ่อม ค่าอะไหล่+++ไปคลับของรถรุ่นนั้นเลยครับ
6.ปัญหาที่พบบ่อย+++เช่น ซีวิค แอร์เหม็น ออดี้ โฟล์ค เรื่องเกียร์
ฟอร์จูนเนอร์ก็ เรื่องเบรคเป็นต้น
ตัวถัง สี และโครงสร้างตัวถัง
สี ให้ดูว่าสภาพของสีรอบ ๆ ตัวรถว่ามีการบวมปูดของสีหรือสีซีดด่าง ผุเป็นสนิม มากน้อยแค่ไหน ส่วนรอยขนแมว ก็ นานาจิตตัง ผมไม่แคร์
ตีไปทำสีรอบคัน 15000 - 28000
หลังจากนั้นให้เล็งดูจากด้านหน้าไปจรดด้านหลังรถ สังเกตดูตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลัง จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขอยึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่องให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนมาอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกต(คนดูรถเป็นจะทราบ) แต่ถ้าหากมีร่องรอยบ้างไม่มากนัก ก็ข้ามๆไปบ้าง เพราะรถที่ไม่ชนมันหายากมากถึงมากที่สุด แต่ถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด
การดูด้านหลังก็ให้ดูเหมือนด้านหน้าแต่โครงสร้างส่วนหลังนี้มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้า (แต่ก็สำคัญนะ)
ไฟหน้า ไฟท้าย ดูแล้วใหม่กว่าตัวรถหรือเปล่า มีน้ำเข้าไปขังหรือป่าว
ลองเปิด ปิดไฟ เหยียบเบรคดูว่าไฟทำงานครบมั๊ย
โครงสร้างตัวถังมีความสำคัญสำหรับการดูรถมือ 2 มากหากเสียศูนย์จนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนได้ หรือขณะขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม
โครงสร้างของรถยนต์นั้น หลายส่วนสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากจนไม่มีใครนิยมทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝากระโปรง ประตู ไฟหน้า ไฟท้าย สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนที่ต่อกับเสาหลังคารถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยมเปลี่ยนกัน ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี ถ้าพบว่ามีเปลี่ยนก็ bye bye ได้เลย
เครื่องยนต์
เปิดดูก่อนเลยครับ สภาพเนียนมั๊ย ดูน้ำไว้ว่ามีเท่าไหร่ น้ำมันเครื่องอยู่ระดับใด แล้วก็ลองสตาร์ท(อย่าเพิ่งปิดกระโปรงรถ) ให้ฟังว่าเครื่องยนต์เดินเรียบหรือไม่ และให้ฟังดูว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีเสียงดังแต่ก...แต่ก ของวาล์วหรือไม่ หรือเสียงดังกิ๊กๆกั๊ก ๆ ที่เกิดจากแคมชาฟท์หรือเพลาข้อเหวี่ยง สลักลูกสูบหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าเครื่องยนต์มีปัญหาใหญ่แน่ ๆ ต่อมาให้ลองฟังดูว่ามีเสียงของลูกปืนไดชาร์จ ไดสตาร์ทด้วย จากการฟังก็มาถึงการใช้วิธีของหมา คือ ดมกลิ่นที่ท่อไอเสียดู ถ้ามีกลิ่นไม่ฉุนมากนักก็แสดงว่าเผาไหม้สมบูรณ์ แต่ถ้ามีกลิ่นฉุนรุนแรงหรือมีควันสีดำออกมาเวลาเร่งเครื่องก็แสดงว่าเผาไหม้ไม่หมดเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ และรถคันนั้นจะกินน้ำมันมากกว่าปกติอีกด้วย หรือถ้าเป็นควันสีขาวไหลออกทางปลายท่อ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าเครื่องหลวมมากเท่านั้น แต่ถ้าสตาร์ทแล้วมีน้ำออกทางท่อ สันนิษฐานได้ว่า เครื่องฟิต
ได้เวลาปิดฝากระโปรง ปิดประตูออกรถเลยครับ ค่อยๆออกรถห้ามออกเอี๊ยด เพราะท่านอาจโดนเจ้าของรถ บ้องหูเอาได้ อิอิ ตอนนี้ ให้รวมประสาทสัมผัสไว้ที่หูกับก้น แล้วถามตัวเองว่าอัตราเร่งเป็นที่น่าพอใจมั๊ย เสียงเข้ามาดังรึเปล่า สิ่งที่ต้องสังเกตุ
เกียร์ออโต้เปลี่ยนลื่นมั๊ยทุกเกียร์ต้องไม่กระตุก ส่วนเกียร์กระปุกต้องเข้าง่าย เข้าแล้วไม่หลุด สำหรับระบบเกียร์นั้นมีวิธีการตรวจเช็คแบบง่าย ๆ รถจอดอยู่กับที่ก็สามารถตรวจได้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ลองเข้าเกียร์ D โดยใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกเอาไว้แล้วใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อย ๆ ถ้ารอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ารอบเลยขึ้นไปถึง 2,500-3,000 รอบขึ้นไป ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นสูงมาก ตั้งแต่ 20,000 ถึงหลักแสนแล้วแต่อาการ
เกียร์ธรรมดาก็เช่นกัน ให้ติดเครื่องและเข้าเกียร์หนึ่งโดยใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเอาไว้และค่อย ๆ ปล่อยคลัตช์ดู ถ้าเครื่องตับแสดงว่าคลัตช์ยังดีอยู่ แต่ถ้าเครื่องยังไม่ดับก็เป็นอันว่าชุดคลัตช์กลับบ้านไปแล้ว
แอร์เย็นเร็วมั๊ย แล้วพัดลมต้องทำงานทุกเบอร์ เสียงคอมดังแปลกๆรึเปล่า ปกติคอมแอร์ไม่ดัง ยกเว้นบางรุ่นที่คอมแอร์ ดังเป็นเรื่องปกติ เช่น โฟล์ค แพสสาท highline เป็นต้น
กลับมาแล้วอย่าลืมเปิดฝากระโปรงดูว่ารถ กินน้ำ กินน้ำมันเครื่องรึเปล่า
อันนี้สำคัญมาก ซ่อมแพงแน่ๆ
ภายในห้องโดยสาร
อันนี้ง่าย ใครๆก็ดูได้ ที่ต้องเช็คคือ
ความชื้น
ครั้งแรกที่ขึ้นไปบนรถต้องไม่รู้สึกว่ารถชื้นถ้าชื้นแปลว่าอาจมีตัวรถส่วนไหนเป็นสนิม หรือ ยางขอบประตูเสื่อม
ยางขอบประตู
ต้องล็อคอยู่กับตัวรถ ในสภาพเรียบร้อย ไม่หลุดย้อย เวลาขึ้นไปนั่งต้องไม่มีเสียงภายนอกเข้ามามากเกินไป
สภาพเบาะ แผงประตู
เบาะหนังก็ทั่วไปไม่ขาดไม่เยิน ถ้าเบาะผ้าก็ต้องไม่ชื้น ไม่หลุดลุ่ย
ไฟในรถ กระจกไฟฟ้า เครื่องเสียง
ลองเปิดดูทุกดวง กดขึ้นกดลง ไม่ต้องกลัวครับ ซื้อของหลัก แสนหลักล้านอย่างนี้ อย่าหน้าบาง ส่วนเครื่องเสียงก็ลองเปิดดูเลยครับ
หน้าปัด
ระบบไฟฟ้าทั้งหลาย ระบบไฟสัญญาณต่าง ๆ บนหน้าปัดขณะที่บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON สัญญาณเครื่องหมายต่าง ๆ บนหน้าปัดจะต้องมีโชว์ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วไฟต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องดับหมด ซึ่งถ้าตรงไหนยังไม่ดับแสดงว่าระบบนั้นต้องมีปัญหา
ช่วงล่าง เบรค
เวลาที่วิ่งบนถนนที่ขรุขระ ให้สังเกตด้วยว่ามีเสียงผิดปกติของช่วงล่างไหม การบังคับเลี้ยวเป็นอย่างไร รถวิ่งเอียงหรือเฉไปเฉมาไหม หรือเบรกไม่อยู่ และลองเหยียบเบรกดูด้วยว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ไม่ใช่วิ่ง ๆ ไปพอเบรกทีรถแฉลบลงข้างทางไปเลยและรถขับเคลื่อนล้อหน้าให้ทดสอบเพลาขับหน้าด้วยโดยหักเลี้ยวซ้ายสุด ขวาสุดว่ามีเสียงดัง แกร็ก ๆ เวลาออกตัวหรือไม่ ถ้าเสียงดังก็แสดงว่า เพลาขับหน้าชำรุดแล้ว
สุดท้ายให้ดูสภาพของยางที่ติดอยู่กับรถว่า มีการสึกหรอเพียงใด โดยสามารถสังเกตได้อย่างง่าย ๆ คือให้ลองเอาเล็บจิกไปที่ดอกยาง ถ้ายางแข็งมากจนเล็บจิกไม่เป็นรอย หรือเวลาที่วิ่งแล้วมีเสียงของยางกระทบพื้นถนนที่ดังมากก็แสดงว่ายางนั้นเสื่อมสภาพแล้ว แต่ต้องแยกให้ออกด้วยว่าเป็นเสียงยางหรือเสียงลูกปืนล้อกันแน่ ถ้ายางนั้นสึกไม่เท่ากันทั้งหน้ายางก็แสดงว่าศูนย์ล้อนั้นมีปัญหาแล้ว เรื่องของศูนย์ล้อก็ต้องระวังเอาไว้ด้วย เพราะถ้าแค่ศูนย์ล้อคลาดเคลื่อนธรรมดานั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเคลื่อนจนไม่สามารถตั้งได้แสดงว่ารถคันนี้ต้องประสบอุบัติเหตุหนักมาอย่างแน่นอน