คำตอบที่ 15
ขออนุญาตินำข้อมูลเก่าๆที่เก็บไว้มาให้อ่านนะครับ...
O2 เป็นตัวผลิตสัญญานไฟฟ้า(คล้ายแบตเตอร์รี่)
มันจะผลิต 0.5 V. เมื่อการเผาไหม้สมบูรณื
ต่ำกว่า 0.5 V. เมื่อมีอากาศมาก
สูงกว่า 0.5 V. เมื่อมีเชื้อเพลิงมาก
ECUทั้งเครื่องยนต์(น้ำมัน) แลมด้า(LPG) หัวฉีดแก๊ส(LPG)
ใช้จุดนี้กำหนดการจ่ายปริมาณเชื้อเพลิง มาก-น้อย
เมื่อO2เสียการจ่ายเชื้อเพลิงจะผิดปกติ เครื่องจะสดุดแบบจับจังหวะไม่แน่นอน ความร้อนเครื่องอาจสูงผิดปกติ กินเชื้อเพลิง วิ่งไม่ออก (ทั้งน้ำมัน และLPG)
!!O2 เหมือนหัวเทียนมีเบอร์ แต่สามารถเทียบใช้แทนกันได้(แต่ผมยังไม่ได้ศึกษา)
O2ตัวหน้าโอกาสเสียมาก ความร้อนสูง ไอเชื้อเพลิงเกาะ ส่วนตัวหลัง มีcatกรองไว้และความร้อนต่ำกว่า
O2ตัวหน้าใช้เป็นหลัก ตัวหลังใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ
LPG ระบบดูดปกติ(ไม่แลมด้า) O2ไม่ต้องใช้
อมูลคร่าวๆของตัวตรวจจับ O2 ครับ อันนี้เป็นระบบ TWC แต่โดยทั่วไปจะมีการทำงานใกล้เคียงกันหมดครับ
โดยทั่วไปเราทราบกันอยู่แล้วว่าส่วนผสมเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดจะอยู่ในช่วง อากาศ/เชื้อเพลิง ที่แคบที่สุดตัวตรวจจับ O2 จะทำหน้าที่ตรวจวัดอาตราส่วนผสมหลังจากการเผาไหม้ว่ามีช่วง ส่วนผสมหนาหรือบางกว่าอัตราส่วนผสมตามทฤษฎี ตัว O2 Sensor จะประกอบด้วย ไซโครเนี่ยมไดอ็อกไซด์ ZrO2 ซึ่งคล้ายกระเบื้องชนิดหนึ่ง จะถูกเคลือบทั้งภายในภายนอกด้วยชิ้นทองคำขาวบางๆ(มันแพงก็ตรงนี้เอง) อากาศโดยรอบจะถูกเหนี่ยวนำเข้าไปภายในของตัวตรวจจับสัญญาณ และภายนอกจะเผชิญอยู่กับไอเสียร้อนๆ ดังนั้นถ้าความเข้มข้นของอ็อกซิเจนภายใน ZrO2 แตกต่างกันมาก ชิ้นส่วน ZrO2 จะกำเนิดแรงดันไฟฟ้าออกมา เมื่อส่วนผสมบางมีอ็อกซิเจนในไอเสียมากขึ้น ทำให้ความเข้มข้นของอ็อกซิเจนภายในและภายนอกแตกต่างกันเล็กน้อย นั้นจะเป็นผลให้ ZrO2 กำเนิดแรงดันไฟฟ้าต่ำลง(ใกล้เคียง 0 V) ทางตรงกันข้ามถ้าเชื้อเพลิงมีส่วนผสมหนา อ็อกซิเจนในไอเสียแทบจะไม่มี ความเข้มข้นของภายในกับภายนอกจะต่างกันมากแรงดันที่ ZrO2 จะมากตามไปด้วย(อยู่ที่ไม่เกิน 1 V)
ส่วนทองคำขาวจะมีไว้ช่วยให้อ็อกซิเจนในไอเสียทำปฏิกิริยาทางเคมีกับ CO ที่มีอยู่ในไอเสีย เหตุนี้เองจะเป็นการลดปริมาณอ็อกซิเจนและเพิ่มความไวให้กับตัวตรวจจับสัญญาณ(ถ้าตรวจสอบแรงเคลื่อนในกรณีที่ต่ำมากหรือวัดค่าไม่ได้แสดงว่าทองคำขาวใน O2 หมดสภาพ)
ECU เองก็จะใช้สัญญาณนี้ในการ เพิ่ม ลด การฉีดเชื้อเพลิง เพื่อควบคุมให้อยู่ในช่วงแคบที่สุด ใน O2 Sensor บางแบบจะมีเครื่องทำความร้อนเพื่ออุ่นชิ้นส่วน ZrO2 อยู่ด้วย เครื่องทำความร้อนนี้จะถูกควบคุมด้วย ECU เมื่อปริมาณอากาศมีการประจุต่ำ(อุณหภูมิไอเสียต่ำ) จะมีกระแสไฟไปเลี้ยงยังเครื่องทำความร้อน เพื่ออุ่นตัวจับสัญญาณ
ในกรณีที่ไม่มีตัวที่ O2 Sensor อยู่หลัง CAT มันก็จะไม่มีการวัดการทำงานของ CAT เท่านั้นเองครับ การตัด CAT ออกจะทำให้วิ่งดีขึ้นแต่ก็คงไม่มากนัก เสียงดังขึ้นแน่นอน จะไม่มีการกำจัด HC, CO, NOX ถ้าหากขับด้วยความเร็วเหมือนก่อนถอดก็ไม่น่าจะกินน้ำมันมากขึ้นครับ ส่วนตัวผมเองไม่เชียร์ครับ อยากให้อากาศสะอาดมากกว่า
ส่วนถ้าถอดตัว Oxygen Sensor ตัวแรกออก เครื่องจะทำงานใน Open Loop ซึ่งจะจ่ายน้ำมันตามตารางการฉีดของกล่องอย่างเดียวไม่มีการนำค่า O2 Sensor มาชดเชย ดังนั้นส่วนผสมจะไม่พอดีจุดที่ดีที่สุดคือ 14.7:1 แนวโน้มจะเป็นไปทางหนากว่าปรกติ เพราะว่าปรกติเครื่องจะจ่ายใน Open Loop ในช่วงที่เครื่องยังไม่ร้อน ใช้ส่วนผสมที่หนาขึ้นจะทำให้ติดเครื่องได้ง่าย ไม่สะดุดครับตอนเร่ง รถน่าจะแรงขึ้นแต่กินน้ำมันมากขึ้นด้วยครับ พอเครื่องอุ่นมันจะเข้า Close Loop ซึ่งจะใช้ O2 Sensor ช่วยปรับส่วนผสมให้ได้ถูกต้อง
ส่วนว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไรบ้างคงขึ้นกับหลายปัจจัยครับ ในกรณีที่ในภาพรวมแล้วถ้าไม่หนามากไปก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก อาจจะมี Error Code แจ้งเรื่อง O2 Sensor แต่ในกรณีที่หนาไปมากอย่างรถคุณ Joke มันก็อาจจะมีอาการอื่นๆที่เกี่ยวกับน้ำมันหนาเกินไปหรือกล่องอาจจะงงทำงานไม่ถูกต้องตามมาครับ กรณีของคุณ Joke เป็นเนื่องจากว่า Temp Sensor เสีย กล่องได้รับสัญญาณว่าเครื่องยังเย็นอยู่ มันเลยอยู่ที่ Open Loop ไปเรื่อยๆเลยครับ
ไปค้น Web ต่างประเทศมาหลายที่ ผมสรุปอย่างนี้ครับ O2 Sensor ตัวแรกใช้สำหรับควบคุมส่วนผสมของการใช้ใน Close Loop ซึ่งจะใช้ตอนที่เครื่องอุ่นได้ที่และเร่งเครื่องไม่มากนัก ช่วยลดมลพิษและทำให้ประหยัด ถ้าเร่งมากกว่านี้จะเข้า Opne Loop เพื่อให้มีกำลังเพียงพอ O2 Sensor ตัวที่สองถ้ามีก็จะใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานของ CAT ซึ่งถ้าไม่ปรกติก็น่าจะเพียงแค่แสดง Error Code ออกมาเท่านั้น ไม่น่าจะนำไปปรับส่วนผสมแต่อย่างใด อันนี้เรียบเรียงตามที่ค้นคว้ามานะครับ ไม่มีเอกสารยืนยัน
ปล. ต้องขอขอบคุณ คุณ Sor ที่ให้ข้อมูล