จาก suna IP:202.133.168.1
ศุกร์ที่ , 2/11/2544
เวลา : 22:37
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
เรื่องราวประหลาดๆ เกิดขึ้นที่นี่เสมอๆ และทุกคนที่จุดเทียนหน้ากระจก พร้อมกับผิวปาก มักจะได้เจอกับเรื่องราวที่ผมอยากจะบอกว่า...
ผมชื่อชัยยศ อัครศักดิ์ แต่จะเรียกผมสั้นๆว่า "ยศ" ก็ไม่ผิดอะไร ผมมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และสิ่งที่ผมไม่สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และผมอยากจะเตือนผู้อ่าน ที่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ ให้อ่านอย่างระมัดระวัง และใช้วิจารณญาณในการอ่าน และจะให้ดีควรมีผู้ปกครองคอยดูแลเป็นระยะ
เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ราวๆเดือน เมษายน ผม แฟนสาว (อ้อย) กับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย "บอย" พนักงานบัญชีที่บริษัท "น้องบัว" เพื่อนสมัยเรียนมัธยมของอ้อย "น้าศา" น้าสาวของอ้อย และ "ไอ้ทอม" น้องชายของผมเอง
พวกเราได้นัดหมายกันไปเที่ยวชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เราตัดสินใจเดินทางไปเกาะที่ห่างไกลผู้คน มันไกลมาก ไกลจนเกือบจะมีพวกเราเท่านั้นที่ถูกเรียกว่า "คน" เพราะนอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียง "ป้าเจิด" หญิงชรา ท่าทางน่ากลัว ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรม ที่มีเพียงแห่งเดียวบนเกาะนี้ ซึ่งกว่าที่เราจะมาถึงที่นี่ได้ มันก็มืดค่ำมากแล้ว แต่มันก็คุ้มกับบรรยากาศที่สุดแสนจะธรรมชาติ (ผมนึกในใจ)
อีกคนเป็นบริกรหนุ่มฉกรรจ์ นามว่า "ปาเด" หนุ่มฉกรรจ์ผู้ที่มีรอยสักอย่างโดดเด่นอยู่ที่แขนข้างขวา นี่ถ้าผมมาเที่ยวญี่ปุ่น ผมคงเข้าใจว่า ปาเด ต้องเป็น ยากูซา อย่างแน่นอน แต่ผมไม่แน่ใจนักว่า รอยสักที่ปรากฎบนแขนของปาเดนั้นเป็นรูปอะไร เพราะที่นี่มืดมาก ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้คบเพลิงและอาศัยแสงจากเปลวเทียนเท่านั้น แต่มันคงไม่ใช่รูป "ชินจังช้างน้อย" หรอก เพราะมันช่างไม่เข้ากับหน้าตาอันโหด หยาบคาย และแลดุดันของเขาเลย เห็นปาเดบอกกับใครสักคนในกลุ่มพวกเราว่า มันเป็นรอยสักที่เป็นเครื่องรางติดตัวของเขา
คืนแรกที่พักผ่อนอยู่ที่นี่ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ที่นี่สงบเงียบเป็นธรรมชาติ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่า มันเงียบมาก เงียบจนผิดสังเกตุ มันเหมือนมีใครสักคนคอยจับตาดูเราอยู่ (ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมก็มาทราบภายหลังว่า เพื่อนๆก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก)
รุ่งเช้าพวกเราออกเล่นน้ำทะเล และเดินเล่นรอบๆเกาะ แต่ดูเหมือนดินฟ้าอากาศ จะไม่เป็นใจนัก ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มันเพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆเท่านั้น พายุโหมกระหน่ำพัดเข้าหาชายฝั่งอย่างบ้าคลั่ง เรากำลังจะกลับแต่เราก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง พวกเราได้พบกับ หญิงวัยกลางคน เดินอยู่ที่ชายหาด ท่ามกลางพายุฝนที่กระหน่ำอย่างรุนแรง ทำไมมีผู้หญิงมาเดินอยู่ที่นี่ เธอแต่งตัวดูไม่เหมือนกับคนที่นี่ หน้าตาเธอดูใจดี และมีชาติตระกูลแต่เธอดูเศร้ามาก แล้วทำไมเธอต้องมาเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนเช่นนี้ ??? ท้องฟ้ามืดลงทุกที มืดจนเราไม่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้อีกต่อไป
ก็ไหนป้าเจิด กับ ปาเด บอกว่าบนเกาะนี้ นอกจากพวกเขา และพวกเราแล้ว ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ไง แล้วผู้หญิงที่เราเห็นเมื่อสักครู่ เธอเป็นใคร ??? พวกเราเริ่มสงสัย กะกันเอาไว้ว่าเดี๋ยวพอกลับถึงโรงแรมจะต้องถามป้าเจิด กับ ปาเด ให้ได้ความ
เรากลับมาถึงโรงแรมอย่างทุลักทุเลเต็มทน พวกเราแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำอาบท่า นัดกันว่า อีก 1 ชั่วโมงเราจะออกมาเจอกันอีกครั้งที่ห้องโถง พอได้เวลาผมกับแฟน ก็ออกมาที่ห้องโถงตามนัดหมาย
"มีใครเห็นป้าเจิด กับ ปาเด บ้างรึเปล่า" ผมรีบถาม เพราะอยากจะถามถึงผู้หญิง ที่เจอที่ชายหาด
"ไม่เห็นมีใครเลย ผมเดินดูหลายรอบแล้ว" บอย บอกกับพวกเราอย่างนั้น
"ใช่ครับ ผมก็ไม่เห็น ปาเด อยู่ข้างนอกเหมือนเคย" ทอมพูดเสริมขึ้นมา
สิ้นเสียงพูดคุยของพวกเรา ไฟก็ดับลง พวกเราตะโกนด้วยความหวาดกลัว ประตูไม้บานใหญ่ ค่อยๆเปิดขึ้น
แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ด ด ด ด ด ด ด ด เสียงประตู ที่เราไม่ค่อยจะคุ้นหูนักในเมืองหลวง ดังขึ้น
ร่างของหญิงผมยาว โผล่ชึ้นต่อหน้าพวกเรา เธอค่อยๆ เดินก้าวเข้ามาทีละน้อย พายุยังโหมกระหน่ำอยู่อย่างเนื่อง แสงจากสายฟ้า สว่างและมืดเป็นจังหวะ เงาของหญิงที่กำลังเดินเข้ามา ช่างดูน่ากลัวเสียนี่กระไร เธอเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเรา เปลวเทียนสว่างขึ้นอีกครั้ง และเราก็ได้เห็นเธออย่างเต็มตา
ป้าเจิด!!!! พวกเราเรียกพร้อมกัน เรารู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก เมื่อได้เห็นป้าเจิด และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมรีบถามป้าเจิด ถึงผู้หญิงที่ได้พบที่ชายหาด เมื่อบ่าย ป้าเจิดหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินคำถาม ดูเหมือนเธอจะไม่อยากที่จะให้คำตอบนี้กับพวกเรานัก
"อย่าไปสนใจเลยพ่อหนุ่ม เรื่องมันนานมาแล้ว เชื่อป้าสิ" ดูเธอหวาดกลัวที่จะต้องตอบคำถามนี้เหลือเกิน
"นะครับ ป้าครับ ผมอยากรู้จริงๆ ก็ไหนป้า บอกว่าที่นี่ ไม่มีคนอื่นไง"
"ก็ใครบอกล่ะ ว่าผู้หญิงที่เธอเห็นเป็นคน ว่าแต่พวกเธอยังอยากฟังเรื่องต่อไปอีกไหมล่ะ"
"เอาสิครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร"
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มันก็ครบรอบ สามสิบปี พอดิบพอดี นี่ถ้าพวกคุณไม่ถามถึง ป้าก็คงลืมมันไปแล้วเหมือนกัน มันนานมาก ป้าอยากลืมและไม่อยากนึกถึงมันอีก แต่ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ป้าก็จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเราฟัง...
ในค่ำคืนใดก็ตาม ณ โรงแรมแห่งนี้ หากใครได้จุดเทียนอยู่ที่หน้ากระจกและผิวปากไปพร้อมๆกัน แล้วล่ะก็.....
ป้าเจิดเงียบไป ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง แววตาเธอดูช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
"จุดเทียน ผิวปาก แล้วมันจะเป็นอะไรครับป้า" ทอมทนอดใจไม่ไหว จึงเอ่ยปากถาม
ป้าเจิดหันมายิ้มพร้อมกับตำตอบ "เทียนก็จะดับสิวะ ฮ่า ฮ่า"
"เอาล่ะๆ เมื่อกี้ป้าล้อเล่น และจากนั้ไปเป็นเรื่องที่ป้าจะเล่าเรื่องจริง ให้พวกเราได้ฟังเสียที ทุกคนเริ่มตั้งใจฟังอีกครั้ง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด พายุเข้าและฝนก็โหมกระหน่ำเหมือนในค่ำคืนนี้ไม่มีผิด ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาที่นี่ ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน รู้สึกว่าจะยังไม่ถึงสองเดือนดีนัก ทั้งคู่มาพักอยู่ที่นี่ 5 คืน และคืนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยองก็ได้เกิดขึ้น ในคืนวันสุดท้ายของทั้งสองที่จะพักอยู่บนเกาะแห่งนี้
พวกเขาไม่ได้มาเที่ยว แต่มาเพื่อหาสิ่งของบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ได้ว่ามันคืออะไร (ตราบจนทุกวันนี้) คืนสุดท้าย ฝ่ายชายหนุ่ม ก็ออกไปข้างนอกเพื่อหาของบางอย่างเหมือนเช่นเคย เขารู้ดีว่า เขาอาจจะไม่มีโอกาส ได้กลับมาที่นี่อีก หากเขาไม่สามารถหามันพบเขาเดินหาอยู่นาน ฝนยังตกหนักเช่นเดิม.....
เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับมาที่โรงแรม ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่คิดที่จะกลับบ้าน หากไม่ได้พบกับสามีของเธออีกครั้ง เธอเฝ้ารอสามีอันเป็นที่รักอยู่ที่นี่ รอนานมาก รอจนถึงวันที่พายุโหมกระหน่ำมาอีกครั้ง มันเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการจากไปของสามี เธอตัดสินใจออกมาตามหาเขา เหมือนที่เขาได้ออกตามหาบางสิ่งบางอย่าง
เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน หญิงสาวก็ไม่ได้กลับที่โรงแรมอีกเลย และทุกวันที่มีพายุฝนกระหน่ำ ใครสักคนบนเกาะแห่งนี้ ก็จะได้เห็น หญิงสาวหน้าตาดี ออกเดินตามหาอะไรบางอย่าง ท่ามกลางพายุฝน และมันก็เป็นอย่างนี้ตลอดมา แต่ก่อนที่เธอจะออกไปตามหาสามี เธอได้เขียนจดหมายเลือดเอาไว้หนึ่งฉบับ เธอคงรู้ดีว่า เธออาจจะไม่ได้กลับมาที่โรงแรมนี้อีก
เธอใช้มีดกรีดที่ข้อมือ เลือดสีแดงสดไหลยาวเป็นทาง เธอเอานิ้วมือที่เปื้อนเลือด ขีดเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษ และป้าก็เก็บมันมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วป้าเจิดก็เดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ดูเก่าเหลือเกิน มันมีคราบเลือดอยู่จริงๆด้วย ไม่มีใครกล้าที่จะหยิบอ่าน ทุกคนในขณะนี้เริ่มรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องราวที่ได้รับฟัง
ทั้นใดนั้น ไฟจากเปลวเทียนก็ดับลงอีกครั้ง หลายคนหวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว ยังไม่ทันที่เสียงหวีดร้องจะเงียบสนิทดี เปลวเทียนถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แต่มันกลับถูกจุดขึ้นมา พร้อมกับกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ในกระจกบานใหญ่นั้น มีใบหน้าของหญิงชราผู้หนึ่ง ผู้ที่พวกเรารู้จักกัน เธอคือ "ป้าเจิด" เจ้าของโรงแรมแห่งนี้
"ปะ ปะ ป ป้า ...."
ยังไม่ทันที่เราจะเรียกสดิกลับคืนมา ในเงากระจก ภาพของป้าเจิดก็ค่อยๆ หันหลังให้พวกเรา เธอค่อยๆ เดินจากไป และก่อนที่จะลับตา เธอหักกลับมาหาเราอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ภาพที่เราได้เห็น ไม่ใช่ป้าเจิด มันเป็นภาพของผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงคนที่ผมจำได้ว่า เธอคืนคนคนเดียวกับที่เราได้พบเมื่อกลางวัน เธอยิ้มให้กับพวกเรา ก่อนที่ภาพของเฑอ จะจางหายไปในกระจกเงาบานใหญ่ที่อยู่ต่อหน้า
ผมแข็งใจหยิบกระดาษที่มีคราบเลือดเปิดอ่าน หวังว่าเธออาจจะต้องการบอกอะไรกับเราบางอย่าง เธออาจจะบอกถึง สาเหตุของการตายของเธอกับแฟนหนุ่ม หรือไม่ก็อาจจะต้องการให้เราทำอะไรบางอย่างให้เธอ...
ขณะนี้ กระดาษเปื้อนคราบเลือด อยู่ในมือของผม เปลวไฟของแสงเทียน สลับกับแสงจากฟากฟ้า สว่างพอที่จะให้เราสามารถที่จะอ่านข้อความในกระดาษเปื้อนรอยเลือดนี้ได้ว่า....
"กูนึกแล้วว่ามึงต้องอ่าน"
|