คำตอบที่ 1
       ขอแจมครับ(อย่าว่าตอบเลยนะเพราะใหม่เช่นกัน)
ผมว่าวันละ20โล สัปดาห์ละ 4 วันนี้ใช้ได้นะครับ แต่คงต้อง
ดูพฤติกรรมการปั่นของพี่ด้วย มีคนสอนผมมาว่าต้องปั่นแบบสปีดเร็วๆ ไวๆบ้าง หาเนินขึ้นบ้างเพื่อให้หัวใจเราเต้น
เร็วขี้น ไม่ใช่ปั่นแบบเรื่อยๆตลอดครับ(ซึ่งก็เห็นผลครับ....เหนื่อยแทบแย่ )
ส่วนเรื่องกางเกงในผมว่าแล้วแต่ชนิดนะครับ หาก
เป็นกางเกงในทั่วๆไปจะมีตะเข็บ จะทำให้เสียดสีเจ้ากุ๊กกิ๊ก
ในทริปไกลๆได้ แต่ผมใส่ครับแต่เป็นแบบ
ไร้ตะเข็บราคา 200 กว่าครับ(ไม่ใส่แล้วมันสู้ครับ )
ส่วนเกียร์ผมก็ใช้ 24 อยู่ครับ(ไม่มีตังค์) เรื่องความแตกต่างมีครับ(หากว่าเรี่ยวแรงพอๆกัน) การขึ้นเนิน
อาจเป็นรองครับ แต่หากเราแรงดีผมว่าไม่ต่างกันมากนะ
ผมก็อยากเปลี่ยนแต่ติดอยู่นิดเดียว.....เงินครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 2
       การซ็อมขี่จักรยานที่จะให้ผลด้านการพัฒนานั้นต้องซ้อมให้ถูกหลักการครับ คือ ใน 1 สัปดาห์ต้อง ซ้อมหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพครบในทุก ๆ ด้าน เช่น

ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความทนทานของก้ามเนื้อ การเพิ่ม สมรรถภาพของหัวใจ ในการปรับคืนมาสู่ภาวะ ปกติ หรือ Recovery Rate

ซึ่งในแต่ละอย่างต้องฝึกกับการขี่ในรุปแบบต่าง ๆ เช่น ความทนทานนั้นแน่นอนก็คือการปั่นระยะทางยาว ๆ นาน ๆ ในระดับที่หัวใจทำงานแบบปกติ ซึ่งร่างกายจะใช้พลังงานจากการเผาอาหาร สังเกตได้ว่าการหายใจของเราจะหายใจได้แบบสบาย

การเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจ ที่จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ Recovery rate ต้องฝึก ขี่แบบ Interval คือต้องปั่นแบบเร่งสปิดแบบให้เหนื่อยสุด ๆ แล้วผ่อนเพื่อพัก อาจจะสปิดต่อเนื่อง 1 นาที พัก 1 นาที สลับกันไปสัก 10 รอบ แล้วค่อย ๆ เพิ่ม จำนวน หรือยึดระยะเวลาสปิดออกไป แล้วลดเวลาพักให้ค่อย ๆ น้อยลง การฝึกแบบนี้จะเห็นผลได้เร็วมาก ที่เค้าเรียกว่า มีก๊อกสอง นั่นแหละครับภาษาชาวบ้าน

ถ้าต้องการฝึกแบบจริงจัง ต้องมี Heart rate monitor ช่วยในการฝึก และลองศึกษา เรื่องอัตราการออกกำลังกายในระดับต่าง เช่น แอโรบิค อนาโรบิค ซึ่งพอจะหาให้อ่านได้ในเวปไซต์ต่าง ๆ ครับ

ส่วนเรืองการเกงจักรยาน ผมฟันธงเลยครับ ว่าไม่ต้องใส่ กกน. จะดีกว่า เนื่องจาก กกน. เมื่อปั่นระยะไกลจะสร้างปัญหาเรื่องเสียดสี ได้มาก แรก ๆ อาจจะรู้สึกแปลก แต่ขอให้ลองฝึกใช้แบบไม่ใส่ กกน. สักระยะแล้วจะชินเองครับ

สำหรับ 24 กับ 27 เกียร์ถามว่า มีผลด้านกำลังกันหรือไม่ ผมขออธิบายง่าย ๆ ครับให้นึกภาพนะครับ ทั้งสองแบบ จะมีจานหน้า 3 จานเท่ากัน ที่ต่างกันคือเฟืองชุดหลัง จะมี 8/9 เฟือง คราวนี้หลายคนมักคิดว่า 9 เฟืองขึ้นเขาดีกว่า 8 เฟือง ซึ่งผมเองพยายามจะอธิบายให้ฟังว่า จริงแล้ว ไม่ต่างกันเลยครับ หาก 3 จานหน้านั้นมีขนาดเท่ากันทุกจาน และเฟืองหลัง มีขนาด 11-32 ฟันเท่ากัน 11-32 นั้นหมายถึง มีเฟืองเล็กสุด 11 และเฟืองหลัง 32 ฟัน แต่ ทั้งสองแบบจะต่างกันที่อัตรา ความถี่ คือการไล่ฟันของ 9 เกียร์จะละเอียดกว่าเท่านั้นเอง ที่ เฟือง 11 และ 32 อัตราการทดทั้งสองแบบก็เท่ากันอยู่ดี ดังนั้นผมจึงสรุปว่า 9 ฟันไม่ได้มีแรงการทดมากกว่า 8 เกียร์แต่อย่างใด มันก็เพียงมีเพิ่มมาให้เล่นอีก 1 step ในระหว่าง 11-32 เท่าน้นเอง

แต่หากจะเพิ่มแรงทดสำหรับขึ้นเขาให้มากขึ้น จริง ๆ ก็ทำได้ โดยเปลี่ยนไปใช้เฟืองหลังเป็น 11-34 ซึ่งเฟือง 34 ด้านหลังจะเพิ่มแรงทดขึ้นมากกว่า 32 ได้ แต่สำหรับระดับโปรแล้วจะไม่นิยม 11-34 เพราะปกติจะไม่ได้ลดเกียร์ลงมาใช้ พวกโปรจะเรียก เฟือง คุณปู่ คุณย่า ครับ

หวังว่าคงได้ความรู้บ้งนะครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 3
       อย่าง....เตบบบบบ ครับทั่นแป๊ะ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 4
       อาจจะเหมือนผมก็ได้

ทางเรียบ ผมขี่ได้ไม่เกิน 20 กม. ไม่ได้เหนื่อยมาก แต่ข้อหัวเข่า ผมจะเริ่มปวด จยขี่ไม่ไหว

ทางภูเขา ผมจะขี่ได้เรื่อยๆ เพราะขี่มา 6-7 ปีแล้ว แม้ว่าจะหยุดขี่ไป 1 ปีเต็มๆ เนื่องจากหมอนรองกระดูกอักเสบ แต่เมื่อกลับมาขี่อีกครั้ง ก็ยังขี่ตามภูเขาได้ โดยไม่เหนื่อยมาก

การขี่จักรยานจะแบ่งได้ 2 แบบครับ
1. ฝึกให้มีกล้ามเนื้อขา อันนี้ต้องขี่ทางไกลเยอะๆ ขี่วันนึง 20-30 กม.ขึ้นไป แต่หากไม่ขี่ให้สปีดสูงๆ หัวใจก็ขึ้นไม่ถึง 170 ครั้งต่อนาที เพราะหากขี่เรื่อยๆ ก็จะได้ แค่ 130-150 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น

2. ฝึกให้หัวใจอดทน อันนี้ต้องขี่ตามภูเขา เพราะหัวใจจะเต้นขึ้นไปถึง 170-180 ครั้งต่อนาที


ก็แล้วแต่ชอบครับ หากใครชวนผมขี่ทางไกล ผมก็ไม่ไปครับ เพราะหัวเข่าผมจะรับไม่ไหว หากเกิน 20 กม. แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้น เพราะกินกล้วยหอมเกือบทุกวัน ธาตุแมกนีเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าเดิมมากครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 5
       ขอบคุณสําหรับทุกทุกความเห็นครับเเละผมชอบคําว่า"2. ฝึกให้หัวใจอดทน"
ด้วยจิตคารวะ.

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 6
       อ่านคำตอบของท่าน webmaster แล้ว ขอตอบสักนิดนะครับ อาการปวดเข่า ผมเองก็เคยประสบปัญหาเหมือนกันในตอนมี่มีการเปลี่ยนเบาะใหม่ หรือ เปลี่ยนเฟรมใหม่( ซึ่งมันต้องก็ต้องมีการปรับตำแหน่งเบาะใหม่)

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเปลี่ยนเฟรม แล้วแน่นอนมันก็ต้องถอดเบาะหลักอานออกมาใส่เฟรมใหม่ คราวนี้ก็ขี่ไปได้สักพัก ผมก็มีอาการปวดหัวเข่า อยู่ตลอด ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจ ถึงเรื่องตำแหน่งเบาะนั่ง เพราะเวลาขี่ระยะสั้น ๆ จะไม่แสดงอาการออกมา แต่จะเริมเป็นที่ระยะทางช่วงหนึ่ง ช่วงแรกก็คิดว่าปัญหาเกิดจาก ข้อเข่าผมมีปัญหา แต่มีอยู่วันหนึ่ง มีพี่แว่น BikeNet ขี่กับผม แกขี่ตามหลังผมแล้วทักว่า " น้าแป๊ะ เบาะสูงไปหรือเปล่า " ผมก็เลยกลับมาบ้านลองปรับตำแหน่งเบาะให้ลดลง แล้วปรับตำแหน่งเบาะถอยหลังมาหน่อยหนึ่ง ปรากฎว่า หลังจากนั้น อาการปวดเข่า ก็หายไปเลยครับ

ดังนั้นแนะนำว่าให้ลองปรับตำแหน่ง เบาะ และ ระดับความสูงต่ำก่อนครับอาจจะแก้ปัญหาได้

แสดงความคิดเห็นย่อย