พุธ,4 ธันวาคม 2567


ทริปที่ 56 ค้นหาน้ำตกหน้าแล้ง

“ เฮ้อ.. เบื่อว่า ไปที่ไหน ที่ไหน ก็ไม่ให้เข้า ขายรถดีกว่าโว๊ย “ เสียงบ่นประโยคด้วยท่วงทำนองเบื่อหน่ายแบบนี้ได้ยินบ่อยครั้งมากขึ้นในช่วงหลัง ทั้งพูดเล่น ๆ หรือบางครั้งก็เจือด้วยความหมายนัยยะที่ผู้พูดหมายความอย่างนั้นจริง ๆ แต่คงกลัวคำพูดนี้ มันจะย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจ ผู้พูดเองอย่างไรอย่างนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรก็ในเมื่อ ตลอดเวลานับสิบปีที่พวกเรา ขับรถเที่ยวป่าตั้งแต่ทุกที่เปิด ให้พวกเราเข้าไปได้หมด ไม่ว่าจะที่ไหน ที่ไหน ที่พวกเรามักจะไปพร้อมด้วย น้ำจิตน้ำใจให้เจ้าของทาง หรือเพื่อนร่วมทาง ทั้งร่วมพงพันธ์เดียวกัน หรือคนละเผ่าพันธุ์ก็ตามที ความสวยงามของป่าเขา น้ำตก หรือลำห้วยใส ๆ ที่ซ่อนตัว อยู่ในพงไพรแน่นอน ต้องแลกด้วยความลำบากของเส้นทางที่ต้อง เผชิญทั้งยากง่ายตามแต่ฤดูกาลที่พัดผ่าน อุปสรรคนับนานานำพาประสบการณ์ป่า หรือเทคนิคต่าง ๆที่พาเราเข้าไปหารางวัลแห่งชีวิตภายในป่า เงินไม่ใช่คำตอบสำหรับ ผู้ที่เข้าไปถึงปลายทางที่สวยงาม แต่มิตรภาพที่ก่อร่างสร้างกันมาต่างหาก ที่พาพวกเราฝ่าอุปสรรค นานัปการที่พาพวกเราเข้าไปยังที่อีกที่หนึ่งที่ยังบริสุทธิ์ อยู่ในผืนป่าเมืองกาญจน โดยที่น้อยคนนักที่จักได้สำผัส

 

ครับที่หมายปลายทางของเราครั้งนี้เป็นน้ำตก ในผืนป่าเมืองกาญจที่เราได้รับรู้มานาน พอสมควรแต่ไม่เคยได้ไปสำผัสสักครั้ง หรืออย่างน้อยก็ไม่ค่อย ได้เห็นรูปน้ำตกนี้ชัด ๆ ผ่านโลกไซเบอร์ที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวัน การเดินทางครั้งนี้ผมได้ รายละเอียดที่หมาย และสภาพเส้นทาง จากออฟโรดรุ่นเก๋าที่ผ่านประสบการณ์มากกว่าพวกเรามานาน เป็นนักออฟโรดรุ่นเก่า ท่านหนึ่งที่พวกเราเคารพ และนิยมชื่นชอบอยู่ในใจ ในน้ำใจที่แกมักจะมอบให้รุ่นน้อง อย่างเราไม่ว่าที่พัก ให้พักพิงหรือข้อมูลเส้นทาง ที่อธิบายให้อย่างเข้าใจ เสียงอธิบายสำทับ ในสายยังคงยืนยันจนถึงเช้าวันเสาร์ในร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ตลาดทองผาภูมิ วายซ้าย วายขวา ห้วยหน้าหรือห้วยหลัง วิ่งแล่นอยู่ในหัวผมไปมาด้วยบททดสอบ ผู้นำทริปครั้งนี้และผู้ติดตาม ทั้งคณะที่ไม่มีใครเคยไป มาก่อนรวมทั้งผมด้วย พวกเราครั้งนี้รวมตัวกันได้ 4 คันที่ทั้งหมดเป็นรถโตโยต้า โดย 3 ใน 4 คัน อายุอานามรวมกันก็เท่ากับคนชราคนนึง พอดี ทั้งม้ากระโดด (LN36) หนูขาว (LN65) และ กระทิงโทน (LN106) แต่ยังดีที่มี D4D สด ๆ อย่างเสือซ่ามาคอยพยุงปีกสามเฒ่าอย่างเรา มากไปกว่านั้นเรายังได้อดีตประธาน อย่างจิงโจป่า และเนว์มือเก๋าอย่างพี่แดงมารวมทริปที่สองของเราปีนี้

 

กว่าจะเตรียมเสบียงอาหาร ก็ปาเข้าไปร่วม 9 โมงเช้าก่อนที่ขบวนเราจะวิ่งลัดเลาะไปตามริมเขื่อนเขาแหลม ทองผาภูมิ มุ่งไปสู่จุดหมายที่รอเราอยู่ ผมมักจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำคันแรกเสมอ อาจจะเป็นเพราะผู้รู้เส้นทางคนเดียวในกลุ่ม แต็ก็หลาย ๆ ครั้งก็นำทั้งทั้งที่ไม่รู้ ซึ่งเป็นเกียรติที่ไม่ค่อยจะนิยมชมชอบเท่าไรนัก เพราะมักจะเป็นผู้รับเกียรติคนแรกที่เหมือนกันที่ต้องลากออกไป ต่อจากนี้ไปก็คงต้องหาผู้สืบทอดภาระหน้าที่นี้ให้รุ่นใหม่ ๆ สด ๆ ในกลุ่มที่คงต้องใช้เวลาโน้มเน้ากันต่อไป สำหรับห้วยแรกที่เราวิ่งข้ามน้ำไม่มากนักในหน้านี้ ผิดกับครั้งที่เราที่เราเคยข้าม ที่เกือบท่วมฝากระโปง แต่คราวนี้ด้วยระดับน้ำแค่แก้มยางทำให้ผมสบายใจล่วงหน้าถึงยังห้วยที่สองที่ถึงแม้ระดับน้ำจะไม่ลึก แต่ด้วยร่องแคบริมโตรก เขามักจะทำให้ห้วยที่สองนี้น้ำแรง จนเจ้าหนูขาวที่น้ำหนักตัวสองตันกว่า ๆ เซได้เหมือนกัน เส้นทางระยะทาง 3 กิโลแรกมีแต่ฝุ่นแดง ๆ ที่พวกเราวิ่งลัดเลาะไปตามสวนยางที่เริ่มเห็นปลูกหนาตามายสิ่งขึ้นตามผืนป่าเมืองกาญจ และก็ที่เมืองกาญจอีกนั่นแหละที่เป็นที่ในไม่กี่ที่ในเมืองไทยที่สายน้ำไม่เคยเหือดหายแม้ยามแล้งแบบนี้ เส้นทางช่วงแรกไม่มีปัญหาสำหรับผมเท่าไรนักเพราะเคยเข้ามาสำผัสอยู่บ้าง หรือจะมีลังเลก็ยังได้เนว์อย่างจิงโจป่าช่วยเตือนความจำอยู่บ่อยครั้ง ริมสองข้างทางจากป่าเสื่อมโทรมตอนนี้กลายมาเป็นป่ายางสุดลูกหูลูกตา บ้างก็ขยายแนวรั้วออกมาชิดถนนลูกรังจะแทบจะล้ำออกมา

 

แต่สำหรับผมไม่หนักใจมากไปว่าระบบนิเวศน์ท้องถิ่นที่ต้องกลับหลายมาเป็นป่ายางที่มองอย่างไรก็ไม่มีชีวิตเหมือนป่าจริง ๆ ถึงแม้จะเป็นป่าเสื่อมโทรมก็ตาม เส้นทางในความทรงจำเก่า ๆ เทียบกับเส้นทางจากแผนที่ GPS ที่หน้าจอทำให้ผมขับเข้าหนูขาวเข้าไปในป่าลึกเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ลังเล ห้วยหนึ่ง ห้วยสอง จะมาถึงห้วยสิบก็ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย จะมีก็แต่แง่งหินคม ๆ ในลำห้วย หรือตอไม่ไผ่แหลม ๆ ทีต้องระวังไม่ให้เราต้องเสียเวลาเปลี่ยนยางโดยไม่จำเป็น เนื่องด้วยทริปนี้เป็นทริปที่ตากกล้องเกิดใหม่ในกลุ่มหลายคนต้องการลองกล้องใหม่ที่ซื้อมารวมทั้งตัวผมเอง เส้นทางจึงไปได้ช้าพอสมควรเนื่องด้วยต้องรอมุมภาพสวย ๆ ที่ถูกถ่ายทองผ่านเลนส์ชั้นดี มาเก็บไว้เป็นความทรงจำที่จับต้องได้

 

สภาพผืนป่าค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามระยะทางจากหน้าจอ GPS ที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก จากป่ายาง เริ่มกลายมาเป็นป่าเสื่อมโทรม จะมาเป็นป่าดิบชื้นในที่สุด จากอากาศร้อนจากแสงแดดระอุตอนเที่ยง เริ่มกลายมาเป็นสายลมเย็นที่พัดผ่านจากลำธารที่สวยใส เสียงป่าไผ่แตกประทุ เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเสียงไม้ใหญ่เมื่อเอนไหว ผมรู้สึกได้เลยจากความเขียวขจี ของผืนป่าและความดิบชื้นที่ต่างกันชัดเจน กับป่าที่เราพึ่งเข้ามา ขบวนเราเริ่มหยุดบ่อยครั้ง เพื่อหาลายน์ที่ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไรก็ยิ่งจางหายไปเท่านั้น ทันใด้นั้นเองในขณะที่พะวักพะวนกับแนวลายน์อีกฝั่งของลำหวยที่หายไป เจ้าหนูขาวของผมก็ตกเข้าไปในร่องหินสูงขนาดยาง 35 นิ้วในลำห้วย เสียงร้องคำรามตะกุยตะกาย ของเจ้าหนูขาวกลบเสียงเนว์อย่างจิงโจป่าจนหมดสิ้น แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียง …. แคร้ง …. ดังกังวานพร้อมกับอาการของพวงมาลัยเจ้าหนูขาวที่หมุนได้โดยรอบ 360 องศาโดยที่ไม่ต้องโหลดอะไร …. ครับเราคงมาได้ไกลสุดแค่นี้สำหรับทริปวันนี้เมือตะวันเริ่มบ่ายคล้อยลงไปทุกที อุปสรรคแรกของผมก็คือ ต้องวินช์หลังดึงเจ้าหนูขาวขึ้นจากลำห้วยที่มีตลิ่งชัยเกือบสองเมตร ขึ้นไปตะพักครึ่งคันเพื่อหาจุดเหมาะ ๆ ลงมาเชื่อมกัน พวกเราใช้เวลาไม่นานก็เชื่อมคันชักคันส่ง เจ้าหนูขาวให้กลับมามีฤิทธ์อีกครั้ง แต่เพื่อความไม่ประมาท พวกเราเดินเท้าล่วงหน้าเข้าไปอีกพอสมควร จึงสรุปเป็นตรงกันว่า ในละแวกนี้ไม่มีที่ไหนที่น่าพักมากกว่าห้วยทรายที่มีแก่งน้ำใส และหาดทรายที่กว้างขวางพอสมควรสำหรับเป็นที่พักหลับนอนของเราในค่ำคืนนี้

การกลับรถด้วยอาการไม่เต็มร้อยของหนูขาว เล่นเอาเหนื่อยพอแรง แต่ด้วยแรงใจและเนว์ไม่ต่ำกว่าสี่คนก็พาเจ้าหนูขาวกลับรถในทางแคบและชันได้ พร้อมย้อนขบวนกลับมาเพียงแค่ต้มน้ำเดือด เราก็ย้อนกลับมาตั้งแคมป์ที่ห้วยทรายตามเดิม มาถึงเวลานี้ อากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็วแม้ตะวันจะยังไม่ลับฟ้าก็ตาม หลายคนเป็นห่วงเจ้าของบ้านตัวโต (ช้างป่า) จะออกมาเยี่ยมเยือนเนื่องด้วยรอยเท้า และขี้กองโตมีเห็นเห็นเกือบตลอดเส้นทาง เราจึงรีบก่อกองไฟไล่ความหนาวที่เริ่มตั้งเค้า และเผื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของบ้านลงมาหาเราอย่างน้อยก็ชั่วเวลาหนึ่ง สายน้ำใส แต่เย็นยะเยือกทำให้ทุกคนหายเหนื่อย จากการเดินทางที่ยาวนาน บางคนเองหลังแล้วผล็อยหลับไปในช่วงเวลาไม่นาน บางคนก็สาละวนกับการเตรียมอาหารเย็นก่อนตะวันลับฟ้า บ้างก็งัดกล้องมาถ่ายบรรยากาศแค้มป์พักและธรรมชาติสวยงามบริสุทธ์ที่รายรอบตัวเรา บรรยากาศมิตรภาพยามค่ำคืนช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ใช้เวลาดื่มกินไม่นานก็พบว่า ดาวดวงเดือนลอยเด่นอยู่กลางฟ้า แม้จะมีเค้าเมฆฝนตั้งเค้าอยู่ไกล ๆ ก็ตามที น้องแจ๊คของผมรับทำหน้าที่เป็นเวรดูแลกองไฟ เผื่อมั่นใจว่าอย่างน้อยก็มีควันไฟครุกรุ่น อยู่ทั้งคืนที่เรานอนหลับใหลไปป่าดงพงไพรแห่งนี้

ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่อยามเช้าตรู่เนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บและเสียงพวกเราที่ตื่นก่อนหน้านี้คุยกันเบาถึงภารกิจน้ำตกที่เราจะมาไม่ถึง พวกเราไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหน หรือแม้แต่ว่าจะไปทางไหน แต่คาดเดาว่าน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่เราพักเพราะความสมบูรณ์ของผืนป่าและโตรกผา ผึ้งป่าและแมลงป่า ค่อนข้างสร้างความลำบาก ให้กับเราพอสมควร แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าป่านี้สมบูรณ์ขนาดไหน หลังจากพวกเราเตรียมตัว เตรียมกล้องกันพร้อม หัวขบวนก็เริ่มเดินเท้าลึกเข้าไปในราวป่า โดยใช้เส้นทางเลียบลำห้วยเข้าไปในป่าลึก เราเดินกันไปเป็นแถว อย่างเงียบเพื่อที่อาจจะได้มีโอกาศได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นถ้าเราขับรถ ยิ่งเดินขบวนเราก็เริ่มแตกห่างออกจากกัน หลายคนหยุดถ่ายรูปในมุมสวย ๆ ส่วนหลายคนก็มุ่งหน้าหาแนวทางเดินต่อไปโดยมีความเชื่อมั่นว่าเราต้องเจอน้ำตก ยิ่งสร้างความกังวลให้กับผมมากขึ้นเมื่อเราเดินลึกเข้าไปกลับไปเจอลำห้วยอีกลำห้วยหนึ่งไหลมาประสบกัน คราวนี้เราต้องเลือกว่าจะไปทางไหนดี เพราะลักษณะที่คล้าย ๆ กัน และระดับน้ำก็พอ ๆ กัน พวกเราเลือกตัดสินใจไปในทางทีรกกว่า หรือสภาพป่าที่ดูชุ่มชื้นกว่าด้วยความเชื่อที่ว่า ความชื้นที่มากกว่านะจะเป็นเพราะมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ด้านใน หลังจากเดินกันมาได้ซักพักใหญ่ หลาย ๆ คนเริ่มหยุดบ่อยครั้งขึ้น และเริ่มแยกเป็นกลุ่มย่อยมากขึ้น “พี่รงค์ถามผมว่า เอางัยดีหนูขาว หันหลังกลับมั๊ย” ผมหันไปมองน้องแจ๊คพร้อมทั้งคิดในใจว่า ถ้าเรามาไม่ถึงน้ำตก แล้วเราต้องคาใจกันไปอีกนานมั๊ย ในเมื่อเดินมาถึงขนาดนี้แล้ว “เดินอีกครึ่งชั่วโมง พี่รงค์ถ้าไม่เจอ..เรากลับ” ตอนนี้ขบวนหน้าเหลือแค่สามคนที่นำขบวนหาเส้นทางเข้าหาน้ำตก ยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง เดินยากขึ้น ระดับน้ำเริ่มลึกขึ้น นี่ขนาดหน้าแล้งนะ ถ้าหน้าน้ำก็เลิกคิดได้เลยกับเส้นทางเส้นนี้ เราเดินกันมาได้เกือบอีกครึ่งชั่วโมงอย่างที่ตั้งใจไว้ ผมเริมสังเกตระดับน้ำ ที่เริ่มแรงขึ้นจากหน้าผาเตี๊ยสองเมตรซ้ายมือ ผมเลยวัดดวงเดินเข้าไปที่ช่องโตรก เขาจุดนั้นด้วยลางสังหรณ์ อะไรบางอย่าง...และก็เหมือนอย่างที่คาดไว้เมื่อมาถึงโตรกหินช่วงนี้ ด้วยภาพข้างหน้าซ้ายมือเป็น .... สายน้ำสีขาวที่ไหลจากหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตรที่ไหลคดเคี้ยวเป็นรูปตัวเอส .... สายน้ำตกสายนี้ไม่ได้ตั้งตระหง่านให้เห็นในที่โล่งแต่กลับหวงตัว ซ่อนความบริสุทธ์ไว้ในโตรกเขาแคบ ๆ ในป่าทึบ แม้อยุ่ห่างเกือบ 100 เมตรก็ยังรู้สึกได้ถึงความแรงของสายน้ำที่พัดพาเอาละอองน้ำมาเปียกปอนตัวเราไปหมด แต่อุปสรรคที่จะเข้าไปถึงน้ำตกเราต้องเดินลุยน้ำลึกและปีนชะง่อนผาชันเกือบ 10 เมตรขึ้นไป ไม่งั้นเธอคนนี้ไม่ให้เราเข้าไปหาแน่ ...เสียงตะโกนให้สัญญาณกลับไปหาพวกเราข้างหลังด้วยความดีใจ “เจอแล้ว เจอแล้ว ... สวยมากเลย” เสียงพี่รงค์คนเดินตะโกนเรียกน้อง ๆ ให้เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ส่วนน้องแจ๊คของผมก็ไม่รอใครทั้งนั้น รีบปีนลิ่ว ๆ เข้าไปหาเธอ ... สายรุ้งงามที่เราตามหามานาน....

 



เสียงชัตเตอร์ดังกังวานรอบตัวเต็มไปหมด แข่งกับเสียงตะโกนอื้ออึงถึงมุมนั้นมุมนี้ที่อย่างให้ถ่ายทอด บางคนก็นั่งอยู่ในภวังค์กับความสวยงามของสาวงามนามสายรุ้งที่สวยงามสมคำร่ำลือ ถามตัวเองว่าจะได้กลับมาหาเธออีกมั๊ย กว่าจะตั้งขบวนแถวเดินทางกลับ ที่แม้แต่ประตูโตรกหน้าผาหรือ บ้านของเธอผู้นี้ก็ยังสมบูรณ์สวยงาม ด้วยมอร์สเขียวพรมกำมะหยี่ ที่ปกกลุ่มหน้าผาทั้งหน้าผมเหมือนพรมหนา ต้อนรับผู้มาเยือนสายรุ้งงามนี้ ขากลับไม่เหมือนขาเข้ามาทุกคนเดินด้วยความสดชื่น ด้วยความสุข ไม่มีอาการเหนื่อยหรือเมื่อยล้าให้เห็น อย่างกับว่าสายรุ้งนางนั้นได้ให้รางวัล การเดินทางสำหรับพวกเราชาวบูรพามาแล้ว แม้การเดินกลับสู่โลกภายนอก ก็ไม่มีอุปสรรคอะไร กับรถ กับคน จะมีก็เป็นเพียงไฟป่าด้านนอกป่าเสื่อมโทรมที่รายรอบขบวนบูรพาจะอกสั่นขวัญแขวนไปหมด หลายครั้งที่เราต้องขับเข้าสุ่เปลงไฟที่ล้ำเข้ามาในช่องทาง แต่ก็ต้องและเพราะถ้าอยู่ก็ไม่รุ้ว่าไฟป่าจะลามขึ้นหรือปล่าว แต่อย่างไรก็ตามพวกเราเดินทางกลับกันโดยสวัสดิภาพ หร้อมสัญญาใจว่า คราวหน้าเราจะพาเพื่อนเรา ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยครั้งนี้ไปรู้จักกับเธอที่สวยบริสุทธิ์ในโตรกเขาลึกที่ยังรอการกลับไปของเรา... ลาก่อนนะสายรุ้งงาม เราจะกลับไปหาเธออีก

สำหรับทริปนี้สวัสดีครับ
หนูขาว
มีนาคม 2551

ภาพด้า่นล่างนี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่ง ของสมาชิกบูรพาเช่นกันครับ
ทริปต่อไป ของบูรพา อาจจะเป็นทริปแล่นเรือก็ได้ครับ

 

 

 


Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster