จาก Lepo
อาทิตย์ที่ , 7/6/2552
เวลา : 16:18
อ่าน = 1699
125.24.55.21
|
ข้อมูล 6 ต.ค.51ทดสอบเครื่อง BMW ดีเซลและเบนซิน ใครประหยัดน้ำมันกว่ากัน เอามาฝากไว้อ่านเพลินเพลินครับ
เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเครื่องยนต์ดีเซล ยังไงก็ให้ความประหยัดที่มากกว่าเครื่องยนต์เบนซินอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเทียบเป็นหน่วย กม./ลิตร หรือ บาท/กม. ผู้จัดการมอเตอริ่ง จึงทำการทดสอบแบบใช้งานจริงมานำเสนอกัน โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด จัดเตรียมรถ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 จำนวน 2 คันมาให้เราทำการทดสอบ
คันแรกเป็นรุ่น 320ไอ เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ปริมาตรความจุ 1,995 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน/เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักรวมของตัวรถ 1,435 กิโลกรัม สนนราคา 2.8 ล้านบาท
คันที่สองเป็นรุ่น 320ดี เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ ปริมาตรความจุ 1,995 ซีซีเท่ากันกับตัวเบนซิน ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน/เมตร ที่รอบกว้าง 1,750- 3,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักรวมของตัวรถ 1,445 กิโลกรัม (หนักว่ารุ่นเบนซินประมาณ 10 กิโลกรัม) สนนราคา 2.849 ล้านบาท.
เรียกว่าข้อมูลทางเทคนิค เท่ากันแทบจะทุกอย่างต่างเพียง พละกำลัง(ดีเซลเหนือกว่า), น้ำหนัก และราคาเท่านั้น ซึ่งในด้านของสมรรถนะการขับขี่เราขอไม่กล่าวถึงเนื่องจากเคยนำเสนอบททดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นเรื่องของ อัตราการบริโภคน้ำมันเพียงอย่างเดียว
เราพยายามกำจัดปัจจัยที่จะเป็นตัวแปรทำให้ผลต่างๆ คลาดเคลื่อนโดยกำหนดให้ ผู้ทดสอบรถทั้งสองคันต้องสลับกันขับ แล้วมาหารค่าเฉลี่ย , ทุกเส้นทางจะเป็นการวิ่ง 2 รอบ แล้วนำมาหารค่าเฉลี่ย , การขับจะเป็นลักษณะขับไปพร้อมกันในเส้นทางเดียวกัน สลับกันนำและตามคันละรอบ, ห้ามคิกดาวน์, ปรับอุณหภูมิให้เท่ากันที่ 24 องศา ความแรงลม 3 ขีด และ แรงดันลมยางเท่ากันหมดทั้ง 8 ล้อ(2คัน)ที่ 32 ปอนด์
ซึ่งตัวเลขทั้งหมดเป็นผลที่แสดงตามคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดของรถ ทั้งนี้ก็เพื่อตัดปัญหาเรื่องการเติมน้ำมันที่อาจจะไม่เสมอภาคกันในแต่ละครั้ง โดยก่อนการวิ่งทดสอบทุกครั้งทีมงานจะเซ็ตค่าตัวเลขเป็นศูนย์พร้อมกันทั้ง 2 คันและออกวิ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน
เริ่มต้นด้วยการขับแบบกึ่งในเมืองบนเส้นวิภาวดี เราพยายามจะขับด้วยความเร็วคงที่สูงสุด 80 กม./ชม. มีรถติดขัดบ้างบางช่วงเพียงเล็กน้อย ผลเป็นดังตาราง
เส้นทางที่ 1 ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม.
ชนิดเครื่องยนต์ ระยะทาง (กม.) ความเร็วเฉลี่ย (กม./ชม.) อัตราสิ้นปลือง(กม./ลิตร)
ดีเซล 31.8 61.3 21.2
เบนซิน 31.8 61.3 15.6
จากนั้นเราหวังจะทดสอบที่ความเร็วสูงประมาณ 120 กม./ชม. โดยใช้ถนนตัดใหม่วงแหวนทิศใต้พระราม2-บางนา แต่ทว่าสภาพการจราจรไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากเกิดฝนตกพรำๆ ทำให้ความเร็วสูงสุดในครั้งนี้อยู่ที่ 100 กม./ชม. และได้ผลดังเป็นดังนี้
เส้นทางที่ 2 ความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม.
ชนิดเครื่องยนต์ ระยะทาง (กม.) ความเร็วเฉลี่ย (กม./ชม.) อัตราสิ้นปลือง(กม./ลิตร)
ดีเซล 47.3 90.2 20.0
เบนซิน 47.3 90.1 14.7
สุดท้ายเราก็สามารถทำได้ตามความต้องการด้วยการวิ่งด้วยความเร็วคงที่สูงสุด 120 กม./ชม. โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ พระราม 9-สุวรรณภูมิ เป็นระยะทางยาวพอสมควร ผลออกมาดังนี้
เส้นทางที่ 3 ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.
ชนิดเครื่องยนต์ ระยะทาง (กม.) ความเร็วเฉลี่ย (กม./ชม.) อัตราสิ้นปลือง(กม./ลิตร)
ดีเซล 33.3 104 18.8
เบนซิน 33.3 104 14.2
ส่วนตัวเลขการทดสอบแบบในเมืองรถติดหนัก นั้นเราไม่สามารถควบคุมตัวแปรที่จะทำให้ผลคงที่ เนื่องจากสภาพการจราจรที่ไม่แน่นอน ทำให้รถไม่สามารถวิ่งเกาะติดกันเป็นระยะทางยาวได้เพียงพอจะเป็นการอ้างอิงผลการทดสอบ ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอตัวเลขเพียงเท่านี้
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมยอดขายของรถยนต์ในทวีปยุโรปกว่า 50% เป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั่นเอง
|