จาก กระรอกดำ IP:203.148.176.195
พฤหัสบดีที่ , 6/9/2544
เวลา : 16:31
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
เอามาให้อ่านก่อนออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ครับ
ตอนหนึ่งจากเรื่องเล่า (ที่คุณไพลินหาข้อมูลมา)
ถ้ำเถื่อนที่ลำคลองงู จากนายหมู
ที่มาคณะของนายหมูได้เดินทางมาเที่ยวอุทยานลำคลองงูโดยรถตู้และค้างที่อุทยานลำคลองงูหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาได้เดินทางเข้าถ้ำผานกนางแอ่น โดยใช้เส้นทางเดียวกับที่เราเข้าไป เค้าใช้รถ 2 คัน มี 4WD ของอุทยานกับรถตู้ที่นำมาอีกหนึ่งคัน จากนี้ไปคือเรื่องเล่าที่คัดลอกมา
ไพลิน
ผ่านป้ายทางเข้าทุ่งใหญ่นเรศวรอีกครั้ง บอกระยะทางว่าไปอีก 60 กม. ก็เลี้ยวขวา แล่นกันมาได้พักใหญ่ก็เข้าเขตหมู่บ้านเขาพระอินทร์ เห็นป้ายทางเข้าหน่วยย่อยอุทยานซ้ายมือ จอดปรึกษากันก่อนว่ารถตู้เข้าได้ไหม ลุงอนันต์คนขับใจถึง บอก"ต้องลองดู"เลยไม่ต้องขยับขยายที่นั่งใด ๆ บน 4WD ตะลุยกันได้เลย และทางก็ไม่โหดอย่างที่คาด มาจอดกันตรงจุดหนึ่ง จริงแล้ว 4WD ยังไปต่อได้ แต่ด้วยความไม่ประมาทของพี่ๆ เจ้าหน้าที่ จึงลงไปสำรวจทางกันดูก่อน แล้วก็เจอไม้ล้มขวางทางอยู่"เดินกันไหวไหมครับ ที่จริงแล้วถึงใช้ 4WD ก็ไปได้ไม่ไกลครับ สักกิโลเองมั้ง"
พี่หนุ่มแห่งลำคลองงูถามความเห็นสมาชิกทุกคนไม่มีใครปฏิเสธ ทั้งหมดจึงคว้าชูชีพกันคนละตัวก่อนเดินลงเนินตามพี่หนุ่มไปเป็นครั้งแรก (และอาจเป็นครั้งเดียว รวมถึงครั้งสุดท้ายไหมหนอ) ที่ "ต้อง" ใช้ชูชีพในการเดินทางเข้าถ้ำเพราะถ้ำที่นี่มีธารน้ำไหลผ่าน และระดับน้ำก็ลึกเกินกว่าเท้าหยั่งถึงลงไปได้พักเดียว พี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ตาไว คว้าปูสีสดใสมาเข้ากล้องได้อีกพี่เขาบอกว่า ปูตัวดำระยางส้มสดพันธุ์นี้อาจเป็นพันธุ์ใหม่ของโลกก็ได้ (แต่ความเห็นผม คล้ายปูน้ำตกจัง)กำลังให้นักวิจัยไปค้นคว้าอยู่เป็นปูทูลกระหม่อมThaipolamon Chulabhorn Naiyanetr เดินชม (เสียง) นกชมไม้กันพอเริ่มเหงื่อซึม ก็มาถึงสุดทางรถที่ 4WD มาถึงได้ (หากจะลุย !!!) มีส่วนหลงเหลือของที่ทำการหน่วยย่อยเก่าให้เห็น ทั้งหมดก็นั่งพักเหนื่อยกัน
ตรงนี้คือบริเวณ karst window หนึ่งของถ้ำนกนางแอ่นครับ" พี่หนุ่มบอกให้ทุกคนทราบ
karst window เป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างหนึ่ง อธิบายง่ายๆ ว่า เป็นเพดานถ้ำที่ถล่มลงมา โดยต้องมีธารน้ำไหลผ่านพื้นถ้ำบริเวณนั้นด้วย ถ้ำนกนางแอ่นมีลักษณะของ karst window ถึง 6 แห่ง และหนึ่งในนั้น (จำไม่ได้ว่าอันไหน) อาจเป็น karst window ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย (ขณะนี้ karst window ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อเมริกาใต้ แต่ที่นี่อาจใหญ่กว่า กำลังรอการยืนยันจากนักวิชาการ)
แต่จุดนี้มองไม่เห็นตัวลำน้ำลำคลองงูเพราะป่าค่อนข้างทึบ และความใหญ่ของ karst window พี่หนุ่มบอกว่าเดินไปสักพักก็คงเห็นตัวลำน้ำเอง จากนี้แหละ ถึงเป็นจุดที่ "ต้อง" เดินกันอย่างจริงจัง เรียงเดี่ยวตามกันไปทีเดียว เพราะเดินเลาะไปตามขอบเขา ทั้งปีนป่าย กลั้นหายใจ (เพราะบางตอนทางแคบขนาดต้องเบี่ยงตัวถึงไปได้) ขวามือคือภูเขา ซ้ายมือคือทางลาดลง บางตอนก็ต้องลอดหินธรรมชาติที่ขวางอยู่ เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน
นานทีเดียวกว่าจะมาถึงบริเวณภาพเขียนโบราณที่เมื่อวานเห็นจากสไลด์ ภาพไม่ใหญ่เลย สักราวๆ หนึ่งตารางฟุตได้ มีหลายภาพในบริเวณใกล้ ๆ กัน และบางภาพเส้นที่เขียนก็จางจนต้องเพ่งมองถึงจะสังเกตได้พอครบคนก็เดินกันต่อ คราวนี้มาถึงช่วงสุดท้ายก่อนถึงปากถ้ำตอนหนึ่งของถ้ำนกนางแอ่น มีทางเลือกให้สองทาง ทางหนึ่งมุดโพรงเข้าไป ส่วนอีกทางเดินเลาะหินลงไปข้างล่าง ผมเลือกทางแรกกับพี่อีกสองสามคนก็งัดไฟฉายที่พกมาลองความสว่างกำลังไฟ แม้จะไม่มืดนัก แต่ถ้ามองไม่ชัดก็อาจเอาร่างกายไปปะทะกับหินไม่ยาก ไม่เกินห้านาที เราก็พบปากถ้ำอยู่ต่อหน้ากับสองตาของเราปากถ้ำใหญ่มากจริงๆ คะเนด้วยสายตาน่าจะสูงกว่า 50 เมตร กว้างไม่ต่ำกว่า 20 เมตรได้กลิ่นมูลนกนางแอ่นโชยมาจางๆ สมกับได้ชื่อนี้ และมีนกนางแอ่นบินเข้าออกเกือบตลอดเวลายืนชมความยิ่งใหญ่ของถ้ำจนพี่ ๆ อีกกลุ่มที่เดินลงไปเรียก ก็เลยค่อย ๆ ปีน+ตะกายกันลงมาทีละคน
ทางไปแต่ละคนไม่มีซ้ำ เพราะชำนาญทางไหน หรือเห็นทางไหนดีก็เดินเลาะหินกันไป ลำบากดี และอันตรายพอควร
ธารน้ำซึ่งไหลผ่านทางซ้ายมือของผม ดูเย็นน่าเล่นดีเหมือนกันแต่กล้องในกระเป๋าที่สะพายอยู่คงไม่ชอบแน่เลย เย็นไว้ก่อนโยมรวมทีมกันริมฝั่งลำธารลำคลองงู เที่ยงพอดี กินข้าว ๆ หิวแล้วกินกันไป คุยกันไป ดูเหมือนฟ้าอยากจะคุยด้วยมั้ง เมฆดำก่อตัวขึ้นก้อนไม่เล็ก แต่ก็ยังดีที่พวกเราคุยกันดังกว่า เม็ดฝนเลยยังไม่หยดมาเป็นเพื่อน
อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาลอยคอเข้าถ้ำกัน ผมจัดการเอาลูกใส่ถุงพลาสติกใส ก่อนใส่ในกระเป๋าใบเก่ง (มีใบเดียวแหละ) แล้วมัดตราสังด้วยถุงพลาสติกอีกสองชั้น ลองดู มันจะไหวมั้ยกับสถานการณ์วันนี้ คราวนี้มันก็สะพายไม่ได้แล้ว ก็อุ้มไปสิครับ เทินหัวบ้างตามอารมณ์ พอมองชาวบ้านที่ไม่มีกล้องแล้ว ก็ชักอยากเดินสบาย ๆ ตัวกับเขาเหมือนกัน
"เอาละ ถึงเวลาต้องลงน้ำแล้ว pack ของให้ดีนะครับ น้ำบางช่วงลึกจนหยั่งไม่ถึงนะครับ ระวังด้วย" พี่หนุ่มและพี่ต้นย้ำก่อนเจอสถานการณ์จริง
เย็นจังเลย เป็นความรู้สึกเมื่อทั้งตัวลงไปในน้ำ มือหนึ่งประคองตัว อีกมือประคองถุง (ไม่ใช่กระเป๋าแล้ว) กล้อง ยังดีที่ได้หมุกมาช่วยเอาขาตั้งกล้องไปช่วยถือ ทำให้ไม่ทุลักทุเลมากเท่าไหร่การลอยคอช่วงนี้ระยะทางไม่ยาวนัก ไม่ถึงสิบนาที ผมก็พาตัวผ่านปากถ้ำเข้าไปยืนยังตลิ่งหินได้ "เจอแล้ว นี่ไงมอสเรืองแสง" ใครคนหนึ่งร้องบอกขึ้นมา
จากข้อมูลที่ทราบ มอสเรืองแสงเป็นพืชประหลาดที่จะสะท้อนแสงจนเป็นสีเขียวสดสว่างได้ แต่ก็เพียงมุมเดียวเท่านั้น หากมองไม่ตรงกับมุมนี้ จะมองเห็นเป็นสีเขียวธรรมดา ไม่สดสว่างสวยงามเลยอยากถ่ายรูปใจจะขาด รีบแกะอาวุธออกจากหีบห่อ แต่ขาตั้งจ๋า ยังอยู่กับนายหมุกอยู่เลย แง แงเลยต้องถ่ายมุมที่พอมีแสงรอขาตั้งไปก่อน เล็งไปยังมุมเบื้องหน้าที่จะมุ่งไป ถ้ำช่วงนี้มีระยะแค่ไม่เกินร้อยเมตรเท่านั้น ช่วงกลาง ๆ ของถ้ำแสงจะต่ำ แต่ปากถ้ำทั้งสองด้านสูงมาก ทำให้แสงเข้ามาจนมองเห็นทางโดยไม่ต้องพึ่งไฟฉาย
ขาตั้งมาแล้ว แต่กว่าจะปรับถ่ายได้ เขาก็จะไปกันต่อแล้ว เลยได้มาแค่สามรูปสำหรับช่วงถ้ำนี้ปีนกันอีกรอบ การมีกล้องนี่มีภาระจริงนะ (นึกในใจ ไม่กล้าบ่นออกไปจริง กลัวโดนตอกกลับว่าแล้วเอามาทำไม) ทางก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไร ก็ตะกายกันไป
ผ่านน้ำอีกหน คราวนี้พอพ้น ขาตั้งไม่ห่างเจ้าของเลยได้ชักภาพอย่างทันใจ เป็นส่วนของ dropery (หวังว่าคงเขียนไม่ผิดนะ) ขนาดยักษ์ เห็นในรูปนะ ใครจะรู้ว่าทั้งแผ่นผนังถ้ำเลยนะ ใหญ่ขนาดสามสิบคูณยี่สิบเมตรได้มั้ง เบ้อเริ่มเลยหละเดินไต่เขามาจนเริ่มเหนื่อยอีกหนก็มาถึงช่วงสุดท้ายก่อนพ้นอาณาเขตถ้ำนกนางแอ่น มองทะลุจากช่องโพรงถ้ำสวยทีเดียว ได้รูปเพิ่มมาอีกหลาย
ลงน้ำอีกแล้ว ที่จริงช่วงสุดท้ายนี้ไม่ต้องลงน้ำก็ผ่านไปได้ แต่ควรมีสัญชาติญาณเลียงผามากๆ หน่อยเพราะทางเดินสูงจากพื้นน้ำที่ผมลอยคอไปน่าดู แถมทางเดินก็แคบๆ เล็กๆ อีก พี่เจ้าหน้าที่หลายคนก็ไปทางบก แต่ทุกคนที่มาใหม่ สมัครใจลงน้ำเรียบวุธทุกคน (สบายกว่ากันเยอะเลย)ระยะประมาณร้อยเมตรสุดท้ายนี้ ผมนอนลอยตัวปล่อยไหลไปตามน้ำ ชมหินงอก (stalacmite), หินย้อย(stalactite), หินไหล (flowstone) ที่วิจิตรพิสดารที่สรรค์สร้างมาโดยธรรมชาติอย่างสบายใจทีเดียว
พอขึ้นจากน้ำครั้งนี้แล้วก็เป็นอันจบวิบากกรรมการเปียกแต่เพียงเท่านี้ เพราะจากนี้ไปเราจะเลาะปีนเขา เพื่อมุ่งสู่ถ้ำใหญ่ ถ้ำอีกแห่งที่น่าสนใจในอุทยานแห่งนี้สรุปว่าถ้ำนกนางแอ่นนี้มีถึง 6 karst window คณะเราผ่านไปแค่เพียง 3 เท่านั้น แต่ก็พบสิ่งสวยงามใหญ่โตไปโข หากใครจะเก็บให้ครบต้องทำใจ และกายให้พร้อมกว่านี้ เพราะบางตอนอาจต้องล่องน้ำในถ้ำเป็นระยะทางกว่าสามกิโลเมตร คิดแล้วเอื๊อกครับผมแต่ละ karst window คั่นด้วยถ้ำที่มีธารน้ำไหลผ่านทั้งหมด ระยะของถ้ำสั้นยาวแล้วแต่ช่วง ส่วนที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวคือช่วงที่ผมผ่านเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ไป เพราะโอกาสเกิดอันตราย
จากการไปมีสูง น้ำในถ้ำลึกตื้นไม่เท่ากัน ส่วนมากไม่ลึกนัก คนพอหยั่งถึง แต่ควรสวมชูชีพเสมอเมื่อลงน้ำ เพราะน้ำเย็นมาก และควรสวมหุ้มส้น เพราะใต้น้ำคือส่วนมากเป็นหิน แต่เป็นเลนก็มีนะไฟฉายไม่จำเป็นนัก เพราะทุกช่วงที่ผ่านแสงส่องถึงเกือบหมด เห็นทางเดินตลอด....
ผมเดินบนหินสลับดินขึ้นเขา โดยเลาะป่าและลำคลองงูไปเรื่อยๆ จนมาพบโพรงสุดท้ายที่ลำคลองงูมุดหายไป อันถือเป็นจุดสิ้นสุดเขตของถ้ำนกนางแอ่นพี่เจ้าหน้าที่นั่งรออยู่ เพราะต่างคนต่างเดิน ทำให้ทิ้งระยะกันพอสมควร ขึ้นเขาเลยครับท่าน เดินไปพักเหนื่อยไปเลยผมจนมารวมตัวกันอีกครั้งก่อนเข้าถ้ำใหญ่ พี่ต้นบอกว่าให้วางของไว้ตรงนี้ได้เลย เพราะลงไป แล้วเดี๋ยวก็ขึ้นมา
ที่นี่ก่อนกลับไปที่รถแต่ถ้าวางกล้อง ก็ไม่รู้เอามาทำไมนี่พี่ ผมนึกในใจก่อนไม่วางอะไรสักอย่างเดินตามพี่เขาไปปากถ้ำคงกว้างไม่ต่ำกว่าร้อยเมตรได้ (ใหญ่สมชื่อ) ส่วนความสูงกะได้ยากเพราะดินตั้งแต่ปากถ้ำจะเป็นslope ชันลงเข้าสู่ตัวถ้ำ ทำนองทางลงรถไฟใต้ดิน แต่คะเนก็ไม่น่าต่ำกว่ายี่สิบเมตร ส่วนจุดลึกสุดของส่วนที่ลาดลงถึงเพดาน คงไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตรเห็นจะได้
"ข้างในถ้ำ หลังเหลี่ยมมุมข้างหน้า จะเป็นสันทรายที่สูงมาก และตรงนั้นจะเป็นห้องโถงที่ใหญ่กว่าปากถ้ำนี่อีก เขาว่ากันว่าใครเข้าไปยืนตรงยอดสันทรายแล้วมองไปข้างหน้า จะรู้สึกเวิ้งว้างดุจอยู่ในอวกาศเพราะความใหญ่โตของโถงแห่งนี้เลยทีเดียว" พี่ต้นบรรยาย แต่ไม่มีใครจะขยับตัว ก็เหนื่อยได้ที่แล้ว กระดิกไม่ค่อยออก(หายซ่าส์) เลยได้แต่จินตนาการถึงความมโหฬารผ่านทางความคิดเท่านั้น
นอกจากนี้พี่หนุ่มยังบอกด้วยว่า ถ้ำนี้เป็นที่รู้จักของชาวบ้านแถบนี้เป็นอย่างดี และมีคนเดินทางผ่านถ้ำนี้บ่อยกว่าถ้ำนกนางแอ่น (ตอนหลังจึงถึงบางอ้อ เพราะเดินอีกไม่นานก็มาถึงทางคนเดินได้ ทางไม่ลำบากนี่เอง)เรียกได้ว่าถ้ำนี้เป็นจุดแวะเที่ยวอีกแห่งของแถบนี้ก็ว่าได้ที่นี่ก็มีพืชเรียงแสงเหมือนกัน หมอหนิงหนึ่งในทีมบอกว่า ไม่น่าใช่มอสเพราะไม่ใช่พืชใบเลี้ยงเดี่ยว ผมก็ได้แต่ฟังเพราะข้าน้อยด้อยวิชาในเรื่องนี้
ยืมชมความยิ่งใหญ่ทางธรรมชาติแห่งสุดท้ายของวันจนพอมีแรงกลับคืน ก็ชักชวนกันเดินกลับรถลากสังขารอันอ่อนเปลี้ย ขึ้นจากถ้ำใหญ่ ไปเรื่อยๆ ก็มาหยุดรอพลพรรคตรงจุดแรกที่เคยเป็นหน่วยเก่า
"รู้รึเปล่า? ว่าจุดนี้นะเป็นหลังคาของถ้ำใหญ่นะ" พี่ต้นเอ่ยขึ้นมาเหมือนจะเป็นคำถาม
"เขารู้ได้ยังไงน่ะพี่ สงสัยจัง" ผมถามบ้าง
"คณะที่เคยมาสำรวจใช้ระบบ GPS ตรวจสอบน่ะ" เป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
หลังจากนับคนกัน ปรากฏว่าหมอหนิงหายไปหนึ่งคน ทำให้ต้องไล่เลียงกันยกใหญ่ว่าคลาดสายตากันไปตอนไหน ผมไม่ได้เป็นคนเห็นคนสุดท้าย แต่รู้ว่าพี่เขาเดินตามหลังผมมา ก็ช่วยกันคิดว่าน่าจะอยู่ที่ไหน แต่พี่หนุ่มสิตกใจจนต้องรีบลงไปหาอีกรอบทันที
ไม่นานนักก็ทราบว่าหมอหนิงเดินตามพี่เจ้าหน้าที่อีกคนขึ้นมาตรงจุดนี้นานแล้ว โดยไม่ได้แวะไปที่ถ้ำใหญ่ทำเอาทุกคนหายใจได้คล่องปอดเหมือนเดิมอีกครั้ง โดยเฉพาะกับพี่หนุ่มเดินกลับย้อนทางเดิมที่มาเมื่อเช้า พอเริ่มหมดแรง (รอบที่เท่าไรก็ไม่รู้) ก็ถึงรถพอดี ได้เสบียงจากพี่ๆ ที่เตรียมมาหน้าก็ใสขึ้นมาได้บ้างนอกจากคนจะกินขนมและน้ำแล้ว ก็มียุงกับผึ้งมาผสมโรงด้วย ทำให้ต้องรีบออกรถกลับที่ทำการกันโดยเร็วแต่ดูเหมือนเรื่องลำบากในวันนี้ ยังไม่หมดง่ายๆ ยางหลังเส้นหนึ่งของรถ 4WD เกิดอ่อนกว่าที่ควรขึ้นมาอีกพี่หนุ่มเลยบอกว่าให้ย้ายบางส่วนไปอัดกันในรถตู้ก่อน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยมาถึงที่ทำการก็เกือบมืดแล้ว สุขใจแต่เหนื่อยกาย ก็กลับมานั่งคุยกับตามเคยก่อนหม่ำมื้อเย็นร้อนๆที่แสนอร่อย
|