WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


นานาสาระเพื่อสุขภาพ
RedMachine067
จาก Red Machine 067
IP:125.25.24.59

พฤหัสบดีที่ , 14/5/2552
เวลา : 16:54

อ่านแล้ว = 11478 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 1
      

fiogf49gjkf0d
ล้างพิษ.............ด้วย "บรอกโคลี".............

บรอกโคลี ประกอบไปด้วย สารซัลโฟราเฟน ที่ช่วยชําระล้างสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะบรอกโคลีต้นอ่อนที่มีอายุเพียง 3 วัน จะมีสารชนิดนี้อยู่มากถึง 50 เท่าของต้นที่โตเต็มวัย สารนี้ยังพบมากใน กะหล่ำปลีอีกด้วย .............หันมากินผ้กกันหรือยังขอรับ พี่น้อง


คม ชัด ลึก หน้า 22 วันที่ 12/5/52





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.24.59 พฤหัสบดี, 14/5/2552 เวลา : 17:03  IP : 125.25.24.59   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81625

คำตอบที่ 2
      

fiogf49gjkf0d
แล้วกินอะไรครับ เรื่องที่ว่ากล้วยๆ จะได้ไม่กล้วย เหมือนที่คนเราพูดกันบ่อยๆ
อะไรก็กล้วยๆ กล้วยไปหมด แต่เวลาทำเข้าจริงมันไม่กล้วยอย่างที่คิด.น่ะเจ้านาย
เฮ้อ...อะไรก็กล้วย




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก เฒ่าเหลาตอก Champ064 203.146.136.94 พฤหัสบดี, 14/5/2552 เวลา : 17:07  IP : 203.146.136.94   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81626

คำตอบที่ 3
      

fiogf49gjkf0d
...........รู้เวลาหม่ำกันหน่อยน่ะ.......

เริ่มจากตื่นนอนควรจะรอสัก 1-2 ชั่วโมง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เพื่อให้ระบบย่อยตื่นตัว ซึ่งมื้อเช้านี้ควรทานให้อิ่ม มื้อกลางวันกินปานกลาง ส่วนมื้อเย็นกินเพียงเล็กน้อย และควรกินอาหารอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้ระบบย่อยอาหารเผาผลาญได้อย่างมีประสิทธิภาพ...............


คม ชัด ลึก หน้า 22 วันที่ 13/5/52





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.24.59 พฤหัสบดี, 14/5/2552 เวลา : 17:08  IP : 125.25.24.59   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81627

คำตอบที่ 4
      

fiogf49gjkf0d
สา..สา..ธุ..ธุ..ทันนน..มอออ..





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก Champ 106 118.174.102.65 พฤหัสบดี, 14/5/2552 เวลา : 20:30  IP : 118.174.102.65   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81631

คำตอบที่ 5
      

fiogf49gjkf0d
4 กลีบก็พอ หลายสํานัก บอกว่า "กระเทียม" ช่วยลดการเกิดคลอเรสเตอรอลของตับและลดไขมันเหลว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และเราจะรับประทานกระเทียมเท่าไรดีหล่ะ ปริมาณที่เราควรจะได้รับในแต่ละวันคือ 4 กลีบ จะเป็นแบบปรุงสุกหรือดิบก็ไม่ว่ากัน .................แต่กระเทียมเจียวไม่เข้าข่ายน่ะจ๊ะ









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.68.172 ศุกร์, 15/5/2552 เวลา : 11:22  IP : 125.25.68.172   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81632

คำตอบที่ 6
      

fiogf49gjkf0d
................ไวน์แดงเท่านั้น..................

ไวน์เป็นตัวช่วยสร้างไขมันชั้นดี (ไขมันที่มีประโยชน์) และทําให้เซลล์เม็ดเลือดมีความหนืดน้อยลง ทั้งยังลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 3 เท่าซะด้วย การจะดื่มให้มีประโยชน์ ควรดื่มวันละ 1/2 แก้ว 150 ซีซี (จะพอไหมเนี่ย) และควรเป็นไวน์แดง ดื่มมากกว่านั้นจากประโยชน์จะกลายเป็นโทษแทน ................

คม ชัด ลึก หน้า 21 วันที่ 19/5/52





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.38.5 อังคาร, 19/5/2552 เวลา : 10:19  IP : 125.25.38.5   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81662

คำตอบที่ 7
      

fiogf49gjkf0d
......................เพิ่ม ORAC กัน.......................

นักวิจัยแห่ง Tuffs University ในบอสตันคิดค้นหน่วยที่ใช้วัดปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการบริโภคผักและผลไม้ชนิดต่างๆๆ ในแต่ละวัน เรียกว่า ORAC (Oxygen Radical Absorbency Capacity) โดยกำหนดให้ค่า ORAC ที่ร่างกายควรได้รับต่อวันคือ 3,500-6,000 หน่วย ซึ่งค่า ORAC จะมีมากในลูกพรุน ผักโขมสดและลูกสุก ลูกเกด ผลไม้ตระกูล เบอร์รี่ ลูกพลัม บรอกโคลี่ คงได้เวลาหาของเหล่านี้มาหม่ำได้แล้วเด้อ....................


คม ชัด ลึก วันที่ 20/5/52 หน้า 21





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.80.14 พุธ, 20/5/2552 เวลา : 10:03  IP : 125.25.80.14   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81682

คำตอบที่ 8
      

fiogf49gjkf0d
วันนี้ท่านกินผักทุกมื้อหรือยัง

วันนี้ท่านลดของทอด..ของมันๆๆ...ได้หรือยัง

วันนี้ท่านลดแอลกอลฮอลล์ลงบางหรือไม่.

วันนี้ท่านได้เริ่มทานปลามากขึ้นหรือยัง

วันนี้มีผลไม้ในตู้เย็นหรือเปล่า

วันนี้สุขภาพท่านเป็นยังไง

วันนี้และวันไหนๆๆถ้าเพื่อนๆๆเริ่มหันมาออกกำลังกายแล้วไซร้....สุขภาพต้องกลับมาดีแน่ๆๆเลย จะได้มีเรียวแรงออกทริปไปทำบุญกันน่ะซิบ่ให้





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.80.83 พฤหัสบดี, 21/5/2552 เวลา : 09:40  IP : 125.25.80.83   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81712

คำตอบที่ 9
      

fiogf49gjkf0d
................น้ำนมแม่แก้สนเท้าแตก........................

เริ่มแรกต้องต้มนมสดหนึ่งถ้วยให้เดือด เติมน้ำมะนาวกับกลีเซอรีนหนึ่งช้อนชาลงไป คนให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้ให้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นล้างเท้าให้สะอาด แล้วนำส่วนผสมนี้มาทาให้ทั่วส้นเท้าก่อนเข้านอน แล้วก็ใส่ถุงเท้าผ้าฝ้ายทับ ตื่นเช้ามารับรองเลยว่าอาการส้นเท้าแตกจะดีขึ้น แถมยังทำให้เท้านุ่มขึ้นด้วย .....ไปลองดูกันเด้อ สิ...บอก..ให้


คม ชัด ลึก วันที่ 22/5/52 หน้า 21





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.27.46.15 ศุกร์, 22/5/2552 เวลา : 10:30  IP : 125.27.46.15   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81735

คำตอบที่ 10
      

fiogf49gjkf0d
คำตอบที่4 กินแล้วหมดแรง ฮิฮิ 555



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก champ 114 124.121.123.81 ศุกร์, 22/5/2552 เวลา : 19:25  IP : 124.121.123.81   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81739

คำตอบที่ 11
      

fiogf49gjkf0d


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ
จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น
แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...
เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่
เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.250.129 จันทร์, 25/5/2552 เวลา : 15:23  IP : 125.25.250.129   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81913

คำตอบที่ 12
      

fiogf49gjkf0d
เห็นสุภาพสตรีหลายคน ที่อายุมากแล้ว หันมากินแคลเซียมเม็ดกัน ก็เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
เพื่อให้หายข้องใจ ผู้เขียนจึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ

นพ.กฤษดา อธิบายว่า แคลเซียมเม็ด ทำมาจากหินปูนชนิดกินได้ นั่นก็คือ แคลเซียมคาร์บอเนต โดยแคลเซียมเม็ดนี้มักมีสิ่งที่นิยมใส่ร่วมด้วย คือ บางชนิดทำจากแคลเซียมร่วมกับกรด เช่น แคลเซียม ซิเตรท ซึ่งจะดูดซึมได้ดีกว่าชนิดหินปูนคาร์บอเนต หรือใส่วิตามินซีกับวิตามินดีร่วมไปด้วย โดยเฉพาะแบบเม็ดฟู่ แต่ต้องระวังในคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร

ส่วนแคล เซียมแบบที่ควรระวัง คือ แคลเซียมเม็ดราคาถูกมาก เพราะอาจทำมา จากกระดูกวัวควายป่น ซึ่งอาจได้ของแถมเป็นสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนักอื่น หรือทำ มาจากหินปูนจากภูเขา ซึ่งร่างกายไม่สามารถ ดูดซึมได้ อาจสะสมให้เกิดนิ่วหรือกินเข้าไปเป็นเม็ดก็ยังถ่ายออกมาเป็นเม็ดได้เหมือนเดิม

มีงานวิจัย ชี้ว่า แคลเซียมจากอาหารสดจะช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ แต่ถ้าเป็นแคลเซียมเสริมกินมากไปควรระวังการจับตัวเป็นนิ่วในไตได้

เคล็ดสำคัญในการกินแคลเซียมมีดังนี้ 1.อย่ากินร่วมกับผักที่มีผลึกออกซาลิก มาก เพราะจะทำให้เกิด นิ่ว เช่น ใบชะพลู ขึ้น ฉ่าย ยอดมะม่วงอ่อน 2.ถ้าเป็นแคลเซียมเม็ดขอให้แบ่งกินเป็น 2 มื้อจะ ดูดซึมได้ดีกว่ากินพร้อมกัน ในคราวเดียว ยกเว้นถ้าวันใดกินอาหารอุดมแคลเซียม อยู่แล้วก็กินแคลเซียมเม็ดเพียงมื้อเดียวก็พอ

ผู้ที่ควรกินแคลเซียม คือ 1.ผู้ที่กินอาหารสดไม่พอ โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย 2.ผู้ที่ มีการใช้แคลเซียมเยอะมากกว่าปกติ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่อย่างนั้นอาจถูกลูกแย่งแคลเซียมจนฟันผุ หรือคน ที่มีปัญหาต่อมไร้ท่อทำให้มีการดึงแคลเซียมออกจาก กระดูกมากกว่าปกติ 3.ผู้ที่เข้าวัยทอง เพราะมีโอกาสกระดูกพรุนสูงมาก โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสันหลังบั้นเอว ข้อตะโพกและข้อมือ 4.ผู้เสี่ยงกระดูกพรุน เช่น คนที่ผอมบางกระดูกเล็ก คนสูบบุหรี่ มีประวัติครอบครัวเป็นกระดูกพรุน

ส่วนคนที่ไม่ควรกิน คือ 1.คนที่มีปัญหาเรื่องขับแคลเซียมออกไปไม่ได้ เช่น คนที่เป็นโรคไต 2.คนที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เพราะแคลเซียมที่เกินอาจไปเกาะเป็นตะกรันหลอดเลือดหัวใจทำให้แข็งแต่เปราะและตีบตันง่าย 3.คนที่มีปัญหาเรื่องแคลเซียมสะสมตามตัว เช่น มีกระดูกงอกหรือเป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะ

สำหรับการกินแคลเซียมต่อวัน แบ่งตามวัยเป็น 3 ช่วง ดังนี้ 1.วัยเด็ก วันละ 200-500 มิลลิกรัม 2.วัยผู้ใหญ่ วันละ 1,000 มิลลิกรัม 3.วัยทองกับสตรีมีครรภ์ วันละ 1,200 มิลลิกรัม

ถ้ากะประมาณก็กินราว 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดจนเกินไป เพราะลำพัง เรากินอาหารถ้าได้ปริมาณที่เหมาะสมดังที่บอกก็จะเพียงพอมากแล้ว หรือถ้าท่านกินแคลเซียมเม็ดอยู่แล้วกลัวว่าจะได้เกินไป ก็ขอให้กินแคล เซียมเม็ดเพิ่มอีกเพียงเม็ดหรือครึ่งเม็ดก็พอ

สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมเยอะ หากคนที่ไม่มีเงินพอซื้อแคลเซียมเม็ดกิน เช่น แกงคั่วหอยขม ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม อึ่งแห้ง เขียดย่าง หมกปลาแก้ว แจ่วปลาร้า และกุ้งชุบแป้งทอด โดยพบว่า ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม หมกเคย กุ้งฝอยชุบแป้งทอด จะมีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 393.6-915.3 มก. ต่อ 100 กรัม เรียกว่ากินแค่ 1 ขีดก็ได้แคลเซียมพอ ๆ กับกินแคลเซียมเสริม 1 เม็ดเลยทีเดียว

วัตถุดิบอาหารแคลเซียม ที่เลือกกินง่ายแบบไทย ๆ นอกจากที่เราเคยรู้มีดังนี้ 1.งาดำ รับประทานให้ได้ราว 2 ช้อนโต๊ะต่อวันจะได้แคลเซียมเกือบเท่ากับแคลเซียมเสริมทั้งเม็ดเช่นกัน 2.พริก กระถิน ใบยอ กะเพราโหระพา กระเจี๊ยบ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ปวยเล้ง คะน้า เหล่านี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีแต่มักถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นผัก ให้กินวันละอย่างน้อย 3 ทัพพีร่วมกับอาหารแคลเซียมชนิดอื่น โดยเฉพาะพริกนั้น การกินพริกป่นวันละ 1-2 ช้อนชาได้แคลเซียมถึง 1 ใน 3 ของที่ต้องการต่อวัน 3.กะปิและกุ้งแห้ง 4.เต้าหู้ แต่ขอให้เลือกชนิดแข็งเช่นเต้าหู้ขาวแข็งจะดีกว่าแบบนิ่ม เพราะผ่านกระบวนการที่ช่วยเติมแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการใส่ เจียะกอ ซึ่งก็คือ ยิปซัม หรือแคลเซียมซัลเฟตนั่นเองครับ จึงทำให้เต้าหู้ชนิดนี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีมากครับ 5.นอกจากนั้นยังมีมากใน โยเกิร์ต และชีส ไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะส่วนใหญ่เป็นโปรตีน แต่ถ้าเนยจะเป็นไขมัน

อย่างไรก็ตาม การกินแคลเซียมอย่างเดียวอาจทำให้ท้องผูกได้ เคล็ดลับ คือ ต้องกินร่วมกับ แมกนีเซียม ซึ่งได้จากผักและผลไม้ จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้แคลเซียมเม็ดมักเติมแมกนีเซียมไปด้วย.



นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.250.129 จันทร์, 25/5/2552 เวลา : 15:26  IP : 125.25.250.129   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81914

คำตอบที่ 13
      

fiogf49gjkf0d
กินดี...บทรักก็ดีด้วย
มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี หรือ "กินได้กินดี"
เรื่อง: กฤตยกร แสงขาว
มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี กินได้กินดี หรือกินบ้านกินเมือง โอ๊ะ! อันหลังคงไม่ดีแน่ เราอย่าไปสนใจมันเลย
มาเรื่องของเราดีกว่า จะเห็นได้ว่าระยะ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้ กระแสการกินเพื่อดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นว่าแทบทุกร้านอาหารมักจะชูประเด็นสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพ ว่ามีสรรพคุณช่วยในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรื่องอาหารจะว่าเป็นแฟชั่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแฟชั่นมาเร็วไปเร็ว เปลี่ยนแปลงบ่อย แต่กับกระแสการกินเพื่อสุขภาพนั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นและคงอยู่ได้นาน


และในหลายๆ สรรพคุณของอาหารนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงให้ความสนใจ ก็คือสรรพคุณในเรื่องสุขภาพทางเพศนั่นเอง อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์เราให้ความสนใจมาแต่โบราณแล้ว ลองมาดูกันครับว่า มีอาหารอะไรบ้างที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพทางเพศ ซึ่งบางอย่างก็เป็นแค่อาหารพื้นๆ ธรรมดา ที่เราๆ ท่านๆ อาจนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
อย่างแรกที่อยากแนะนำคือ กล้วย ผลไม้พื้นบ้านธรรมดาที่หาได้ง่ายๆ ตามตลาดและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อย่าดูถูกเจ้าผลไม้ดึกดำบรรพ์ผลสีเหลืองสวยนี้เป็นอันขาดเชียวนะ เพราะนอกจากแป้งและน้ำตาล ที่ให้พลังงานอย่างดีแล้ว กล้วยนั้นยังมีคุณประโยชน์ในเรื่องเซ็กส์ มากอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ในผลกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท นอกจากนี้แล้วโปแตส
เซียม ยังมีส่วนในเรื่องช่วยการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตให้เป็นปกติด้วย
นอกจากนี้แล้วกล้วยยังเป็นที่รวมของวิตมินบี 6 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ของสารสื่อประสาทในสมองช่วยให้สมองสั่งการได้ดีขึ้น
กล้วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวย ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ความเครียด ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลทำให้เรื่องบนเตียงกับคนรักของคุณราบรื่นอีกด้วย
กลับมาจากที่ทำงานหรือออกไปเผชิญรถติดนอกบ้าน ลองรับประทานกล้วยสดแช่เย็นสักผล หรือจะสร้างสรรค์ทำเป็นเครื่องดื่มกล้วยปั่นเย็นๆ ซักแก้ว แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างง่ายๆ เลยทีเดียว แต่ระวังเรื่องนมกับน้ำเชื่อมเพิ่มแคลอรีในมื้อเย็นนะครับจะกลายเป็นอ้วนไป
ต่อมาคือ มะเดื่อ ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณนั้น เชื่อกันว่ามะเดื่อ เป็นอาหารที่เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมาก ซึ่งจากความเชื่อนี้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ในมะเดื่อนั้นมีสารไนอะซีนอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าสารไนอะซีนตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งไนอะซีนมีสารเคมีสองชนิดคือ กรดนิโคตินามิก และทริปโทแฟน เป็นวิตามินที่เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งไฮโดรเจน การลดปริมาณโคเลสเตอรอล ซึ่งทำให้ไนอะซีนเป็นสาระสำคัญ ในการช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
ยัง...ยังไม่หมดแค่นั้นนะ อย่าดูถูกผลไม้ลูกเล็กๆ นี้เป็นอันขาด เจ้ามะเดื่อยังมีสาระสำคัญอีกอย่างนึงก็คือ แมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ (แน่นอนครับรวมถึงฮอร์โมนเพศด้วย) และยังช่วยในเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย
ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลากิจกรรมของคุณกับคู่รักอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณผู้ชายที่ต้องการเลือดไปเลี้ยงเจ้าหนูคู่กาย หรือแม้แต่เมื่ออัตราการหายใจที่ทั้งเร่ง เร็ว และแรง ในขณะที่ปฏิบัติการก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการหายใจไม่ทัน หรือหมดแรงสู้กระทันหันอีกต่อไป
หน่อไม้ฝรั่ง ผักชนิดนี้เรารู้จักกันเป็นอย่างดี หาซื้อง่าย เป็นส่วนประกอบในอาหารประจำวันของคนไทย นอกจากความอร่อยแล้ว คุณประโยชน์ในด้านสมรรถภาพทางเพศทำให้มองข้ามไปไม่ได้เลย เพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีสารไนอะซีนซึ่งเหมือนกับมะเดื่อ และที่สำคัญโดยเฉพาะสำหรับคุณผู้ชาย คือ สารกลูตาไธโอน ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดในแง่ทำให้ผิวขาว แต่ในหน่อไม้ฝรั่งนั้น สารกลูตาไธโอนจะทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซีช่วยให้เสปิร์มตื่น คือทำให้เสปิร์มมีความตื่นตัวมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติการกระทั่งสู่การปฎิสนธิ
ที่นี้คุณผู้ชายทั้งหลายหรือแม้แต่คุณภรรยาที่บ้าน ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเจ้าผักฝรั่งสัญชาติไทยตัวนี้กันมากขึ้นแล้วนะครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ความเครียดทั้งจากการทำงานและสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน หรือแม้แต่ความร้อนจากการอบลูกอัณฑะอยู่ในกางเกงเป็นเวลานานๆ ล้วน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปริมาณและคุณภาพของเสปิร์มลดถอยลงเป็นอย่างมาก
ถั่วบราซิล อันนี้อาจไม่คุ้นเคยซักเท่าไหร่ แต่เจ้าถั่วเม็ดจิ๋วนี้มีความพิเศษอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เพราะ ในถั่วบราซิลนั้น อุดมไปด้วยสารเซเลเนียม ซึ่งถือกันว่าเป็นแหล่งของเซเลเนียมชั้นยอดเลยทีเดียว
สารเซเลเนียมนี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เสปิร์มของคุณผู้ชายแข็งแรง และว่ายน้ำได้เร็วขึ้น โดยมีรายงานกล่าวอีกว่ายังช่วยเพิ่มจำนวนเสปิร์มให้มากขึ้นได้ด้วย นั่นหมายถึงโอกาสการมีลูกสูงขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วในถั่วบราซิล ยังมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวของเจ้าเสปิร์มแข็งแรง และหลุดรอดจากการทำลายของอนุมูลอิสระภายในร่างกายของเราด้วย อันนี้ก็นับเป็นข่าวดีของคุณผู้ชายทั้งหลาย ที่คิดว่าเริ่มมีปัญหาหรือมีความเสี่ยงที่จะมีเจ้าตัวเสปิร์มน้อย ทางเลือกในการการบำรุงด้วยถั่วบราซิลก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว
แครอท ไม่มีใครไม่รู้จัก ก็อย่างที่รู้ๆ กันก็คือ แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งแล้ว เจ้าสารเบต้าแคโรทีนนี้ ยังมีส่วนช่วยเรื่องเซ็กส์ด้วย ทั้งชายและหญิง
สำหรับผู้ชายนั้นสารเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยให้ตัวเสปิร์มมีปริมาณมาก และแข็งแรงขึ้น สำหรับผู้หญิง เจ้าสารตัวนี้มีส่วนในการเสริมสร้างฮอร์โมนเพศตัวสำคัญ คือ โปรเจสเตอโรนทำให้สภาพผนังมดลูกมีความเหสมะสมในการฝังตัวของไข่ เห็นสรรพคุณแล้วเรียกได้ว่าได้ประโยชน์หลายสถานจริงๆ แถมกินได้ทุกเพศทุกวัน ไม่จำกัดจำนวน และไม่ต้องห่วงแคลอรีด้วยครับ
แอปพลิคอท มีขายตามซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ เป็นลูกสีส้มๆ กลมๆ นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ในการบำรุงสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้หญิงอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
สาวๆ ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาว และวางแผนที่จะเป็นแม่คนในเร็ววันอ่านไว้นะครับ แอปพลิคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารสองตัวนี้ส่งผลให้ผู้หญิงเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิได้สูงขึ้น คือคุณจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะสารทั้งสองตัวนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้ร่างกายพร้อมรับการตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น
ถ้าร่างกายขาดแมงกานีส หรือได้รับไม่เพียงพออาจจะทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์ผิดปกติได้ ทั้งยังก่อให้เกิดประจำเดือนมาไปเป็นปกติอีกด้วย
หอยนางรม หลายคนคงพอทราบมาบ้างนะครับว่าหอยนางรม เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศเพราะมีแร่ธาตุสังกะสีสูงนั่นเอง ซึ่งสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะอาจมีผลกระทบต่อสมรรถภาพเพศได้เช่นกัน
แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจรีบสวาปามหอยนางรมเข้าไปหละครับ อ่านต่ออีกนิด... หอยนางรม นอกจากจะมีสังกะสีสูงแล้ว ยังมีโคเลสเตอรอลสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและหัวใจได้หากรับประทานมากเกินไป
นอกจากนี้จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าในหอยนางรมดิบนั้นอาจมีเชื้อโรค Vibrio Vulnificus ซึ่งมีอยู่ในแหล่งน้ำบางแห่ง ส่วนแหล่งน้ำในประเทศไทยนั้นยังไม่มีรายงานแน่นอนว่ามีการระบาดของเชื้อชนิดนี้หรือไม่อย่างไรก็ตามก็ระวังกันด้วยนะครับ เพราะถ้าอาหารเป็นพิษขึ้นมา นอกจากจะไม่ปึ๋งปั๋ง หมดเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลอีกก็เป็นได้
ปลาทะเล เป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก เพราะเป็นแหล่งโปรตีนและไขมันชั้นดีคือกรดโอเมกา 3 ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยในเรื่องสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
กรดโอเมกา 3 ในปลาทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเพศ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น
ได้ฟังประโยชน์ของโอเมกา 3 เพิ่มขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมารับประทานปลาทะเลให้มากขึ้น แทนเนื้อสัตว์อื่นๆ ดูนะครับ เพราะปลาเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รับประทานเป็นมื้อเย็นก็ดีครับ กำลังสบายท้อง
อยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศให้คุณผู้อ่านลองนำไปให้ในชีวิตประจำวันดูนะครับ
พยายามใส่ใจกับความเครียดของตัวเองและคนรักให้มากๆ เพราะเซ็กส์ที่ดีนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
อย่าลืมอีกเรื่องที่สำคัญครับ....ต้องออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3-5 ครั้งนะครับ เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น จะทำให้คุณพร้อมสำหรับปฏิบัติการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราบรื่น และที่สำคัญช่วยให้คุณจัดการความเครียดได้ง่ายๆ ด้วยครับ
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.250.129 จันทร์, 25/5/2552 เวลา : 15:29  IP : 125.25.250.129   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81915

คำตอบที่ 14
      

fiogf49gjkf0d
สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก
ในสมองของคนเรามีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนมากมายและมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิดเมื่อเรากำลังมีความรัก หนึ่งในสารเคมีเหล่านั้นคือสาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) หรือ สารแห่งความสุข หรือ สารสุข
เรื่อง: พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก
คาลิล ยิบราน


ถึงแม้ว่าจะผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก
ความรักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน
บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก
หลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียวเมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพัน กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก
สารเอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid) ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่นจึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia) และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง
สารเอ็นโดฟินส์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผลเสียต่อร่างกาย
เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุขสบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)
เมื่อสารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่าทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ในสมองมากขึ้น จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขมีการหลั่งสารเอ็นเอ็นโดฟินส์ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ
เนื่องจากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้ ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย
ในผู้ที่ติดสารเสพติดนั้น เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.250.129 จันทร์, 25/5/2552 เวลา : 15:34  IP : 125.25.250.129   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81916

คำตอบที่ 15
      

fiogf49gjkf0d
.................กล้วยช่วยคนเลิกบุหรี่................

ใครที่เลิกบุหรี่แล้ว อาจจะรู้สึกเป็นโน่นเป็นนี่ ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะร่างกายถูกอสูรร้ายจากนิโคตินทำร้ายนั่นเอง กล้วยผลไม้ไทยๆๆเป็นตัวช่วยชั้นดี เพราะ กล้วยประกอบไปด้วยวิตามีนบี 6 และ บี 12 ทั้งยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นใครที่เลิกบุหรี่ใหม่ๆๆ กระซิบให้เพื่อนกินกล้วยเสริมสุขภาพด้วยหล่ะ

คม ชัด ลึก วันที่ 28/5/52 หน้า21





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.227.147 พฤหัสบดี, 28/5/2552 เวลา : 10:17  IP : 125.25.227.147   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 81966

คำตอบที่ 16
      

fiogf49gjkf0d
ต้องขอพระอภัยมณีที่หายไปหลายเพลา วันนี้กลับมาใหม่กับของดีสำหรับสาวๆๆ

...............เยียวยาผิวหลังแวกซ์................

สาวๆๆท่านใดประสบปัญหาอาการบวมแดงหลังจากการแวกซ์ ลองละลายยาเม็ดแอสไพรินสัก 2-3 เม็ด ผสมกับกลีเซอรีน 1 หยด และน้ำสะอาด 1 ถ้วย ผสมให้เข้ากันแล้วนำมาทาบริเวณที่แวกซ์ขน หรืออาจจะทาครีมที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อด้วยก็ได้น่ะ เพียงเท่านี้ก็สามารถบรรเทาอาการบวมแดงและอักเสบของผิวได้แล้ว แต่ ...ผิวหลังการแวกซ์ไม่ควรทาโรลออนหรือฉีดน้ำหอม เพราะอาจจะเกิดรอยคล้ำหรืออาการระคายเคืองได้น่ะสิบอกให้

คม ชัด ลึก วันที่ 2/6/52 หน้า21





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.68.106 อังคาร, 2/6/2552 เวลา : 11:04  IP : 125.25.68.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82023

คำตอบที่ 17
      

fiogf49gjkf0d
ขอถามท่านอาจารย์หมอหน่อยนะครับบบบ.....ว่ามียาอะไรบ้างที่ทำให้มันหลับเวลากลางคืน.......มันไม่ค่อยหลับ มันชอบกวนก่อนนอนทุกคืน.....ฮิ ฮิ ฮิ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก กลรัอยหก 118.174.144.157 อังคาร, 2/6/2552 เวลา : 19:47  IP : 118.174.144.157   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82073

คำตอบที่ 18
      

fiogf49gjkf0d
สมัยนี้มีไม้หนีบผ้าอันใหญ่ๆๆ ลองเอามาหนีบก่อนนอนสักอันสองอันน่าจะกำหราบอยู่น่ะซิบอกให้ พี่น้องครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.73.35 พุธ, 3/6/2552 เวลา : 09:15  IP : 125.25.73.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82084

คำตอบที่ 19
      

fiogf49gjkf0d
อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ!

อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ! โดย เฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตามผลการวิจัย แผงหน้าปัทม์ (คอนโซล) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งขึ้น ( อย่างที่คุณได้กลิ่่นเหมือนพลาสติกจาง ๆ ในรถ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่" นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลดจำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาได้
ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ ในอาคาร / ในรถ คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตารางฟุต แต่ระดับของสารเบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มมีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ ( 15.5 องศาเซลเซียส " ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว" : ผู้แปล) ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินเข้าสู่ร่างกายได้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kran champ130 จาก Kran130 202.57.176.100 ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 08:09  IP : 202.57.176.100   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82112

คำตอบที่ 20
      

fiogf49gjkf0d






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.25.36.118 ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 11:54  IP : 125.25.36.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82113

คำตอบที่ 21
      

fiogf49gjkf0d
อีสานบ้านเฮา ความจริงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยของกินมากมาย กินได้แทบทุกอย่าง นับแต่ของที่อยู่ในดิน ไปจนถึงของที่อยู่บนฟ้า วิธีหาอาหารก็แตกต่างกันไป วิธีการปรุงอาหารแต่ละอย่าง แต่ละท้องถิ่นก็แตกต่างกันไป แต่อาหารทุกอย่าง ของกินทุกชนิด ล้วนแต่อร่อย ถูกปากของคนอีสานขนานแท้

เมื่อของกินแต่ละอย่าง แต่ละท้องถิ่น ล้วนแต่แซบๆ จึงขอเชิญพี่น้องทั้งหลาย ช่วยกันบันทึกของกินอีสานทั้งหลายไว้ เป็นข้อมูล เป็นประวัติ ให้คนทั้งหลาย ได้ทราบโดยทั่วกัน

เชิญพ่อครัว แม่ครัว และนักชิมทั้งหลาย บรรเลงฝีมือ ได้แล้วครับ...






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก 142 125.27.59.185 อังคาร, 9/6/2552 เวลา : 13:00  IP : 125.27.59.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82163

คำตอบที่ 22
      

fiogf49gjkf0d
ไข่มดแดง เป็นอาหารตามฤดูกาลที่ เป็นสุดยอดของอาหารอีสานอีกชนิดหนึ่ง ที่ว่าเป็นสุดยอด กะเป็นสุดยอด ทั้งด้านรสชาติ ด้านคุณค่าทางโภชนาการ สุดยอดในเรื่องการอยู่สูง อยู่เทิงยอดไม้ แต่ด้านความสูง ไข่มดแดงกะยังบ่สุดยอดอีหลี อาหารอีสานที่สูงสุดยอดอันดับหนึ่งอีหลีกะคือ แกงยอดตาล

ไข่มดแดงที่เฮาได้กินกันนี่ กะเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง มดแดงโตน้อยๆบัดไข่บักใหญ่ แต่บัดคน ผู้บักใหญ่ ใข่บัดน้อยๆ ไข่มดแดง ที่เฮาฮู้จักกันดี มีอยู่ 2 ชนิด นำกัน กะคือ ไข่ผาก กับไข่ใหญ่ ที่เฮากินนี่หละ

-ไข่ผาก ไข่ผาก เป็นไข่มดแดงชนิดหนึ่ง ที่มดแดงไข่ออกมาเพื่อเจริญเติบโต เป็นมดแดง ออกลูกแพร่หลาน เป็นโตมดแดง ไข่ผากส่วนใหญ่มดแดงจะออกอยู่เหมิดปี แต่บ่เป็นที่นิยมแหย่มากิน เพราะไข่มันน้อย เลือกออกจากแม่มดแดงกะยาก ที่นิยมกะคือแหย่ มาใส่ต้มปลาค่อใหญ่ยามสาปลา ต้มปลาใส่มดแดงพร้อมไข่ผาก

ไข่ผาก เวลาเจริญเติบโตต่อไป สิกลายเป็นโตมดแดง หรือบางไข่กะสิไปเป็นโตดำๆมีปีกนำ ถ้าแหย่ไข่มดแดง ได้โตดำๆมีปีกนำ ให้เลือกออก มัน ขิว

-ไข่มดแดงอีกชนิดหนึ่ง กะคือ ไข่มดแดงใหญ่ เป็นไข่ใหญ่ๆ ที่เฮาฮู้จักกันดีนี่หละ ไข่ใหญ่ จะมีขนาดใหญ่กว่าโตมดแดง แล้วกะบ่เจริญเติบโตไปเป็นมดแดงนำ ไข่ชนิดนี้จะเจริญเติบโตไปเป็น แม่เป้ง ซึ่งแม่เป้งจะเป็นมดแดงในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งสามารถบินได้ การบินได้ เป็นกลไกอย่างหนึ่งที่เฮ็ดให้ มดแดงบ่ดับแนว บ่สูญพันธุ์ เพราะแม่เป้ง เมื่อใหญ่เต็มตัว มันสิบินหนีจากฮัง บินไปไกลจนกว่าแฮงสิเหมิด ไปสู่ต้นไม้ต้นอื่น แล้วแม่เป้งกะสิออกไข่ แล้วได้ลูกเป็นมดแดงอีกทีหนึ่ง เฮ็ดให้ออกลูกแพร่หลานต่อไป ก่อนมันสิตาย ด้วยเหตุนี้เอง เฮ็ดให้มดแดงขยายอาณาจักรไปได้ไกล

มดแดงนั้น เฮานำมาเป็นอาหาร ได้ทุกช่วงอายุ ของวงจรชีวิต

-โตมดแดง เอามาตำใส่กล้วยดิบ หรือตำใส่บักจันทร์ หรือตำใส่แนวฝาดๆนั่นหละ หรือว่าสิเอาไปต้มใส่ปลา เป็นต้มส้มมดแดง กะได้

-ไข่ผาก เอามาก้อยมาแกง มาต้ม ได้

-ไข่ใหญ่ ที่เฮานิยมกินกัน เอามา ต้ม ผัด แกง ทอด ได้เหมิด หรือสิก้อยกินเลย แฮ่งแซบ

-แม่เป้ง เอามคั่วกิน มันดี แต่เวลาคั่ว ให่เทน้ำที่ส้มๆมันออกก่อน แล้วค่อยคั่วต่อไป มันจั่งบ่ส้มโพด หรือผู้ได๋มักส้มๆกะบ่เทออกกะได้ หรือเอาสิเอาแม่เป้ง มาแกงใส่หน่อไม้ ใส่อ่อมหวาย กะได้คือกัน

เอาไว้ส่ำนี่ก่อนเนาะ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก 142 125.27.59.185 อังคาร, 9/6/2552 เวลา : 14:40  IP : 125.27.59.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82165

คำตอบที่ 23
      

fiogf49gjkf0d
ใครอึไม่ออก อ่านด่วนจ้า................

_/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/


-“ตะลึง”....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล… แล้วเป็นเพราะอะไร ???


เค๊าว่า “อุจจาระตกค้าง ” อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว
ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ

ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ


“นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล”

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น
แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ
ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน
เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา




edit on : 26/6/2552 7:02:47



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

น้าหมู Champ 012 จาก น้าหมู(Modern9) 202.142.200.250 ศุกร์, 26/6/2552 เวลา : 07:02  IP : 202.142.200.250   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82815

คำตอบที่ 24
      

fiogf49gjkf0d
เรื่องมะรุม

เมื่อเช้าดูช่อง 9 มา เรื่องมะรุม
มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง เม็ดเลือดขาวกินเม็ดเลือดแดง ( ลูคีเมีย) และปอดมีปัญหาอักเสบ ไปหาหมอ หมอก็รักษาที่ละโรค พอดีปวดฟันไปถอนฟัน หมอให้กินยาเพนนิซิลิน ดันแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเกิดอาการบวมและลามไปที่ไตเกิดปัญหา หมอต้องเริ่มรักษาใหม่ของแต่ละโรคเพราะว่ายาที่รักษาแต่ละโรค จะมีเพนนิซิลินเป็นส่วนประกอบ และหมอก็ให้เค้าเตรียมทำใจ

พอดีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเป็นชาวพม่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง เค้าต้องการหายารักษาโรค ด้วยความหวังดีเค้ามาหาข้อมูลใน internet ให้เพื่อน และรู้ว่ามะรุมมี คุณลักษณะในการช่วย เค้าเลยหาต้นมะรุม ในสหรัฐมีคนที่ปลูกมะรุมในบ้านอยู่บ้าง ซึ่งแต่ละบ้านงกมากและไม่ยอมให้ เพราะที่สหรัฐเค้ากินกันถือว่าบ้านไหนมีต้นมะรุมเสมือนมีโรงพยาบาลที่บ้าน ดังนั้น เค้าเริ่มปลูกต้นมะรุน และกินใบสดที่ใบไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป หรือไม่จะเก็บใบสดมาตากแห้ง ( ต้องมีผ้าขาวบางคลุมเพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำไป) บดให้ละเอียดใส่แค็บซูลกินทุกเช้า
มะรุมไม้กลางบ้านของไทยที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้ว ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด องค์การสหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนในการค้น
คว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในการรักษาโรคขาดอาหารและอาการตาบอดซึ่งเกิดขึ้นในเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเจริญเดิบโตในประเทศด้อยพัฒนาเช่นกลุ่มประเทศในอาฟริกาตอนใต้และประเทศอินเดีย กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทย กลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน 25 ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย
โรคงูสวัดแม้แต่กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ , เยอรมัน , รัสเซีย , ญี่ปุ่น , จีน , ก็หันมาให้ความสนใจและทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย
ประโยชน์คร่าวๆ จากวารสารค้นคว้าที่พอจะอ้างอิงได้มีดังต่อไปนี้คือ
1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไปได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง
6. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

นอกจากนี้ต้นมะรุมยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายซึ่งไม่สามารถที่จะนำมาอ้างอิงได้หมดในที่นี้ หากสนใจท่านสามารถหาอ่านได้จากเอกสารอ้างอิงกำกับท้ายเอกสารฉบับนี้
วิธีใช้
ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่
เด็กแรกเกิด - 1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก
เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ
เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก
การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช

ผล รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่พอสมควรฝักแก่จะใช้ลำบากเพราะต้องปอกเปลือกเช่นใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน มาทำแกงกะหรี่ ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน(เหมือนยำถั่วพลู)
สลัดสดใบมะรุมผักรวม ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม
แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ดอกมะรุมชุบไข่ทอด
ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอดพริกไทยกับไก่
ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ไก่อบฝักมะรุมอ่อน ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก
ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อน ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู
แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้ ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหูหนู จีน แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด
แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน(จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ)
ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนชุบแป้งเทมปุระทอด เหล่านี้เป็นต้น

เมล็ด สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใช้ทำอาหารได้ รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
เปลือกจากลำต้น นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี * ร้านขายยาจีนนำมาใช้เข้าเครื่องยาจีนรักษาโรคหลายประเภท*
กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้

ดอก ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย

ใบตากแห้ง สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวันแต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบีตลอลีนและแร่ธาตุบางจำพวกที่สูญหายในระหว่างการทำให้แห้งควรเก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขวดพลาสติกชนิดทึบเพื่ อ กั นการเสื่อมคุณภาพแต่คุณสมบัติอื่นๆ ยังคงเดิมเนื่องจากมะรุมเป็นพืชสมุนไพรกลางบ้านดังนั้นการให้ผลย่อมช้ากว่ายาแผนสมัยใหม่การที่จะใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนและต้องใช้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลเป็นที่น่าพอใจร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอคนธรรมดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคก็สามารถใช้ได้เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อต่างๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดียิ่ง
เอกสารอ้างอิง:

Nature's Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times
March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz.
WWW.PUBMED.GOV . (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University , Bangkok 10330 , Thailand . Corresponding author. Tel.: +66-2-218-8378; fax +66-2-254-5195)

' มะรุม ' เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ

ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทาง อีสาน เรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือ เรียก "มะค้อมก้อน" ชาวกะเหรี่ยง แถบกาญจนบุรีเรียก"กาแน้งเดิง" ส่วน ชาวฉาน แถบแม่ฮ่องสอนเรียก " ผักเนื้อไก่" เป็นต้น

มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ

ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา

คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง " ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก



คุณค่าทางอาหารของมะรุม

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค

ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด

โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

ใยอาหาร และ พลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์

สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม
( คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม ( 2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม ( 3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม ( 7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม ( 3 เท่าของกล้วย)

พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)

กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด

กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

scarecrow จาก Red Machine 067 221.128.120.98 พุธ, 1/7/2552 เวลา : 13:51  IP : 221.128.120.98   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 82849

คำตอบที่ 25
      

fiogf49gjkf0d
สัญญานและอาการของคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่กำลังระบาดในประเทศไทยเราในตอนนี้

_/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/ _/

สัญญานและอาการของคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก

อาการของไข้หวัดหมูในคนนั้นมีอาการคล้ายกันกับอาการของคนที่เป็นหวัดปกติ และมีอาการต่อไปนี้คือ มีไข้ ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ หนาว และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน และในอดีตมีรายงานว่าผู้ป่วยหลายคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดบวม และ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกันกับหวัด ที่ไข้หวัดหมูอาจจะแย่ลงจนต้องมีสภาพการเรื้อรัง
ผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูควรได้รับการพิจารณาถึงศักยภาพในการติดเชื้อ ระยะเวลาความยาวนานของการฟักเชื้อจนมีอาการ และความเป็นไปได้ของอาการป่วยที่ยาวนานถึง 7 วัน เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจได้รับเชื้อเป็นเวลานาน

สัญญานเติอนภัยที่จะบ่งบอกถึงการต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่ต้องสังเกตมีดังนี้
ในเด็ก หากเด็กมีอาการหายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก ผิวหนังเป็นจ้ำสีน้ำเงิน ดื่มน้ำน้อยไม่เพียงพอ ปลุกไม่ตื่น หรือไม่มีอาการตอบสนอง มีอาการงอแงไม่ยอมให้อุ้ม มีไข้เฉียบพลัน หรือมีอาหารหวัด ไออย่างรุนแรง หากมีอาการเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที ในผู้ใหญ่ สัญญานเตือนภัยที่จะต้องรีบรักษาเช่นกันคือ อาการหายใจลำบาก หรือหายใจถี่ เจ็บ แน่นหน้าอกหรือช่องท้อง วิงเวียน หน้ามืด และอาเจียนอย่างรุนแรง หรืออาเจียนเป็นเลือด หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน

โอกาสในการรับเชื้อ

การกระจายและการติดเชื้อของเชื้อไข้หวัดหมูมี 2 ทาง คือ ทางแรก เกิดจาการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ หรือการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู ทางที่สอง การเกิดจากสัมผัสระหว่างคนกับคนที่ติดเชื้อ การกระจายและติดเชื้อระหว่างคนสู่คนนั้นได้มีการมีบันทึกไว้ และ ถูกคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูที่มีไข้หวัดระบาด (Seasonal flu) สาเหตุให้ที่จะทำให้เชื้อแพร่กระจายจากคนสู่คนถือการไอ หรือจาม ของผู้ติดเชื้�จะรักษาอย่างไร?

ยาที่จะใช้รักษาอาการไข้หวัดหมูนั้น CDC แนะนำให้ใช้ตัวยา oseltamivir หรือ zanamivir (ทางที่ดีอย่าซื้อกินเอง ควรไปพบแพทย์ค่ะ...ผู้เขียน) สำหรับการบำบัดรักษา การป้องกันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสนี้ ยาต้านไวรัส (Antivirus drug) ตามคำสั่งยาของแพทย์ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาน้ำ หรือ ยาชนิดสูดดม ที่มีฤทธิ์ต้านหวัดช่วยได้โดยการป้องกันการเจริญและพิ่มจำนวนในร่างกาย (ยังคงมีไวสหลงเหลือในร่างกาย) ถ้าหากมีอาการป่วย ยาต้านไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้อาการป่วยลดลงและสามารถทำให้รู้สึกดีขึ้นเร็วขึ้น และอาจใช้ป้องกันอาการหวัดที่รุนแรงได้ สำหรับการรักษานั้นยาต้านไวรัสทำงานได้ดีที่สุดถ้าใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 2 วันแรกที่มีอาการเหมือนเชื้อหวัด..ไม่มีวัคซีนในการรักษา อย่างไรก็ตามหากการกระทำใดๆในชีวิตประจำวันที่ผู้คนสามารถใช้ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจได้ก็สามารถนำมาใช้ป้องกันเชื้อไขหวัดหมูนี้ได้


ข้อแนะนำตามขั้นตอนพึงปฏิบัติเป็นประจำทุกวันเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวคุณเอง ดังต่อไปนี้

1. ใช้กระดาษทิชชูปิดจมูกและปากของคุณเมื่อไอ หรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิดหลังการใช้ทันที

2. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ หรือล้างด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ (เช่นเจลล้างมือ) บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการไอ หรือ จาม

3. พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะ และสัมผัสกับผู้ป่วย ถ้าหากป่วยเป็นหวัดควรหยุดพักอยู่บ้าน เพื่อจำกัดการพบปะผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก หรือ ปาก เพราะเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายทางอวัยวะเหล่านี้ได�ประชาชนยังไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลกับการจัดเตรียมและรับประทานเนื้อหมู เช้อไวรัสไข้หวัดหมูนี้ไม่สามารถแพร่กระจายได้ทางอาหาร อนึ่งการรับประทานเนื้อหมูที่ผ่านการเตรียมที่ดีและผ่านการปรุงสุกจะช่วยให้มีความปลอดภัยจากเชื้อโรคนี้


ขอบคุณที่มา www.oknation.net/blog สุขภาพและความงาม



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

น้าหมู Champ 012 จาก น้าหมู(Modern9) 124.122.133.187 จันทร์, 13/7/2552 เวลา : 18:04  IP : 124.122.133.187   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83112

คำตอบที่ 26
      

fiogf49gjkf0d
หยุดไข้หวัดใหญ่ ก่อนที่ ไข้หวัดใหญ่จะหยุดคุณ

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว เรามักจะเป็นไข้หวัด ที่เราต้องใส่ใจคืออาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ

หยุดไข้หวัดใหญ่ ก่อนที่ ไข้หวัดใหญ่จะหยุดคุณ
โดยทั่ว ๆ ไปบนโลกนี้ ในแต่บะปี มีผู้ใหญ่ประมาณ 5-15 % และเด็กประมาณ 15-42 % ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ โดยที่ไม่ทราบว่า อันที่จริงแล้วนั้น โรคไข้หวัดใหญ่มีวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพอยู่วิธีหนึ่ง นั่นคือ การฉีดวัคซีน

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร ?
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่และวัยชรา โรคนี้บ่อยครั้งจะถูกเรียกกว่าง ๆ ว่า "โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ" การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีผลกระทบต่อร่างกายหลายระบบ
การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ :
> ติดต่อง่ายและรวดเร็ว มีระยะฟักตัวของโรคสั้น 24-48 ชั่วโมง
> อาจเกิดอาการต่าง ๆ นานมากกว่า 1-2 สัปดาห์ถึงจะหายได้
> อาจทำให้ต้องพักฟื้น นอนพักอยู่ที่บ้าน 3-4 วัน
> ขัดขวางการทำงาน หรือแผนการการท่องเที่ยวได้
> อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมากมาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

ไข้หวัดใหญ่ต่างกันไข้หวัดอย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดเป็นโรคที่มีอาการคล้ายกันมาก แต่อาการของไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีความรุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยมีไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ไอมาก อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดตรงที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรงแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมายที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ไข้หวัดใหญ่ติดต่อแพร่โรคได้อย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยสามารถติดต่อได้จากการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ในอากาศจากการจามหรือไอของผู้ที่เป็นโรคไข้หวัดหใญ่ หรือติดจากการอยู่ไกล้ชิดกับคนป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ หรือจากการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และนำเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ ?
ทุก ๆ คนมีโอกาสป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ แม้แต่คนที่มีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ก็มีโอกาศป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยยังสามารถที่จะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ไปยังคนอื่น ๆ ได้โดยที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย เพราะหลังจากผู้ผุ่วยรายนั้น ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่องใช้เวลา 1-4 วัน ก่อนที่อาการของโรคจะปรากฎ
คนบางกลุ่ม เช่นผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่และเด็กที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หอบหืด โรคหัวใจ โรคปอด และโรคไต ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แล้วอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมายที่เป็นอันตรายและรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

ไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้อย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นั้นเป็นที่ยอมรับ และมีผลการทดสอบทางการแพทย์จำนวนมากให้การรับรอง ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนแต่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนในช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่

เด็กสามารถรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่ ?
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถใช้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ปลอดภัยหรือไม่ ?
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ผลิตจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว จึงไม่สามารถทำให้ผู้ได้รับวัคซีนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จากการฉีดวัคซีน แต่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นั้นเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน ได้แก่ อาการเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย อาจมีไข้ต่ำ ๆ และปวดเมื่อยหลังฉีดวัคซีน แต่อาการเหล่านี้ไม่รุนแรงและหายไปภายพใน 24-48 ชั่วโมง




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

น้าหมู Champ 012 จาก น้าหมู(Modern9) 124.122.133.187 จันทร์, 13/7/2552 เวลา : 18:07  IP : 124.122.133.187   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83113

คำตอบที่ 27
      

fiogf49gjkf0d
ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ
จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น
แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...
เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่
เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย


อ้างอิง http://www.mayoclinic.com/health/colon-cleansing/AN00065
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:16  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83665

คำตอบที่ 28
      

fiogf49gjkf0d
ประโยชน์ของกระเทียม
ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก
...




กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด


กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี


กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น


ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะกระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง


รู้อย่างนี้แล้ว หันมากินกระเทียมกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:18  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83666

คำตอบที่ 29
      

fiogf49gjkf0d
บำรุงเลือดลม ช่วยย่อยอาหาร
เมนูสุขภาพวันนี้ ยกให้ แครอท แอปเปิลเขียว และขิง เป็นพระเอก


เมนูสุขภาพวันนี้ กินดี ยกให้ แครอท แอปเปิลเขียว และขิง เป็นพระเอก เพราะงานนี้เจ้าส่วนผสมทั้งสามจะรวมตัวกันสกัดออกมาเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อระบบเลือดลมและการย่อยอาหาร

เริ่มกันที่ แครอท ผัก สีเหลืองส้มเป็นแหล่งใหญ่ของเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ดีต่อผิวพรรณ สายตา ปอดและม้าม รวมทั้งมีสรรพคุณในการทำความสะอาดตับจากน้ำดีและสารพิษที่สะสมตัวจนกลายเป็น ของเหลวเหนียว ซึ่งเป็นผลมาจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมี นอกจากนี้ แครอท ยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ซัลเฟอร์และคลอรีน ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อและยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษอีกด้วย

แอปเปิล เต็มเปี่ยมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี 1 บี2 และบี 6 ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยลดความตึงเครียด ช่วยล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในตับและไต มีกรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็ก และชะล้างกระเพาะอาหาร

ปิดท้ายกันที่ส่วนผสมสุดท้าย ขิง สาร อาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และวิตามินเอ สารเหล่านี้มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหารและทำให้ร่างกายอบอุ่น

ส่วนผสมเมนูสุขภาพ

แครอท 1 ถ้วย
แอปเปิลเขียว 2 ถ้วย
ขิง 1 แง่งเล็ก
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย ใช้แปรงขัดแง่งขิงให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง ทุบพอแตก นำแครอทมาขูดเป็นเส้นเล็ก ๆ และแอปเปิลเขียวหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่น

ขอให้อร่อยกับเมนูสุขภาพค่ะ

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:20  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83667

คำตอบที่ 30
      

fiogf49gjkf0d
10 ท่ากระชับสัดส่วนสวย
หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ


สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ

และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง

บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

takecareDD@gmail.com






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:21  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83668

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,22 พฤศจิกายน 2567 (Online 5963 คน)