WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


นานาสาระเกี่ยวกับไต เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และมีความสุข (กระทู้นี้มีผู้เข้าชมเป็นอันดับ 1 ของเว็ปบอร์ด)
RedMachine067
จาก Red Machine 067
IP:125.24.117.111

อังคารที่ , 24/2/2552
เวลา : 20:09

อ่านแล้ว = 58709 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  

คำตอบที่ 1
      

fiogf49gjkf0d
สาเหตุใดทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ...
ไตจะเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายที่เป็นไปตามวัฏจักรเกิด แก่
เจ็บ ตายของสิ่งมีชีวิต จึงไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่วนจะเสื่อมเร็วช้าหรือมากน้อยอาจไม่
เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ:
กรรมพันธุ์ พ่อแม่ไม่แข็งแรงหรือมีลูกตอนอายุน้อยหรืออายุมากเกินไปหรือมีลูกหลาย
คน หรือคลอดก่อนกำหนด หรือตอนตั้งครรภ์คุณแม่มีอาการเครียด ไม่มีการพักผ่อนและบำรุง
อย่างเพียงพอ ทำให้ไตของลูกอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด
การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควร ทำให้ไตสูญเสียพลังมากไป
ประสบอุบัติเหตุ ไตถูกกระทบกระเทือนหรือถูกกระแทกอย่างแรงบริเวณเอว
ทำงานหนัก ทำงานเกินกำลังหรือทำงานหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน
โรคเรื้อรังต่างๆ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือด
หัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง วัณโรค หน่วยไตอักเสบ กรวยไตอักเสบ SLE โรคเกาต์ ฯลฯ
ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ผลกระทบจากการใช้ยาเคมี เช่น ยาแก้ปวด ยาคุมกำเนิด
ยารักษาสิว ยาลดความดัน ฮอร์โมนทดแทน ยาลดความอ้วน ฯลฯ ความเครียด มลภาวะเป็น
พิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักผลไม้ สารฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลที่แช่ ฟอร์มาลินหรือได้รับสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม สารโซเดียม (ผงชูรส ผงฟู ฯลฯ) ที่มีอยู่ตาม
อาหาร ขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารรสจัด รสเค็ม และเครื่องดื่มที่ผสมสี ฯลฯ
ปัจจัยดังกล่าวล้วนทำให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและก่อนวัยอันควร เราจึงพบบ่อยว่า
หลายๆคนแม้ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวแต่ก็มีอาการของภาวะไตอ่อนแออย่างครบครันเช่นเดียวกับ
คุณวัลวิภา

ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการอย่างไรบ้าง ...
ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการหลากหลายตามระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจแสดง
อาการใดอาการหนึ่งหรือหลายๆอาการพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อมโทรมของ
ไต อายุ และระยะเวลาที่เรื้อรัง การวินิจฉัยตนเองว่ามีภาวะไตอ่อนแอหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่ง
ยากเลย เพียงแค่สังเกตว่าตนเองมีอาการดังนี้หรือไม่ ให้ทำเครื่องหมาย ที่หน้าหัวข้อนั้นๆ
หากตรงกับอาการของตน

ระบบทางเดินปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ
ปัสสาวะไม่สุด กะปริดกะปรอย
อั้นปัสสาวะไม่อยู่
น้ำปัสสาวะขุ่นหรือมีฟอง
อาการบวมน้ำ (ใช้นิ้วกดบริเวณหน้าแข้งแล้วมีรอยบุ๋ม)

ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
ปวดหลังปวดเอว แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง
ชาปลายมือปลายเท้า
เป็นตะคริวบ่อย
ปวดข้อเป็นประจำ
เป็นโรคเกาต์
ภาวะกระดูกพรุน

ระบบประสาทและอารมณ์
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย
วิงเวียนศีรษะเป็นประจำ
นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ตื่นตอนกลางคืนเป็นประจำ
แขนขากระตุกในขณะนอนหลับหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ
ฝันทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาไม่สดชื่น ไม่อยากลุกจากที่นอน
ฝันว่าตกจากที่สูงจนตกใจตื่นเป็นประจำ
ซึมเศร้า กระวนกระวายหรือวิตกกังวล
ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ
มีเหงื่อออกมากในขณะนอนหลับ
ขี้หนาว ฝ่ามือฝ่าเท้าร้อนหรือเย็นเกินไป

ระบบทางเดินอาหาร
เบื่ออาหาร
ลำไส้แปรปรวน
อุจจาระร่วงโดยเฉพาะร่วงระหว่างเช้ามืดถึงก่อนเที่ยง
อุจจาระไม่จับตัวเป็นก้อน
ท้องอืดท้องเฟ้อหรือท้องผูกเป็นประจำ

ระบบภูมิต้านทาน
เป็นหวัดบ่อยหรือเป็นหวัดง่าย
จาม คัดจมูกหรือน้ำมูกไหลเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง
ลมพิษ
สะเก็ดเงิน
SLE
ปวดข้อรูมาตอยด์

ระบบทางเดินหายใจ
ไอเรื้อรัง
หอบหืด

ระบบสืบพันธุ์
หย่อนสมรรถภาพทางเพศหรือความต้องการทางเพศลดลง
ฝันเปียกมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือหลั่งเร็วเป็นประจำ
ประจำเดือนมาผิดปกติ
ช่องคลอดไม่กระชับหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
มีบุตรยากหรือแท้งบุตร
เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร

สภาพภายนอกของร่างกาย
ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน ไม่มีเลือดฝาด มีฝ้าบนใบหน้า
ใต้ตาหมองคล้ำหรือบวม
หน้าอกหย่อนยาน
ผมหงอกก่อนวัย
ผมร่วงเกิน 50 เส้นต่อวันหรือร่วงเป็นจำนวนมากตอนสระผม
น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างฮวบฮาบ

อาการทางหู-ตา
หูอื้อหรือไม่ค่อยได้ยิน ต้องให้คนอื่นพูดซ้ำเป็นประจำ
ตาลาย ตาพร่า
โรคเมเนียส์ (น้ำในหูไม่เท่ากัน)



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.24.117.111 อังคาร, 24/2/2552 เวลา : 20:18  IP : 125.24.117.111   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 77914

คำตอบที่ 2
      

fiogf49gjkf0d
หากคุณมีมากกว่า 2 อาการแสดงว่าไตของคุณเสื่อมลงแล้ว ยิ่งมีอาการมากเท่าไรไตก็
ยิ่งเสื่อมโทรมลงมากเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของสุขภาพที่คุณควรจะหันมาใส่ใจอย่าง
จริงจัง

ภาวะไตอ่อนแอ... ป้องกันและรักษาได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าไตจะเสื่อมลงตามวัยซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ถูกสุขลักษณะ และวิธีการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง และทันท่วงที
สามารถช่วยชะลอภาวะไตอ่อนแอก่อนวัยอันควรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม เช่น
ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักผลไม้ สารฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลที่แช่ฟอร์มาลิน
สารโซเดียมที่อยู่ตามอาหาร ขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ผงชูรส ผงฟู เป็นต้น
อาหารรสจัด รสเค็ม อาหารและเครื่องดื่มที่ผสมสี ฯลฯ
การควบคุมอารมณ์ ควรมีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีและพักผ่อนอย่าง
เพียงพอ
การออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ช่วยปรับการทำงานของ
ไตกับอวัยวะอื่นๆ ให้สมดุลขึ้น
การมีเพศสัมพันธ์ที่พอเหมาะ หลังมีเพศสัมพันธ์แล้ว ในวันรุ่งขึ้นจะต้องไม่รู้สึกอ่อน
เพลียและมีอารมณ์ที่ปลอดโปร่ง
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีอย่างพร่ำเพรื่อ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมี เช่น ยาแก้ปวด
ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนทดแทน เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของไต
และอวัยวะอื่นๆในร่างกาย จึงควรตระหนักและใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
ควรรักษาโรคเรื้อรังอย่างจริงจัง โรคเรื้อรังหลายอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ไขมันในเลือดสูง มะเร็ง SLE โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคตับ เป็นต้น จะส่งผลกระทบต่อ
ไตอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มี
อาการของภาวะไตอ่อนแอแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน การปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว
ย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน การแพทย์จีนจึงเน้นวิธีการบำรุงรักษาไตด้วยยาสมุนไพรจีนเป็น
หลัก เมื่อไตแข็งแรงขึ้น สารพัดอาการที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจ
หายไปในที่สุด

การบำรุงรักษาไตทำไมต้องเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่มสาว...
การบำรุงรักษาไตจำเป็นจะต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงแม้ว่าอายุยังไม่ถึง 30 ปีก็ตาม ไตอ่อนแอ
ในช่วงแรกเราอาจไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติมากมายก็ได้ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วร่างกาย
สามารถปรับตัวได้ระดับหนึ่งเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการ
ต่างๆ ของภาวะไตอ่อนแอมักจะเรื้อรังอย่างช้าๆ จนเราคุ้นเคยกับความผิดปกติของร่างกายถึง
ขนาดลืมไปแล้วว่าตอนเราปกติจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ผลตรวจการทำงานของไตตาม
หลักการแพทย์ตะวันตกที่ต้องรอให้ไตเสียไปมากกว่า 70% จึงแสดงค่า BUN และ Creatinine ที่ผิดปกตินั้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าถ้าผลตรวจยังปกติก็แสดงว่า
ไตยังแข็งแรงอยู่ ทั้งๆ ที่ไตเสื่อมไปมากแล้วก็ตาม จึงทำให้หลายๆ คนชะล่าใจและปล่อยทิ้ง
ไว้ให้เรื้อรังจนพัฒนาเป็นโรคร้ายต่างๆ แล้วค่อยดิ้นรนรักษาด้วยทุกวิถีทาง

การวิจัยสมุนไพรบำรุงไตในทัศนะการแพทย์ปัจจุบัน...
จากการวิจัยและทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า การบำรุงไตมีผล
ดีในการสร้างเสริมสุขภาพหลายๆด้าน อาทิ:
1. ชะลอความชรา
เพิ่มความแอ็คทีฟของสาร SOD ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ทำลายอนุมูลอิสระและ
ลดระดับ LPO ได้อย่างเด่นชัดพร้อมทั้งลดสาร MDA และปริมาณสารไลโปฟัสซินในตับ สมอง
หัวใจ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการชะลอความชรา
อนุมูลอิสระก่อให้เกิดความเสื่อมหลายอย่าง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมของกระดูก ทำลายผนังหลอดเลือด ทำลายเซลล์สมอง เซลล์ประสาทและจอตา เป็นต้น และที่ร้ายแรงที่สุด คือถ้าอนุมูลอิสระโจมตี DNA จะทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด
2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวแมคโครเฟจในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม
ต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัสหรือเซลล์มะเร็ง เป็นต้น ทั้งยังมีส่วนช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้
อยู่ในภาวะสมดุล จึงมักจะใช้ร่วมกับยารักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น
โรคภูมิแพ้ SLE โรคปวดข้อรูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน เป็นต้น เพื่อเพิ่มอัตราการหายของโรค
3. ลดอาการอ่อนเพลีย
ลดระดับยูเรียไนโตรเจน (Urea Nitrogen) ในเลือดและเพิ่มปริมาณการสะสมของไกล
โคเจน (Glycogen) จึงสามารถบรรเทาอาการอ่อนเพลียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนสำคัญหลายชนิด
ฟื้นฟูประสิทธิภาพการทำงานของไตและต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต่างๆที่มีความ
สำคัญต่อทุกๆ ระบบของร่างกาย อาทิ:
ฮอร์โมน Erythropoietin ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการกระตุ้นไขกระดูกสร้างเม็ดเลือด
แดง การบำรุงรักษาไตจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดภาวะโลหิตจางได้ด้วย
ฮอร์โมน Renin และ Prostaglandin ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมความดัน
โลหิตของร่างกาย การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำรุงรักษาไตควบคู่กับการรักษาความดันโลหิตสูง
เพื่อเพิ่มอัตราการหายของโรค
ฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) และนอร์อะดรีนาลิน (Nor-adrenaline) ซึ่งมีหน้าที่
ในการช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียมหรือโซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล
ฮอร์โมนไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) มีหน้าที่ปรับเมตาบอลิซึมของน้ำตาล โปรตีนและไขมัน รวมทั้งการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นไกลโคเจนซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน
ฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งมีการสร้างที่อัณฑะ ฮอร์โมนชนิดนี้
สามารถกระตุ้นการเจริญของอวัยวะเพศชาย สัญลักษณ์ทางเพศและสมรรถภาพทางเพศ เร่งให้
เชื้ออสุจิเจริญสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อผู้ชายอายุย่างเข้า 40 ปี อัณฑะจะลดการสร้างฮอร์โมนเพศชาย
ลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การบำรุงไตสามารถกระตุ้น
ให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไป จึงบำบัดอาการ
หย่อนสมรรถภาพทางเพศและอาการอื่นๆ ในผู้ชายวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโพรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่ง
มีการสร้างที่รังไข่ด้วย เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน รังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง
ไปเกือบทั้งหมด การบำรุงไตสามารถกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นเพื่อ
ชดเชยส่วนที่ขาดหายไปโดยไม่ต้องอาศัยฮอร์โมนทดแทน จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการ
บรรเทาอาการต่างๆ ในสตรีวัยทอง
5. ลดภาวะกระดูกพรุน
เพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและปริมาณมวลกระดูกได้อย่างเด่นชัด กระตุ้นการก่อตัว
และเพิ่มความแอ็คทีฟของเซลล์สร้างกระดูกใหม่ (Osteoblast) ยับยั้งการก่อตัวและลดความ
แอ็คทีฟของเซลล์สลายกระดูกเก่า (Osteoclast) พร้อมทั้งแก้ไขภาวะดุลแคลเซียมเป็นลบ
(Negative Calcium Balance) จึงบำบัดภาวะกระดูกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ลดความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเธติก
ลดความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic Nervous System) ซึ่งมี
หน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะภายในและ
ต่อมขับหลั่งต่างๆ หากระบบประสาทซิมพาเธติกตื่นตัวมากเกินไปจะทำให้ความดันโลหิตสูง
หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ ต่อมเหงื่อหลั่งเหงื่อมากขึ้น หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยง
กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง
การบำรุงไตจึงทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่อ่อนเพลียง่าย อาการปวดเมื่อยตาม
ร่างกาย ปัสสาวะบ่อยครั้ง นอนไม่หลับ แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง ภาวะกระดูกพรุน อาการหย่อน
สมรรถภาพทางเพศและอาการอื่นๆ ที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหาย
ไปในที่สุด ระยะเวลาการรักษาอาจไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ความรุนแรงของ
อาการและระยะเวลาที่เรื้อรัง...





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.24.117.111 อังคาร, 24/2/2552 เวลา : 20:21  IP : 125.24.117.111   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 77915

คำตอบที่ 3
      

fiogf49gjkf0d
อาหารสําหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

การควบคุมและรับประทานอาหารที่ถูกต้อง มีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยโรคไตวาย
เรื้อรัง อาหารที่ผู้ป่วยควรให้ความสนใจเป็นพิเศษได้แก่ โปรตีน, ไขมัน, เกลือแร่และวิตามิน

1.ปริมาณโปรตีน เป็นสารอาหารสำคัญเพราะเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อและเนื้อ
เยื่อทั่วร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดของเสีย ซึ่งจะต้องอาศัยไตขับ
ทิ้ง แต่เมื่อไตหยุดทำงานลง ของเสียเหล่านี้จะคั่งค้างกระจายไปตามกระแสเลือดและไปสะสม
ตามอวัยวะต่างๆจนทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติไป การได้อาหารประเภทโปรตีนมาก
เกินไปจะทำให้เกิดของเสียในร่างกายเพิ่มขึ้น อาหารที่พบว่ามีโปรตีนสูงได้แก่ ไข่ ถั่ว นม เนื้อ
สัตว์ต่างๆ
นม นอกจากมีโปรตีนยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม โคเลสเตอรอล
เพราะฉะนั้นเมื่อดื่มนม ต้องลดปริมาณเนื้อสัตว์ที่ทานลง
ไข่ มี 2 ส่วน คือ ไข่ขาวและไข่แดง ซึ่งเป็นโปรตีนคุณภาพดีทั้งคู่ แต่ในไข่แดงมีฟอส
ฟอรัสและโคเลสเตอรอลสูง จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงไข่แดงให้รับประทานเฉพาะไข่ขาว
เมล็ดถั่วแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ เป็นต้น เป็นแหล่งที่ให้โปรตีนมาก
และราคาประหยัด อาหารเหล่านี้เมื่อทานเข้าไปแล้วทำให้ไตทำงานเพิ่มขึ้นจึงควรงดรับประทาน
เนื้อสัตว์ แนะนำเนื้อปลาเป็นแหล่งอาหาร

2.ปริมาณคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ เผือก มัน วุ้นเส้น ขนมจีน ผู้ป่วย
ควรรับประทานอาหารหมู่นี้ให้มาก เพราะจะเป็นอาหารที่จะช่วยให้ท่านได้พลังงาน ยกเว้นผู้ป่วย
ที่มีเบาหวานร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณของอาหาร

3.ปริมาณไขมัน หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ เช่น ขาหมู หมูสามชั้น เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง เป็ด
ปักกิ่ง หนังและก้นเป็ด ไก่ตอน หนังและก้นไก่ น้ำมันหมู มันไก่ (เอามาหลอมเป็นน้ำมันใช้
ผัดอาหาร) นม เนย ไข่แดง เป็นต้น ไขมันจากมะพร้าว เช่น กะทิข้น น้ำมันมะพร้าว มะพร้าว
แก่ที่นำมาประกอบอาหาร (เช่น มะพร้าวคั่ว) เป็นต้น รวมทั้งประเภทแกงใส่กะทิ (แกงเผ็ด แกงคั่ว แกงกะหรี่ ฯลฯ) ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยวแกง (แขก) ขนมใส่กะทิ เช่น ขนมปลากริมไข่เต่า
บัวลอย แกงบวด เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากมีกรดไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่มากซึ่งจะเพิ่มระดับโคเลส
เตอรอลในเลือดเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดทั่วไป หลอดเลือดในสมอง หลอดเลือดหัวใจและ
หลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปสู่ไตเอง
ผู้ป่วยควรได้รับไขมันจากพืช น้ำมันพืชที่ดีที่สุด คือ น้ำมันถั่วเหลือง เพราะมีกรดไขมัน
อิ่มตัวไม่มากแต่อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันสกัดจากปลา ไม่ใช้น้ำมันตับปลา ซึ่งถ้าได้
รับพอเพียงจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด

4.ปริมาณเกลือแร่
โซเดียม
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจะต้องจำกัดโซเดียม ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม เช่น อาหารที่ใส่
เกลือ น้ำปลาหรือซีอิ๊ว อาหารดองเค็ม เป็นต้น เพราะการรับประทานเค็มทำให้มีเกลือโซเดียม
และน้ำคั่งค้างในร่างกายมาก ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจโต น้ำท่วมปอดหรือหัวใจวายได้ง่าย
ตัวอย่างอาหารที่มีเกลือมากควรหลีกเลี่ยง
1. ซอสปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสจากถั่วเหลือง ซอสหอย
นางรม ซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำบูดู เต้าเจี้ยว เป็นต้น
2. ซอสหลายรสอาจมีทั้งรสหวาน เปรี้ยวและเค็ม ซอสพวกนี้มีเกลือผสมอยู่ด้วย เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มไก่ย่าง ซอสตราไก่งวง เป็นต้น
3. อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง
แหนม ส้มฟัก ไส้กรอกอีสาน เป็นต้น
4. อาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง เป็นต้น
5. เนื้อสัตว์ปรุงรส มีทั้งรสหวานและเค็ม เช่น หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง เป็นต้น
6. อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง เป็นต้น
7. อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่งปรุงรส เป็นต้น
8. เครื่องปรุงแต่งรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารปรุงแต่งรสที่ไม่
มีรสเค็มแต่มีโซเดียมมาก เช่น ผงชูรส ผงฟู สารกันบูด เป็นต้น


โพแทสเซียม
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมักจะมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง จึงต้องจำกัดโพแทสเซียม
ควรงดผลไม้เพราะในผลไม้มีโพแทสเซียมมาก หากรับประทานผลไม้แล้วไม่สามารถขับ
โพแทสเซียมออกทางปัสสาวะ ทำให้เกิดการสะสมของโพแทสเซียมในร่างกาย ซึ่งถ้าระดับ
โพแทสเซียมในเลือดสูงมากเกินไปอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ หากต้องการรับประทานผลไม้
ควรนำมารับประทานเช้าวันฟอกเลือด
ควรงดผักที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น บร๊อคโคลี่ ผักบุ้ง เห็ด มันฝรั่ง มะเขือเทศ มันเทศ
แครอท หน่อไม้ฝรั่ง ดอกกระหล่ำ แขนงกระหล่ำ เป็นต้น
ควรงดผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ฝรั่ง กล้วย มะขามหวาน กะท้อน น้อยหน่า ลางสาด
แคนตาลูป น้ำส้มคั้น ลูกพรุน ลูกเกด กล้วยตาก เป็นต้น
ส่วนผักที่มีโพแทสเซียมปานกลางที่ทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก ได้แก่ ถั่วพู ถั่วฝักยาว
มะเขือยาว หน่อไม้ไผ่ตรง ผักคะน้า ถั่วลันเตา มะระ หัวผักกาดขาว
ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมปานกลางที่ทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก ได้แก่ มะม่วงสุก
มะม่วงดิบ มะละกอสุก ส้ม องุ่น แตงโม สับปะรด แอปเปิ้ล ชมพู่
ผักที่มีโพแทสเซียมต่ำสามารถทานได้ ได้แก่ กระหล่ำปลี แตงกวา ผักกาดขาว บวบ
ฟักเขียว น้ำเต้า ถั่วงอก
อาหารอื่นๆ ที่มีโพแทสเซียมสูงก็ควรจะงด เช่น น้ำนม โยเกิร์ต กะทิ มะพร้าว ถั่วเมล็ด
แห้งต่างๆ เมล็ดทานตะวัน กาแฟ ชาผง โกโก้ผสมช็อกโกแลต เป็นต้น
ฟอสเฟต
ผู้ป่วยมักจะมีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง จึงต้องจำกัดฟอสเฟต ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มี
ฟอสเฟตสูง เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม ถั่วลิสง นมสด เนยแข็ง ไข่แดง ถั่วแดง ถั่วเขียว
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น เพราะจะทำให้ระดับฟอสเฟตในเลือดสูง ถ้ามีการสะสมของ
ฟอสเฟตในร่างกายมาก ทำให้ระดับพาราไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นและระดับวิตามินดีในร่างกาย
ลดลง ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนเพลียและเกิดภาวะกระดูกผุเร็วขึ้น
เหล็ก
ผู้ป่วยมักจะเลือดจางและอยู่ในภาวะที่ขาดธาตุเหล็ก ควรได้รับเสริมในรูปของยารับ
ประทานหรือยาฉีด

5.ปริมาณน้ำบริโภค ผู้ป่วยดื่มน้ำได้ไม่เกินวันละประมาณ 500 มิลลิลิตร หรือประมาณ
2 แก้วขนาดกลาง น้ำที่ใช้ดื่มควรเป็นน้ำสะอาดมิใช่น้ำแร่เหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ สังเกตว่ามีน้ำ
ในร่างกายมากเกินไปหรือไม่โดยชั่งน้ำหนักทุกเช้า น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นวันละไม่เกิน 0.5 กก.
หากน้ำหนักเพิ่มมากกว่า 0.5 กิโลกรัมต่อวันแสดงว่าร่างกายกำลังมีน้ำสะสมมากเกินจำเป็น
ต้องอดหรือลดการดื่มน้ำสำหรับวันนั้น การมีน้ำในร่างกายมากอาจทำให้เกิดบวมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เกิดภาวะน้ำท่วมปอด หัวใจวายหรือภาวะความดันเลือดสูงได้





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.24.117.111 อังคาร, 24/2/2552 เวลา : 20:42  IP : 125.24.117.111   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 77919

คำตอบที่ 4
      

fiogf49gjkf0d
หาข้อมูลโรคตัวอื่นๆๆได้ที่ www.enwei.co.th..............



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

RedMachine067 จาก Red Machine 067 125.24.139.131 พุธ, 25/2/2552 เวลา : 10:11  IP : 125.24.139.131   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 77978

คำตอบที่ 5
      

fiogf49gjkf0d
ไม่ทราบว่ามีขายที่ไหนค่ะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

2579580 จาก โสม 124.120.228.23 จันทร์, 7/12/2552 เวลา : 15:24  IP : 124.120.228.23   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85729

คำตอบที่ 6
      

fiogf49gjkf0d
คำถามไม่ค่อยเคลียร์ครับ จะซื้ออะไรครับ เผื่อจะหาคำตอบให้ได้ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 113.53.37.2 จันทร์, 7/12/2552 เวลา : 22:52  IP : 113.53.37.2   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85766

คำตอบที่ 7
      

fiogf49gjkf0d
กระทู้นี้ มีประโยชน์ครับท่านพี่067



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

118 จาก champ::118 124.122.166.235 อังคาร, 8/12/2552 เวลา : 18:57  IP : 124.122.166.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85802

คำตอบที่ 8
      

fiogf49gjkf0d
ไม่มีอะไร...เป็นกระทู้ที่มีคนอ่านมากที่สุดในบอร์ดเพื่อนแชมป์



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

118 จาก champ::118 124.120.64.209 อังคาร, 4/5/2553 เวลา : 18:04  IP : 124.120.64.209   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88319

คำตอบที่ 9
      

fiogf49gjkf0d
ไม่มีอะไร...เป็นกระทู้ที่มีคนอ่านมากที่สุดในบอร์ดเพื่อนแชมป์


ถ้ามีประโยชน์ต่อเพื่อนๆๆก็จะพยายามหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาฝากเพื่อนๆๆครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 125.24.186.225 อังคาร, 4/5/2553 เวลา : 20:31  IP : 125.24.186.225   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88321

คำตอบที่ 10
      

fiogf49gjkf0d
ผมนพดล โต๊ะหลัง อายุ 49 ปี มีโอกาสได้ใช้ยาสมุนไพรจีนมาทานเพื่อบำบัดร่างกายกับโรคแห่งความเสื่อมของระบบในร่างกายมาปีกว่า อาการต่างๆ เช่น กระดูกทับเส้น/ระบบย่อย(ท้องผูก)/ไต(ฉี่เหลือง)ปวดเมื่อยตามร่างกาย/ภูมิแพ้ ได้ค่อยๆฟื้นฟูดีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งหายในที่สุด จึงอยากบอกให้ทุกท่านได้ใช้ยาสมุนไพรเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งกับร่างกายท่านครับ และแนะนำให้เข้าไปศึกษาการแพทย์จีนได้ที่ www.enwei.co.th มีเรื่องราวทีเป็นประโยชน์มากๆครับ ผมจึงมั่นใจมากขึ้นเพราะที่ผมมีประสบการณ์กับตัวเองตรงกับงานวิจัยทั้งหมดครับ
คุยเพิ่มเติมกับผมได้ที่
email:nopadol9@gmail.com โทร.081-7197946





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nopadol7 จาก ปุ๊ 118.173.174.195 พฤหัสบดี, 27/5/2553 เวลา : 09:09  IP : 118.173.174.195   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88624

คำตอบที่ 11
      

fiogf49gjkf0d
หวัดดีครับ
สองวันก่อนได้แนะนำยาน้ำสมุนไพร"โหย่งเหิง"ให้คุณประภาดา อยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งได้เจ็บป่วยเกี่ยวกับไต เมื่อทานแล้วเกิดผลอย่างไรบ้าง จะนำมาบอกกล่าวให้ทราบต่อไป เพื่อเป็นบทเรียนให้ท่านอื่นๆที่ต้องการดูแลสุขภาพด้วยกันนะครับ
ด้วยความปราถนาดี
นพดล โต๊ะหลัง
e-mail:nopadol9@gmail.com
โทร.081-7197946






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nopadol7 จาก ปุ๊ 118.173.174.158 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 08:02  IP : 118.173.174.158   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88923

คำตอบที่ 12
      

fiogf49gjkf0d
ขออนุญาติเจ้าของกระทู้นำขึ้นเป็นกระทู้ปักหมุด และขอเปลี่ยนชื่อกระทู้เพื่อให้เป็นกระทู้แห่งสาระอันมีประโยชน์ ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดในเว็ปบอร์ดนะครับ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ที่มีมาให้เพื่อนเสมอ ๆ ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ012 จาก น้าหมู(Modern9) 202.142.200.252 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 11:13  IP : 202.142.200.252   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88924

คำตอบที่ 13
      

fiogf49gjkf0d
น้าหมูไม่รู้ว่าพอจะเอากระทู้ที่ Q10028 มารวมไว้ในกระทู้นี้ได้หรือเปล่า เพราะเป็นหัวข้อเดียวกัน ผมลงข้อมูลไว้เยอะพอสมควรจะได้หาข้อมูลมาลงไว้เป็นกระทู้เดียวกัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 203.172.103.90 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 11:20  IP : 203.172.103.90   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88925

คำตอบที่ 14
      

fiogf49gjkf0d
พี่ชาคริตครับผมค้นหาข้อมูลกระทู้ Q10028 ไม่เจอ (ไม่มีในฐานข้อมูล) พอจะจำชื่อกระทู้ได้มั๊ยพี่



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ012 จาก น้าหมู(Modern9) 202.142.200.252 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 13:27  IP : 202.142.200.252   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88928

คำตอบที่ 15
      

fiogf49gjkf0d
Q10028 นานาสาระเพื่อสุขภาพ 1, 2, 3, Red Machine 067 19/2/2553



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 203.172.103.90 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 13:42  IP : 203.172.103.90   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88929

คำตอบที่ 16
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 04/06/2010
‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!
อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่





อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

ศุกร์นี้ กินดี จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง

takecaredd@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 125.24.209.236 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 19:00  IP : 125.24.209.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88936

คำตอบที่ 17
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 04/06/2010
ทาน ‘งา’ ประจำ ทำลายความแก่!
งา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง งาช้าง แต่หมายถึง งา อาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านทราบถึงคุณค่าของงา



งา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง งาช้าง แต่หมายถึง งา อาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านทราบถึงคุณค่าของงา

เริ่มจาก งาดำ ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ มักอยู่ในรูปของส่วนผสมในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ การรับประทานงาดำจะช่วยให้นอนหลับได้สนิท และตื่นนอนพร้อมความรู้สึกสดชื่นกระปรี้ประเปร่า ทั้งยังป้องกันเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงกระดูก และบำรุงรากผม ทำให้ผมดกดำ

ส่วน น้ำมันงาดิบ หากนำมาใช้นวดตัวเป็นประจำ ช่วยปรับระบบประสาท คลายกล้ามเนื้อ ชะลอความเสื่อมของผิวหนังและกล้ามเนื้อ ให้แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม งา ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด เช่น บี1, 2, 3, 5, 6 และ 9 มีสรรพคุณในการช่วยย่อยไขมัน ลดคอเลสเตอรอล ทั้งยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ และเป็นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

สำหรับเมนูสุขภาพที่ปรุงจากงา ทำไม่ยากที่จะแนะนำ คือ เกี๊ยวกรอบคลุกงา มีส่วนเพียงไม่กี่อย่าง ประกอบด้วย

แผ่นเกี๊ยว
งาขาว และงาดำ อย่างละ 4 ช้อนโต๊ะ
เกลือ พอประมาณ
น้ำมันพืชสำหรับทอด พอประมาณ

ส่วนขั้นตอนในการทำ เริ่มด้วยการนำงาทั้งสองชนิดมาผสมกัน นำแผ่นเกี๊ยวพรมน้ำเล็กน้อย จากนั้นโรยหน้าด้วยงาที่ผสมรอไว้ นำลงทอดในกระทะที่มีน้ำมัน 1 ใน 3 ทอดจนแผ่นเกี๊ยวฟูและเหลืองกรอบ ตักขึ้นซับน้ำมันแล้วโรยเกลือเล็กน้อย สามารถรับประทานพร้อมน้ำจิ้มรสหวาน หรือนำไปใส่ในสลัดผักก็ยังได้

เมื่อทราบว่า งา อัดแน่นไปด้วยสรรพคุณควรคู่กับร่างกายแล้ว อย่าลืมรับประทานงาเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง.

takecareDD@gmail.com



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 125.24.209.236 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 19:01  IP : 125.24.209.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88937

คำตอบที่ 18
      

fiogf49gjkf0d
น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี





น้ำตะไคร้ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น

มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ กินดี ขอเสนอ น้ำตะไคร้หอม เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่

ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว


วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 125.24.209.236 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 19:03  IP : 125.24.209.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88938

คำตอบที่ 19
      

fiogf49gjkf0d
รอบรู้เรื่องตำลึง
ตำลึงเป็นผักสวนครัวชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เราจึงขอหยิบเรื่องเกี่ยวกับตำลึงมาให้อ่านกัน


ตำลึง มีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ สามารถนำใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดก็อร่อย


ตำลึงมีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และมีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย


นอกจากตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหาย


ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมยังปลูกง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม


รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาหาตำลึงกินกันดีกว่า.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 125.24.209.236 พฤหัสบดี, 17/6/2553 เวลา : 19:04  IP : 125.24.209.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88939

คำตอบที่ 20
      

fiogf49gjkf0d
ดึงลิ้งค์กระทู้ดีๆมีสาระเกี่ยวกับสุขภาพ ของพี่ชาคริตมาไว้ในกระทู้นี้อีกเรื่องครับ http://www.thailandoffroad.com/champ/champboard/Question.asp?ID=10028



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ012 จาก น้าหมู(Modern9) 202.142.200.252 ศุกร์, 18/6/2553 เวลา : 11:18  IP : 202.142.200.252   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 88950

คำตอบที่ 21
      

fiogf49gjkf0d
เมื่อ 25/06 คุณนัน จากสระบุรี ได้ใช้ยาน้ำสมุนไพรจีน"โหย่งเหิง" เนื่องจากมีอาการปวดส่วนหลัง จึงนำมาบอกกล่าวกันให้ทราบเพื่อท่านที่สนใจทีนำสมุนไพรมาดูแลสุขภาพจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ครับ
คุยกับคุณนัน ได้ที่ 089-1439377






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nopadol7 จาก ปุ๊ 118.173.174.78 ศุกร์, 2/7/2553 เวลา : 09:50  IP : 118.173.174.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89226

คำตอบที่ 22
      

fiogf49gjkf0d
เพิ่มเติมน่ะครับ http://www.thailandoffroad.com/champ/champboard/Question.asp?ID=293



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 113.53.191.119 อาทิตย์, 4/7/2553 เวลา : 23:14  IP : 113.53.191.119   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89232

คำตอบที่ 23
      

fiogf49gjkf0d
หัว จด เท้า รัก ษา เอง ได้ ก่อน ไป หา หมอ
๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง ( แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ
๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม , หอม , พริกให้มากเข้าไว้
๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)
๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่ , กินหัวหอมใหญ่ , หอมแดง , ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
๗. นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย
๘. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู , ปลาสวาย , ปลาแซลม่อน , ปลาซาร์ดีน , ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง
๙. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
๑๐. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
๑๑. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น
๑๒. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน , กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก
๑๓. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง , น้ำขิง , ชาขิงหรือเต้าฮวย
๑๔. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
๑๕. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า
๑๖. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)
๑๗. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
๑๘. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
๑๙. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
๒๐. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
๒๑. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
๒๒. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
๒๓. เบาหวนถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.173.21 พุธ, 7/7/2553 เวลา : 12:12  IP : 58.9.173.21   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89246

คำตอบที่ 24
      

fiogf49gjkf0d



--------------------------------------------------------------------------------
From: surada@spsthai.com
To: kowpun_1973@hotmail.com
Subject: Fw: มีประโยชน์นะเมื่อยางรถระเบิด/รถตกน้ำ
Date: Mon, 28 Jun 2010 17:35:18 +0700



----- Original Message -----
From: Thada Lawwachiravatt
To: trakul.lo@rd.go.th ; Kansini2009@hotmail.com ; Atikom8220@hotmail.com ; Wi.chaik@hotmail.com ; santi.sk@gmail.com ; nalinnipa.put@exanple.com ; OrasaEngland@hotmail.com ; sanya_sz@cpd.go.th ; Sakda25@yahoo.com ; Sawatboon@hotmail.com ; surada@spsthai.com ; vinit_khampa@windowslive.com
Sent: Monday, June 28, 2010 1:43 PM
Subject: Fwd: มีประโยชน์นะเมื่อยางรถระเบิด/รถตกน้ำ











จะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่

มีประโยชน์มาก และช่วยกันส่งต่อด้วยนะ ขับรถให้ปลอดภัย

กรณีที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่ องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเ ก ียร์ต่ำลงและหยุดรถ
ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิดคือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม
เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้ามหากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิดขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆ จึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว ( ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)

กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำ
ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วต กลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ
แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้
ควรตั้งสติให้ดี และ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มข ึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน
มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้
7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้

ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆ อาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมด ไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มีอาการหลงน้ำ นอกจากนั้นก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ก ็จะช่วยให้ชีวิตของท่านปลอดภัยได้ในยามคับขัน
อยากให้ ทุกคน ส่งต่อไปให้เพื่อนๆ และคนรู้จักให้มากๆเลยนะ
เป็นการช่วยเหลือกันหากเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้นมา การมีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมยานยนต์ และการปฏิบัติตนในขณะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน ขอให้ทุกคน ขับรถอย่างปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.173.21 พุธ, 7/7/2553 เวลา : 12:17  IP : 58.9.173.21   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89247

คำตอบที่ 25
      

fiogf49gjkf0d
อ่านแล้ว ก็กินข้าวโพดต้มสุกให้เยอะๆๆๆเลย
ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเ ช่นต้อกระจก และโ รคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.173.16 พุธ, 14/7/2553 เวลา : 10:26  IP : 58.9.173.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89376

คำตอบที่ 26
      

fiogf49gjkf0d
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ




อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้ส ึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเ รื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแ??บพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจ าระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกา ยหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.173.16 พุธ, 14/7/2553 เวลา : 10:27  IP : 58.9.173.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89377

คำตอบที่ 27
      

fiogf49gjkf0d
รากประสาทถูกกดทับคืออะไร...

สันหลังคนเราประกอบด้วยกระดูกสันหลังชิ้นย่อยๆ กว่า 30 ชิ้นเรียงต่อกันเป็นแนวจากต้นคอจรดก้นกบ ระหว่างกระดูกแต่ละข้อมีแผ่นกระดูกอ่อนหรือที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง คั่นกลาง ทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสีและเป็นเสมือนโช้คอัพเพื่อดูดซับและกระจายแรงอัด ภายในโพรงกระดูกสันหลังประกอบไปด้วยไขสันหลังและมีเส้นประสาทแยกแขนงจากไขสันหลังไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นประสาทส่วนต้นสุดที่แยกแขนงออกมาจากไขสันหลังเรียกว่า รากประสาท ซึ่งจะอยู่ชิดกับหมอนรองกระดูก
เมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวก็จะไปกดทับรากประสาทที่ไปเลี้ยงแขนหรือขา ทำให้มีอาการปวดเสียวและชาของแขนหรือขา ส่วนรากประสาทที่ถูกกดทับมักจะพบบ่อยจากการเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระเบนเหน็บหรือบั้นเอว ทำให้มีการกดทับรากประสาทไซอาติก (Sciatic Nerve) ที่ไปเลี้ยงขา ซึ่งจะพบบ่อยในกลุ่มคนดังนี้:
ผู้ที่ทำงานหนักโดยเฉพาะผู้ที่แบกของหนักเป็นประจำ
ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือมีแรงกระแทกบริเวณเอว
ผู้ที่มีอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน
ผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกเสื่อม

รากประสาทขาถูกกดทับมีอาการอย่างไร...

มีอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอวหรือกระเบนเหน็บร่วมกับอาการปวดร้าวที่ขา ซึ่งจะปวดจากแก้มก้นลงไปที่
ต้นขา น่องและปลายเท้าอาการปวดร้าวที่ขามักจะเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้งสองข้าง อาการปวดจะเป็นมากขึ้นหลังจากการเดินมากๆและอาจปวดมากขึ้นเวลาก้ม นั่ง ไอ จามหรือเบ่งถ่าย ในกรณีเป็นมาก เท้่าจะไม่มีแรงและชา อาจปัสสาวะไม่ได้หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและลีบลง ผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศา เช่นคนปกติ หรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากรู้สึกปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้
มีอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอวหรือกระเบนเหน็บร่วมกับอาการปวดร้าวที่ขา ซึ่งจะปวดจากแก้มก้นลงไปที่ต้นขา น่องและปลายเท้า อาการปวดร้าวที่ขามักจะเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้งสองข้าง อาการปวดจะเป็นมากขึ้นหลังจากการเดินมากๆและอาจปวดมากขึ้นเวลาก้ม นั่ง ไอ จามหรือเบ่งถ่ายในกรณีเป็นมาก เท้่าจะไม่มีแรงและชา อาจปัสสาวะไม่ได้หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและลีบลงผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศาเช่นคนปกติ หรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากรู้สึกปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้




มีอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอวหรือกระเบนเหน็บ
ร่วมกับอาการปวดร้าวที่ขา ซึ่งจะปวดจากแก้มก้นลงไปที่
ต้นขา น่องและปลายเท้า

อาการปวดร้าวที่ขามักจะเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง
เท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้งสองข้าง

อาการปวดจะเป็นมากขึ้นหลังจากการเดินมากๆ
และอาจปวดมากขึ้นเวลาก้ม นั่ง ไอ จามหรือเบ่งถ่าย

ในกรณีเป็นมาก เท้่าจะไม่มีแรงและชา อาจ
ปัสสาวะไม่ได้หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากปล่อยไว้นาน
อาจทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและลีบลง

ผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศา
เช่นคนปกติ หรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากรู้สึก
ปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้

สาเหตุรากประสาทขาถูกกดทับในทัศนะการแพทย์จีน...
การแพทย์จีนได้จัดโรครากประสาทขาถูกกดทับให้อยู่ในกลุ่มโรคชาและปวดเมื่อย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำงานหนัก ความเสื่อมตามวัยหรือพิษเย็น-ชื้นที่สะสมบริเวณเอว ทำให้หลอดเลือดและเส้นลมปราณติดขัด กีดขวางการไหลเวียนของโลหิตและพลังลมปราณจนเกิดอาการปวดขึ้นมา ซึ่งสอดคล้องกับหลักการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีนคือปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด นอกจากนี้ การไหลเวียนของโลหิตและพลังลมปราณบริเวณเอวที่ติดขัดจะทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ พร้อมทั้งไม่สามารถขับพิษเย็น-ชื้น ที่สะสมและสารพิษต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเมตาบอลิซึมออกไปได้หมดสิ้น จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่างๆ บริเวณกระดูกสันหลังขึ้น
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร
การรักษาโรคประสาทขาถูกกดทับด้วยยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาเสตอรอยด์อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากเป็นเพียงการระงับอาการปวดและอักเสบไว้ชั่วคราว แต่มิได้หยุดยั้งการลุกลามของโรค ที่สำคัญคือ พิษของยาจะก่อให้เกิดการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารไม่ย่อย กระเพาะอาหารอักเสบหรือแผลที่กระเพาะอาหาร พร้อมทั้งส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย การแพทย์จีนจึงนิยมใช้กลุ่มสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณในการ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สลายเลือดคั่ง ขับพิษและแก้ปวดปวม จากการวิจัยและทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า วิธีนี้สามารถบำบัดต้นเหตุของโรครากประสาทขาถูกกดทับแบบองค์รวมดังนี้:
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สลายเลือดคั่ง ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตขนาดเล็ก (Microcirculation) บริเวณกระดูกสันหลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นการขับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายข้อ สารที่ก่อให้เกิดอาการปวด (เช่น สารเบต้าโปรตีนไกลโคโปรตีนและฮิสตามีน เป็นต้น) รวมทั้งกรดแล็กติกที่สะสมอยู่บริเวณรากประสาทออกไปให้มากขึ้น จึงสามารถลดการระคายเคืองต่อรากประสาทและบรรเทาอาการปวดบวมได้อย่างเด่นชัด
การไหลเวียนของโลหิตขนาดเล็กบริเวณกระดูกสันหลังที่ดีขึ้นจะทำให้เส้นเอ็น ประสาทกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับการหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น บริเวณที่บาดเจ็บจึงได้รับการหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น บริเวณที่บาดเจ็บจึงได้รับการฟื้นฟูและซ่อมแซมได้เร็วขึ้นและมากขึ้น
ปรับลดระดับความรุนแรงของปฏิกิริยาการตอบโต้จากระบบต่อมไร้ท่อเมื่อรากประสาทขาถูกกดทับ จึงลดการสร้างและการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายข้อ พร้อมทั้งลดการหดเกร็งของหลอดเลือดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดอาการบวมของรากประสาทและบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อลดแรงดึงภายในเส้นประสาทและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณกระเบนเหน็บและบั้นเอว จึงบรรเทาอาการปวดบวมและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของเส้นประสาทได้อย่างเด่นชัด
อาการปวดหลัง อาการปวดร้าวที่ขาและอาการอื่นๆ ทีเ่กิดจากรากประสาทขาถูกกดทับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด
(ที่มา www.enwei.co.th)





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nopadol7 จาก ปุ๊ 118.173.175.6 พุธ, 21/7/2553 เวลา : 14:59  IP : 118.173.175.6   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89424

คำตอบที่ 28
      

fiogf49gjkf0d
สมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สลายเลือดคั่ง ขับพิษและแก้ปวดบวม ยังมีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยหลังผ่าตัดหมอนรองกระดูกเคลื่อน ทั้งนี้ เนื่องจากการผ่าตัดอาจแก้ไขโครงสร้างที่ผิดรูปของหมอนรองกระดูกได้ แต่ไม่อาจขจัดสารพิษต่างๆ ที่สะสมในบริเวณรากประสาท การใช้สมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณดังกล่าวสามารถกระตุ้นการขับสารที่ก่อให้เกิดอาการปวด เช่น สารเบต้าโปรตีน ไกลโคโปรตีนและฮิสตามีน เป็นต้น รวมทั้งกรดแล็กติกที่สะสมในบริเวณรากประสาทออกไปให้มากขึ้น เพื่อลดการระคายเคืองต่อรากประสาทนอกจากนี้ยังทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับการหล่อเลี้ยงได้อย่างเพียงพอจึงฟื้นฟูและซ่อมแซมบริเวณที่บาดเจ็บได้มากขึ้นและเร็วขึ้น


วิธีการป้องกันและดูแลตนเอง
การดูแลตนเองในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันโรคกระดูก
สันหลังเสื่อมลงก่อนวัยอันควรได้ อาทิ:
ถ้าทำงานที่ต้องยืนนานๆ ควรพักเท้าข้างใดข้างหนึ่งบนม้านั่งเตี้ยๆ
ควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงและมีความหยืดหยุ่น
เช่น การว่ายน้ำ การเดิน การปั่นจักรยาน เป็นต้น ถ้าการออกกำลังกายทำให้รู้สึกปวดหลังให้
หยุดทันที เนื่องจากอาการปวดเป็นสัญญาณเตือนว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ควรควบคุมน้ำหนักอย่าให้อ้วน เนื่องจากเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้หมอนรองกระดูก
เสื่อมมากขึ้น
การยืนต้องยืนให้น้ำหนักตัวค่อนมาทางส้นเท้า แขม่วท้อง อกผาย ไหล่ผึ่ง ถ้าทำงานที่
ต้องยืนนานๆ ควรพักเท้าข้างหนึ่งบนม้านั่งเตี้ยๆ เพื่อลดการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง และ
พยายามเดินไปรอบๆ ทุก 2-3 นาที
การนั่งต้องนั่งให้หลังตรงหรือแอ่นน้อยที่สุด ที่นั่งต้องรองรับก้นและโคนขาทั้งหมด
ความสูงต้องพอดีที่ฝ่าเท้าวางเต็มที่พื้น การนั่งขับรถต้องเลื่อนเบาะนั่งไปข้างหน้าให้พอเหมาะหลังพิงพนักเต็มที่ เข่างออยู่ระดับเหนือกว่าสะโพกเล็กน้อย
ในกรณีนั่งขับรถหรือนั่งนานอาจใช้หมอนหนุนหลัง การนั่งหลังค่อมหรือก้มหลังจะทำให้แรงดันภายในหมอนรองกระดูกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการนั่งนานเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหลังตึงเกร็งแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา ซึ่งจะนำไปสู่การอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจหรือสมองไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานหรือนั่งในรถ ในโรงภาพยนตร์หรือเครื่องบิน ควรสลับด้วยการยืนหรือลุกเดินไำปรอบๆ ทุกๆ ชั่วโมงหรือบ่อยๆ
การยกของต้องย่อตัวนั่งลงกับพื้น ยกของให้ชิดตัวแล้วลุกด้วยกำลังของขาและหลีก
เลี่ยงการยกของหนัก
การนอนอย่าใช้หมอนที่สูงเกินไปและควรเลือกที่นอนที่ไม่นุ่มเกินไป ไม่ควรนอนคุดคู้
หรือนอนคว่ำ หากนอนหงายควรมีหมอนใบเล็กๆ วางใต้ท้องเข่า การนอนตะแคงจัดเป็นท่านอนที่ดีที่สุด ควรนอนให้ขาล่างเหยียดตรง ขาที่อยู่ข้างบนงอ สะโพกและเข่ากอดหมอนข้างไว้
บริเวณหลังควรได้รับความอบอุ่น ไม่ควรตากแอร์ ตากพัดลมตรงๆ
การประคบถุงน้ำร้อนหรือใช้นิ้วมือนวดเบาๆ อาจช่วยให้อาการปวดหลังทุเลาลง ขณะที่มีอาการกำเริบควรนอนหงายนิ่งๆ บนที่นอนแข็งตลอดทั้งวันสัก 2-3 วัน การนอนจะลดแรงกดดันที่มีต่อหมอนรองกระดูกให้เหลือน้อยที่สุด ช่วยบรรเทาอาการปวดได้


(www.enwei.co.th)



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nopadol7 จาก ปุ๊ 118.173.175.6 พุธ, 21/7/2553 เวลา : 15:03  IP : 118.173.175.6   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89425

คำตอบที่ 29
      

fiogf49gjkf0d
แพทย์เผยกิน "ปลาทู 2 ตัว" ชะลอ "ความแก่" ปลอดโรครุมเร้า


แพทย์เชี่ยวชาญอายุรวัฒน์นานาชาติแนะ 3 วิธีง่ายๆ ช่วยคนไทยลดสังขารเสื่อมก่อนวัย อย่านอนดึก
เลี่ยงแป้งน้ำตาลคุมน้ำหนัก กินผักใบเขียววันละ 5 กำมือ ปลาทู 2 ตัว มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ซิตอัพวันละ 30 ครั้ง ฝึกหายใจลึกช่วยสติดีขึ้นชะลอแก่เร็ว
กรณีนายสำอาง สืบสมาน หัวหน้าโครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)
เปิดเผยผลงานวิจัยคนไทยประสบปัญหาภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร สาเหตุจากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมในการบริโภคที่เสี่ยง ขณะที่ชายไทยฮิตเป็นโรคความดันโลหิตและโรคตับ ส่วนหญิงเป็นโรคคอพอก และหืดหอบนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (International Anti-Aging Institute: IAAI) กล่าวว่า
การเข้าสู่ภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควรกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะนำไปสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ


สาเหตุของภาวะเสื่อมสังขาร แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ
1.ปัจจัยภายในที่เกิดจากการสะสมของความเครียด ยิ่งขณะนี้ปัญหาการเมืองรุมเร้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยมีภาวะเครียดสูงขึ้น การก้าวสู่ภาวะแก่ก่อนวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนี้ ปัญหาความเครียดจะพบมากในคนเมืองหลวง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเป็นเมืองที่มีแต่การแข่งขัน มลภาวะสูง และ

2.ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม มลภาวะเป็นพิษต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง
น้ำตาล กาแฟ จะมีสารที่ทำให้แก่สูงหรือที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ

"พฤติกรรมการนอนหลับยังทำให้คนไทยแก่เร็วด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมนอนช่วงเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป ทั้งๆที่เวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อนมากที่สุด คือ ช่วง 4 ทุ่ม และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ธาตุหนุ่มสาวหรือโกรท ฮอร์โมน (growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว
แต่หากเรานอนหลับหลังจากนั้นก็จะลดการหลั่งของธาตุหนุ่มสาว สังเกตได้ว่าคนกรุงจะแก่เร็วมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะนอนดึกๆ กัน
แต่หากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ แค่เพียง 1 สัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นทันที"

นพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับวิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยใช้วิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า 3 H ประกอบด้วย

1.Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน โดยการเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะในอาหารจำพวกขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาล หลายคนหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทน ซึ่งสารเหล่านี้ข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร หรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งใน และต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้
ดังนั้น การจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติอาทิ ชะเอมเทศ หรือหญ้าหวาน เป็นต้น

2.Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระได้ และควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และ

3.Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่อง และกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น

นพ.กฤษดากล่าวว่า ที่สำคัญควรรู้จักฝึกการใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา หากเราถนัดมือขวาก็แสดงว่า สมองซีกซ้ายเราเด่น เราต้องทำให้สมองซีกขวาเด่นด้วย โดยการฝึกใช้มือซ้าย หรือให้ฝึกการใช้สัมผัสอื่นๆ ที่เราไม่ถนัด นอกจากนี้การที่เรารู้สึกหิวนิดๆ ก็จะทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะ เมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดีช่วยชะลอความแก่ไปในตัว

"ที่สำคัญการออกกำลังกายจะช่วยได้มากในเรื่องนี้ ยิ่งการซิตอัพจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ดังนั้น ในแต่ละวันควรซิตอัพอย่างน้อย 30 ครั้ง" นพ.กฤษดา กล่าว และว่า ปัจจุบันคนทำงานนิยมดื่มกาแฟกันมาก ทั้งๆ ที่กาแฟเป็นตัวทำลายความอ่อนเยาว์ แต่จะให้เลิกกาแฟคงยาก ดังนั้น ไม่ควรทานกาแฟเกินวันละ 1 แก้ว หรือควรทานกาแฟเพียงวันละ 2 ช้อนชาก็เพียงพอ ที่สำคัญอย่าลืมว่า กาแฟยิ่งร้อนเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวอนุมูลอิสระที่สำคัญ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.172.117 จันทร์, 2/8/2553 เวลา : 14:51  IP : 58.9.172.117   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 89678

คำตอบที่ 30
      

fiogf49gjkf0d
ปลาทู...มหัศจรรย์ประโยชน์

คอลัมน์ วาไรตี้เฮลท์


"ปลาทู"


ปลาทะเลที่ผู้คนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรด้วยเป็นสัตว์ทะเลที่เป็น

เหมือนเพื่อนสนิทกับสำรับกับข้าวคนไทยมานานเท่านาน

ปลาทูคลุกข้าวเคล้าน้ำปลา น้ำพริกปลาทูอันเลื่องชื่อ
ต้มยำปลาทู เมี่ยงปลาทู ปลาทูต้มกะทิ ฯลฯ
ล้วนแต่เป็นอาหารอร่อยทรงคุณค่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น วัยทำงาน และคนชรา


นั่นเป็นเพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของปลาทูที่เปี่ยมไปด้วย
"วิตามินดี" ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าลำไส้
เพื่อนำไปสร้างเสริมและซ่อมแซมกระดูกและฟัน
ทั้งยังช่วยรักษาระบบประสาทและการทำงานของหัวใจให้อยู่ในสภาพที่ดีสม่ำเสมอ
และยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด
ช่วยควบคุมแคลเซียมไปยังส่วนต่างๆ อย่างเพียงพอ
ทั้งยังมีไอโอดีนส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุม

ให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ


ปลาทูยังมีกรดอะมิโนโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงกว่าปลาชนิดอื่น
โดยเฉพาะไลซีน ที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ
กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และทรีโอนีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในวัยเด็ก

ที่สำคัญปลาเพื่อนรักตัวนี้ยังมี "โอเมก้า
3" ที่ทรงคุณค่ากับร่างกายมากมาย


ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(มศว.) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antiaging Medicine กล่าวว่า
"โอเมก้า 3" เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว


ซึ่งจากการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

ที่มีอยู่ในปลานั้นจะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์สร้างสมดุล
ปรับระดับความข้นของเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเป็นการช่วยลดอัตรา
การเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยบำรุงตับอ่อนเลี่ยงความเสี่ยงที่จะ
ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้

นอกจากนี้มีการพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า
3 ช่วยให้ระบบประสาทและสมองดีขึ้น ป้องกันและแก้ไขโรคความจำเสื่อม
หรือโรคที่สมองไม่สั่งงาน ช่วยเสริมสภาวะจิตใจ
สุขภาพสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด


คุณสมบัติอันเต็มเปี่ยมนี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ใน
"น้ำมันปลา" หรือน้ำมันที่สกัดจากปลาที่อยู่ในเขตหนาว
แซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาทะเลน้ำลึก
อย่างปลาโอ ปลาซาบะ ปลาทูน่า รวมไปถึงปลากะพง
และ "ปลาทู" ยอดฮิตของเราด้วย

เนื้อปลาทู 100 กรัม จะมีสารโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ
2-3 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องการได้รับโอเมก้า
3 ประมาณวันละ 3 กรัมเท่านั้น

"ผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีควรจะหาอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า
3 และหาน้ำมันปลารับประทานได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก
ซึ่งเป็นวัยแห่งการ เจริญเติบโต และที่สำคัญในวัยนี้โอเมก้า
3 จะช่วยบำรุงสมอง จนถึงวัยสูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ
โอเมก้า 3 ก็ช่วยปรับสมดุล ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้"


หากผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงโดยอาศัยประโยชน์จาก

ปลาทะเลน้ำลึกแล้วปลาทูถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

นี่คือ มหัศจรรย์ปลาทู เพื่อนสนิทคนไทย !!




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก KidCowboy067 58.9.173.244 จันทร์, 13/9/2553 เวลา : 09:45  IP : 58.9.173.244   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 90066

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,22 พฤศจิกายน 2567 (Online 9386 คน)