WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


นานาสาระเพื่อสุขภาพ
RedMachine067
จาก Red Machine 067
IP:125.25.24.59

พฤหัสบดีที่ , 14/5/2552
เวลา : 16:54

อ่านแล้ว = 11481 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 31
      

fiogf49gjkf0d
ช็อกโกแลต ซีสต์ ปวดท้องประจำเดือน
ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!


ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น ช็อกโกแลต ซีสต์ ได้!
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์

ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน

แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis)

มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก

สิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้

เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน

พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง

กรณีถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง

ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน

เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:24  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83669

คำตอบที่ 32
      

fiogf49gjkf0d
ผมสวยด้วยสมุนไพรในครัว
นอกจากใช้รับประทาน ยังนำมาใช้ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี


สมุนไพรใกล้ตัว ปลูกริมรั้วที่บ้าน ที่สำคัญสมุนไพรพวกนี้ไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ เพราะธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสารเคมีมาเจือปนให้รำคาญใจ


แต่ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ว่า เรามีปัญหาอะไร?

ผมร่วง เชิญทางนี้
ใครที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุก ปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่ หรือแชมพู ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง

รังแค กวนใจไม่หยุดหย่อน
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแค ไหนจะเสียบุคลิก ไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย
ส่วนใครที่มีอาการคัน ให้นำว่านหางจระเข้ปลอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด

ยี้ มีเหามารังควาน
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่ เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำ ทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชม.ค่อยล้างออก สระผมตามอีกครั้ง แต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตา ขอเตือนว่าแสบมาก
ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้ วิธีการเหมือนกันเป๊ะ

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ ต่อไปก่อนซื้อแชมพู อ่านส่วนผสมก่อนว่ามีที่เราต้องการหรือยัง ?

ผมมัน : เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้
ผมแห้ง : เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง
ผมแตกปลาย : เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไป เลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้
ผมธรรมดา : นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอ ไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น

เห็นไหมว่า สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริง.








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:28  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83670

คำตอบที่ 33
      

fiogf49gjkf0d
สวยแบบประหยัด
ใครที่อยากสวย แต่ไม่อยากเสียเงินแพง ๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการสวยแบบประหยัดมาฝาก




ผลไม้มาร์คหน้า

การนำผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำมามาร์คหน้า คือการประหยัดและยังช่วยในการดูแลผิวแบบธรรมชาติ ผลไม้หลาย ๆ ประเภท จะมีสารสกัดที่ดีต่อผิว เช่น ผลไม้ไม้เปรี้ยว ๆ อย่าง สับปะรด, มะม่วงสุก, มะเฟือง, ส้ม ฯลฯ ที่มีกรดผลไม้ที่ดีต่อการทำให้ผิวขาวใส เรียบเนียน ขอแนะนำว่าควรผสมอย่างอื่นเพื่อลดความเป็นกรดลงด้วย เช่น โยเกิร์ตหรือน้ำผึ้ง

สครับริมฝีปาก

ริมฝีปากที่นุ่ม ชุ่มชื่นทำให้ดูดีขึ้น วิธีประหยัด คือ การนำกระวานป่น 1 ช้อนชา มาขัดริมฝีปากหลังล้างหน้า ถึงแม้จะมีรสเผ็ด แต่ได้ผลดีต่อริมฝีปาก จากนั้นล้างออกแล้วบำรุงด้วยลิปบาล์มอีกครั้ง

อบไอน้ำสมุนไพร

อบไอน้ำแบบประหยัด คือ นำใบมะกรูด ข่า ขิง มะนาว มาต้มในหม้อให้พออุ่น จากนั้นวางพักในจุดที่พอก้มหน้าให้ไอร้อนสัมผัสผิวได้อ่อน ๆ หรืออาจนำผ้ามาคลุมศีรษะและหม้อน้ำให้ไอน้ำไม่ระเหยเร็วก็ได้ ความร้อนและสมุนไพร จะช่วยเปิดรูขุมขนและดีท็อกซ์ให้ผิวหน้าให้สะอาดสดใส จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับผิวอีกรอบ

ผลไม้เพื่อผมสวย

ลองนำ กล้วยน้ำว้า แตงโม น้ำส้ม และน้ำมะกรูด มาบดผสมรวมกัน แล้วนำมาหมักเส้นผมทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้เส้นผมมีได้กลิ่นหอม ๆ จากผลไม้แล้ว ยังทำให้เส้นผมได้รับคุณค่าบำรุงใหม่ ๆ อีกด้วย

ถ้าอยากสวยแบบประหยัด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:30  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83671

คำตอบที่ 34
      

fiogf49gjkf0d
รู้เรา รู้ใคร... จากนิสัยท่องเที่ยว
คุณชอบเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติแบบนี้ เป็นคนแบบไหน


โหราศาสตร์บ่อยครั้งก็เกิดจากการประมวลความจริงที่เกิดขึ้นจากความถี่ที่บันทึกพฤติกรรม บุคลิกนิสัยของบุคคล ที่สัมพันธ์กับเพศ อายุ วันเดือนปีเกิดจากตัวอย่างคนจำนวนมากในทุกประเภท และจัดออกเป็นหมวดหมู่ อธิบายคนในแต่ละแบบ ดังนั้น บ่อยครั้งที่การทำนายทายทักแบบนี้จะแม่นยำ เที่ยงตรงและน่าเชื่อถือเอาการ

ไม่แค่ลายมือ ลายเซ็น หรือโหงวเฮ้ง หรอกนะที่บอกว่าคุณ หรือหนุ่มคู่ใจเป็นอย่างไร นิสัย สไตล์การท่องเที่ยวก็นับเป็นหนึ่งในหลักการโหราศาสตร์เดียวกันที่บอกได้ มาอ่านกันเลย ว่าลึกๆ เขาหรือคุณ แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไร กับคำทำนายวสามหมวด ที่เรารวบรวมมาฝาก


LOCATION:
คิดอยู่นานว่าจะเอาอะไรไปดี : คุณเป็นคนช่างวิตก ระวังตัวสูง รอบคอบจนกลายเป็นเข้มงวด และมักจะมีจินตนาการในแง่ลบ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เวลาทำงานลองได้ตกลงใจทำอะไรแล้ว ก็จะลงแรงทุ่มเทกายใจเต็มที่ ต่อสู้อุปสรรคไม่ย่อท้อ ไม่เตรียมอะไรมาก
ทำตัวเฉยชา : คุณเป็นคนเก็บอารมณ์ บ่อยครั้งที่มีมักรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจตัวเอง ในบางเวลาก็จะคิดว่าสิ่งที่ใครๆ ทำหรือคิดนั้นไม่ได้เรื่อง แต่ก็มีข้อดีคือในส่วนลึกโอบอ้อมอารี
เตรียมพร้อมด้วยการไปซื้อของที่ต้องใช้ : คุณเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มักมีบุคลิกร่าเริง กระตือรือร้น บางคนจะมีความเป็นผู้นำสูง ชอบจัดการอะไรๆ ด้วยความสามารถของตัวเอง เตรียมพร้อมเน้นหนักเรื่องอาหาร: คุณเป็นคนที่ชอบความสนุกแต่ก็มีความจริงจัง ไม่ชอบเรื่องเครียดๆ ข้อเสียคือเอาแต่ใจตัวเอง มีความดื้อแบบแปลกๆ
ตื่นเต้นสุดๆ : คุณเป็นคนรักความสนุกสนานแบบเด็กๆ รักอิสระ มักไม่ชอบการวางแผน ระยะยาว ดูไม่มีความรับผิดชอบอะไรมากมายในชีวิต แต่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ไม่ชอบเรื่องความผูกพันในเชิงพันธะสัญญา
เจอใครก็ชวนไปด้วย : คุณเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องมิตรภาพ ชอบการรวมตัวกัน รักเพื่อน รักการเสียสละ สุภาพและให้ความสำคัญกับจิตใจ ผู้อื่น
จัดโปรแกรมล่วงหน้าละเอียดยิบ : คุณเป็นคนมีความชัดเจนในจุดยืนจนบางครั้งอาจจะออกไปในแนวเผด็จการเล็กๆ เอาจริงเอาจังกับเรื่องต่างๆ จนคนรอบข้างอึดอัดใจ แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นคนที่รู้จักคุณค่าของเวลาและมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนกว่าใครๆ
กังวลเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ก่อน : คุณเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ชอบอยู่ติดที่ บางคนอาจจะเก็บตัวนิดๆ ด้วยซ้ำไป นิสัยรักสงบ ต้องการความปลอดภัยในชีวิตสูง



SEASON: ฤดูกาลที่อยากไปทริป ก็บอกเบื้องลึกความเป็นตัวตนได้
ฤดูหนาว : คุณเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แม้ว่าบุคลิกอาจจะดูไม่ห้าวหาญนักก็ตาม จิตใจของคุณมีพลังเข้มแข็ง กล้าเผชิญความเปลี่ยนแปลง แต่ก็กลับมีความอ่อนไหวสูงในทางอารมณ์และความรู้สึก ฤดูใบไม้ร่วง: คุณเป็นคนที่ชอบความเป็นระบบระเบียบ จิตใจแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยให้กับชีวิต จึงช่างคิดช่างวางแผน รอบคอบ ไม่ชอบความโลดโผน ตื่นเต้นมากนัก และรักความเป็นส่วนตัวสูง
ฤดูร้อน: คุณเป็นคนประเภทสุขนิยม คือชอบแสวงหา ความสุขและความรื่นรมย์ให้กับชีวิตมากกว่าจะชอบคิดมาก จึงรักอิสระ นิสัยร่าเริงเหมือนเด็กๆ มีความกระตือรือร้นไม่น้อยกับชีวิต แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจตัวเอง และดื้อมากในบางครั้ง
ฤดูฝน : คุณเป็นคนช่างเพ้อช่างฝัน ให้น้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเองมากเกินไปในบางครั้ง จึงเป็นคนเหงาง่าย เศร้าง่าย และก็มีความโรแมนติกสูง
ปลายฝนต้นหนาว : คุณเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน แต่ความคิดอ่านค่อนข้างรุนแรงและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความทะเยอทะยาน คุณเป็นคนรักความก้าวหน้า ไม่ชอบความเงียบ เบื่อง่าย และรักเพื่อนฝูง ยากที่จะเห็นคุณท้อถอยกับอะไรง่ายๆ
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:38  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83672

คำตอบที่ 35
      

fiogf49gjkf0d
วิธีดูแลรักษาโซฟาหนัง
บ้านไหนที่มีโซฟาหนัง แล้วไม่รู้ว่าจะดูแลรักษาอย่างไรให้ดูใหม่อยู่เสมอ เรามีวิธีมาฝาก


บ้านไหนที่มีโซฟาหนัง แล้วไม่รู้ว่าจะดูแลรักษาอย่างไรให้ดูใหม่อยู่เสมอ วันนี้เรามีวิธีมาฝาก...

เริ่มจากทำความสะอาดคราบสกปรกออกจากโซฟาหนัง โดยใช้ผ้าแห้งชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ แล้วนำเช็ดโซฟาหนัง แต่ถ้าเกิดรอยเปื้อนด่างดำ ให้นำน้ำมันสลัดหรือน้ำมันพืชที่ไม่แข็งตัวเมื่อแช่ตู้เย็น หยดในน้ำสบู่ 2-3 หยด จากนั้นใช้แปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วจุ่มลงไปในส่วนผสม และนำไปถูตรงรอยเปื้อน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น เสร็จแล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำแล้วนำไปผึ่งลม เพียงเท่านี้ก็จะทำให้โซฟาหนังสะอาดน่านั่ง

สำหรับการเคลือบเงา ให้ใช้ผ้าแห้งชุบด้วยน้ำยาเคลือบหนังทั่วไป นำไปถูตามบริเวณที่ใช้งานประจำ เช่น ที่นั่ง พนักพิงศีรษะ พนักพิงหลัง และที่ท้าวแขน เพื่อให้โซฟาหนังดูใหม่อยู่เสมอ

ข้อแนะนำ อย่าตั้งโซฟาหนังให้ถูกกับแสงแดดโดยตรง หรือวางใกล้กับความร้อนมากเกินไป เพราะจะทำให้หนังแห้งและเกิดรอยแตกได้

ถ้าอยากมีโซฟาหนังที่สะอาดและดูใหม่อยู่เสมอ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:40  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83673

คำตอบที่ 36
      

fiogf49gjkf0d
สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ


Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง



วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า


Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:42  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83674

คำตอบที่ 37
      

fiogf49gjkf0d
เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน
เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน ต้องมีน้ำหนักตัวเท่าไร ต้องมีไขมันแค่ไหน พุงต้องโตแค่ไหน ถ้าเริ่มจากศูนย์ วิธีที่ดีที่สุดคือ ดูพุงตัวเอง! ถ้ามีพุงก็ถือได้แล้วว่าอ้วน!
เรื่อง: รศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
ยกตัวอย่างเช่นผม ผมหนัก 80 กิโลกรัม (แต่ในเดือนนี้ต้องเดินทางบ่อย ไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อังกฤษ ฟินแลนด์ แคนาดา กินไม่หยุด ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้ำหนักเลยปาเข้าไป 83 กิโลกรัม! ที่กินไม่หยุดเพราะไม่แน่ใจว่ามื้อต่อไปจะมีให้กิน หรือกินได้หรือไม่!) ผมอ้วนแล้วหรือยัง เราคงไม่ได้ดูน้ำหนักตัวอย่างเดียว โดยสากลนิยมเราต้องดูส่วนสูงของเราด้วย ผมสูง 178 เซนติเมตร ผู้เชี่ยวชาญของโลกคิดวิธีคำนวณว่าอ้วนหรือไม่ด้วยการหาดัชนีมวลกายหรือ body mass index หรือ BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง BMI ของผมคือ 80 หาร 1.782 ซึ่งออกมาเป็น 25.25 องค์การอนามัยโลกให้ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5-24.9 แต่เนื่องจากคนเอเชียมีโครงสร้างผอมบาง เล็ก องค์การอนามัยโลกจึงให้ชาวเอเชียมี BMI ไม่เกิน 23 จากนี้จะเห็นได้ว่า BMI ของผมสูงไปไม่ว่าจะคิดสำหรับชาวเอเชีย หรือชาวฝรั่ง!


แต่ดู BMI อย่างเดียวไม่ได้เสมอไป บางคนมี BMI สูง แต่เป็นกล้ามเนื้อทั้งนั้น ไขมันไม่มีเลย ฉะนั้นการดู BMI จึงเป็นการดูแบบคร่าวๆ ต้องดูส่วนประกอบอื่นด้วย เช่น ดูพุงตัวเอง ปกติแล้วคนเราต้องมีพุงที่เล็กกว่าสะโพก ใครมีพุงใหญ่กว่าสะโพกก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว โดยทั่วไปไม่น่าที่จะมีพุงใหญ่กว่า 36 นิ้ว
โดยสรุปถ้าไม่มีที่ชั่งน้ำหนัก ไม่มีที่วัดส่วนสูง ดูพุงตัวเองก็พอแล้ว ถ้าพุงใหญ่เกินไปก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว! ถึงแม้ว่าที่แขน ขา สะโพกอาจไม่อ้วน ทั้งนี้ความอ้วนหรือไขมันที่พุงจะมีความหมายเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าไขมันที่อื่น เช่น ถ้าอ้วนที่พุงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน และโรคเบาหวาน (ชนิดที่ 2)
แต่ประเด็นคือ ต้องยอมรับตัวเองว่าพุงใหญ่หรือไม่?
ถ้าอ้วนหรือมี BMI สูงเกินไป จะมีความหมายอย่างไร? ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าถ้าอ้วนเกินไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกเสื่อม โรคกรนและหยุดหายใจซึ่งจะมีภาวะแทรกซ้อนมากมายตามมา แม้แต่โรคมะเร็งโดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ และยังมีโรคอื่นๆ อีกมากมาย
ทำไมจึงอ้วน? คำตอบที่ง่ายคือ ผู้ที่อ้วนรับประทานอาหารมากกว่าที่จำเป็น มากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาจจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน อันนี้หมายความว่า ในขณะนี้รับประทานไม่มากกว่าที่ร่างกายใช้ แต่ยังอ้วนอยู่เพราะในอดีตรับประทานมากไป
ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ต้องการพลังงานเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้เราจะนอนหลับหรือนั่งเฉยๆ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า basic metabolism เพื่อการหายใจ เพื่อให้หัวใจเต้น การใช้พลังงานประการที่ 2 คือการเคลื่อนไหวประจำวัน ฯลฯ และประการที่ 3 คือการออกกำลังกาย โดยสรุปพอพูดได้ว่าผู้ที่อ้วน คือผู้ที่ได้รับพลังงานเข้าไปในร่างกายมากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาหารที่ให้พลังงานมาจาก 3 แหล่งคือ ไขมัน แป้ง และโปรตีน เท่านั้นคือ 9, 4 และ 4 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งกรัมตามลำดับ ส่วนวิตามิน เกลือแร่ และน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีแคลอรีหรือให้พลังงานเลย
ถ้าจะลดน้ำหนักจะต้องคุมอาหารและออกกำลังกาย จะต้องรับประทานน้อยกว่าที่ใช้ การคุมอาหารอย่างเดียวหรือออกกำลังกายอย่างเดียวจะได้ผลยาก โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายอย่างเดียวถึงแม้จะออกกำลังกายมาก แต่ถ้ารับประทานมากกว่าที่ใช้ก็จะยังลดน้ำหนักไม่ได้อยู่ดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไม่รับประทานอาหารเลย เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียไขมันและกล้ามเนื้อ แต่ถ้าคุมอาหารอย่างเดียวโดยไม่ออกกำลังกายจะลดน้ำหนักได้ช้าและน้ำหนักที่ลดอาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักการของการลดน้ำหนักคือต้องลดไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อ!
ในปัจจุบันโรคอ้วนเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นจึงเกิดธุรกิจขึ้นมากมายสำหรับการลดน้ำหนัก ผมเองมีความเห็นว่าถ้าใครที่อยากลดน้ำหนัก หากมีความรู้และมีวินัย ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลดไป ก็จะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเข้าคอร์สลดน้ำหนักที่ไหน บางแห่งคิดเงินแพงมากเพื่อให้ไปอดอาหารเท่านั้น
วิธีคุมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักที่ดี คือ
การรับประทานหนักไปทางพืชผักผลไม้ที่เขียวและแข็ง ปลา (ยกเว้นไข่ปลา) ไก่ที่ไม่มีหนัง และรับประทานข้าวได้บ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ข้าวให้น้อยที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง กะทิ น้ำตาล น้ำหวาน ของหวาน


ควรมีเทคนิคในการรับประทาน เช่น ควรทราบว่ากว่าร่างกายจะรู้ว่าอิ่มจะต้องใช้เวลา 20 นาที ฉะนั้นค่อยๆ รับประทาน อาจเริ่มด้วยการรับประทานซุปผัก ตามด้วยสลัด ปลา และข้าวบ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ค่อยๆ เคี้ยว พูดไปคุยไปด้วยจะได้รับประทานได้ไม่มากใน 20 นาที


นอกจากนั้นควรแบ่งอาหารที่รับประทานทั้งวันออกเป็น 3 มื้อ แทนที่จะรับประทาน 1-2 มื้อต่อวัน เพราะในการรับประทานอาหารแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังงาน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าปริมาณพลังงานที่รับประทานต่อวันต้องเท่ากัน แต่แบ่งออกเป็น 3-4 มื้อแทนที่จะรับประทาน 1-2 ครั้งต่อวันเท่านั้น
สำหรับการออกกำลังกาย
ควรเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งก็คือการใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ เช่น แขน หรือขา อย่างต่อเนื่องและนานพอ คืออย่างน้อย 20 นาที หนักพอ คือ ต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นประมาณ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ หรือ maximal heart rate, MRI คือ 220 - อายุ (ปี) แต่ในทางปฏิบัติไม่ต้องไปวัดชีพจรเพราะวัดได้ยาก แต่ควรออกกำลังกายให้เหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่ยังพอพูดได้ และควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าดูจากหลักการของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ว่านานพอ หนักพอ ก็คงคิดเองได้ว่าชนิดของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิค แต่จริงๆ แล้วเป็นการออกกำลังกายอะไรก็ได้ที่ทำได้นานพอ หนักพอ บ่อยครั้งพอ!
การออกกำลังกายที่สะดวกที่สุด ง่ายที่สุด ใครจะทำก็ได้ คือการเดิน ผู้ที่อ้วน สูงอายุ หรือเข่า ข้อเท้าไม่ดี วิธีออกกำลังกายอันดับแรกก็คือว่ายน้ำ สองคือการถีบจักรยาน เมื่อน้ำหนักลดลงพอแล้วจึงอาจวิ่งได้
ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกายไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ เช่น ว่ายน้ำ1 วัน วิ่ง 1 วัน จักรยาน 1 วัน แต่การว่ายน้ำและถีบจักรยานไม่ช่วยให้ร่างกายสร้างกระดูก ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเดินหรือวิ่งบ้าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี เนื่องจากสุภาพสตรีจะมีมวลกระดูกน้อยกว่าผู้ชาย ถ้ากระดูกมีน้อยไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกบาง พรุน และอาจทำให้หักได้ง่าย
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองควรลดน้ำหนัก อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักควรลดเพียงครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์เท่านั้น วิธีดีที่สุดคือ ดูแลตนเองไม่ให้อ้วน ดีกว่าอ้วนแล้วจึงพยายามลดน้ำหนักครับ!
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.106 เสาร์, 22/8/2552 เวลา : 11:45  IP : 58.9.169.106   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83675

คำตอบที่ 38
      

fiogf49gjkf0d
แพ้ไข่
ใครจะไปคิดว่าอาหารที่กินง่าย ๆ อย่างไข่ จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้




แถมวัคซีนที่ใช้ไข่ในกระบวนการผลิต อย่าง วัคซีนหวัด 2009 ชนิดเชื้อเป็น ที่ประเทศไทยกำลังผลิตอยู่ คนแพ้ไข่ก็เสียโอกาสไปด้วย

อยากรู้ว่า แพ้ไข่ อาการเป็นอย่างไร นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า ในเด็กก่อนขวบปีแรกที่แพ้อาหาร เช่น ไข่ขาว นมวัว ถั่วลิสง กลุ่มนี้จะพบได้ประมาณ 5-7%

การแพ้ไข่ เป็นการแพ้โปรตีนในไข่ขาว คือ อัลบูมิน โดยสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ คือ โอโวมิวคอยด์ เป็นโปรตีนตัวหนึ่ง ซึ่งทนความร้อนได้ดีมาก แม้ต้มไข่แล้วโปรตีนตัวนี้ก็ยังคงอยู่ เด็กอายุยังไม่ถึง 8 เดือน จึงไม่อยากให้กินไข่ขาว ถ้าสงสัยว่าแพ้ให้หลีกเลี่ยงไข่ขาวไว้ก่อน

อาการแพ้ไข่ขาว จะมี 2 อย่าง คือ อาการเฉพาะที่ และอาการ โดยรวมทั่วร่างกาย

อาการเฉพาะที่ ได้แก่ ปากบวมแดง คันในกระพุ้งปาก เยื่อบุอ่อน ๆ ในปาก หรือบางคนปากบวมเหมือนครุฑเลย

อาการโดยรวม จะมีได้ตั้งแต่เป็นผื่นลมพิษ บางทีแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจวี้ด ๆ เหมือนเป็นหอบ

คนไข้ที่แพ้ไข่ ส่วนใหญ่จะเจอในเด็กทารกไปจนถึงอายุ 6 ขวบ หรือไปจนถึงอายุก่อนเข้าวัยรุ่น แต่พอโตขึ้นไปแล้วร่างกายเหมือน ได้ภูมิต้านทานมาเรื่อย ๆ โดยคนที่แพ้ไข่ขาว นั้น มักจะแพ้ถั่วลิสง แพ้กลูเต็น หรือสารในข้าวสาลีด้วย พอกินอาหารเหล่านี้มาเรื่อย ๆ โตขึ้นจะทำให้มีภูมิต้านทานและไม่แพ้ไข่ขาวอีก ดังนั้นคนที่แพ้ไข่ขาวจะไม่แพ้ตลอดชีวิต

ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวบางคนจะมีผื่นคล้าย ๆ กลากน้ำนมที่บริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นสีแดง ๆ ซึ่งอาจเป็นผื่นแพ้ที่เกิดจากการแพ้ไข่ขาวหรือนม ก็ได้ ดังนั้นต้องสังเกตให้ดี และหากมีอาการดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงไข่ขาว รวมไปถึง ถั่วลิสง และข้าว สาลี

เคล็ดลับง่าย ๆ คือ ในเด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงอายุประมาณ 8 เดือนควรเลี่ยงอาหารจำพวกไข่ขาว ถั่วลิสง อาหารจากข้าวสาลี เพราะถ้าเกิดอาการแพ้ครั้งแรกปากบวม ปากเจ่อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแล้ว หากแพ้ครั้งที่ 2 จะทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้

นอกจากนี้ ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวต้องระวังเรื่องวัคซีน เพราะมีวัคซีนบางชนิดที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ จะห้ามฉีดพ่นในคนที่แพ้ไข่ขาวด้วย

ท้ายนี้อยากฝากว่า เมื่อใดก็ตามที่เป็นผื่นผิวหนัง แพ้ง่าย มีอาการเหมือนภูมิแพ้ไม่หายสักที ไปหาหมอก็ไม่หาย อาจจะงดไข่ขาว ถั่วลิสง หรือข้าวสาลี บางทีผื่นอาจหายไปเอง ได้ เพราะบางทีอาจแพ้โปรตีนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว.

นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ที่มาข้อมูล :








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:19  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83892

คำตอบที่ 39
      

fiogf49gjkf0d
หายใจให้เต็มปอด
ใครจะรู้บ้างว่า ปอดมีความสามารถบรรจุลมหายใจได้ถึง 2.5 ลิตร





ปอด อวัยวะสำคัญในทรวงอกทั้งสองข้าง ที่ แต่ที่หายใจเข้า-ออกกันอยู่ทุกวันนี้ เราใส่ลมหายใจเข้าไปในปอดเพียง 500 ซีซีต่อครั้ง หรือใช้ความสามารถของปอดไปแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่ากายหายใจเข้าเพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และหายใจออกเพื่อนำคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สที่ร่างกายไม่ต้องการทิ้งไปก็เกิดขึ้นแบบไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงควรฝึกการหายใจที่ถูกต้องเพื่อบริหารทางเดินหายใจ เพื่อปอดที่แข็งแรง ผ่อนคลายความตึงเครียด และบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ

เริ่มจากท่าที่ 1 นั่งในท่าสบาย กำมือขวา แล้วชูนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยออกมา ใช้นิ้วก้อยปิดรูจมูกซ้าย สูดหายใจเข้าทางรูจมูกขวาอย่างช้า ๆ จนอากาศเข้าไปเต็มปอด จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือปิดรูจมูกขวา แล้วปล่อยนิ้วก้อยออกจากรูจมูกซ้าย หายใจออกทางรูจมูกซ้าย โดยเริ่มใหม่หายใจเข้าทางรูจมูกซ้ายช้า ๆ จนรู้สึกเต็มที่ แล้วใช้นิ้วก้อยปิดรูจมูกซ้าย ปล่อยนิ้วหัวแม่มือจากรูจมูกขวา หายใจออกทางรูจมูกขวา ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันอย่างช้า ๆ นาน 3-5 นาที (ท่านี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้)

ต่อด้วยท่าที่ 2 นั่งในท่าสบาย หายใจเข้าช้า ๆ แล้วนับ 1-5 ก่อนกลั้นหายใจไว้นานเท่ากับนับ 1-10 และหายใจออกนับ 1-5 แล้วจึงพักนานเท่ากับนับ 1-5 แล้วเริ่มหายใจเข้าไปใหม่ ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันนาน 3-5 นาที

จากนั้นเป็นท่าที่ 3 อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ตัวตรง มือทั้งสองประสานไว้ด้านหลัง หายใจเข้าให้เต็มปอด พร้อม ๆ กับเอนไปทางด้านหลัง แล้วก้มตัวลงพร้อมหายใจออก ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันนาน 3-5 นาที

สุดท้ายท่าที่ 4 นั่งในท่าสบาย สูดหายใจเข้าช้า ๆ จนท้องป่อง แล้วค่อยๆ หายใจออกช้า ๆ จนท้องแฟบ ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันนาน 3-5 นาที

ที่สำคัญควรเปิดเพลงสบาย ๆ คลอระหว่างบริหารทางเดินหายใจ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และช่วยกำหนดระยะเวลาของแต่ละท่า ( 1 เพลงนานเท่ากับ 1 ท่าบริหาร) แต่ไม่ควรทำอย่างเร่งรีบ เพราะอาจเกิดอาการหน้ามืดจนเป็นลมหมดสติ ส่วนสถานที่ที่เหมาะสมควรเป็นบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน ในบรรยากาศอันร่มรื่น.

takecareDD@gmail.com




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:21  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83893

คำตอบที่ 40
      

fiogf49gjkf0d
อดตาหลับ ขับตานอน
หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ ๆ




โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด ๆ



เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

takecareDD@gmail.com




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:22  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83894

คำตอบที่ 41
      

fiogf49gjkf0d
นั่ง ยืน แบบไหน? ลดปวดเมื่อย
การมองข้ามความสำคัญของท่านั่ง ท่ายืนที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา




อาทิ อาการปวดเมื่อยหลัง หรือปวดศีรษะ

สำหรับท่านั่งที่ถูกต้อง คือ...

นั่งหลังตรง โดยไม่ทิ้งน้ำหนักกดสันหลังช่วงล่าง
ไม่งอหรือห่อไหล่ และนั่งให้เต็มเก้าอี้
พิงหลังชิดพนัก หาหมอนหรือผ้าหนุนบริเวณส่วนเว้าของพนักพิง
วางปลายเท้าทั้งสองข้างให้ถึงพื้น และกระจายน้ำหนักให้เท่ากัน
พับเข่าทำมุม 90 องศา ในระดับเดียวกับสะโพก
ส่วนแขนปล่อยวางข้างลำตัว พร้อมนั่งแขม่วหน้าท้องเล็กน้อย หายใจให้เป็นธรรมชาติ
ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง เพราะเป็นการบิดตำแหน่งเชิงกรานให้ผิดลักษณะ ส่งผลให้น้ำหนักขาตกอยู่ที่เส้นเอ็นและกระดูกอ่อน
ขณะนั่ง หมั่นยืดหลังให้บริเวณอกแอ่นไปด้านหน้า ค้างไว้ครั้งละ 20 วินาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องและผ่อนน้ำหนักจากข้อต่อสันหลัง


เมื่อต้องการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นยืน ให้ขยับตัวไปด้านหน้าของเก้าอี้ ก่อนทิ้งน้ำหนักที่ขา ยืดขาช้า ๆ พยายามอย่ายืนขึ้นในลักษณะสันหลังช่วงเอวโก่งงอ

ส่วนท่ายืนที่ถูกต้อง คือ...

ศีรษะและคอตั้งตรง
ไม่เกร็งช่วงไหล่ และกระดูกไหปลาร้า ให้อยู่ในลักษณะผายออกอย่างผ่อนคลาย
สะโพกทั้งสองข้างให้อยู่ในระดับเสมอกัน
งอเข่าเล็กน้อย ไม่ควรเหยียดยืดให้ตรงเกินไป
ข้อเท้าทั้งสองข้าง ควรทิ้งน้ำหนักตัวเฉลี่ยเท่า ๆ กัน


การนั่งและยืนอย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้ดูสง่าผ่าเผยแล้วยังช่วยลดการเสื่อมของข้อต่อ ลดความตึงของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อไม่เกิดอาการอ่อนล้า ป้องกันอาการปวดหลัง-ปวดศีรษะ ลดความเสี่ยงจากการเจ็บกล้ามเนื้อฉับพลันได้.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ที่มาข้อมูล :









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:23  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83895

คำตอบที่ 42
      

fiogf49gjkf0d
อาการคัน
อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง




อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อคันแล้วก็ต้องเกา ๆๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า อาการคันเป็นความรู้สึกที่ผิวหนัง ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ บางครั้งคล้ายแมลงไต่ ทำให้รำคาญ หงุดหงิด

อาการคันเกิดที่ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุตา อาการคันจะมากหรือน้อยจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันอาการคันจึงแตกต่างกัน แต่ละส่วนของร่างกายก็ไวต่ออาการคันต่างกัน ที่รุนแรงพบบริเวณรอบทวารหนัก รอบอวัยวะเพศ ช่องหู เปลือกตาและช่องจมูก ในแต่ละส่วนของร่างกายมีความไวต่ออาการคันต่างกัน ดังนั้นโรคเดียวกันผื่นอยู่คนละแห่งก็จะคันต่างกัน

ความรุน แรงของอาการคันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นกับหลาย ปัจจัย เช่น สภาพจิต บุคคลซึ่งเคร่งเครียด วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ขี้กลัว โกรธง่าย จะมีอาการคันมากกว่าบุคคลซึ่งมีสภาพจิตปกติ

เวลาและอุณหภูมิ ก็มีส่วน โดย กลางคืนจะคันมากกว่าเวลากลางวัน เพราะการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในเวลากลางคืนเพิ่มขึ้น เป็นผลให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นปัจจัยตัวกระตุ้นให้คัน และความอบอุ่นในเวลากลางคืน ยังทำให้สมองส่วนกลางซึ่งควบคุมความรู้สึกคันไวต่ออุณหภูมิที่ร้อนเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยซึ่งมีอาการคันในเวลากลางคืนมักเป็นโรคไม่ใช่สาเหตุจากด้านจิตใจ และโรคผิวหนังบางโรคผู้ป่วยจะเกาประมาณร้อยละ 10 ของเวลาหลับ
สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา

2.คันจากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก

3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอยผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน

5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ

การรักษาผื่นคันในระยะเฉียบพลันอาจทุเลาด้วยความเย็น เช่น การอาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น ยาทาคาลาไมด์ ควรทำด้วยความนุ่มนวล เพราะการขัดถูแรง ๆ ทำให้ผื่นเห่อได้ ในผู้ป่วยลมพิษถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวกควรพบแพทย์

ส่วนผื่นคันเรื้อรังต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ผื่นคันทั่วตัวเรื้อรังชนิดคันมากที่สุด คือ โรคหิด มีลักษณะผื่นเฉพาะ เป็นตุ่มและรอยเกา ในบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ หน้าผาก หน้าขา อัณฑะ และองคชาต คันมากในเวลากลางคืน และเป็นโรคติดต่อในผู้ใกล้ชิด ส่วนโรคผิวหนังอื่นที่มีผื่นทั่วตัวต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาต่อไป ในรายมีโรคภายในแฝง การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการก็จะวินิจฉัยโรคได้ และเมื่อรักษาโรคแฝงอาการคันจะทุเลาได้

เมื่อเกิดผื่นคันอย่าตื่นตกใจ ผื่นผิวหนังร้อยละ 80 จะหายได้เอง ควรตั้งสติพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด และเมื่อหลีกเลี่ยงก็ยังไม่ทุเลาควรพบแพทย์ ส่วนการรักษาในเบื้องต้นเพื่อระงับอาการ คือ ประคบด้วยความเย็น รับประทานยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีน ควรงดการใช้สบู่บริเวณคันเพราะระคายและทำให้ผิวแห้ง หลายท่านชอบใช้ยาหม่อง เมนโทลาทัม อาการคันลดลงได้แต่อาจเกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา ส่วนการใช้ยาผงโรยอาจรู้สึกหาย คันเพราะแป้งทำให้เย็น แต่ด้วยยาฆ่าเชื้อในผงอาจทำให้แพ้ตามมาจึงไม่ควรใช้

ถ้าคันแล้วยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์จะทำอย่างไร ? หลายท่านอาจแนะนำว่าอย่าเกาซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะคันก็ต้องเกาจึงจะหายคัน แต่ควรเกาแบบมีสติ คือ เกาเบา ๆ ไม่ใช่เกาแบบรุนแรง ก็จะช่วยทุเลาอาการได้.


นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:25  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83896

คำตอบที่ 43
      

fiogf49gjkf0d
อิ่มอร่อย หลับสบาย
ผลหมากรากไม้ ที่ช่วยบำรุง (จิตใจ) ให้ข่มตาหลับสนิท




หากใกล้ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปี คนที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีคงรู้สึกหวั่น ๆ กับการตรวจไม่น้อย จนพาลคิดว่าอาจเป็นโรคนั้นโรคนี้แล้วแต่จิตนาการจะพร่ำเพ้อจนนอนหลับไม่สนิท "กินดี" ศุกร์นี้ขอพักเมนูอาหารน่าหม่ำไว้ชั่วคราว เพื่อแนะนำเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายไว้ เจาะเลือด ในวันรุ่งขึ้น ดังนี้

กล้วย ผลไม้ที่เป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายตัว อีกทั้งในกล้วยมีฤทธิ์ลดการหลั่งสารซีโรโทนินหรือฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นน้อยลง

ชาคาโมไมล์ ใช้ดื่มก่อนนอน ช่วยลดอาการกระสับกระส่ายหรือตื้นเต้นจากอาการหวาดกลัว

นมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้งหยดเดียว จะช่วยให้สมองลดการหลั่งโอเรซิน หรือสารสื่อประสาทตื่นตัว ให้ตื่นตัวน้อยลง

มันฝรั่งปริมาณน้อย ย้ำ! ปริมาณน้อย เพราะจะไม่รบกวนกระเพาะอาหารมาก แต่จะช่วยลดกรดที่จะรบกวนการหาว ซึ่งกระตุ้นการหลั่งทริปโตแฟน หรือกรดอะมิโนธรรมชาติ มีมากในอาหารโปรตีน สมองเปลี่ยนทริปโตแฟนเป็นฮอร์โมนซีโรโทนินซึ่งช่วยควบคุมการนอนหลับอีกที ทานกับนมอุ่น ๆ สักแก้ว เวิร์กสุด ๆ

ข้าวโอ๊ตและอัลมอนด์ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้นอนหลับสบาย การทานซีเรียลผสมอัลมอนด์ชามเล็ก ๆ ราด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล จะทำให้หลับสบาย

และ ขนมปังธัญพืช ทานกับน้ำชาผสมน้ำผึ้งหยดเดียว มีฤทธิ์กระตุ้นสารหลั่งอินสุลิน ช่วยให้ทริปโตแฟนเข้าสู่สมองได้ดีขึ้น

เห็นไหม หลับฝันดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่อย่าลืมนะว่า ก่อนตรวจสุขภาพห้ามทานยาทุกชนิดจ้า

ขอให้สุขภาพแข็งแรง




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:28  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83897

คำตอบที่ 44
      

fiogf49gjkf0d
ฝนตก ทำไมต้องเป็นหวัด?
เคยสงสัยกันไหม ทำไมเวลาเข้าฤดูฝนทีไร เป็นต้องได้ยินเสียงฮัดชิ้ว ไอ จาม




ของคนรอบข้างอยู่เป็นประจำ หรือถ้าศีรษะเปียกฝนต้องรีบกลับมาอาบน้ำ สระผมทันที ไม่เช่นนั้นจะไม่สบาย วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก





โรคหวัด หรือ เรียกอีกอย่างว่า โพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ที่กระจายอยู่เป็นร้อย ๆ ชนิดในอากาศ ทุกวันเราต้องสัมผัสกับเจ้าไวรัสพวกนี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากร่างกายของเรามีภูมิต้าน ทาน และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถทำอะไรเราได้





แต่ถ้าวันไหนท้องฟ้ามืดครึ้ม มีลมแรง พัดไวรัสให้ฟุ้งกระจาย และเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนที่ฝนใกล้จะตก โอกาสที่จะสัมผัสไวรัสก็มีมากขึ้น หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น คือ เราตากฝน ทำให้ศีรษะเปียกชื้น จะทำให้อุณหภูมิที่บริเวณเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้ ทำให้เราเป็นหวัดนั่นเอง





หรือบางที ถ้าเท้าเราต้องแช่อยู่ในน้ำนาน ๆ หรือเปียกน้ำ อุณหภูมิในเยื่อบุจมูกลดต่ำลง ก็นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้เช่นกัน ฉะนั้น เรามาทราบวิธีป้องกันไม่ให้เราเป็นหวัดเวลาที่ศีรษะเปียกฝนกันดีกว่า





1. อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะก่อนฝนตก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกกันไว้



2. หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งทันที แต่ถ้าจะให้ดีอาบน้ำสระผมไปเลย จากนั้นรีบเช็ดและเป่าให้แห้งโดยเร็ว เพื่อทำให้อุณหภูมิเปลี่ยน และเจ้าเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวได้ลำบาก



3. แช่เท้าในน้ำอุ่นหรือรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น



4. รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล หรือรับประทานวิตามินซีเม็ด เพื่อช่วยเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป

ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้าร่างกายเราแข็งแรงซะอย่าง โรคไหนก็ไม่มีทางมากล้ำกรายได้เด็ดขาด.



takecareDD@gmail.com
ข้อมูลบางส่วนจาก http://www.bangkokhospital.com/








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:31  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83898

คำตอบที่ 45
      

fiogf49gjkf0d
น้าปัญจะ ช่วยด้วย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:33  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83899

คำตอบที่ 46
      

fiogf49gjkf0d
นอนกัดฟัน
จะมีใครสักกี่คนรู้ว่าตัวเองนอนกัดฟัน เพราะตอนเราหลับเพลินๆ ฝันเรื่อยเปื่อยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่คนข้างๆ สิ อาจนอนไม่หลับ เพราะเสียงเซอร์ราวด์ข้างๆ


พล.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี ทันตแพทย์




หู ไม่ใช่เฉพาะแค่เสียงกัดฟันที่ก่อความไม่สงบ แต่มีผลเสียต่อเจ้าตัวอยู่มากพอสมควร คนที่นอนกัดฟัน ถ้าเป็นมากแล้วไม่ได้รับการป้องกันแก้ไขนั้น เรื่องที่เห็นได้ชัด ๆ คือ





มีฟันสึก เพราะชาวบ้านกลางคืนเขาหยุดเคี้ยวกันแล้ว แต่แกยังกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ เอาฟันขบกับฟัน โดยไม่มีอาหารกั้นกลางเลย มันก็ต้องสึกแน่นอน สึกจนฟันเตี้ย



ฟันร้าว ฟันแตกได้ ก็เพราะฟันมันทำงานหนักมากกว่าธรรมดา กอปรกับแรงบดเคี้ยวแรงมาก ถูกกระแทกจำนวนครั้งมากกว่าปกติ ฟันบางซี่ทนไม่ได้ก็มีอาการร้าวเกิดขึ้น ฟันร้าวนี่เสียวมากๆ เวลากินของร้อนและเย็น



มีอาการปวดศีรษะ ก็เพราะการเคี้ยว ทำให้มีการขยับขากรรไกรอยุ่ตลอดเวลา ขากรรไกรจะขยับได้ก็ต้องอาศัยกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและศีรษะเป็นตัวขับเคลื่อน การนอนกัดฟัน เท่ากับว่าขากรรไกรต้องทำงานแบบผิดปกติและทำอยู่ทั้งคืน กล้ามเนื้อบริเวณนี้มันไม่ได้พัก ก็มีผลทำให้รู้สึกปวดศีรษะได้โดยเฉพาะเวลาตื่นนอน



เห็นไหมครับว่า ผลข้างเคียงจากการนอนกัดฟันนั้น มีมากและกระทบกับฟันซี่ดีๆ ด้วย จึงควรได้รับการแก้ไข ทีนี้เราลองมาดูว่า สาเหตุจริงๆ ของการนอนกัดฟันมาจากอะไร?



ความเครียด ความวิตกกังวล มีผลมากทำให้สะท้อนออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยการนอนกัดฟัน ในภาวะสังคม เศรษฐกิจปัจจุบัน เราต้องเผชิญความเครียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ แบบต้องพบหลบไม่ได้ จึงต้องหาวิธีผ่อนคลายความเครียด หรือลดมันให้ได้ เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับร่างกายด้านอื่นๆ การออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ทำสมาธิ ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่จะลดความเครียด และน่าจะเป็นแนวทางแบบสมดุลมากกว่าการใช้ยาลดความเครียด



มีฟันเก ฟันซ้อน หรือสบผิดปกติ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้นอนกัดฟันได้ เพราะร่างกายจะพยายามชดเชย โดยการบดฟันให้เข้าที่ ตรงไหนสะดุดชน การกัดฟันก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อปรับให้เสมอกัน



แก้ปัญหานอนกัดฟันอย่างไรดี ?
สิ่งแรกเลยคือต้องหาทางป้องกันอย่าให้เครียดหรือสร้างภูมิคุ้มกันให้ทนกับความเครียดให้ได้
ขจัดสาเหตุชักนำ การมีฟันซ้อน ฟันเก ก็จัดเสีย ถ้าฟันสบไม่ดีสูงไป ก็ปรับให้มันลงตัวโดยทันตแพทย์
ใส่ฟันยาง ซึ่งทันตแพทย์จะพิมพ์ฟัน แล้วหล่อแบบทำให้เหมาะสม หรือชิดกับฟันของแต่ละคนใส่นอนกลางคืนเพื่อลดการเสียดสีและของฟัน ป้องกันไม่ให้ฟันสึก หรือแตกร้าวได้ อีกประโยชน์หนึ่งยังช่วยลดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดีครับ



หากท่านมีปัญหาดังกล่าวก็อย่ารอช้า รีบปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและป้องกันก่อนที่ฟันของท่านถูกบดขยี้ด้วยการนอนกัดฟันจนแบนราบชิดขอบเหงือก เรื่องนี้ป้องกันแก้ไขได้ครับ



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.169.77 อังคาร, 8/9/2552 เวลา : 09:42  IP : 58.9.169.77   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83900

คำตอบที่ 47
      

fiogf49gjkf0d

EFFECTS OF COLD WATER
Please be a true friend and send this article
to all your friends you care about.


For those who like to drink cold water, this article is applicable to you.
บทความนี้ สำหรับคนที่ชอบกินน้ำเย็น โดยเฉพาะ
It is nice to have a cup of cold drink after a meal. However, the cold water will solidify the oily stuff that you have just consumed.
เวลาได้กินน้ำเย็นๆ ซักแก้ว หลังอาหาร รู้สึกมันชื่นใจดีใช่มั้ยครับ
แต่ว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี๊จับตัวเป็นไขขึ้นมา
It will slow down the digestion. Once this 'sludge' reacts with the acid, it will break down and be absorbed by the intestine faster than the solid food. It will line the intestine. Very soon, this will turn into fats and lead to cancer. It is best to drink hot soup or warm water after a meal.
ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหาร ช้าลง ถ้าคราบไขมันเหล่านี้ไปทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วจะถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่ แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วก็จะ เริ่มเคลือบลำไส้ของเราไว้ (ด้านใน) ในไม่ช้า มันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และ เป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้น ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า

A serious note about heart attacks - You should know that not every heart attack symptom is going to be the left arm hurting. Be aware of intense pain in the jaw line.
ขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของ โรคหัวใจ เวลาที่เกิดอาการ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บที่แขนซ้ายเสมอไป
ถ้าคุณมีอาการปวดกรามหรือขา กรรไกรก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคหัวใจได้

You may never have the first chest pain during the course of a heart attack. Nausea and intense sweating are also common symptoms. 60% of people who have a heart attack while they are asleep do not wake up. Pain in the jaw can wake you fro m a sound sleep. Let's be careful and be aware. The more we know the better chance we could survive.
แม้ว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้อง มีอาการเจ็บหน้าอก อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับโรคทั่วๆไป 60 % ของ คนที่โรคหัวใจกำเริบขณะหลับมันจะไม่ตื่น (อีกเลยรึ เปล่าก็ไม่รู้) แต่อาการปวดกราม อาจจะทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึกได้ ก็ให้ระวังดู และตัวเอง ถ้ามีอาการเหล่านี้

A cardiologist says if everyone who reads this message sends it to 10 people, you can be sure that we'll save at least one life. Read this & Send the link to a friend. It could save a life. So, please be a true friend and send this article to all your friends you care about.
ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกล่าว ว่า ถ้าคุณช่วยส่งเมล์นี้ต่อให้คนอื่นๆ ซัก 10 คน อาจ จะช่วยชีวิตคนไว้ได้
อย่างน้อยคนนึง ช่วยเพื่อนๆ และคนที่คุณรักด้วยการส่งต่อให้กับเพื่อนๆ ของคุณ










 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.172.55 พฤหัสบดี, 17/9/2552 เวลา : 11:06  IP : 58.9.172.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83971

คำตอบที่ 48
      

fiogf49gjkf0d

EFFECTS OF COLD WATER
Please be a true friend and send this article
to all your friends you care about.


For those who like to drink cold water, this article is applicable to you.
บทความนี้ สำหรับคนที่ชอบกินน้ำเย็น โดยเฉพาะ
It is nice to have a cup of cold drink after a meal. However, the cold water will solidify the oily stuff that you have just consumed.
เวลาได้กินน้ำเย็นๆ ซักแก้ว หลังอาหาร รู้สึกมันชื่นใจดีใช่มั้ยครับ
แต่ว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี๊จับตัวเป็นไขขึ้นมา
It will slow down the digestion. Once this 'sludge' reacts with the acid, it will break down and be absorbed by the intestine faster than the solid food. It will line the intestine. Very soon, this will turn into fats and lead to cancer. It is best to drink hot soup or warm water after a meal.
ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหาร ช้าลง ถ้าคราบไขมันเหล่านี้ไปทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วจะถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่ แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วก็จะ เริ่มเคลือบลำไส้ของเราไว้ (ด้านใน) ในไม่ช้า มันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และ เป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้น ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า

A serious note about heart attacks - You should know that not every heart attack symptom is going to be the left arm hurting. Be aware of intense pain in the jaw line.
ขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของ โรคหัวใจ เวลาที่เกิดอาการ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บที่แขนซ้ายเสมอไป
ถ้าคุณมีอาการปวดกรามหรือขา กรรไกรก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคหัวใจได้

You may never have the first chest pain during the course of a heart attack. Nausea and intense sweating are also common symptoms. 60% of people who have a heart attack while they are asleep do not wake up. Pain in the jaw can wake you fro m a sound sleep. Let's be careful and be aware. The more we know the better chance we could survive.
แม้ว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้อง มีอาการเจ็บหน้าอก อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับโรคทั่วๆไป 60 % ของ คนที่โรคหัวใจกำเริบขณะหลับมันจะไม่ตื่น (อีกเลยรึ เปล่าก็ไม่รู้) แต่อาการปวดกราม อาจจะทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึกได้ ก็ให้ระวังดู และตัวเอง ถ้ามีอาการเหล่านี้

A cardiologist says if everyone who reads this message sends it to 10 people, you can be sure that we'll save at least one life. Read this & Send the link to a friend. It could save a life. So, please be a true friend and send this article to all your friends you care about.
ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกล่าว ว่า ถ้าคุณช่วยส่งเมล์นี้ต่อให้คนอื่นๆ ซัก 10 คน อาจ จะช่วยชีวิตคนไว้ได้
อย่างน้อยคนนึง ช่วยเพื่อนๆ และคนที่คุณรักด้วยการส่งต่อให้กับเพื่อนๆ ของคุณ










 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.172.55 พฤหัสบดี, 17/9/2552 เวลา : 11:06  IP : 58.9.172.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 83972

คำตอบที่ 49
      

fiogf49gjkf0d
เดิน...ก้าวย่างสู่ความแข็งแรง
การออกกำลังกายด้วย การเดิน นั้น ถือเป็นวิธีสร้างสุขภาพที่มีต้นทุนต่ำที่สุด

การออกกำลังกายด้วย การเดิน นั้น ถือเป็นวิธีสร้างสุขภาพที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เพราะไม่ว่าจะที่ไหน หรือเมื่อไหร่ หากคุณก้าวเท้าเดิน เดิน เดิน ให้ร่างกายได้ขยับก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว ยิ่งถ้าปฏิบัติในท่าทางที่ถูกต้อง ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ รวม ๆ แล้วคือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกโดยเฉพาะบริเวณขา



ก่อนออกเดิน ควรมีการอบอุ่นร่างกาย โดยการหมุนข้อเท้าเพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดินย้ำเท้าอยู่กับที่ สำหรับการเดินที่ถูกที่ควรนั้นให้เดินตัวตรง ศีรษะตั้งตรง มองไปข้างหน้า ปล่อยแขนทั้งสองข้ามตามสบาย แต่สามารถออกแรงแกว่งแขนได้พอประมาณเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวไหล่และหลังส่วนบน ส่วนเท้าให้สัมผัสพื้นอย่างเต็มเท้า โดยส่วนปลายนิ้วหัวแม่เท้าจะเป็นส่วนสุดท้ายที่ยกขึ้นจากพื้น

จังหวะของการเดินควรสม่ำเสมอ ไม่เร็วจนรู้สึกเหนื่อยหอบหายใจไม่ทันและเกิดอาการจุกเสียด หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นให้ชะลอการเดินแล้วค่อยหยุด ส่วนการเดินที่ช้าเกินไปหรือเรียกว่าเดินทอดน่อง จะส่งผลให้การเต้นของหัวใจไม่ถึงกำหนดจนทำให้หัวใจไม่แข็งแรง

คุณประโยชน์ของการเดินก็มีอยู่มาก ทั้งช่วยให้มีอายุที่ยืนยาว เพราะมีการทำวิจัยแล้วะพบว่า ผู้ที่เดินได้ระยะทาง 3.2 กิโลเมตรต่อวันนั้นมีอายุยืนกว่าผู้ที่เดินได้ระยะทางต่ำกว่า 1.6 กิโลเมตรต่อวัน

นอกจากการต่อเวลาให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้นานขึ้น การเดินยังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมัน ขับเหยื่อถ่ายเทความร้อน ช่วยลดความดันในดวงตา ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต้อหินได้ แถมยังช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้สะดวก

เมื่อการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายดาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมากคุณค่าและส่งผลดีเด่นต่อสุขภาพในระยะยาว แล้วคุณจะรอช้าอยู่ทำไม เพียงเลือกเดินในระยะทางที่พอจะทำได้แทนการใช้พาหนะ ดีกว่าปล่อยตัวจนแก่ล่วงวัยไม้ใกล้ฝั่ง แล้วค่อยมาคิดอยากออกกำลังกาย ที่แม้แต่การเดินก็ยังยาก.

takecaredd@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.173.134 อังคาร, 27/10/2552 เวลา : 12:31  IP : 58.9.173.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 84771

คำตอบที่ 50
      

fiogf49gjkf0d
คีเลชั่น (Chelation) คืออะไร
คีเลชั่น (Chelation) คืออะไร? คีเลชั่น คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ

คีเลชั่น (Chelation) คืออะไร?
คีเลชั่น คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก จากระบบปัสสาวะ ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก

ประโยชน์ที่ได้รับ

ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด
ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี
ล้างพิษด้วย Chelation Therapy ดีอย่างไร ?
โลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ ก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง



คีเลชั่นเหมาะกับใคร

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ

ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย

ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ

ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น

ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต

ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้
ข้อควรทราบเมื่อต้องการทำ คีเลชั่น

ควรตรวจร่างกายเพื่อประเมินปัญหาที่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไต ก่อนเข้ารับบริการ
ระหว่างการรักษา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะระหว่างการทำอาจ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน แร่ธาตุ พอเพียงต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย
ผลข้างเคียงจากการทำคีเลชั่น
ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย

สำหรับขั้นตอนการบำบัดรักษาประกอบด้วย

พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย อย่างละเอียด โดยจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล
ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบงบอก ภาวะของเลือด
ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค
ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คลินิกเวชกรรม Beauty Definition
999 Gaysorn building,Lobby Leval

ที่มาข้อมูล : Beauty definition




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Red Machine 067 58.9.173.134 อังคาร, 27/10/2552 เวลา : 12:33  IP : 58.9.173.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 84772

คำตอบที่ 51
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 02/11/2009สารพันปัญหากลิ่นตัว
กำลังตั้งครรภ์อยู่ค่ะ สังเกตว่ามีกลิ่นตัวมากเหลือเกินค่ะ อยากถามคุณหมอเรื่องการดูแลไม่ให้เกิดกลิ่นตัวและการใช้ยาดับกลิ่น



นพ.ประวิตร พิศาลบุตร ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง


กลิ่นตัวเกิดได้อย่างไร

Q. ช่วงหน้าร้อนหน้าฝน ผมมักมีเหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัว อยากทราบว่ากลิ่นตัวเกิดได้อย่างไรครับ?
องอาจ / จ.สมุทรปราการ


A. ตามธรรมชาติเหงื่อนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ โดยปกติต่อมเหงื่อมี 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า ต่อมเหงื่อเอ็คครายน์ (eccrine) มีกระจายทั่วร่างกาย นับได้ประมาณ 2 ล้านต่อม เป็นต่อมเหงื่อที่หลั่งเหงื่อใสๆ ออกมาเวลาร้อนจัด ส่วนต่อมเหงื่ออีกชนิดเรียกว่า ต่อมเหงื่ออะโปครายน์ (apocrine) มักอยู่ตามรักแร้ รอบหัวนม ทวารหนัก และรอบอวัยวะเพศ

กลิ่นตัวทั่วไปนั้นเกิดจากการที่ต่อมเหงื่ออะโปครายน์หลั่งของเหลวสีคล้ายน้ำนมออกมา แต่เนื่องจากมีเป็นจำนวนน้อยมาก จึงไม่ค่อยได้สังเกตเห็นกัน แล้วมีแบคทีเรียตามผิวหนังออกมาย่อยสลายของเหลวนั้นทำให้เกิดกลิ่นตุๆ ขึ้นได้ พบว่าอาหารบางอย่าง เช่น หอมและกระเทียม เครื่องเทศ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วส่งกลิ่นออกมากับเหงื่อได้ เท้าที่ใส่ถุงเท้ารองเท้าอยู่ทั้งวันมีเหงื่ออับชื้นอยู่ตลอดทำให้แบคทีเรียเติบโตมาก เมื่อถอดถุงเท้ารองเท้าจะได้กลิ่นเหม็นโชยไปไกลได้ อากาศที่ร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนและฤดูฝนทำให้มีเหงื่อมากกว่าปกติ อารมณ์ที่ตึงเครียด กระวนกระวายใจ ก็ทำให้เหงื่อออกได้ พบว่าการสูบบุหรี่ทำให้เหงื่อหลั่งมากขึ้นเช่นกัน แต่เหงื่อใสที่หลั่งโดยต่อมเหงื่อเอ็คครายน์นี้ช่วงแรกก็ไม่มีกลิ่น ต่อเมื่อเมื่อมีการเติบโตของแบคทีเรียจะเกิดกลิ่นตัวขึ้น พบว่าคนอ้วนและผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดกลิ่นตัวง่ายกว่าคนทั่วไป



การดูแลผิวพรรณไม่ให้เกิดกลิ่นตัว

Q. กำลังตั้งครรภ์อยู่ค่ะ สังเกตว่ามีกลิ่นตัวมากเหลือเกินค่ะ อยากถามคุณหมอประวิตร พิศาลบุตรเรื่องการดูแลไม่ให้เกิดกลิ่นตัวและการใช้ยาดับกลิ่นค่ะ
อาทิตยา / จ.กรุงเทพฯ

A. ตามปกติเวลาตั้งครรภ์ ต่อมเหงื่ออะโปครายน์ที่หลั่งเหงื่อสีน้ำนมมักทำงานลดลง แต่ว่าที่คุณแม่ก็อาจส่งกลิ่นตัวได้ เพราะต่อมเหงื่อเอ็คครายน์ที่หลั่งเหงื่อใสทำงานมากขึ้น ทำให้ผิวหนังชื้นแฉะเชื้อแบคทีเรียเติบโตได้ดี โดยทั่วไปแนะนำว่าเวลาตั้งครรภ์ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งบางและหลวมเพื่อให้เหงื่อระบายออกไปได้ง่าย ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง ใช้สบู่อ่อนฟอกตามตัวและตามซอกพับ ถ้าบริเวณใดอับชื้นง่าย เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือซอกนิ้วเท้า ก็ให้ใช้แป้งฝุ่นโรยเพื่อดูแลให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้ง

เสื้อผ้าต้องซักให้สะอาด ผึ่งแดดให้แห้งสนิทได้ก็ดี เพราะเสื้อผ้าที่ไม่สะอาดและอับชื้นอยู่เสมอเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้ นอกจากนั้นยังพบว่ากลิ่นตัวยังติดอยู่กับเสื้อผ้าได้ด้วย

การโกนขนรักแร้ช่วยลดกลิ่นตัวได้ เพราะเชื้อแบคทีเรียชอบบริเวณที่อับชื้นอย่างเช่นที่รักแร้อยู่แล้ว ลดการรับประทานเครื่องเทศ เช่น หอม กระเทียม และลดการรับประทานหน่อไม้ฝรั่ง เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนเสริมให้กลิ่นตัวมากขึ้นได้ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนผสมอยู่ เช่น กาแฟ ชา และน้ำอัดลม สารคาเฟอีนกระตุ้นให้หลั่งเหงื่อได้มาก รวมทั้งงดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากก่อกลิ่นตัวแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ด้วยครับ

ถ้าดูแลรักษาตามแบบที่ว่าแล้วยังมีเหงื่อออกมากหรือมีกลิ่นตัวอยู่ ก็ควรเลือกใช้ยาลดเหงื่อ ยาดับกลิ่น หรือไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง



การเลือกใช้ยาดับกลิ่นตัว

Q. อยากถามว่าควรเลือกใช้ยาดับกลิ่นตัวและลดเหงื่ออย่างไหนดีคะ?
ภัคจิรา / จ.ชลบุรี

A. ยาลดเหงื่อ (antiperspirants) ที่ขายในท้องตลาดไม่ว่าในรูปครีม รูปแท่ง โลชัน แป้งฝุ่น หรือ โรลออน มักลดการหลั่งของเหงื่อได้ดีกว่าสเปรย์พ่น แต่จะเลือกใช้แบบใดก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คือชอบว่าแบบใดที่ใช้ง่ายที่สุด ใช้แล้วไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ใช้แล้วไม่แสบไม่คัน เมื่อทายาลดเหงื่อแล้วเหงื่อลดน้อยลง ย่อมเป็นการดับกลิ่นตัวไปด้วยทางอ้อม อย่างไรก็ตาม หากเหงื่อออกไม่มากแต่ก็มีกลิ่นตัว ขอแนะนำให้ใช้ยาดับกลิ่นตัวโดยตรงจะดีกว่าครับ


ส่วน ยาดับกลิ่นตัว (deodorants) ไม่ลดการหลั่งของเหงื่อ ประกอบด้วยสารที่มีฤทธิ์ทำลายแบคทีเรียผสมกับสารที่มีกลิ่นหอม จึงทำให้กลิ่นตัวลดลงได้ ยาดับกลิ่นตัวในท้องตลาดก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบกับยาลดเหงื่อนั่นเอง บางครั้งอาจมีอาการแพ้ ระคายเคือง ตามบริเวณที่ทายาดับกลิ่นตัวหรือยาลดเหงื่อได้ ควรเปลี่ยนชนิดดู เลือกใช้ชนิดที่โฆษณาว่าใช้แล้วเกิดแพ้ได้น้อย (hypoallergenic products) ถ้ายังแพ้อยู่ก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุของการแพ้และหาวิธีกำจัดกลิ่นตัวที่เหมาะสมต่อไป


เทคนิคต่างๆที่รักษากลิ่นตัว

Q. มีกลิ่นตัวมาก ใช้ยาดับกลิ่นแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น มีเทคนิคทางการแพทย์อะไรบ้างครับที่ใช้รักษากลิ่นตัวได้?
คุณภัทร / จ.ปทุมธานี


A. เทคนิคทางการแพทย์ที่รักษากลิ่นตัว ในกรณีที่รักษาสุขอนามัย ใช้ยาลดเหงื่อยาดับกลิ่นแล้วไม่ได้ผล เช่น การดูดไขมันเพื่อเอาต่อมเหงื่ออะโปครายน์ออก (removal of apocrine sweat glands by superficial liposuction) การผ่าตัดต่อมเหงื่ออะโปครายน์ออก (removal of apocrine sweat glands by surgical excision) ยารับประทานบางชนิด (anticholinergic or beta-blocking drugs) การใช้เทคนิคไอออนโต (iontophoresis) การผ่าตัดปมประสาทซิมพาเทติก (sympathectomy) การฉีดสารพิษโบทูลินัม หรือ โบท็อกซ์ (botulinum toxin injection) มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารผิวหนังของอเมริกา (Archives of Dermatology) ศึกษาการฉีดสารโบท็อกซ์เพื่อลดกลิ่นตัว โดยใช้อาสาสมัคร 16 คน ให้สวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายคอปกสีขาวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ห้ามใช้ยาดับกลิ่นยาลดเหงื่อ ห้ามรับประทานหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง และห้ามสัมผัสกอดรัดกับคู่ครอง 2 วันก่อนและระหว่างการทดลอง หลังจากครบ 24 ชั่วโมงจะมีการดมทดสอบกลิ่นตัว (sniff test) หลังจากนั้นผู้เข้ารับการทดลองจะได้รับการฉีดโบท็อกซ์เข้าในรักแร้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านถูกฉีดด้วยน้ำเกลือเปล่า หลังจากนั้น 7 วัน คณะผู้วิจัยจะดมทดสอบกลิ่นตัวอีกครั้ง ผลการทดลองพบว่ารักแร้ด้านที่ฉีดโบท็อกซ์มีกลิ่นและมีเหงื่อลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับด้านที่ฉีดน้ำเกลือเปล่า อย่างไรก็ตามเทคนิคเหล่านี้อาจมีข้อแทรกซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงควรเลือกใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 จันทร์, 16/11/2552 เวลา : 09:31  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85300

คำตอบที่ 52
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 19/11/2009ประโยชน์ของกุยช่าย
ทราบหรือไม่ว่าผักกุยช่ายมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 25/11/2552 เวลา : 08:58  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85604

คำตอบที่ 53
      

fiogf49gjkf0d

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 19/11/2009ชะลอวัยทองก่อนแก่เกินแกง
ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองต้องเผชิญกับภาวะวัยทองเช่นเดียวกับผู้หญิง

ถ้ามองในเรื่องสัญญาณเตือนที่บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่วัยทอง ผู้หญิงจะได้เปรียบกว่าจากการสังเกตประจำเดือนขาดหายหลังอายุ 40 ปีขึ้นไป ต่างจากผู้ชายที่ไม่มีอาการแสดงออกเด่นชัด และภาวะวัยทองสามารถเกิดขึ้นในช่วงอายุที่กว้างมากระหว่าง 40-70 ปี และแต่ละคนก็อาจเป็นในอายุที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ก่อนผู้ชายบางคนจะมีอาการวัยทองปรากฎให้เห็นก็อาจจะเสียชีวิตไปก่อนก็มี!


ภาวะวัยทองของผู้ชายเกิดมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่า เทสโทสเตอโรน (Testosterone) มีปริมาณลดลง ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด นอนไม่หลับ มีอาการซึมเศร้า ความหนาแน่นของกระดูกลดลง ความต้องการหรือสมรรถภาพทางเพศลดลง หรือแม้แต่ระบบเผาผลาญอาหารทำงานได้ไม่ดี ทำให้อ้วนลงพุงง่าย มีผลทำให้โคเลสเตอรอลสูง เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ เป็นต้น ดังนั้นอาการบางอย่างที่คุณเป็นอยู่ส่วนหนึ่งก็อาจมาจากการพร่องฮอร์โมนเพศนี้ก็เป็นได้ และภาวะนี้จะมาช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของคุณผู้ชาย คือถ้าเป็นคนใช้ชีวิตโลดโผน ดื่มหนักและสูบบุหรี่ รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่ออกกำลังกาย มีความเครียดสูง ฮอร์โมนเพศก็จะลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นเร็วกว่าผู้ชายที่รักษาสุขภาพอย่างดี ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ควบคุมและระวังเรื่องอากหารไขมันสูง ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ โอกาสที่จะเข้าสู่ช่วงวัยทองก็ชะลอลง


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโรคที่คุณผู้ชายเชิญอยู่จะมาจากการลดลงของฮอร์โมนเพศเสียทั้งหมด ทางที่ดีอยากรู้ว่าอาการผิดปกติที่เกิดกับตนเองมาจากสาเหตุใด คุณควรจะไปตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำการรักษาตามความจำเป็น ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนะคะ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 25/11/2552 เวลา : 09:00  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85605

คำตอบที่ 54
      

fiogf49gjkf0d

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 19/11/2009ยุบหนอพองหนอยามขับรถ
ใครที่จำเป็นต้องขับรถออกไปทำธุระนอกบ้านคงขยาดและเซ็งไม่น้อย เพราะไหนจะต้องฝ่าจราจรที่ติดขัด แถมเจอแสงแดดจ้าสะท้อนเข้าตาจนปวดตา

ปวดหัว พาลให้อารมณ็ร้อนและหงุดหงิดเข้าไปอีก ดังนั้นพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะบนท้องมีสุขภาพกายและใจที่ดี ยิ้มรับทุกสถานการณ์ เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันค่ะ


1. จราจรเมืองไทย ทำใจไว้ก่อน ถ้าคุณต้องขับรถไปเที่ยวพักผ่อนยามเทศกาลวันหยุดต่อเนื่อง ขอให้ทำใจไว้ว่าต้องเจอปัญหาการจราจรติดขัดแน่นอน ทางแก้ที่ดีที่สุดคือ การออกเดินทางให้เช้ากว่านักเดินทางคนอื่นๆ วางแผนการใช้เส้นทางล่วงหน้า หรือเปิดวิทยุฟังรายงานข่าวจราจร เพื่อหลีกเลี่ยงหรือใช้เส้นทางลัดตามความสะดวก


2. เปิดดนตรีเบาสบายหู ยามรถติด ยิ่งฟังเพลงแรงๆ ดนตรีหนักๆ อาจทำให้คุณหงุดหงิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทางที่ดีเปลี่ยนมาเป็นเพลงที่มีจังหวะสบายๆ รื่นหูจะดีกว่า หรือถ้าไม่ชอบฟังเพลง ยามรถติดแน่นิ่งไม่ไปไหนก็หยิบลูกอมหรือหมากฝรั่งมาเคี้ยว หรือหยิบน้ำผลไม้เย็นๆ ขึ้นมาดื่มก็ได้


3. สวมแว่นตากันแดด ปกป้องสายตา แว่นตากันแดดเป็นอุปกรณ์คู่คุณขณะขับรถอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดสะท้อนแยงตาคุณจนทำให้เกิดอาการแสบตา หรือปวดหัว และป้องกันการเกิดต้อต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจกบางชนิด ตลอดจนจอตาเสื่อมจากการจ้องแสงแดดเป็นเวลานาน


4. ยืดเส้นยืดสาย คลายอารมณ์ ยามจราจรติดขัดขั้นวิกฤติ อาการเบื่อและปวดเมื่อยย่อมถามหาเป็นธรรมดา เราขอเสนอให้คุณยืดเส้นยืดสายง่ายๆ ในรถ เช่น ยืดเส้นช่วงต้นคอ หมุนหัวไหล่ แขน ฯลฯ หรือถ้าเกิดง่วงหรือเพลียมากๆ แนะนำให้เสียเวลาแวะสถานีบริการเติมน้ำมันข้างหน้า ลงไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) หรือเอนพนักเบาะที่นั่งเพื่องีบสักครู่ก่อนจะเดินทางต่อ


5. สปาในรถ ไม่ได้หมายความว่าให้คุณนอนลงและให้คนนั่งข้างๆ ช่วยนวดอย่างจริงจัง แต่เป็นการสูดดมกลิ่นอโรมาเธอราปี ที่นิยมใช้ในสปาต่างๆ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการขับรถ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ มินต์ และคาโมมายด์ เป็นต้น


หวังว่าผู้อ่านจะนำเคล็ดลับข้างต้นไปลองใช้ดูนะคะ และที่สำคัญทุกครั้งที่ต้องจับพวงมาลัยและสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ระลึกไว้เสมอว่าต้องมีสติและเคารพกฎจราจร เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่คุณต้องรับผิดชอบนะคะ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 25/11/2552 เวลา : 09:02  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85606

คำตอบที่ 55
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 29/09/2009อาหารคู่บ้านสำหรับสาวอินเทรนด์
ลองนึกย้อนไปสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสักกี่วันที่คุณกินผักได้วันละ 5 ทัพพี และผลไม้ได้วันละ 3 ส่วนบ้าง?

กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร

สาวๆ สมัยใหม่ ไม่ได้มีเวลานั่งอยู่บ้านเย็บปักถักร้อยหรือทำกับข้าวกันทั้งวัน เธอต่างมีชีวิตเร่งรีบ ทั้งทำงาน ดูแลบ้าน และยังต้องดูแลครอบครัวในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการเลือกอาหารการกินมักเป็นสิ่ง ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยการซื้ออาหารนอกบ้านเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่การเลือกอาหาร ง่ายๆ ที่ว่านี้ ผู้หญิงสมัยใหม่อาจขาดสารอาหารที่สำคัญ ซึ่งอาจนำพาไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้นะคะ

สารอาหารที่สำคัญก็ได้มาจากผักและผลไม้นั่นเอง!

ผลไม้นี่อาจจะไม่มีปัญหา เพราะบ้านเรามีผลไม้เยอะ น้ำผลไม้และสมู้ตตี้ก็มีเยอะด้วยเช่นกัน แต่ผักนี่สิ กินกันน้อยนิด นอกจากแตงกวา 4 ชิ้นที่วางมาบนจานข้าว หรือถั่วงอกนิดหน่อยที่ใส่มากับก๋วยเตี๋ยว ลองมานับปริมาณผักและผลไม้ในเมนูของผู้หญิง 3 คนนี้ดูค่ะ

1. เช้า : กาแฟ ขนมปังปิ้งทาแยม
กลางวัน : ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส่ถั่วงอก ผัก 1 ทัพพี
มอคค่าปั่น
บ่าย : ฝรั่ง 10 บาท คุ้กกี้ 3 ชิ้น ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ข้าวไข่เจียวหมูสับ
แตงโมปั่น ผลไม้ 0.5 ส่วน
รวม : ผัก 1 ทัพพี ผลไม้ 1.5 ส่วน



2. เช้า : ข้าวแกงจืด หมูทอด ผัก 1 ทัพพี
กลางวัน : ข้าวไก่กะเพรา แตงกวา 4 ชิ้น ผัก 0.5 ทัพพี
มะม่วงดิบ 1 ลูก ผลไม้ 1 ส่วน
บ่าย : ขนมปังไส้ทูน่า กาแฟ
เย็น : มาม่า น้ำชาเขียว
รวม : ผัก 1.5 ทัพพี ผลไม้ 1 ส่วน



3. เช้า : ข้าวเหนียว หมูปิ้ง
น้ำเต้าหู้ใส่เครื่อง
กลางวัน : ข้าวผัดผักใส่หมู โค้ก ผัก 1 ทัพพี
แคนตาลูป ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ยำผลไม้ ผลไม้ 1.5 ส่วน
นมจืด
รวม : ผัก 1 ทัพพี ผลไม้ 2.5 ส่วน


ผู้หญิงทั้ง 3 คน เป็นผู้หญิงวัยทำงาน คนหนึ่งมีครอบครัวแล้ว ทุกคนกินผักและผลไม้ได้ แต่ดูสิคะ ไม่มีใครกินได้ถึงข้อแนะนำเลยสักคน! บ้านเรามีการรณรงค์ให้เด็กกินผักกันมากขึ้น แต่สงสัยต้องคอยดูแลผู้ใหญ่กันด้วยแล้ว ข้ออ้างที่มักได้ยินบ่อยๆ ก็มีตั้งแต่ผักผลไม้นั้นแพง ไปจนถึงร้านค้าไม่ค่อยมีจานผักให้เลือกมากนัก

ทำไมถึงต้องเน้นผักผลไม้ด้วย?

ทุกคนทราบดีว่าผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ มากด้วยสารอาหารและสารพฤกษเคมี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในร่างกายคนเรา ซึ่งจะไปทำลายเซลล์และโปรตีนในเซลล์ นำไปสู่ริ้วรอยบนผิวหนัง โรคหัวใจ โรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ที่สารอนุมูลอิสระเป็นต้นเหตุ ผักและผลไม้ยังมากด้วยเส้นใยอาหารที่เป็นตัวดีท็อกซ์ตามธรรมชาติ และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี ผักบางชนิดมีแคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับคนทุกวัยโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะมีกระดูกบางกว่าผู้ชาย ดูจากตัวอย่างการกินอาหาร ท่านที่ 1 และ 2 ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน


ผักและผลไม้ที่ให้สารอาหารสูงนั้น ควรเลือกชนิดที่มีสีเข้มและเลือกให้หลากสี เพราะสารพฤกษเคมีส่วนมากจะอยู่ที่สีในพืช ตัวอย่างเช่น

สีแดง สีม่วง เช่น ในผลไม้เบอร์รี่ต่างๆ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ องุ่นแดง กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง มีสาร anthocyanins ที่ช่วยดูดซึมและดับพิษสารอนุมูลอิสระที่ไปทำลายเซลล์ พบว่ามีส่วนช่วยระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของสมอง

สีส้ม สีเหลือง ในฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ แครอท มันเทศ มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ผักผลไม้ในกลุ่มนี้มีขายกันตลอดปีในบ้านเรา ไม่มีขาดแน่ๆ

สีเขียวเข้ม ในผักคะน้า ผักโขม ผักหวาน บรอคโคลี แขนงผัก มีสารลูทีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นผัดผักหรือแกงจืด ผักเหล่านี้สามารถนำมาเลือกประกอบอาหารต่างๆ ได้

สีแดง ในมะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคพีน ที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งและโรคหัวใจ


นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ เพราะสารพฤกษเคมีที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบนั้นมีมากเป็นร้อยชนิด ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น ถ้าเราได้กินเข้าไปในรูปของอาหารธรรมชาติ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะกินอาหารเสริม แต่ประโยชน์ที่ได้รับก็ไม่เท่ากับที่ได้จากการกินผักผลไม้

ย้อนกลับมาในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักตัวกันสักหน่อย ผู้หญิงหลายท่านอาจมีความเห็นที่ตรงกัน คือ การควบคุมน้ำหนักตัวนั้นยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ก็ไม่ได้มากนักหรอกค่ะ แต่ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไปก็เริ่มรู้สึกกันแล้ว หรือผู้ที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุ 30-40 ปี ก็อาจมีปัญหาลดน้ำหนักหลังคลอดไม่ค่อยได้ ซึ่งการควบคุมน้ำหนักที่พูดถึง ณ ที่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องความสวยความงามแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของสุขภาพล้วนๆ นั่นคือ การควบคุมน้ำหนักจะช่วยป้องกันเบาหวานประเภทที่ 2 โรคหัวใจและสมองขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งบางชนิด การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ไม่ผอมเกินไป ยังช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน และยังทำให้มีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยลดความเครียดให้กับตนเอง

วิธีการควบคุมน้ำหนักนั้นก็ไม่ได้มีวิธีวิเศษอะไรและเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีด้วย นั่นคือ เลือกอาหารการกินให้เหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ถ้าคุณจะยอมเปลี่ยนนิสัยเพียงแค่ 1 อย่าง ก็ขอให้เป็นการกินผักให้ได้เป็น 2 เท่าของที่กินอยู่ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอาหารอย่างอื่นที่กินเลย เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงมาได้ ผักเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำ ถ้าเอาไปทดแทนอาหารที่ให้พลังงานสูง พลังงานทั้งหมดที่ได้รับก็จะลดลง ไม่ยากเลยค่ะ แถมยังช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นจากสารอาหารที่มากด้วยคุณค่าที่ผักมี

ผักผลไม้ที่ควรเลี่ยง : เครื่องดื่มรสผลไม้ ผักชุบแป้งทอด ผักชุบไข่ทอด กล้วยทอด เผือกทอด มันทอด กล้วยกวน กล้วยแผ่น มันฝรั่งทอด



ควรทำให้เป็นนิสัย :

สั่งผักเพิ่ม เช่น ในก๋วยเตี๋ยว หรือผัดผักแขนงกินกับข้าวต้ม
แต่ละมื้อให้กินผัก 2 ทัพพี ถ้าจะสั่งอาหารจานเดียว เช่น ข้าวหมูแดง ที่ไม่มีผัก แสดงว่าคุณอาจต้องสั่งผักคะน้าลวกมาเพิ่ม หรือจะเป็นเกาเหลา หรือแกงจืดก็ได้
รับประทานผลไม้เป็นของว่าง หรือของหวานตบท้ายมื้ออาหาร
เวลาทำอาหารให้ใส่ผักเข้าไปเยอะๆ เช่น ใส่เห็ดในต้มยำ ขูดแครอทเข้าไปในซอสสปาเก็ตตี้
เปลี่ยนมาเป็นรับประทานผักเป็นของว่างบ้าง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่จิ้มบ๊วย แตงกวาสด แครอทสด หั่นจิ้มซอสหรือน้ำสลัดใส หรือผักต้มจิ้มน้ำพริก
พกผลไม้ (ที่พกง่าย) ติดตัวไปเผื่อหิว เช่น แอปเปิ้ล กล้วย องุ่น หรือผลไม้หั่นแล้ว ที่ไม่ช้ำไม่ดำง่าย
เลือกผักที่มีสีเข้ม สีต่างๆ กันให้ได้หลากหลายในแต่ละวัน เปลี่ยนจากถั่วงอกมาเป็นตำลึงบ้าง ตำส้มตำใส่แครอทขูด เปลี่ยนจากซีซ่าร์สลัดมาเป็นสลัดผักโขม หรือสลัดร็อกเกตใส่มะเขือเทศ


บางท่านอาจเป็นห่วงเรื่องของยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ ถ้ามีทางเลือกก็ขอให้เลือกซื้อผักผลไม้ที่ปลอดสาร และนำผักผลไม้มาล้างน้ำผ่านหลายๆ ครั้ง หรือแช่ในน้ำส้มสายชูเจือจางก่อนนำมากิน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบประโยชน์ของการกินผักผลไม้มากกว่าโทษที่จะได้จากสารพิษ

เมนูใหม่ที่อยากจะเสนอแนะให้ทั้ง 3 สาวในตัวอย่าง มีดังนี้
1. เช้า : กาแฟ ขนมปังปิ้งทาแยม
ไข่กวนใส่มะเขือเทศ ผัก ½ ทัพพี
ส้ม 1 ผล ผลไม้ 1 ส่วน
กลางวัน : ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส่ถั่วงอกเพิ่ม ผัก 1 ½ ทัพพี
นมถั่วเหลือง 1 กล่อง
บ่าย : ฝรั่ง 10 บาท น้ำชาร้อน ผลไม้ 1 ส่วน
แครอทหั่น 1 หัว ผัก 1 ทัพพี
เย็น : ข้าว แกงเลียง 1 ถ้วย ไก่ผัดขิง ผัก 2 ทัพพี
แตงโมหั่น 1 จานเล็ก ผลไม้ 1 ส่วน
รวม : ผัก 5 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน


2. เช้า : ข้าว แกงจืดผักกาดขาวกับแครอท หมูทอด ผัก 1 ทัพพี
นมจืด
กลางวัน : ข้าว (ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง) ไก่กะเพราผัดผัก ผัก 1 ทัพพี
มะม่วงดิบ 1 ลูก ผลไม้ 1 ส่วน
บ่าย : ส้มตำ 1 จาน ผัก 2 ทัพพี
เย็น : ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า 1 จาน ผัก 2 ทัพพี
กล้วยหอม 1 ใบ ผลไม้ 2 ส่วน
รวม : ผัก 6 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน


3. เช้า : ซุปฟักทอง หรือ ซุปผักโขม 1 ถ้วย ผัก 2 ทัพพี
แอปเปิ้ล 1 ผล ผลไม้ 1 ส่วน
กลางวัน : ข้าว (ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง)
ผัดผักใส่หมู แกงส้มผักรวม 1 ถ้วย ผัก 2 ทัพพี
แคนตาลูป ผลไม้ 1 ส่วน
เย็น : ไก่ย่าง ส้มตำจานเล็ก ผัก 1 ทัพพี
ยำผลไม้ นมจืด ผลไม้ 1 ส่วน
รวม : ผัก 5 ทัพพี ผลไม้ 3 ส่วน

คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคุณค่าทางอาหารจะสูญเสียไปกับการทำผักให้สุก (จริงๆ แล้วสารพฤกษเคมีบางอย่าง เช่น เบต้าแคโรทีน และไลโคพีน จะดูดซึมในร่างกายได้ดีขึ้นเมื่อผ่านความร้อน) ขอให้นึกว่าเราจะกินผักให้มากขึ้นในทุกมื้อ และกินผลไม้ในปริมาณพอเหมาะทุกวัน เพียงเท่านี้ทุกคนก็สามารถก้าวสู่การมีสุขภาพดีได้ไม่ยาก


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 25/11/2552 เวลา : 09:07  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85607

คำตอบที่ 56
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 29/09/2009รวมเรื่องจริงที่คุณโดนหลอกบ่อยๆ
รวบรวมความเชื่อที่ถูกบอกกล่าวเล่าขานกันมานานเกี่ยวกับสุขภาพและร่างกาย อะไรจริง อะไรมั่ว ลองตามไปอ่านกันค่ะ
ความเชื่อ : หลังจากเสียชีวิต ผมและเล็บของมนุษย์ยังสามารถยาวและงอกต่อได้ เนื่องมาจากสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติ
ข้อเท็จจริง : ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อเสียชีวิต อวัยวะทุกอย่างจะหยุดทำงานอย่างถาวร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเสียทีเดียว เพราะเมื่อเราเสียชีวิตผิวหนังบริเวณเล็บและหนังศีรษะที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนจะหดลงตามธรรมชาติ (เช่นเดียวกับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ) ทำให้ดูเหมือนว่าผมและเล็บยาวขึ้นได้เอง

ความเชื่อ : อ่านหนังสือในที่สลัว หรือใช้ไฟฉายส่องจะทำให้สายตาเสีย-ต้องใส่แว่น
ข้อเท็จจริง : นับว่าเป็นหนึ่งในคำขู่สุดฮิตของบรรดาคุณพ่อและคุณแม่ การที่อ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือใช้ไฟฉายส่องไม่มีผลทำให้สายตาเสียขนาดต้องใส่แว่น อย่างไรก็ตามการอ่านหนังสือในที่ที่แสงสว่างส่องไม่เพียงพอ หรือแสงที่ส่องไม่มีคุณภาพ เช่น แสงจากหลอดไส้ แสงไฟฟลูออเรสเซนท์ที่มีสีแสบตา การอ่านหนังสือในสภาวะเช่นนี้ส่งผลทำให้ตาต้องปรับโฟกัสมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้ง เมื่อยล้าได้ง่าย เนื่องจากต้องใช้การเพ่งมากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก

ความเชื่อ : เผลอกลืนหมากฝรั่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ข้อเท็จจริง : เป็นคำขู่ของผู้ใหญ่อีกเช่นกัน แต่ก็ทำให้เด็กระมัดระวังในการเคี้ยวหมากฝรั่งได้ผลดีนัก ในความเป็นจริงแล้ว การเผลอกลืนหมากฝรั่งไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ไม่ถึงขนาดต้องไปพึ่งแพทย์ให้ผ่าตัดเอาก้อนหมากฝรั่งออก เพราะระบบย่อยอาหารของคนเราสามารถย่อยหมากฝรั่งได้เหมือนกับอาหารชนิดอื่นๆ แต่ระบบย่อยอาหารอาจจะต้องทำงานหนักมากกว่าปกติสักหน่อย เนื่องจากส่วนผสมหนึ่งของหมากฝรั่งคือยาง แต่ก็สามารถย่อยหมดภายในเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นขับออกมาทางอุจจาระตามปกติ

ความเชื่อ : การดึงหรือหักนิ้วมากๆ จะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมได้ง่าย
ข้อเท็จจริง : โรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุ น้ำหนัก อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือการติดเชื้อบริเวณข้อ เป็นต้น การดึงหรือหักนิ้วจนทำให้เกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ เป็นการบิดและดึงจนทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อที่ป้องกันการเสียดสีระหว่างกระดูก เกิดแรงดันกลายเป็นฟองอากาศจนเกิดเสียงขึ้น การดึงแบบนี้ไม่ส่งผลใดๆ ต่อข้ออย่างที่เข้าใจกัน แต่การดึงหรือหักข้อนิ้วเป็นประจำจะทำให้เอ็นรอบๆ ข้อสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น


ความเชื่อ : กินไอศกรีมโยเกิร์ตลดความอ้วน แถมดีต่อร่างกาย
ข้อเท็จจริง : สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโยเกิร์ตและไอศกรีมโยเกิร์ตคือ สีขาวของโยเกิร์ต การเลือกรับประทานไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตย่อมดีกว่าไอศกรีมทั่วไปในเรื่องของปริมาณพลังงานและไขมัน ทั้งนี้หากพิจารณาคุณประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานไอศกรีมโยเกิร์ตก็คงจะดีไม่เท่ากับการรับประทานโยเกิร์ต เนื่องจากไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตต้องผ่านกระบวนการผลิตและปั่นหลายขั้นตอน ทำให้จุลินทรีย์ชนิดดีต่อสุขภาพนั้นสูญสลายไปหมด ถ้าอยากลดความอ้วนหันมารับประทานผลไม้สดแช่เย็นก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 25/11/2552 เวลา : 09:09  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85608

คำตอบที่ 57
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 19/11/2009เคี้ยวพืชสมุนไพร ดื่มน้ำผลไม้ลดกลิ่นปาก
เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น เรามีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก

เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น กินดี วันนี้มีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก

เริ่มที่การใช้พืชสมุนไพร อย่าง กานพลู โดยใช้ดอกตูมแห้ง 2-3 ดอก อมไว้ในปากแล้วคายทิ้ง ทั้งยังสามารถนำดอกตูมแห้งบดให้เป็นผง เพื่อนำไปเป็นผงสมุนไพรสำหรับแปรงฟัน หรือจะเป็น ใบฝรั่ง เลือกใบสด 2-3 ใบ เคี้ยวและคายทิ้งหลังมื้ออาหารหรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นปาก

ส่วนเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แถมยังช่วยแก้กระหายนั้นเป็นการนำสรรพคุณของ แตงโมเหลือง สับปะรด แอปเปิ้ลเขียว

สำหรับ แตงโม นั้น เป็นผลไม้ที่ช่วยชะล้างของเสียได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะของเสียจากไตและกระเพาะปัสสาวะรวมทั้งทางเดินปัสสาวะ บำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิต แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

ส่วน สับปะรด สามารถต้านการอักเสบและเพิ่มพลังการย่อยโปรตีน อุดมไปด้วยโบรเมลิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม

ผลไม้ชนิดสุดท้าย แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยชะล้างสารพิษออกจากตับและไต ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะน้ำที่สกัดจากแอปเปิ้ล ยังมีสรรพคุณลดไข้ ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ

การเตรียมส่วนผสมของเครื่องดื่ม ควรเตรียมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้...

แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
สับปะรด 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแก้วนี้ เริ่มจากนำสับปะรดที่ปอกเปลือกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก จากนั้นนำแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอหยาบโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนแอปเปิ้ลเขียวให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องเอาแกนออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 จันทร์, 30/11/2552 เวลา : 09:48  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85657

คำตอบที่ 58
      

fiogf49gjkf0d
แก้อาการเป็นตะคริว
สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆอ่านทางนี้ เรามีเคล็ดลับวิธีแก้อาการตะคริวแบบง่ายๆมาบอก

เริ่มจากการ เป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้าและใช้มืออีกข้าง ดันปลายเท้าขึ้นลงให้เต็มที่อย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วหาครีมหรือน้ำมันมานวดซ้ำอีกที เพื่อกระตุ้นให้เลือดตรงบริเวณนั้นไหลเวียน

หากเป็นตะคริวที่ต้นขา ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง แล้วใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้า ส่วนอีกข้างกดลงบนหัวเข่า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณที่เป็นตะคริว

หรือเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า ให้เหยียดนิ้วเท้าให้ตรง และลุกขึ้นยืนเข่ยงเท้า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณ นิ้วเท้าอย่างเบามือ

สุดท้าย ตะคริวที่นิ้วมือ ให้เหยียดนิ้วมือออก แล้วนวดเบาๆบริเวณนิ้วมือที่เป็น

แนะว่าคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อยทอดผักคะน้า ผักหวาน กระถิน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ลูกพรุน งาดำ และ เต้าหู้ เป็นต้น


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:30  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85676

คำตอบที่ 59
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 28/09/2009อาหาร (ชวนอ้วน) ที่ต้องกินยามลดน้ำหนัก
เพราะอาหารที่คุณคิดว่ามันทำให้อ้วนนั้น บางอย่างก็ควรและจำเป็นต้องรับประทาน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงลดน้ำหนักอยู่ก็ตาม มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง




ชวนอ้วน

หลายคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ด้วยการงดอาหารที่ให้พลังงานหรือไขมันสูงทุกชนิด ชนิดที่ว่าเมนูไหนอ้วนจะไม่แตะต้องเลย เช่น งดรับประทานเนื้อสัตว์ แป้ง รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้ม นึ่ง ลวกเท่านั้น จะว่าไปการเคร่งครัดขนาดนี้ใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพในระยะยาว

เนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์เป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิด ที่ธัญพืชหรือผักบางชนิดไม่สามารถให้ได้ แต่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าขณะลดน้ำหนักควรงดหรือรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด ซึ่งในระยะยาวไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพแน่ โดยเฉพาะการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้นการรับประทานเนื้อสัตว์จึงไม่ผิดต่อหลักการควบคุมน้ำหนักของคุณ ข้อดีคือ ทำให้รู้สึกอิ่มและอยู่ท้องได้นาน ทำให้ลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ต้องทนทรมานกับความหิวพาลให้รับประทานอาหารจุกจิก ซึ่ง Commonwealth Scientific Industrial Research Organization เปิดเผยงานวิจัยหนึ่งที่ทดสอบการลดน้ำหนักของหญิงออสเตรเลียน 100 คนพบว่า หญิงที่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไร้มันสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่าหญิงที่รับประทานอาหารเน้นแป้งมากกว่าเนื้อสัตว์


ทั้งนี้คนที่ควบคุมน้ำหนักจำเป็นต้องเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่เหมาะสม เช่น เนื้อปลา เนื้อเป็ด เนื้อไก่ที่ไม่ติดหนัง ซึ่งวัยทำงานควรรับประทานเนื้อสัตว์ให้ได้วันละ 9 ช้อนกินข้าว ทั้งนี้อาจแบ่งสัดส่วนนี้รับประทานเต้าหู้ขาวหรือผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนยต่างๆ เช่น โยเกิร์ตพร่องไขมัน และถั่วด้วยก็ได้เพื่อร่างกายได้รับกรดอะมิโนและโปรตีนที่หลากหลาย แต่การรับประทานถั่วควรจำกัดปริมาณประมาณ 1 อุ้งมือต่อสัปดาห์ เพราะถั่วส่วนใหญ่จะให้พลังงานและไขมันสูง

ลองเปลี่ยนการหลีกเลี่ยงรับประทานหมูย่างหรือปีกไก่ย่าง มาเป็นปลาช่อนย่าง หรืออกไก่นึ่งแทน



ข้าว เส้น ขนมปังต่างๆ
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งให้พลังงานแก่ร่างกายที่สำคัญ เพราะว่าแต่ละวันเราต้องเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะใช้พลังงานมากหรือน้อยก็ต้องมีอาหารประเภทนี้ไว้เป็นเชื้อเพลิงให้ร่างกายเอาไปใช้ แต่คนควบคุมน้ำหนักส่วนใหญ่จะงดอาหารประเภทนี้เป็นอันดับแรกในใจ เพราะคิดว่าถ้ารับประทานเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลายเปลี่ยนเป็นน้ำตาลไปสะสมตามร่างกายกลายจนเป็นไขมันในที่สุด ซึ่งเป็นความจริงบางส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะมีระบบเผาผลาญแบบนี้เสียหมด ดังนั้นถ้างดอาหารหมวดนี้ไปอาจจะส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย การรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ทำให้อ้วนและดีต่อสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานคือ ข้าวหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เส้นหมี่ข้าวกล้อง ส่วนขนมปังก็ต้องเป็นขนมปังโฮลวีท ซึ่งมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ


การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วก็จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อมื้อสำหรับคนทำงานที่กำลังลดน้ำหนักคือ 1 ทัพพี

ลองเปลี่ยนการงดรับประทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวผัดทั่วไป มาเป็นข้าวกล้องคลุกน้ำพริกปลาย่าง หรือ ก๋วยเตี๋ยวบกเส้นหมี่ข้าวกล้องแทน



ไขมัน
เป็นอาหารหมวดที่น่าน้อยใจที่สุด เพราะคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักมักหลีกเลี่ยงหรืองดมากที่สุด เพราะเชื่อว่าจะทำให้อ้วน ทั้งนี้แม้ว่าไขมันส่วนใหญ่จะให้พลังงานสูง ( 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 45 กิโลแคลอรี) แต่ร่างกายก็ยังจำเป็นต้องได้รับไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆ รวมถึงการสร้างเซลล์ประสาทอีกด้วย


ประเภทของไขมันที่ดีต่อร่างกายและควรรับประทานคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Monounsaturated Fatty Acid) น้ำมันมะกอกมีดัชนีสูงสุดเมื่อเทียบกับน้ำมันพืชอื่นๆ จากผลวิจัยพบว่าการรับประทานน้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดโคเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้ (LDL-C) ส่งผลดีต่อหัวใจ รองลงมาได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน นอกจากนี้ยังน้ำมันที่ได้จากสัตว์ตามธรรมชาติที่มีประโยชน์ก็คือ น้ำมันปลา หรือเนื้อปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ที่มีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหัวใจและลดระดับไตรกลีเซอไรด์ เจ้าไขมันในเลือดที่มาพร้อมกับโคเลสเตอรอล
ตรงกันข้ามคุณควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) ซึ่งพบในไขมันสัตว์และไขมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว (กะทิ) หรือกรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acid) ที่จะเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ไม่ดีให้สูงขึ้น (HDL-C) ดังนั้นครั้งต่อไปก่อนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ก็ควรสังเกตฉลากสารอาหารและมองหาคำเหล่านี้ว่ามีปริมาณมากหรือน้อยเพียงใด สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักแนะนำให้รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวไม่เกินวันละ 2 ช้อนชา


ลองเปลี่ยนการรับประทานอาหารนึ่ง ต้ม ลวกแบบจำเจ มาเป็นสลัดผักสดเนื้อไก่ฉีกหรือปลาทูน่าราดน้ำมันมะกอกกับบัลเซมิค นอกจากอร่อยแล้วยังเติมสารอาหารให้กับร่างกายได้ดีด้วย



ถึงแม้การควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องโบกมือลาอาหารที่คิดว่ารับประทานแล้ว อ้วน ตลอดชีวิต เพราะร่างกายยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงและสร้างสมดุลกับการทำงานของอวัยวะต่างๆ อยู่ นึกแบบนี้แล้วก็เลือกกินและรู้จักออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ

เกร็ดน่ารู้ : การรับประทานผักและผลไม้มากๆ ช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ กากใยของผักและผลไม้ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ แต่ต้องจำกัดการรับประทานผักประเภทหัว ที่มีแป้งมากเช่นพืชตระกูลหัว ได้แก่ ฟักทอง เผือก มัน แห้ว เกาลัด หรือยอดผักที่มีสารพิวรีน ทำให้กระตุ้นเสี่ยงเป็นโรคเกาท์ได้ เช่น ยอดกระถิน ชะอม ใบตำลึง ส่วนผลไม้ควรหลีกเลี่ยงประเภทที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน ละมุด ลำไย ขนุน ลิ้นจี่ เป็นต้น



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:38  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85677

คำตอบที่ 60
      

fiogf49gjkf0d
ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ
ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ



รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน แพทย์ผิวหนัง

โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญจึงเหลือสะสมเป็นไขมัน แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา พฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็บสะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่อง และพบว่าพลังงานที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม

การรักษาน้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้หิวง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรงมาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนัก แต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้า และทุกตึกสูงเพื่อให้ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา



บทสวดพิจารณาอาหาร (แปล)

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต

เนวะ ทวายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน

นะ มะทายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย

นะ มัณฑะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

นะ วิภูสะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา แต่ให้เป็นเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้

ยาปะนายะ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ

วิหิงสุปะระติยา เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย

พรัหมะจะริยานุคคะหายะ เพื่ออนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือความหิว

นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำทุกเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น

ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วยความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้


โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
แต่รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว และไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหารจะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:40  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85678

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันอาทิตย์,24 พฤศจิกายน 2567 (Online 7457 คน)