WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


มีของดีมาฝาก
champ067
จาก KidCowboy067
IP:58.9.171.116

ศุกร์ที่ , 12/11/2553
เวลา : 12:16

อ่านแล้ว = 5058 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  

คำตอบที่ 31
      

fiogf49gjkf0d
พฤติกรรมสัตว์ สัญญาณภัยพิบัติที่ไม่ควรมองข้าม


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แม้ว่ามนุษย์จะสามารถสร้างสรรค์เทคโนโลยีขึ้นมาใช้อำนวยความสะดวกและป้องกันตัวเองจากภัยรอบตัวมาแล้วมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจจะรับมือได้เลย นั่นคือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ เพราะทุกครั้งที่ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น มันมักจะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนทำให้หลายหมื่นหลายแสนชีวิต ต้องสังเวยให้กับภัยธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากเหตุการณ์ภัยพิบัติร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

แต่ถึงแม้ว่าภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนมนุษย์ไม่ทันได้เตรียมตัวแทบทุกครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าธรรมชาติจะไม่มีการส่งสัญญาณใด ๆ ให้รับรู้ก่อนเลย เพราะหากสังเกตให้ลึก ๆ แล้ว จะพบว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดภัยพิบัติหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบนโลก ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนให้มนุษย์เตรียมรับมือแล้วแทบทุกครั้ง เพียงแต่มันมักจะมาในรูปแบบของสัญญาณปริศนาที่ยากต่อการตีความ และมนุษย์ก็มักจะละเลยมันไปในที่สุดเท่านั้นเอง

และสัญญาณภัยธรรมชาติที่ว่านี้ก็คือ พฤติกรรมสัตว์หลายชนิด ที่แสดงออกอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติตามมาในทุก ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอพยพของนก การเห่าหอนของสุนัข การร้องของแมวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การตายของสัตว์ต่าง ๆ ที่มนุษย์มักจะคิดว่ามันคือการตายปริศนา แต่แท้จริงแล้วมันมีสาเหตุที่มนุษย์หาคำตอบไม่ได้ และมันก็เชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก เพราะสัตว์เหล่านี้ ล้วนมีประสาทสัมผัสที่ไวและละเอียดอ่อนมากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก พวกมันสามารถรับรู้ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ได้ อย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ และยิ่งไปกว่านั้น สัตว์หลายชนิดยังอ่อนไหวต่อความเปลี่ยนแปลงในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ ซึ่งทำให้มันถึงกับตายหมู่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน





หากจะมองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอดีตหลายครั้ง จะพบว่า สัตว์หลายชนิดมักจะมีพฤติกรรมแปลก ๆ และมีการตายหมู่ของสัตว์เกิดขึ้นแทบทุกครั้ง เช่น

เมื่อปี พ.ศ.2519 หมีแพนด้าในสวนสัตว์เมืองตังฉาน แสดงพฤติกรรมแปลก ๆ ให้ผู้คนฉงนงงงวย เมื่อมันเอามือกุมหัวแล้วส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมง และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 240,000 คน

ส่วนเมื่อปี พ.ศ.2538 ผู้คนในเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ต้องเอามืออุดหูไปตาม ๆ กัน เมื่อสุนัขต่างส่งเสียงเห่าหอนดังไปทั่วเมืองตลอดทั้งวันทั้งคืน ต่อมาเพียง 1 วันเท่านั้น ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ขึ้น คร่าชีวิตชาวเมืองโกเบไปกว่า 6,400 คน

และเมื่อปี พ.ศ.2542 ก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้ขึ้นอีก เมื่อสุนัขในเมืองอิซมิท ประเทศตุรกี ต่างพากันเห่าหอนทั้งวันทั้งคืน ขณะที่แมว นก และสัตว์ต่าง ๆ ในเมืองก็มีพฤติกรรมหวาดระแวง รวมทั้งหนูก็ขึ้นมาเพ่นพ่านวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนพื้นดิน เป็นเวลากว่า 5 วัน และในที่สุดก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ขึ้น คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 45,000 คนในขณะนั้น

หรือแม้แต่สึนามิที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา เมื่อปี พ.ศ.2547 ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดคลื่นยักษ์พัดถล่มภาคใต้นั้น ชาวประมงหลายคนพบว่า มีปลิงทะเลซึ่งเป็นสัตว์น้ำลึก และปลาทะเลหลายชนิด ว่ายเข้ามาอยู่บริเวณชายฝั่ง จนทำให้ชาวประมงพากันยิ้มร่า ดีใจที่จับปลาได้จำนวนมากขึ้น แต่แล้วในเดือนต่อมา ก็เกิดภัยพิบัติสึนามิขึ้น คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว



นกตายเกลื่อนถนนในหลุยเซียนา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา


จากพฤติกรรมแปลกประหลาดของสัตว์ที่เกิดขึ้นก่อนเกิดภัยพิบัติทุกครั้ง ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านออกมาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สัตว์ต่าง ๆ รับรู้สัญญาณภัยพิบัติที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ อย่างเช่น แรงสั่นสะเทือน เสียงคลื่นต่าง ๆ สัตว์หลายชนิดจะสามารถจับสัญญาณความถี่ต่ำที่มนุษย์ไม่ได้ยินได้ และพวกมันก็สามารถรับรู้ได้ก่อนภัยพิบัติจะมาถึงหลายวันเลยทีเดียว พวกมันจึงแสดงพฤติกรรมแปลก ๆ ออกมา เพื่อบอกให้รู้ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ดังนั้น พฤติกรรมแปลก ๆ ของสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์รับรู้ได้ว่า ต้องมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับโลกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงก็ตาม

ทั้งนี้ หากจะนำพฤติกรรมสัตว์มาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในปีนี้หลายเหตุการณ์ จะพบว่า ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างได้เกิดขึ้นจริงหลังจากที่มีสัญญาณปริศนาจากสัตว์ต่าง ๆ เริ่มจากในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างตกตะลึงกับปรากฎการณ์สัตว์ตายปริศนา ที่ไม่อาจหาสาเหตุได้ โดยเฉพาะในแถบยุโรป นกหลายหมื่นตัวได้ตกลงมาตาย และฝูงปลา รวมถึงสัตว์น้ำต่าง ๆ ก็ลอยมาตายปริศนา สร้างความฮือฮามากในขณะนั้น แต่แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน หลายพื้นที่บนโลกก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ พายุหิมะ รุนแรงกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา จนคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ส่วนในออสเตรเลีย ในช่วงต้นปีก็เคยมีเหตุการณ์ปลาน้อยใหญ่นับพันตายบริเวณชายฝั่ง ก่อนจะมีพายุไซโคลนพัดถล่มออสเตรเลีย และต่อมาในนิวซีแลนด์ ก็มีฝูงปลาและวาฬนับร้อยขึ้นมาตายเกยตื้น ก่อนจะแผ่นดินไหวในไครซท์เชิร์ทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา



ปลาตายเกลื่อนในแคลิฟอร์เนีย

ส่วนภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั้น หากใครลองติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสัตว์ตายก่อนหน้านั้น จะพบว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวเพียง 2 วัน ได้มีปลานับล้านตายเกลื่อนบริเวณท่าเรือเรดอนโด ในแคลิฟอร์เนีย ชายฝั่งที่อยู่ด้านตรงกันข้ามกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากมีการตายของปลาเหล่านี้ ก็ได้มีการออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มีนาคมว่า ปลานับล้านตายจากการขาดออกซิเจน เนื่องจากมันหนีกระแสน้ำที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เกิดสึนามิพัดเข้าชายฝั่งญี่ปุ่นในวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา

จากพฤติกรรมแปลกประหลาดของสัตว์ที่เกิดขึ้น ก่อนเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ตามมาทุกครั้ง ก็คงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า พฤติกรรมของสัตว์นั้นเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง และมันเป็นสัญญาณภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ในขณะนี้ ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่มนุษย์บนโลกควรให้ความสำคัญกับสัญญาณภัยพิบัติจากสัตว์หลายชนิดกันมากขึ้น เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้ตัวและเตรียมรับมือกันได้ทันก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง

อย่างไรก็ดี จากความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์และภัยพิบัติข้างต้น ได้ทำให้เกิดการตั้งข้อสันนิษฐานและเตรียมรับมือภัยพิบัติกันอีกครั้งในขณะนี้ เมื่อล่าสุด ได้มีรายงานว่าหลังจากที่สึนามิพัดถล่มชายฝั่งญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ชายฝั่งแคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ตรงกันข้าม ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อไส้เดือนจำนวนมากต่างโผล่ขึ้นมาบนดินในวอชิงตันสเตทช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งนั่นอาจเป็นผลจากแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรืออาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยพิบัติร้ายแรงครั้งใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงสักอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เป็นได้ งานนี้คนที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวก็ต้องระมัดระวังกันมากขึ้นและคอยติดตามกันต่อไปแล้วล่ะ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 58.9.169.194 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 10:30  IP : 58.9.169.194   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 93433

คำตอบที่ 32
      

fiogf49gjkf0d
ปรากฏการณ์ ลานีญา คืออะไร

ช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวนเหลือเกิน ทำให้มีหลายคนพูดถึงเรื่อง ปรากฏการณ์ ลานีญา ขึ้นมา เรานี้ทีมงาน SANOOK!CAMPUS มีความรู้เรื่องนี้มาฝากเพื่อนๆครับ

ลานีญา มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันหลายชื่อ เช่น น้องของ เอล นิโญ สภาวะตรงข้าม เอล นิโญ สภาวะที่ไม่ใช่ เอล นิโญ และฤดูกาลที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเย็น (season with cold SSTs) เป็นต้น (Glantz, 2001)

ลานีญา
ลานีญา ความหมายเดียวกัน คือ ปรากฏการณ์ที่กลับกันกับ เอล นิโญ กล่าวคือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรมีค่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้มีกำลังแรงมากกว่าปกติ จึงพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวันตกมากยิ่งขึ้น ทำให้บริเวณดังกล่าวซึ่งเดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางตะวันออกอยู่แล้วยิ่งมีอุณหภูมิและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก ปรากฏการณ์ ลา นีญา เกิดขึ้นได้ทุก 2 - 3 ปี และปกติจะเกิดขึ้นนานประมาณ 9 - 12 เดือน แต่บางครั้งอาจปรากฏอยู่ได้นานถึง 2 ปี

การเกิดลานีญา
ปกติลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนหรือแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรจะพัดพาน้ำอุ่นจากทางตะวันออกของมหาสมุทรไปสะสมอยู่ทางตะวันตก ซึ่งทำให้มีการก่อตัวของเมฆและฝนบริเวณด้านตะวันตกของแปซิฟิกเขตร้อน ส่วนแปซิฟิกตะวันออกหรือบริเวณชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์และเปรูมีการไหลขึ้นของน้ำเย็นระดับล่างขึ้นไปยังผิวน้ำซึ่งทำให้บริเวณดังกล่าวแห้งแล้ง สถานการณ์เช่นนี้เป็นลักษณะปกติเราจึงเรียกว่าสภาวะปกติหรือสภาวะที่ไม่ใช่เอลนีโญ (รูปที่ 1) แต่มีบ่อยครั้งที่สถานการณ์เช่นนี้ถูกมองว่าเป็นได้ทั้งสภาวะปกติและลานีญา อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณารูปแบบของสภาวะลา นีญา จะเห็นได้ว่าปรากฏการณ์ ลานีญา มีความแตกต่างจากสภาวะปกติ (Glantz, 2001) นั่นคือ ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนมีกำลังแรงมากกว่าปกติและพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวันตกมากยิ่งขึ้น ทำให้บริเวณแปซิฟิกตะวันตก รวมทั้งบริเวณตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย ซึ่งเดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าทางตะวันออกอยู่แล้วยิ่งมีอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่งผลให้อากาศเหนือบริเวณดังกล่าวมีการลอยตัวขึ้นและกลั่นตัวเป็นเมฆและฝน ส่วนแปซิฟิกตะวันออกนอกฝั่งประเทศเปรูและเอกวาดอร์นั้นขบวนการไหลขึ้นของน้ำเย็นระดับล่างไปสู่ผิวน้ำ (upwelling) จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรง อุณหภูมิที่ผิวน้ำทะเลจึงลดลงต่ำกว่าปกติ เช่น ลานีญาที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2531 - 2532 อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณดังกล่าวต่ำกว่าปกติประมาณ 4 องศาเซลเซียส



ผลกระทบของ ลานีญา
จากการที่ปรากฏการณ์ ลานีญา เป็นสภาวะตรงข้ามของเอลนีโญ ดังนั้นผลกระทบของ ลา นีญา จึงตรงข้ามกับเอลนีโญ กล่าวคือ ผลจากการที่อากาศลอยขึ้นและกลั่นตัวเป็นเมฆและฝนบริเวณแปซิฟิกตะวันตกเขตร้อนในช่วงปรากฏการณ์ ลา นีญา ทำให้ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มีแนวโน้มที่จะมีฝนมากและมีน้ำท่วม ขณะที่บริเวณแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกมีฝนน้อยและแห้งแล้ง นอกจากพื้นที่ในบริเวณเขตร้อนจะได้รับผลกระทบแล้ว ปรากฏว่า ลา นีญายังมีอิทธิพลไปยังพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปด้วย โดยพบว่าแอฟริกาใต้มีแนวโน้มที่จะมีฝนมากกว่าปกติและมีความเสี่ยงต่ออุทกภัยมากขึ้น

ขณะที่บริเวณตะวันออกของแอฟริกาและตอนใต้ของอเมริกาใต้มีฝนน้อยและเสี่ยงต่อการเกิดความแห้งแล้ง และในสหรัฐอเมริกาช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ลานีญาจะแห้งแล้งกว่าปกติทางตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงปลายฤดูร้อนต่อเนื่องถึงฤดูหนาว บริเวณที่ราบตอนกลางของประเทศในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และทางตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงฤดูหนาว แต่บางพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกมีฝนมากกว่าปกติในช่วงฤดูหนาว ส่วนผลกระทบของลานีญาที่มีต่อรูปแบบของอุณหภูมิปรากฏว่าในช่วง ลา นีญา อุณหภูมิผิวพื้นบริเวณเขตร้อนโดยเฉลี่ยจะลดลง และมีแนวโน้มต่ำกว่าปกติ ในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ขณะที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรรวมถึงพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ส่วนทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาต่อเนื่องถึงตอนใต้ของแคนาดามีอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ แสดงให้เห็นผลกระทบจากปรากฏการณ์ ลา นีญา ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ



ผลกระทบของ ลานีญา ต่อปริมาณฝนและอุณหภูมิในประเทศไทย
จากการศึกษาสภาวะฝนและอุณหภูมิของประเทศไทยในปี เอล นีโญ โดยใช้วิธีวิเคราะห์ค่า composite percentile ของปริมาณฝน และ composite standardized ของอุณหภูมิในปี เอลนีโญ จากข้อมูลปริมาณฝนและอุณหภูมิรายเดือน ในช่วงเวลา 50 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ถึง 2543 พบว่า ในปี ลา นีญา ปริมาณฝนของประเทศไทยส่วนใหญ่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝนเป็นระยะที่ ลานีญา มีผลกระทบต่อสภาวะฝนของประเทศไทยชัดเจนกว่าช่วงอื่น และพบว่าในช่วงกลางและปลายฤดูฝน ลานีญา มีผลกระทบต่อสภาวะฝนของประเทศไทยไม่ชัดเจน สำหรับอุณหภูมิปรากฏว่า ลานีญา มีผลกระทบต่ออุณหภูมิในประเทศไทยชัดเจนกว่าฝน โดยทุกภาคของประเทศไทยมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติทุกฤดู และพบว่า ลานีญาที่มีขนาดปานกลางถึงรุนแรงส่งผลให้ปริมาณฝนของประเทศไทยสูงกว่าปกติมากขึ้น ขณะที่อุณหภูมิต่ำกว่าปกติมากขึ้น






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 58.9.174.155 ศุกร์, 1/4/2554 เวลา : 09:38  IP : 58.9.174.155   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 93553

คำตอบที่ 33
      

fiogf49gjkf0d
ใบแปะก๊วย เสริมความจำ บำรุงสมอง จริงหรือ?

อีกหนึ่งสมุนไพรที่คนกำลังกล่าวถึงกันมากในขณะนี้ก็คือ "ใบแปะก๊วย" ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศจีน และเชื่อกันว่า มีสรรพคุณบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาคนรักสุขภาพ ไปไขข้อข้องใจกันค่ะ

สำหรับ "แปะก๊วย" (Ginkgo biloba : กิงโกะ บิโลบา) จะเรียกว่าเป็นพืชโบราณก็ว่าได้ เพราะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อน ในสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ โดยคำภาษาจีน ออกเสียงว่า "หยินซิ่ง" ซึ่งแปลว่า ลูกไม้สีเงิน ต่อมาได้มีผู้นำ "แปะก๊วย" เข้าไปปลูกในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า "อิโจว" หรือ "คินนัน" ซึ่งมีความหมายไม่แตกต่างกับประเทศจีน

ทั้งนี้เมื่อพูดถึง "แปะก๊วย" คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเม็ดสีเหลือง ๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหลาย ๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นบะจ่าง แปะก๊วยนมสด แปะก๊วยต้มน้ำตาล ฯลฯ มากกว่า "ใบแปะก๊วย" ซึ่งมีหลายคนบอกว่า จริง ๆ แล้ว "ใบแปะก๊วย" นี่แหละที่มีประโยชน์มากกว่าผลแปะก๊วยเสียอีก


ว่าแล้วเรามารู้จัก "ใบแปะก๊วย" กันเลยดีกว่า

"ใบแปะก๊วย" มีลักษณะเป็นใบสีเขียวแยกเป็น 2 กลีบ คล้ายใบพัด มีลักษณะพิเศษคือจะผลัดใบไม่พร้อมกันทุกต้น แต่เมื่อผลัดใบแล้ว ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วร่วงจากต้นภายในไม่กี่วัน ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ครั้งแรก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1436 หรือเมื่อประมาณเกือบ 600 ปีที่แล้ว ในสมัยราชวงศ์หมิง ประเทศจีน ปัจจุบัน ใบแปะก๊วย เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เพราะเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ

ทั้งนี้ หากนำใบแปะก๊วยไปสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารสกัดไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) มีฤทธิ์้ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตา ป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน

ส่วนผู้ป่วยโรคหอบหืด หากรับประทาน "ใบแปะก๊วย" ก็สามารถป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมได้ หรือใครที่มีอาการปวดขา การทาน "ใบแปะก๊วย" ก็ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาทมือและเท้า ลดอาการปวดต่าง ๆ ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในปี ค.ศ.1996 มีการทดลองพบว่า "ใบแปะก๊วย" สามารถช่วยป้องกันอาการผิดปกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูง (Asthma & Acute Mountain Sickness : AMS) ได้ รวมทั้งกำลังมีการศึกษาว่า "ใบแปะก๊วย" อาจมีสรรพคุณลดภาวะอาการหูอื้อลงได้ด้วย


ขณะที่การโฆษณาสรรพคุณของใบแปะก๊วยส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของประสิทธิภาพในการเพิ่มความจำ และบำรุงสมอง หลังจากเคยมีการวิจัยทางคลินิกบางแห่งพบว่า การสกัดใบแปะก๊วยนอกจากจะได้สารไบโอฟลาโวนอยด์แล้ว ยังจะได้สารไบโลบาไลด์ (Bilobalides) และกิงโกไลด์ (Ginkgolides) ซึ่งเชื่อกันว่า มีผลต่อความจำ และบำบัดอาการสมองเสื่อม เพราะสารทั้งสองตัวนี้ จะไปเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตที่สมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จึงช่วยเรื่องความจำได้ดี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุอาจจะสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อม สมองฝ่อ อาการขี้หลงขี้ลืม วิงเวียนหน้ามืด โรคซึมเศร้าได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การวิจัยทางคลินิกหลายแห่งก็ยังไม่ได้สนับสนุนถึงสรรพคุณด้านนี้อย่างแน่ชัด โดยมีงานวิจัยบางแห่งกลับเห็นตรงกันข้ามว่า "ใบแปะก๊วย" อาจไม่มีความสามารถในการป้องกันอาการอัลไซเมอร์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพความจำได้ ขณะที่งานวิจัยที่ระบุว่า "ใบแปะก๊วย" ให้ผลดีต่อสมอง ก็ยังมีข้อมูลไม่มากนัก ฉะนั้นแล้ว จึงยังไม่มีสถาบันใดออกมายืนยันชัดเจนถึงสรรพคุณข้อนี้ของ "ใบแปะก๊วย" จึงคงต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมให้ได้ข้อมูลมากกว่านี้ต่อไป

แต่ถึงแม้สรรพคุณของ "ใบแปะก๊วย" ในด้านการบำรุงสมองจะยังไม่แน่ชัด แต่เราก็เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใบแปะก๊วย ใบแปะก๊วยแคปซูล วางขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งในทวีปยุโรปเอง โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน การจะรับประทาน "ใบแปะก๊วย" ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น

เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ระบุข้อกำหนดในการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย ไว้ด้วยดังนี้

1.ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนปัจจุบัน จะต้องมีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ รวมทั้งโรคของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ โดยให้รับประทาน 40 มิลลิกรัม วันละ 3-4 เม็ด

ทั้งนี้ สารสกัดจากใบแปะก๊วยจัดเป็นยาอันตราย ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบัน และไม่ให้มีโฆษณาสรรพคุณต่อสาธารณะ

2.ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนโบราณ ให้ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่น ๆ ว่ามีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และอนุญาตสรรพคุณของตำรับเป็นยาบำรุงร่างกาย

3.ในการใช้สารสกัดแปะก๊วย เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องได้รับใบสำคัญการใช้ฉลากอาหาร โดยอนุญาตเฉพาะที่มีขนาดรับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม และจะต้องไม่ระบุสรรพคุณใด ๆ ในการบำบัดรักษาโรคเลย


อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อแนะนำไม่ให้ใช้ "ใบแปะก๊วย" กับคน 3 กลุ่ม คือ

1.ผู้ที่ใช้สารป้องกันการเกิดลิ่มเลือด (Anti-coaggulant) เช่น ยา Warfarin , แอสไพริน , อิบูโพรเฟน และผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากใบแปะก๊วย มีผลทำให้เกิดเลือดออกตามร่างกายได้

2.ผู้ป่วยที่ความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ หรือใช้ยาอยู่ เพราะใบแปะก๊วยจะไปทำให้หลอดเลือดขยาย และลดความดันลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ความดันต่ำลงมากเกินไปได้

3.สตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

นอกจากนี้ ในบางคนหากทานใบแปะก๊วยมากเกินไป อาจได้รับผลข้างเคียง เช่น มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย ปั่นป่วนในระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจผิดปกติและหลอดเลือดผิดปกติ ผิวหนังมีอาการแพ้ เป็นต้น ซึ่งหากใครมีอาการลักษณะที่กล่าวมา ควรหยุดทานทันที





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

champ067 จาก Kid Cowboy 067 58.9.177.154 จันทร์, 4/4/2554 เวลา : 13:20  IP : 58.9.177.154   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 93584

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,22 พฤศจิกายน 2567 (Online 8435 คน)