คำตอบที่ 15
น้าbintครับ เราต้องยอมรับว่าโลกนี้มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเราต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ผมขอยกตัวอย่างวัสดุสัก 2 ชนิดจากหลายๆชนิดที่ต้องล้มหายไปเนื่องจากความเปลี่ยนแปลง ได้แก่ เทปคาสเซตและฟิล์มถ่ายรูป เมื่อสัก20ปีที่แล้วสินค้าทั้งสองเฟื่องฟูมากแต่ปัจจุบันเครื่องบันทึกเสียงมันกลายเป็น MP3 MP4 IPOD IPAD...กล้องฟิล์มก็กลายเป็นระบบดิจิตอลบันทึกข้อมูลลงในแผ่นการ์ดชิ้นเล็กเท่าขี้ตา
สมัยผมเด็กๆวิ่งซื้อบุหรี่สายฝนให้พ่อซองละ 8บาท เดี๋ยวนี้มันขึ้นไปเกือบ 100บาท คนก็ยังสูบกันไม่ได้ลดปริมาณลงเลย
พอผมสู่วัยทำงานซื้อทองคำเป็นครั้งแรก บาทละ 4,650บาท ปัจจุบันขึ้นไปกว่า 5เท่า
เรื่องพลังงาน,เชื้อเพลิงก็เช่นกัน มันก็คงจะขึ้นราคาไปเรื่อยๆและประชาชนก็ต้องก้มหน้าใช้มันไปเรื่อยๆอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะไปแก้ไขอะไรได้ แม้กระทั่งนายกผู้นำสูงสุดก็ยังช่วยอะไรแบบถาวรไม่ได้ อย่างเก่งก็เพียงแค่ลดราคาชั่วคราว
ผมมีแนวทางที่จะรับกับความเปลี่ยนแปลงนี้ 2วิธีด้วยกัน
1. ปรับตัวตนของเราให้กลับไปสู่ในยุคที่ไม่ต้องใช้พลังงานแบบสิ้นเปลือง เช่น นอนไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดไฟเท่าที่จำเป็นเลิกใช้ก็ปิด ใช้ฟืนหรือถ่านหุงข้าวแทนไฟฟ้าและแก๊สรวมทั้งไมโครเวฟ เดินทางด้วยเท้าหรือจักรยาน อุดรูรั่วค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หากพอมีที่ดินเหลือก็ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงปลาเลี้ยงไก่เอาไว้กิน ถ้าเหลือกินก็เอาไปขาย กินอาหารไทยๆ น้ำพริกกะปิ แกงส้มบ้านเรา เลิกกินอาหารขยะราคาแพงมีแต่แป้งและไขมัน
2. ค้นหาเครื่องมือที่จะใช้หาเงินได้อย่างต่อเนื่องและมากพอ และต้องมากเกินกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆโดยที่ไม่ต้องไปสนใจเลยว่าแต่ละเดือนจ่ายเท่าไหร่ เพาะว่าเรามีมากเกินพอ
ผมไม่ได้ประชดหรือก่อกวนนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมกำลังทำทั้งสองวิธีนี้อยู่ ตั้งแต่จำความได้ชีวิตผมก็เรียบง่ายติดดินแต่ละวันแทบไม่ต้องใช้เงิน แต่พอวันเวลาผ่านไปวิถีชีวิตยุคใหม่มันทำให้เราต้องกินต้องใช้จ่ายอะไรๆแบบที่ไม่รู้ตัวมากขึ้นทุกที มารู้สึกตัวก็ตอนที่ใบแจ้งหนี้มาส่ง
หากทุกคนในชาติยึดถือแนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ว่า ปตท. กฟน. กปน. TOT DTAC TRUE ฯลฯ มันจะมัดมือเรายังไง ก็ชกเราไม่โดน