คำตอบที่ 1
       ที่มา : คอลัมน์ HOW TO นิตยสาร DRIVEN ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 มีนาคม 2547

แอร์ไม่เย็น…
ความร้อนขึ้น…
เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ…

ระบบหล่อเย็น นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดู
สำหรับรถใหม่ๆ ที่มีอายุการใช้งานสัก 2-3 ปี มักจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเหล่านี้สักเท่าไหร่ เว้นแต่รถที่มีอายุการใช้งาน 4-5 ปีขึ้นไปจะเริ่มๆมีปัญหา ยิ่งอายุรถยิ่งมากปัญหาก็จะเริ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระบบหล่อเย็นในที่นี้เราหมายถึงน้ำที่ไหลเวียนอยู่ในหม้อน้ำ หน้าที่ของมันก็คือเป็นตัวกลางในการนำความร้อนจากเครื่องยนต์มาระบายทิ้งที่ตัวหม้อน้ำ น้ำที่ผ่านหม้อน้ำแล้วอุณหภูมิจะลดลงเพื่อไหลเข้าไปนำความร้อนจากเครื่องยนต์ออกมาระบายทิ้ง
ปัญหาจากการรั่วซึมและระเหยของน้ำถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะในระบบมีชิ้นส่วนจำนวนมากเช่น ท่อยาง, หม้อน้ำ, ระบบฮีตเตอร์ ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้จะมีการเสื่อมโทรมไปตามอายุการใช้งาน เริ่มจากตัวท่อยางหม้อน้ำจะมีการบวมปริฉีกขาดหรือแตกลายงาเนื่องจากความร้อน เพราะวัสดุที่ใช้มียางเป็นส่วนผสมหลัก เมื่อเจอความร้อนสูงๆก็จะเสื่อมโทรมไปตามอายุ ส่วนหม้อน้ำเองก็จะมีการผุกร่อนเป็นธรรมดาแต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นนั้นมักจะเป็นกับรถที่มีอายุ 5-6 ปีขึ้นไป หรือเกิดปัญหาจากอุบัติเหตุทำให้เกิดการรั่วซึม ถ้าเปิดฝาหม้อน้ำออกมาแล้วเห็นว่ามีสนิมเป็นคราบหนาเกาะอยู่ในหม้อน้ำ และน้ำมีคราบสนิมปนเปื้อนอยู่มากควรล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนสารควรคุมอุณหภูมิใหม่ และอย่าลืมตรวจเช็คสภาพท่อยางหม้อน้ำโดยสังเกตุที่บริเวณจุดที่ใช้เข็มขัดรัดว่ามีอาการบวมจนผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ปริแตกได้ควรรีบเปลี่ยนโดยเร็ว

คำตอบที่ 2
       นอกจากตรวจเช็คการรั่วซึมแล้วยังต้องตรวจเช็คสภาพน้ำในระบบหล่อเย็นด้วย แม้ว่าจะมีการผสมสารควบคุมอุณหภูมิและป้องกันสนิม เพราะในชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เช่นเสื้อสูบส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กหล่อ ส่วนของฝาสูบและหม้อน้ำส่วนใหญ่จะเป็นอลูมิเนียม ชิ้นส่วนที่เป็นโลหะเหล่านี้เมื่อเจอน้ำและออกซิเจนก็จะเกิดสนิมขึ้นที่ผิวหน้า แม้ว่าจะมีสารควบคุมอุณหภูมิและป้องกันสนิมผสมอยู่ในน้ำระบายความร้อนแล้วก็ตาม แต่ก็ป้องกันได้ในระดับหนึ่งไม่สามารถป้องกันได้ 100% เมื่อใช้งานไปนานๆ คราบสนิมที่เกาะตัวหนาขึ้นจะทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนลดลง จึงจำเป็นต้องทำการเปิดฝาหม้อน้ำออกมาทำการตรวจเช็คตามระยะเวลาที่เหมาะสม โดยอ้างอิงจากคู่มือประจำรถเป็นสำคัญถ้าคู่มือกำหนดให้มีการเปลี่นถ่ายน้ำหม้อน้ำทุก 40,000 กม. หรือทุก 2 ปี ก็ต้องทำการตรวจเช็คตามระยะที่คู่มือกำหนดแล้วแต่ว่าอย่างไหนจะถึงก่อน เพราะสารที่เติมเข้าไปนั้นมันมีอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ถ้าปล่อยจนสารควบคุมอุณหภูมิหมดอายุอาจก่อปัญหาตามมาภายหลังได้ จึงต้องทำการเปลี่ยนถ่ายและล้างทำความสะอาดภายในระบบ รวมทั้งเปลี่ยนถ่ายน้ำและสารควบคุมอุณหภูมิใหม่ เพื่อให้อุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์อยู่ในระดับปกติ ส่วนรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัติยิ่งต้องให้ความใส่ใจกับระบบน้ำหล่อเย็น เพราะออยล์คูลเลอร์ของน้ำมันเกียร์ก็จะวนเข้ามาระบายความร้อนในหม้อน้ำด้วย
เพราะเมื่ออากาศภายนอกร้อนจัดอุณหภูมิของเครื่องยนต์ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ถ้าระบบความร้อนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพก็จะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับปกติได้ ผลที่ตามมาเมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้นก็คือสมรรถนะลดลง เครื่องอาจจะเดินสั่นไม่ราบเรียบ แอร์ไม่เย็น ใครที่เคยพบปัญหานี้สามารถสังเกตุได้จากมาตรวัดความร้อนจะสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย การแก้ไขก็คือทำการตรวจเช็คตามจุดที่กล่าวมาและทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำระบบหล่อเย็นใหม่

คำตอบที่ 3
       น้ำมันเกียร์อัตโนมัติก็ไม่ควรมองข้าม
บ้านเรานอกจากอุณหภูมิภายนอกจะสูงแล้ว อุณหภูมิที่ผิวถนนก็สูงมากทำให้เครื่องยนต์และระบบเกียร์ได้รับความร้อยเพิ่มขึ้นด้วย น้ำมันเกียร์จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามสภาพอุณหภูมิภายนอกส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับน้ำมันเครื่อง เมื่อน้ำมันเกียร์ร้อนจัดผลที่ตามมาก็คือประสิทธิภาพการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ลดลง ยิ่งน้ำมันเกียร์ใกล้หมดอายุการใช้งานจะยิ่งเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ฉะนั้นการเปลี่ยนถ่ายตามเวลาจะช่วยป้องกันได้ดีที่สุด

คำตอบที่ 4
       น้ำมันเครื่องก็มีส่วนในการช่วยระบายความร้อน
หน้าที่ของน้ำมันเครื่องนอกเหนือจากการหล่อลื่นแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการระบายความร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย น้ำมันเครื่องเมื่อเริ่มเสื่อมสภาพประสิทธิภาพในการระบายความร้อนก็จะลดลง โดยเฉพาะในขณะที่เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมีอุณหภูมิสูงๆ การสึกหรอและอุณหภูมิก็จะขึ้นสูงตามไปด้วย

คำตอบที่ 5
       ระบบปรับอากาศปัญหาหนักอกของรถอายุเยอะ
ปัญหาของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในช่วงกลางวันคือเรื่องระบบปรับอากาศ สำหรับรถใหม่ๆ อาจจะไม่มีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับรถที่มีอายุ 4-5 ปีขึ้นไปจะเริ่มรู้สึกถึงปัญหานี้ค่อนข้างชัดเจนว่าแอร์ไม่เย็นฉ่ำใจเหมือนเก่า ซึ่งเจ้าของรถเองต้องเอาใจใส่ดูแลมากเป็นพิเศษ ใครที่เริ่มรู้สึกว่าแอร์มีความเย็นเฉพาะเวลากลางคืนละก็ เตรียมตรวจเช็คระบบแอร์เอาไว้ได้เลย สำหรับการตรวจเช็คดูแลเรื่องของระบบปรับอากาศต้องทำเป็นส่วนๆไป เพราะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องด้วยค่อนข้างเยอะต้องทำการตรวจเช็คตามลำดับดังนี้

คำตอบที่ 6
       2. ถ้าตรวจพบว่าปริมาณน้ำยาแอร์เป็นปกติให้ตรวจเช็คสภาพของสายพานว่าหย่อนหรือเสื่อมสภาพ สายพานเมื่อเสื่อมสภาพ แตกลายงา, ผิวหน้าสัมผัสไหม้ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ให้ทำการปรับตั้งหรือเปลี่ยนใหม่

คำตอบที่ 7
       1. ปริมาณของน้ำยาแอร์ สาเหตุหลักของปัญหานี้คือน้ำยาแอร์พร่องไปจากระบบ การตรวจเช็คสามารถทำได้โดยดูจากกระจกตาแมวที่ตัวไดเออร์ สตาร์ทเครื่องแล้วเปิดแอร์ถ้าเห็นว่ามีฟองขาวๆ วิ่งผ่านปริมาณมากแสดงว่าน้ำยาแอร์พร่องไปจากระบบ หรือพบว่ากระจกตาแมวสกปรกขุ่นมัว แสดงว่าความชื้นในระบบสูง ทั้งสองสาเหตุนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้แอร์ไม่เย็น ปริมาณของน้ำยาแอร์ที่เหมาะสมนั้นจะสังเกตุได้โดยดูจากฟองอากาศ ถ้าเห็นฟองอากาศมีปริมาณเล็กน้อยวิ่งผ่านเป็นเส้นเหมือนเส้นประก็ถือว่าใช้ได้ และตรวจเช็คตามข้อต่อต่างๆ ว่ามีร่องรอยของการรั่วซึมให้เห็นหรือไม่ ถ้ามีให้ทำรีบแก้ไขเพราะถ้าเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ไม่นานก็รั่วอีก

คำตอบที่ 8
       3. เวลาจอดแอร์ไม่เย็นแต่วิ่งแล้วเย็นปกติ อาจเป็นได้จาก 2 สาเหตุคือ สายพานหย่อน หรือพัดลมช่วยระบายความร้อนเสื่อมไม่สามารถสร้างแรงลมได้เพียงพอ โดยเฉพาะรถที่อายุเกิน 5 ปีขึ้นไปมักจะประสบกับปัญหานี้ เพราะพัดลมไฟฟ้าเมื่อใช้งานไปนานๆจะมีการเสื่อมสภาพเมื่อแรงลมตกมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนลดลงแอร์ก็จะไม่เย็น เนื่องจากแปลงถ่านของชุดมอเตอร์ใกล้หมด, เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ปัญหานี้จะเป็นเฉพาะเวลารถจอดติดนานๆ แต่เมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นปริมาณลมที่ผ่านแผงระบายความร้อนก็เพียงพอต่อการระบายความร้อน แอร์ก็จะกลับมาเย็นอีกครั้ง ในกรณีที่แรงลมของพัดลมลดลงควรทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่

คำตอบที่ 9
       4. ตรวจเช็คสภาพแผงระบายความร้อน (คอยล์ร้อน) ถ้ามีคราบสกปรกเช่น ดิน, โคลน, ใบไม้, เศษถุงพลาสติก, ครีบล้ม ฯลฯ ติดอยู่ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนลดลง สามารถทำความสะอาดได้โดยการฉีดน้ำล้างเบาๆให้ชุ่ม ปล่อยให้คราบสกปรกอ่อนตัวสักพัก แล้วใช้แปรงใยตาล (แปรงล้างห้องน้ำ) ค่อยๆปัดออกเบาๆไปตามทิศทางของครีบระบายความร้อนอย่างเบามือ เพื่อป้องกันครีบล้มเสียหายพยายามใช้น้ำฉีดสวนออกมาเพื่อไล่สิ่งสกปรกออก ห้ามใช้น้ำที่มีแรงดันสูงฉีดโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้ครีบล้มเสียหายได้

คำตอบที่ 10
       5. กรณีที่ตรวจเช็คภายนอกแล้วพบว่าปกติดี แต่แอร์ก็ไม่ฉ่ำเหมือนเก่า ให้ลองนึกดูว่าเคยล้างตู้แอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ กรณีที่ไม่ได้ล้างตู้แอร์มาอย่างน้อย 3-4 ปี และมีกลิ่นอับชื้นเวลาเริ่มเปิดแอร์ด้วยแสดงว่าตู้แอร์สกปรก ต้องทำการถอดล้างทำความสะอาด สาเหตุที่ทำให้ตู้แอร์สกปรกอุดตันเพราะฝุ่นผง, เส้นผม, เศษใบไม้หรือกระดาษชิ้นเล็กๆ ขยะพวกนี้มักเล็ดลอดเข้าไปอุดตันที่คอยล์เย็น ถ้าไม่อยากให้ตู้แอร์อุดตันเร็วควรรักษาความสะอาดที่พรมปูพื้นหรือดูดฝุ่นบ่อยๆ ก่อนขึ้นรถก็ตบๆเท้าไล่ฝุ่นสักหน่อยก็ดี

คำตอบที่ 11
       6. นอกจากนี้ในรถที่อายุมากๆสิ่งที่จะต้องตรวจดูเพิ่มเติมคือระบบสายไฟตามจุดต่างๆ บางครั้งสายไฟเก่ามากๆ หรือได้รับการดัดแปลงมาแล้วอาจมีการหลุดหลวมทำให้ไฟเดินไม่สะดวก ก็เป็นอีกสาเหตุที่ระบบของแอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

คำตอบที่ 12
       ฟิล์มกรองแสงช่วยได้มาก
ความร้อนจากภายนอกสามารถเข้ามายังห้องโดยสารได้จากกระจกที่มีอยู่รอบคัน ยิ่งแดดจัดๆ ความร้องจะทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น สิ่งที่จะช่วยลดภาระการทำงานของแอร์ได้ก็คือฟิล์มกรองแสง โดยจะต้องเลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อน เพื่อช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่จะเข้ามา ไม่เช่นนั้นระบบแอร์จะต้องทำงานหนักผลที่ตามมาก็คือการสึกหรอหรือเสื่อมโทรมของอุปกรณ์ แถมยังมีผลในเรื่องของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น เพราะคอมเพรสเซอร์ต้องทำงานเป็นเวลานานกว่าจะถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ รวมทั้งต้องหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดจัด นอกจากจะทำให้แอร์ไม่เย็นแล้วยังทำให้สิ้นส่วนภายในห้องโดยสารมีอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วย

คำตอบที่ 13
       แอร์ช่วงนี้ไม่ค่อยเย็นพอดีเลย เดี๋ยวลองทำตามเลยครับ

คำตอบที่ 14
      

คำตอบที่ 15
      

คำตอบที่ 16
      

คำตอบที่ 17
      

คำตอบที่ 18
       ขอบคุณมากๆครับ ได้ความรู้ขึ้นมาก เดี๋ยวต้องกลับไปเช็คบ้างแล้ว

คำตอบที่ 19
       ขอบคุณมากเลยนะครับ

คำตอบที่ 20
       สุดยอด มากเลยคับ