จาก molar IP:118.174.151.230
อาทิตย์ที่ , 27/1/2556
เวลา : 13:40
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
ไส้กรองอากาศ
เครื่องยนต์ต้องอาศัยอากาศในการจุดระเบิด เพื่อให้ได้กำลังออกมาใช้งาน แต่เครื่องยนต์ไม่สามารถรับอากาศจากภายนอกได้โดยตรง เพราะมีฝุ่นละอองปะปนอยู่มาก ถ้าไม่กรองก่อน อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ดังนั้นรถทุกคันจำเป็นต้องมีไส้กรองอากาศ
ไส้กรองอากาศมีหลายแบบ
1. ไส้กรองอากาศชนิดแห้ง ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ เส้นใยพืช และขนสัตว์ ส่วนใหญ่ใช้งานแล้วทิ้ง แต่ยังสามารถนำออกมาทำความสะอาดโดยการเป่าได้ ไส้กรองอากาศที่ติดมากับรถจากโรงงานมักเป็นไส้กรองอากาศแบบนี้ เนื่องจากมีราคาถูก
2. ไส้กรองอากาศชนิดเปียก หรือไส้กรองอากาศแบบน้ำมัน ใช้น้ำมันเป็นตัวดักจับฝุ่นละออง ใช้กันในรถรุ่นเก่า มีลักษณะเหมือนกับไส้กรองชนิดแห้ง แต่ในแผ่นไส้กรอง จะมีน้ำมันหล่อไว้ภายใน อากาศจะไหลผ่านไปในหม้อกรองลงสู่ด้านล่างที่มีน้ำมันขังอยู่ เศษฝุ่นละอองที่หนักกว่าจะวิ่งไปสู่น้ำมัน และถูกจับเอาไว้ ไส้กรองอากาศชนิดนี้มักไม่นิยมทำความสะอาดกัน พอฝุ่นจับมากแล้วก็ทิ้งเลย
3. ไส้กรองอากาศชนิดเคลือบด้วยสารที่มีความหนืด เช่น พ่นด้วยน้ำมันให้แผ่นกรองอากาศเกิดความเหนียว เพื่อเพิ่มความสามารถในการดักจับฝุ่น จุดประสงค์เพื่อให้อากาศไหลผ่านได้มากกว่าไส้กรองปกติ มักใช้กับรถที่โมดิฟายด์เครื่องยนต์ สามารถใช้งานได้หลายครั้ง ด้วยการล้างทำความสะอาดแล้วเคลือบน้ำยาใหม่
ต้องเช็ค หรือเปลี่ยนตอนไหน ?
อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ระยะการตรวจเชคที่ง่ายที่สุด คือ การวัดจากระยะทางที่รถวิ่ง บริษัทรถยนต์ก็ใช้วิธีนี้ในการตรวจ โดยกำหนดการเปลี่ยนไส้กรองอากาศไว้ทุกๆ 20,000-40,000 กม.
ระหว่างช่วงการใช้งานที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยน เราสามารถยืดอายุการใช้งานของไส้กรองอากาศ โดยการกำจัดฝุ่นละอองที่ไส้กรองอากาศกักไว้ ให้สามารถดักจับฝุ่นใหม่ได้ ด้วยวิธี "เป่า" ทุกๆ ประมาณ 5,000 กม. หรือถ้าเป็นไปได้ ทุกเดือนยิ่งดี โดยจะต้องเป่าจากภายในออกสู่ภายนอกเท่านั้น ถ้าเป่าย้อนทาง ลมที่เป่าจะดันให้ฝุ่นละอองฝังตัวลึกแน่นเข้าไปอีก การเป่ากรอง ทำให้อากาศสามารถผ่านกรองได้สะดวกขึ้น ช่วยประหยัดน้ำมัน แน่นอนว่าประสิทธิภาพการกรองอากาศจะลดลง แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่เร็วเกินไป
|