จาก p_savage
พุธที่ , 4/7/2550
เวลา : 11:08
อ่าน = 563
202.91.19.200
|
บางครั้งการกระทำที่ออกมาเหมือนกัน แต่เกิดจากความคิดและเหตุผลที่แตกต่างกัน นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการมองลบ ลบ ที่ลืมพยายามที่จะเข้าใจ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
> จะบีบแตรไล่ทำไมนักหนาวะ กับอีแค่ผมจอดทับเส้นกากบาทเหลือง
>
> จริงๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ไม่นึกว่ารถข้างหน้าจะขยับไปได้แค่นั้น
> คุณก็รีบ ผมก็รีบ ใครๆ ก็รีบกันทั้งนั้น เอ้า เอาเข้าไป บีบเข้าไป
> มันยังบีบแตรอีกนับสิบครั้ง ผมหันไปมอง ช่างเถอะ! มันก็แค่ไอ้แท็กซี่คันหนึ่ง
> ท่าทางคนขับคงจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
> ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตอนหลังก็ดูจะโวยวายโหวกเหวกไม่แพ้กัน
> จะรีบไปไหนนักหนาวะ แต่โดนเข้าไปหลายครั้งก็อายเหมือนกันแฮะ
> เสียงแตรที่ดังสนั่นทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว
> แล้วจะให้ทำไงล่ะ ผมมองซ้ายมองขวา รถติดออกอย่างนี้จะถอยหลังก็ไม่ได้
> รถคันหลังก็จ่อมาซะติด จะขยับไปข้างหน้าก็อย่าหวัง ช่างมันเถอะ ทนอายเอาหน่อย
> พอเถอะวะ จะบีบไปทำไม ออกจากซอยได้ก็ต้องมาติดไฟแดงด้วยกันอยู่ดี
> ทั้งคนขับและผู้โดยสารชี้โบ้ชี้เบ้มาที่ผม จะว่าอะไรผมก็ไม่เข้าใจหรอก
> ตาของผมกับตาของคนขับแท็กซี่ประสานกันเข้าอย่างจัง ทำไงดีล่ะ
> เห็นทีงานนี้ต้องกวนตีนกันแล้ว
> ผมยกนิ้วกลางให้พร้อมกับเหยียบคันเร่งกระชากรถออกจากสี่แยก
> ขยับไปได้นิดเดียว แท็กซี่คันนั้นก็ปาดแทรกรถคันที่ตามหลังผมทันที เอาวะ
> งานนี้เป็นไงเป็นกัน ผมคิด
>
> แท็กซี่คันนั้นยังบีบแตรและเปิดไฟสูงต่ำไล่ผมมาตลอด มันแน่งานนี้
> ถนนช่วงนี้ถึงแม้การจราจรจะค่อนข้างคับคั่ง
> แต่จริงก็ไม่เหลือวิสัยหากผมจะหลีกทางให้มันแซงขึ้นไปข้างหน้า
> แต่ถ้าลองเล่นกันถึงขั้นนี้แล้ว ก็เห็นที่จะต้องตามกวนตีนกันไปให้ถึงที่สุด
> ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีว่าผมขับรถเร็วขนาดไหน
> รู้แต่ว่าผมทำทุกวิถีทางที่ไม่ให้มันแซงหน้าไปได้
> ถ้าเผลอปล่อยให้แซงหน้าได้เมื่อไหร่ ผมจะเร่งแซงกลับไปดักหน้าไว้ทุกครั้ง
> ต้องให้บทเรียนไอ้คนพวกนี้บ้าง
> ผมเบื่อเต็มทนกับพวกแท็กซี่ที่จอดรับส่งผู้โดยสารไม่เลือกที่
> คิดอยากจะจอดตรงไหนก็จอด
> ที่รถรามันติดกันยาวเหยียดอยู่ทุกวันนี้ ก็ไอ้พวกนี้แหละเป็นส่วนหนึ่ง
> ต้องเล่นซะบ้างจะได้เข็ด
> แท็กซี่คันนั้นยังใช้ความเร็วอยู่เหมือนเดิม
> แซงซ้ายแซงขวาปาดหน้าปาดหลังเค้าไปทั่ว
> ผมหลับตานึกถึงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในนั้น ป่านนี้คงหายใจไม่ทั่วท้องแน่ๆ
> ทำไมถึงได้รีบขนาดนี้วะ
> ผมเหยียบคันเร่งจนมิดแซงรถคันโน้นคันนี้แล้วก็ไปปาดหน้ามันอีกครั้ง
> แล้วก็ชลอความเร็วกันท่าไม่ให้มันแซงผม ก็ได้ผล
> มันทั้งบีบแตรทั้งเปิดไฟไล่ใส่ผม ช่าง บีบแตรไล่กูนัก กูจะกันท่า
> ไปตลอดอย่างนี้แหละ อีกแค่สองแยกก็จะถึงที่หมายของผมแล้ว
>
> วันนี้ผมลางานครึ่งวันเพื่อมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จริงๆ
> แล้วผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก เวลาของผมยังมีเหลือเฟือ
> กวนตีนกันอีกซักพักเวลาก็ยังเหลือแหล่
> ไอ้การตรวจร่างกายสมัยนี้ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรนักหนา
> เถลไถลไปโน่นไปนี่ก็ยังกลับไปทำงานช่วงบ่ายได้ทัน รถติดไฟแดงอีกแล้ว
> ท่าทางจะติดยาวเสียด้วย แท็กซี่ที่ตามหลังผมมาติดๆ ปาดเข้าเลนซ้าย
> ก่อนจะแซงหน้าผมไป คนขับหันมามองผมแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนกับรำคาญผมเต็มประดา
> ผมหักพวงมาลัยตาม จากนั้นรถก็ค่อยๆ เขยิบทีละนิดไปตามจังหวะสัญญาณไฟ
> มันพยายามแทรกรถคันอื่นๆ เพื่อที่จะไปอยู่แถวหน้าสุด ผมปาดรถเข้าช่องว่างตามไป
> จังหวะนั้นเลนขวาว่าง
> ผมเหยียบคันเร่งปาดเข้าขวาแล้วปาดเข้าซ้ายตัดหน้ารถแท็กซี่ไปนิดเดียว
> เสียงเบรกของมันดังสนั่น แต่นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
> งานนี้มันต้องทำให้รู้สึกกันบ้าง เหลืออีกนิดเดียวผมก็จะถึงที่หมายแล้ว
> หลังจากนั้นเอ็งจะไปไหนก็ไปเหอะ หลุดจากไฟแดง
> รถของเราทั้งสองคันก็ปราดออกจากสี่แยกพร้อมๆ กัน
> ยังไงซะผมก็ไม่ยอมให้มันขึ้นหน้าหรอก
> เสียงแตรของแท็กซี่ดังไล่หลังมาไม่ขาดระยะ
>
> ถึงซะที คราวนี้ จะไปไหนก็ไปเถอะ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล
> รับบัตรจอดรถจากยามแล้วแล่นเข้าสู่ลานจอด มันยังตามมาติดๆ ยังไม่เลิกเหรอวะ
> ผมคิด เอาก็เอา ที่ล็อคเกียร วางอยู่บนเบาะหลัง ผิดนักก็คงได้ฟาดกันมั่งหรอก
> ผมขับรถเข้าที่จอด เปิดและปิดประตูรถอย่างแรงเหมือนไม่กลัวว่ามันจะพัง
> แท็กซี่ที่ตามมาก็จอดพร้อมๆ กันกับผม
>
> ประตูแท็กซี่ทั้งสี่ด้านเปิดผลัวะออกมาทั้งๆ ที่รถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ
> ในทันใดนั้น ผมได้แต่ยืนตะลึง แขนซึ่งถือที่ล็อกเกียร
> เตรียมจะประจันบานตกลงมาข้างตัวเหมือนจะหมดแรง ไม่น่าเชื่อ
> ทุกสิ่งทุกอย่างในรถคันนั้นเต็มไปด้วยเลือด ทั้งบนเบาะ ที่บานประตูด้านใน
> ไม่เว้นกระทั่งบนเสื้อของคนขับแท็กซี่
> ผู้ชายสูงอายุแต่งตัวมอมแมมคนนึงถูกอุ้มอย่างทุลักทุเลลงมาจากรถ
> เลือดเปรอะอยู่ทั้งบนลำตัวและใบหน้าของเขาและบนเนื้อตัวของหญิงสาวทั้งสองคนที่คอยประคองอยู่
> เธอทั้งคู่ร้องไห้เสียงดัง
> โชเฟอร์เท็กซี่ที่ผมคาดว่าคงจะเปิดประตูเข้ามาลุยกับผมรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองชายสูงอายุ
> ผมยืนมองจนบุรุษพยาบาลวิ่งเข้ามาและนำชายคนนั้นขึ้นรถเข็นพร้อมทั้งปั้มหัวใจกันพัลวัน
> ตลอดเวลานั้น ผู้หญิงทั้งสองคนเกาะราวรถเข็นไม่ยอมห่าง
> ผมได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก
>
> คนแก่คนนั้นเขาจะโดนอะไรมาก็เถอะ ถูกยิง ตกตึก หรือรถชน แกคงจะมีโอกาสรอดแน่ๆ
> ถ้ามาถึงโรงพยาบาลได้เร็วกว่านี้ นี่ถ้าผมไม่แกล้งเขา ลุงแกอาจจะรอด
> เขาอาจจะมาถึงที่นี่ซักสิบนาทีก่อนหน้านี้ นั่นก็ยังดี ลุงอาจจะรอด ผมคิด
> ลุงคงจะรอด
> ทำไม ไม่เปิดกระจกมาบอกกรูซักคำวะ ผมแช่งชักหักกระดูกคนขับแท็กซี่
> ในขณะนั้นผมไม่ได้คิดถึงความเลวของตัวเองซักนิด นาทีนั้นผมสับสนอยากอ้วก
> ไม่มีแรงจะพยุงตัวเองไว้ได้ ผมเปิดประตูกลับเข้าไปในรถ
> แว่บนั้นผมเห็นคนขับแท็กซี่เดินเข้ามาหา ช่าง อยากจะทำอะไรกรูก็ทำ
> กรูไม่มีกะจิตกะใจจะสู้อีกแล้ว ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
> ผมได้ยินเสียงคนขับแท็กซี่ดังแว่วเข้ามา
> มันทำให้ผมรู้สึกเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจว่า
>
>" พี่รู้ไหม ลุงแกตายแล้ว เพราะพี่นั่นแหละ"
>
> นั่นเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนที่ผมจะซบหน้าลงกับพวงมาลัยและร้องไห้
|