คำตอบที่ 8
...ความคิดส่วนตัวนะครับ.....
ถ้าจะวางขับ 2 ใช้ในเมือง ทุกวันน่าสนใจครับ อาจจะมีจุดคุ้มทุน....แต่ถ้าขับ 4 แล้วใช้เที่ยวป่า ผมว่าไม่คุ้มทั้งความประหยัด และ ความคงทน...
เพราะเครื่องดีเซลแรงบิดมาดีในรอบต่ำครับ และถ้าเที่ยวนี้เสียที่ใหน สามารถซ่อมได้ทุกที่ครับ ลุยน้ำลุยโคลน ไม่ค่อยมีปัญหา...และไม่เสียรถ...เกียร์ 4 สามารถใช้ได้ปกติ.....
....แต่ถ้าใช้วันละหลาย กม.....ต้องเดินทางทุกวันก็น่าสนใจครับ...เป็นอีกทางออก....ใครจะทำคงต้องคิดในเรื่องของจุดได้จุดเสียให้ดีนะครับ.....และลองปรึกษาคนที่ได้ทำการแก้ไขมาแล้วด้วยทั้ง...การใช้งานและการลงทุน...ความประหยัดที่ได้รับและปัญหาต่างๆ.....
ส่วนของผมเลือกหารถเก๋งเก่ามาใช้อีกคัน 1 แล้วมาติดแก๊ซเพิ่ม ความประหยัดที่ได้รับ โอเคเลย....
เดี๋ยวลองเอาข้อมูลเก่าๆมาลองศึกษาดูครับ
ผมไม่ค่อยแนะนำครับถ้าเห็นแก่ความประหยัด ความเห็นส่วนตัวนะครับ อาจเพราะผมไม่ได้วิ่งไกลมากนัก ไม่ขับเร็วมากนักเพราะรถมันสูงไม่ใช่เก๋งจะได้ใช้ไปประลองความเร็ว
ค่าเครื่องค่าวาง จนจบ ~50000
ขายเครื่องเก่า ~35000
ค่าติดแก๊ส ~20000
เบ็ดเสร็จลงทุน ส่วนต่าง ~35000
วันนี้ดีเซลผมตกที่ กม ละ 2.12 บาท
สมมุติว่าแก๊ส ตกที่ กม ละ 1.5 บาท
ผม save ได้ กม ละ 62 สตางค์ จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 58333 กม หรือให้คุ้มทุนใน 1 ปีผมต้องวิ่งเฉลี่ย เดือนละ 4861 กม
หรือให้คุ้มทุนใน 2 ปีผมต้องวิ่งเฉลี่ย เดือนละ 2431 กม
1) ข้อเสียอีกอย่างคือแก๊สบ้านนอกเช่นบ้านผม โลละ 10.5 บาท(แพงกว่ากทม เกือบ 2 บาท) ค่าบริโภคแก๊สมันจะไม่ใช่ 1.5 บาทต่อกม แต่จะเปลี่ยนเป็น 1.7~1.8 บาทต่อกม การคืนทุนก็จะช้าไปกว่านี้อีก
2) ใช้แก๊ส ต้องหมั่นดูแล หม้อต้ม อายุการใช้งานก็ราวๆ 1~2 ปี ผ้าอาจจะฉีก
3) โดย nature เครือง ดีเซลมันมักจะทนกว่าเครื่องเบนซิน และ เครื่องเบนซิลมันมักจะทนกว่าเครื่องเบนซินติดแก๊ส
4) ราคาขายต่อภายภาคหน้ามากกว่าเครื่องเดิม
5) อย่างที่ข้างบนกล่าวนั่นแหละเครื่องตัวนี้แรงบิดมาในรอบสูง โอกาสปีนแล้วพลิกสูง(ต่างจากเครื่อง jeep ที่เน้นแรงบิดไม่ค่อยเน้นแรงม้า) เครื่องเหมาะกับรถขับ 2 มากกว่าวิ่งทางเรียบจะดี
6) ความจุกจิกของแก๊ส เมื่อไม่ค่อยได้ใช้น้ำมัน เช่น ท่อน้ำมันแตก, หัวฉีดตันเพราะไม่ค่อยใช้น้ำมันม O-ring ระบบน้ำมันชอบเสื่อม, ปัมท์ติกเสียเพราะไม่ค่อยใช้ เครื่องร้อนเพราะใช้แก๊ส, น้ำหม้อน้ำหายเพราะเอาไปต้มแก๊ส, หม้อต้มรั่ว เป็นต้น
7) วางไม่ดีระวังไม่จบ
8) แก๊สติดไม่ดี ไม่วิ่ง และกินจัด
ทุกวันนี้ bio ดีเซลเป็นทางเลือกของผมสำหรับ grandis 2.8 ไม่โบ ยาง 31"กิน บางจาก bio ดีเซล 2.12 บาท/กม
และทุกวันนี้ Cherokee 4.0 กินแก๊ส ราว 4.5 กม/ลิตร หรือ 2.5 บาท/กม(ที่แก๊ส ลิตร ละ 10.5) แพงกว่าดีเซลอีก
ลองคิดดูก่อนนะ อย่าเชื่อผม
ของคุณ tu-ta
ใครว่าทอร์คไม่ต่าง ต่างมากๆครับ
อย่าไปดูตัวเลขตัวหน้าตัวเดียว คือ ตัว กก.-เมตร (Kg-M หรือ N-m ขึ้นอยู่ว่าจะใช้หน่วยไหน) มันต้องสัมพันธ์กับรอบที่แรงบิดนั้นจะมาด้วย
กล่าวคือ อย่างในเครื่องของ 2JZ-GE แรงบิดมีที่ 29-31 กก.-เมตร ที่รอบเครื่อง 4000-4800 รตน. นั่นหมายถึงจะต้องกดคันเร่งลึกมากเพื่อที่จะได้รอบที่ 4800 และจะต้องใช้เวลาพอสมควร วิ่งทางดำไม่เท่าไหร่ แต่หากเอามาวางในรถ 4x4 ที่ต้องการแรงบิดในรอบต้นๆ เพื่อที่ขับเคลื่อน อาการมันก็จะเกิดในลักษณะเวลากดคันเร่งเพื่อข้ามอุปสรรครอบแรงบิดจะยังไม่มา รถจะมีอาการตื้อๆ แต่ทีนี้เวลาเติมคันเร่งลงไปจนรอบมาที่แรงบิดที่ต้องการ คราวนี้แหละมันจะพุ่งพรวดพราดจนบางทีอาจจะแทบควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางเป็นไปได้ยาก
ขนาดเครื่อง 4M40 เรารอบแรงบิดจะมีสูงสุดที่รอบต่ำแค่ 2000 รตน.ในบางโอกาศยังมีอาการรอบมาช้า เหมือนรอรอบเลย แล้วนี่เครื่อง JZ รอบสูงสุดของแรงบิดอยู่ที่ 4000 กว่า รตน.นู้น ขับในทางออฟโรดขับยากครับ แต่วิ่งทางดำนี่ฉิวเลยหละ
จาก 4M-JZ
คำตอบที่ 31
โอ้โห ขนาดคุณ tu ta คำนวนว่า
ค่าเครื่องค่าวาง จนจบ ~50000
ขายเครื่องเก่า ~35000
ค่าติดแก๊ส ~20000
เบ็ดเสร็จลงทุน ส่วนต่าง ~35000
วันนี้ดีเซลผมตกที่ กม ละ 2.12 บาท
สมมุติว่าแก๊ส ตกที่ กม ละ 1.5 บาท
ผม save ได้ กม ละ 62 สตางค์ จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 58333 กม หรือให้คุ้มทุนใน 1 ปีผมต้องวิ่งเฉลี่ย เดือนละ 4861 กม
หรือให้คุ้มทุนใน 2 ปีผมต้องวิ่งเฉลี่ย เดือนละ 2431 กม
แล้วคุณ stra ton บอกว่างบจนเสร็จ 100000 บาท(สมมติ ว่าเศษแสน เราขายเครื่องเดิมได้พอดี) จุดคุ้มจะอยู่ที่กี่ กม แล้วระหว่างที่วิ่งเพื่อให้ได้จุดคุ้ม จะไม่มีรายจ่ายอื่นๆ หรือครับเนี้ยะ
อย่างผมวิ่ง เดือนละ 3000KM. ก็ตกโลละ 2.5 บาท(เติมเต็มถัง 1500 วิ่งได้ 600km.) ก็จะมีรายจ่าย คนม. 7500 บาทต่อเดือน แต่ถ้าติดแกส รายจ่าย คก. ก็จะตก 5100 บาท(คิดที่โลละ 1.7 บาท)ส่วนต่าง คือ 2400 บาท ปีหนึ่งก็จะประหยัดได้ 28800 แต่เราลงทุนไป 100000 บาท ก็เท่ากับว่า้ต้องใช้สัก 3 ปีก็จะได้ คุ้มกับเงิน 100000 ที่จ่ายไป แต่ 100000 นั้นไม่ได้ทยอยจ่ายแน่ๆ
เอาเป็นว่า ถ้าวิ่งปกติธรรมดา เดือนละเท่านี้ ผมไม่เปลี่ยนเครื่องดีกว่า ที่แนๆ่ เครื่องเดิมที่เราคุ้นเคย เราก็จะพอคาดคะเน รายจ่ายที่จะต้องเสียเพื่อบำรุงรักษาได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเครื่อง เราไม่คุ้นเคยกะมันเลย เสียเมื่อไร ช่า่งที่ใหนซ่อมได้บ้างก็ไม่รู้
ถ้ามองว่า ค่าใช้จ่ายต่อ กิโลเมตร มันถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ก็น่าทำ หากแต่ถ้าต้องเสียเงิน เป็น ครึ่งแสน หรือเป็นแสน เพื่อแลกกับ ค่าใช้จ่ายต่อ กิโลเมตร ที่ถูกกว่าแค่นี้ แล้วปีหน้า ก็จะลอยตัวแกส กับ ก๊าซ กันแล้ว(ฟังเขามาอีกที) ยิ่งไปกันใหญ่
เหมือนตอนผมออกรถ สตราด้า ก็มีคนบอกให้เอา อีซูซุ เพราะประหยัดค่าน้ำมันกว่ากันเยอะ ตอนนั้นออกรถถ้าเป็น IZu ต้องใช้สัก แสนหน่อยๆ แต่สตราด้าแค่ สามหมื่นห้าเอง
แต่ผมมาคิดคำนวนอีกทีในตอนนี้ ผมว่าผมออก สตราด้าดีแล้ว ตอนออกรถ ใช้เงินน้อยกว่าเป็นใหนๆ ในออปชั่นเท่ากัน(สตราด้าดีกว่าด้วย) ส่วนต่างครึ่งแสนกว่าๆ แต่ประหยัดกว่า แค่ 5 โลลิตร ให้แบบไม่คิดมากด้วย
คิดแค่ไอ้ส่วนต่างตอนออกรถ เราเติมน้ำมันได้ตั้ง หลายปีกว่าจะหมดเงินนั้น แถมเงินนั้นเอามาหมุน ออกดอก ออกผลได้ตั้งเยอะ ซ่ะด้วย
แหะๆ ยืดยาวไปหน่อยครับ แต่ก็ตามที่คุณ อัศวิน ถามไว้ก็เลยมา บอกเล่า ตามที่ผมคิดเอง เผื่อจะไปสะดุดคนอื่นๆบ้างอ่ะครับ
hi-tech
.........ถ้าจะคิดเปลี่ยนผมแนะนำพยายามคำนวณในจุดคุ้มทุนให้เยอะนะครับ..ว่าคุณจะใช้เขาอีกกี่ปี แล้วจุดคุ้มทุนอีกกี่ปี...แล้วมันจะคุ้มกันหรือเปล่า...ใช้งานแบบใหน........
..............ขอให้ได้ทางออกที่ดีที่สุดนะครับ......