จาก ตาลเดี่ยว
อังคารที่ , 3/10/2549
เวลา : 12:37
อ่าน = 540
203.188.18.113
|
ขออนุญาติยืมมาจากห้อง ปาเจโร่ ครับ
อ่านจบแล้วน้ำตาซึมครับ ทุกครั้งที่ลูกเราเป็นอะไร เราจะห่วงเขามาก
เพราะเขายังเด็ก บอกอะไรเราได้ไม่มากนัก
http://www.weekendhobby.com/offroad/pajero/Question.asp?ID=4838
> น้องเฟย ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
> ผู้จากไปด้วย
> โรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก
> แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์ Coxsaki
> หรือ Enterovirus71ไหนเท่านั้นเอง
> และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียา
> รักษาได้ อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า
> แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัส
> เหมือนกับโรคมือ ปาก เท้า ทุกประการ
> เป็นคำยืนยันจากอาจารณ์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่
> บำรุงราษฏ์ และ จุฬา ฯ
>
> ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10
> วันเท่านั้นเอง
>
>
> วันอังคาร์ที่ 5/9/49 ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ป๊าจำได้
> น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวด
> หัว แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ
> พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
> จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ และนอนต่อ จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด
> เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน และ
> ทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ
>
> วันพุทธ ที่ 6/9/49 น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน
> ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง แต่ไข้ก็ยังไม่ลด
> ต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก วิ่งเล่นไปมา
> ส่งเสียงดังลั่นบ้าน
> จนนึกว่า นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ แต่แล้ว
>
> วันพฤหัสบดีที่ 7/9/49 น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่ 38.5 C
> คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาล
> กรุงเทพคริสเตียน หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณณี คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ
> และให้ยาแก้ไข้
> แก้อักเสบ แก้ไอ แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน
>
> วันศุกร์ที่ 8/9/49 น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน
> และเรียนหนังสือตาม
> ปกติ
>
> วันเสาร์ที่ 9/9/49 โรงเรียนหยุด อยู่บ้าน ทานยาตามปกติ
> แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก ต้องทาน
> ยาลดไข้เป็นระยะ พอทานยาเสร็จ ก็วิ่งเล่น ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ
> ดูทีวี คุยกับอาม่า ทาน
> อาหารได้
>
> วันอาทิตย์ 10/9/49 ตอนบ่าย 2.30 มาม๊าไม่สบาย
> ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่ TK
> Park อุทยานการเรียนรู้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง
> เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน
> กดลิฟท์เอง ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์
> เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกดลิฟท์เป็นประจำ พอไปถึงก็
> เข้าไปเล่นเกม= ส์อินนเตอร์เนท จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น เราก็ออกมา
> น้องเฟยบอกว่าหิว
> ข้าว จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen แต่น้องเฟยบอกหนาว หนาวมาก ๆ
> ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบ
> วิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล มาป้อนน้องเฟยก่อน จนแกเริ่มดีขึ้น
> ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ ได้จนหมด
> จาน นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด
> เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมาก ๆ ไม่ชอบ
> กินผัก จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที
>
> วันจันทร์ที่ 11/9/49 คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กับหมอ วรรณี
> คนเดิมที่ รพ. กรุงเทพ
> คริสเตียน
> วัดไข้ได้ 38.5 C แต่ก็ยังร่าเริง วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ
> ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่มา
> ตรวจด้วยซ้ำไป คุณหมอจึงได้จัดยา ยา Zithromax เป็นยาแก้อักเสบ และ
> ยาลดไข้ 2
> อย่าง พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม
> คุยเสียงดัง ลั่นบ้านตาม
> เคย
>
> วันอังคาร์ที่ 12/9/49 น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ ตอนเย็นกลับบ้านทานยา
> Zithromax วัน
> ละ 1 ครั้ง เป็นยาแก้อักเสบ
>
> วันพุทธ ที่ 13/9/49 น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ
>
>
> วันพฤหัสบดีที่ 14//9/49 น้องเฟยเริ่มมีอาการผิดปกติ ไม่มีไข้แม้แต่น้อย
> ตัวไม่ร้อน แต่น้องเฟยบ่น
> ว่าเมื่อยทั้งตัว ไม่มีแรง เราก็นึกว่าเด็กตื่นเช้า 6.20 น
> อาจจะยังง่วงนอนอยู่ก็เลยเมื่อย ๆ
> พอไปถึงโรงอาหาร แกก็กินข้าวไม่ลง ทานได้ 2-3 คำก็ไม่กินแล้ว
> มาม๊าเลยอุ้มน้องเฟยมากอดให้
> แกงีบสักพัก พออ๊อดเข้าห้องดัง ป๊า และ
> ม๊าก็พาแกไปเข้าห้องแต่พอเดินมาถึงกลางสนามบาสแกก็บอก
> ว่าเดินไม่ไหว ณ เวลานั้น ถ้าผมทราบว่าตอนนี้มีโรคระบาดในเด็กละก็
> ผมคงไม่ชะล่าใจ นึก
> ว่าแกแกล้งไม่ยอมเข้าห้องเรียน
> จนถึงเวลานี้ก็ยังเสียใจว่าทำไมวันนั้นเราไม่นึกเอะใจเลยนะว่าลูก
> เราผิดปกติ แต่เราก็กลัวแกเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะ หยุดเรียนไปหลายวันแล้ว
> อีกอย่างอาทิตย์
> หน้าก็จะสอบแล้วด้วย เลยพาแกเข้าห้องเรียนด้วยมือของเราเอง (น้องเฟย
> ป๊าขอโทษ
> ป๊าผิดเองที่วันนั้นพาน้องเฟยเข้าห้องทั้ง ๆ ที่น้องเฟยบอกเรียนไม่ไหว
> ป๊าเสียใจมาก ๆ มากจนไม่
> อาจให้อภัยตัวเอง ถ้าหากมีข่าวเรื่องโรค มือ เท้า ปาก มาก่อน
> ป๊าจะไม่ยอมให้น้องเฟยไป
> โรงเรียนเลย ทุกวันนี้มันก็ยังหลอนอยู่ในหัวป๊าตลอดเวลา )
> ทำไมทางสาธารณสุขถึงปิดข่าวกัน
> ไม่เคยมีใครรู้จักโรคนี้มาก่อนเลยทั้งที่มันรุนแรงกับเด็ก มาก ๆ
> และกำลังระบาดอยู่ ซึ่งความจริงมีเด็กเสียชีวิต ตั้งแต่ต้นปีแล้ว 5-6
> คนด้วยกัน เพิ่งจะเป็นข่าวก็ใน
> กรณีลูกของผมนี่แหละ )
>
> เย็นวันนั้นหลังจากรับกลับบ้าน ปรากฏว่ามีรอยบวมใต้ตาทั้ง 2 ข้าง
> พอมีใครไปทักแกก็จะบอกว่าอย่า
> ยุ่ง รู้สึกว่าวันนั้นแกจะนั่งดูทีวีอย่างเดียว ไม่พูด ไม่คุย
> ไม่ส่งเสียงดังตามปกติ
>
> เวลา 2 ทุ่ม ผมอุ้มแกเข้าห้องให้แกนอนที่เตียงประจำของแก แต่ปรากฏว่า
> ที่แขน และ ขา จับ
> แล้วเย็นมาก แต่ที่ตัวยังอุ่น หัวเริ่มมีเหงื่อออกมาก
> ผมรู้แล้วว่าอาการโรคที่แท้จริงตอนนี้เริ่ม
> ปรากฏตัวแน่ ๆ แล้ว ทั้งที่ตอนหัวค่ำยังไม่มีอาการมือเย็น เท้าเย็น
> เลยแม้แต่น้อย
>
> ผมปรึกษากับคุณแม่ เห็นว่ามันดึกแล้ว ถ้าไปโรงพยาบาลเวลานี้คงเจอแต่หมอเวร
> อีกอย่างแกก็ไม่มีไข้
> นอนอย่างเดียว ไม่ร้องเจ็บ หรือ ปวดตรงหัวเหมือนตอนก่อนเป็นไข้ครั้งแรก
> ก็เลยตั้งใจว่าเช้าวัน
> ศุกร์จะพาไปหาหมออีกที คราวนี้น่าจะรักษาได้แน่เพราะอาการออกชัดมาก ๆ
>
> วันศุกร์ ที่ 15/9/49 คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลเวาลา 10.00 น ช่วงเช้า
> 7.00 น คุณ
> พ่อได้นวดแขนนวดขาให้น้องเฟย เพราะมือและขา แกเย็นมาก ๆ ตลอดเวลา
> แต่ไม่มีแผลที่มือ หรือ
> เท้าเลยแม้แต่น้อย สะอาดมาก
> พอไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอได้พยายามเจาะหาเส้นเลือดเพื่อใส่
> น้ำเกลือด่วน เพราะว่าเด็กเกิดอาการช๊อค แต่ก็ไม่สามารถเจาะได้
> เพราะเส้นเลือดหาไม่เจอ
> เลย ต้องเจาะอยู่ถึงกว่า 10 ครั้ง น้องเฟยร้องไห้ตลอดเลยเพราะว่าเจ็บมาก
> จนคุณแม่ที่นั่งรออยู่
> ข้างนอกยังทนไม่ไหวถึงกับร้องไห้สงสารลูก
> แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะการเจาะเลือดเป็นทางเดียวที่จะ
> ให้อาหารแกด้วน้ำเกลือ เพื่อพยุงอาการให้เข้าที่
>
> เวลา 21.00 น ผมมาถึงโรงพยาบาล ที่ห้อง ไอ ซี ยู เห็นน้องเฟยนอนตาลอยอยู่
> ดูหน้าแล้ว
> โทรมกว่าตอนเข้ามาก ๆ จากนั้นแกก็อาเจียน
> มีเสลดในคอต้องคอยดูดออกเป็นระยะ ๆ แต่ไม่
> มีหมดในห้อง ICU เลย ผมถามแฟนว่าหมอไปไหนกับหมด
> แฟนก็บอกว่าหมอออกเวรไปแล้ว สักพัก
> ก็มีหมอเวรเด็ก เข้ามาและตรวจอาการแกตามปกติ
> แต่รุ้สึกว่าอาการลูกผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ เห็น คุณ
> หมอวิ่งเข้า วิ่งออกอยู่หลายรอบ เรียกพยาบาบเข้าไปช่วยต้วย
> แกบอกว่าลูกผมอาการค่อนข้างหนัก
> มาก ๆ แต่ยังหาสาเหตุของโรคไม่เจอ จากนั้นได้นำน้องเฟยไปเอ็กซ์เรย์ ปอด
> หัวใจ และ
> ทำ CT Scan สมอง เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง ผลก็คือ ปอดปกติ
> ไม่มีอาการปอดบวม
> (อาการปอดบวมมาพบทีหลังในเช้าวันเสาร์ที่เสียชีวิต ) แต่หัวใจทำงานผิดปกติ
> แรงดันชีพจรเต้น
> เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา อาการน่าเป็นห่วง ส่วนที่สมองก็มองไม่เห็นความผิดปกติ
> แต่คุณหมอในคืนนั้นก็
> แจ้งว่าเครื่อง CT Scan สามารถมองเห็นได้แค่ช่วง 1 CM. แล้วก็เว้น 1 CM
> คื่อมองเห็นช่วง
> และ ไม่เห็นช่วงสลับกันไป จากภาพถ่าย
> ก้านสมองเด็กมองแล้วก็ยังไม่เห็นเลือดคั่ง หรือ อะไรที่ผิด
> ปกติ
>
> คุณหมอเวรช่วงดึก แกก็ได้โทรไปปรึกษา หมอประจำของน้องเฟย คือ คุณ หมอ
> วรรณณี ตลอด แล้ว
> ก็วิ่งเข้าไปเจาะเลือดลูกเราอีกแล้ว ทุก ๆ ชั่วโมง
> แต่ลูกเราตอนนี้โดนยานอนหลับอยู่จึงยังไม่มีการ
> ร้อง หรือตอบสนอง
>
> คุณหมอได้ตะโกนเรียกน้องเฟย เอาที่เคาะกระดูกมาเคาะที่เท้า แต่
> เท้าก็ไม่มีการตอบสนอง เอา
> ไฟฉายมาส่องตา ตาก็ไม่ตอบสนอง แล้วคุณหมอก็พยายามตะโกนเรียกน้องเฟยอยู่นาน
> ผมก็เริ่มรู้
> สึกใจไม่ดีแล้ว เอทำไมบรรยากาศเริ่มแย่ลง ๆ ลูกเราเป็นอะไรกันแน่
> ถามคุณหมอ แกก็บอก
> ว่าอาจจะช็อกอย่างแรงจากโรคบาวหวานเฉียบพลัน แต่หลังจากวิเคราะห์อีกที
> ก็ไม่น่าจะใช่
> เพราะผลเลือดสรุปแล้วมีแต่น้ำตาลในเลือดที่สูงถึง 300
> แต่ตัวอื่นปกติจึงไม่น่าจะใช่บาวหวานเฉียบพลัน
> ตอนนั้นผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่า หมอใหญ่ของที่นี่ไปไหนกันหมด
> ปล่อยให้หมอเวรหนุ่ม ๆ ทำอยู่คน
> เดียว โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ไม่มีหมอดี ๆ เหลือเลยเหรอ
>
> แต่ผมก็เห็นความตั้งใจของหมอเวรคนนี้มาก แกพยายามทำทุกวิธีทาง
> ใช้ทุกเครื่องมือของโรงพยาบาล
> ที่มี รวมทั้งเครื่องตรวจหัวใจด้วยไฟฟ้า เครื่อง CT Scan ตรวจสมอง ผลก็คือ
> ไม่ทราบว่าเป็นโรค
> อะไร คุณหมอเวรคืนนั้นเดินมาบอกเราว่า
> ทางโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียไม่มีเครื่องมือที่
> ละเอียดเพียงพอที่จะหาเชื้อโรคตัวนี้ หรือ ไวรัสตัวนี้ได้
> จำเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาล จุฬา หรือไม่
> ก็ ศิริราช ในเวลานั้นผมเริ่มใจสั่นและคิดหนัก
> ว่าอาการลูกเราตอนนี้เป็นตายเท่ากัน จะไปไหน
> ดี นี่ก็ตี 2.30 แล้ว ใครจะมีอาจารณ์หมอละ คืนวันศุกร์
> ติดต่อไปที่จุฬาก็ไม่มีเตียงเหลือ
> สุดท้ายผมเลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ทางหมอเวรได้ติดต่อประสานงานให้กับ
> รพ บำรุงราษฏร์
> เรียบร้อย เป็นอาจารณ์หมอเด็กเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ
> เพราะลูกผมตอนนี้หายใจถี่มาก ๆ
> เหมือนคนวิ่งมาเหนื่อย จะหายใจถี่ ๆ ตลอดเวลา ต้อง
> ใช้รถพยาบาลของกรุงเทพคริสเตียนส่งไปพร้อม
> กับใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดทาง
>
> ระหว่างทางผมเห็นหยดน้ำตาบนหน้าน้องเฟย จิตใจเราก็เริ่มแย่ลง
> หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแก
> ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ปาป๊า
> กำลังพาน้องเฟยไปหาหมอที่เก่งที่ดีที่สุดแล้ว อดทนหน่อยนะ
> น้องเฟยชอบพูดว่าน้องเฟยอดทนเก่งนี่ คราวนี้ถ้าน้องเฟยหาย ปาป๊าจะพาไปดู
> MASK RIDER
> SHOW ที่กำลังจะแสดงเร็ว ๆ นี้ น้องเฟยชอบพูดว่าอยากดูไม่ใช่เหรอ
> จะดูกี่รอบก็ได้นะ
>
> พอไปถึง คุณหมอที่ บำรุงราษฏร์ ได้เตรียมห้อง ICU รอไว้เรียบร้อยแล้ว
> และทำการรักษาต่อทันที
>
> มีการใส่เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ เครื่องให้น้ำเกลือ
> เครื่องตรวจชีพจร เครื่องตรวจการ
> เต้นของหัวใจ เครื่องตรวจอะไรอีกไม่รู้ รวม ๆ แล้วเกือบ 8 เครื่องด้วยกัน
>
> คุณหมอบอกว่าลูกเรามีอาการติดเชื้อเข้าขั้นรุนแรง
> เพราะหัวใจทำงานผิดปกติในการส่งเลือดไป
> เลี้ยงสมอง ทำให้สมองสั่งการให้หายใจผิดปกติด้วย
> แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นไวรัสตัวไหน จึงขอ
> อนุญาตดูดเลือดไปตรวจ ผมก็ตกลง แต่คุณหมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วง
> ต้องดูตลอดเวลา ชั่วโมง
> ต่อชั่วโมง ชั่วโมงนี้แย่ แต่ ก็ไม่แน่ว่าชั่วโมงต่อไปอาจดีก็ได้
> ในสิ่งที่แย่ก็ยังมีความหวังเสมอ
> ผมฟังไปน้ำตาก็เริ่มไหล ทำได้เพียงแค่สวดภาวนาขอให้ลูกเราปลอดภัยด้วยเถิด
> จะให้เราทำ
> อะไรก็ยอมทั้งนั้น ยาแพงแค่ไหนก็ได้ ขอให้เขาหาย
>
> ผลเลือดยังไม่รู้ต้องรอเพาะเชื้อ 3 วัน แต่คุณหมอที่บำรุงราษฏร์
> บอกว่าเขาได้ฉีดย่าฆ่า
> เชื้อแบคทีเลีย และ ไวรัสเท่าที่เขามีให้แล้วโดยไม่รอผลเชื้อของห้องแล๊ป
> ถ้าโชคดียาที่ส่งไปอาจ
> ใช้กับเวรัสในตัวลูกเราก็ได้ ต้องรอดูอาการอีกที แต่คุณหมอบอกว่า ไวรัส
> 99% ไม่มียาฆ่าเชื้อ
> ต้องใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเด็กเองเป็นตัวฆ่า ถ้าลูกเราแข็งแรง
> ก็จะผ่านช่วงเลวร้ายนี้ได้ ถ้า
> แข็งแรงไม่พอก็จบ
>
> คืนนั้นผมไม่นอนเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องกระจก ICU ตลอดเวลา จนเวลา ตี 5
> คุณหมอจึงขออนุญาต
> กลับไปก่อนเพื่อให้หมอด้านหัวใจ และ สมองมาตรวจในตอนเช้าอีกที
> นั่งไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า
> แฟนผมก็นั่งหลับอยู่หน้าห้องเหมือนกัน
>
> เช้าวันเสาร์ ที่ 16/9/49 อาการน้องเฟยนิ่ง ๆ ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ
> เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา คุณ
> หมอเด็กด้านหัวใจอ่านรายงานของ รพ กรุงเทพคริสเตียน บอกว่ายังพอมีหวัง
> ถ้าไวรัสไม่เข้าไปที่
> หัวใจ แต่หลังจากใช้เครื่องสแกนหัวใจมาตรวจ ก็พบว่ามีไวรัสในหัวใจจริง ๆ
> และเป็นตัวที่ร้ายที่
> สุด ซึ่ง ไม่มียาฆ่าเชื้อโรคตัวนี้ โอกาสรอดมีน้อยมาก
>
> แฟนผมพอได้ยินว่าเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุด ถึงกับร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
>
> จากนั้นคุณหมอด้านสมองเด็ก ก็ได้มาตรวจดูด้วยเครื่องอะไรก็ไม่รู้
> เพราะตอนนั้นสมองผมเองก็ เริ่ม
> ไม่รับรู้แล้วเหมือนกัน คุณหมอสมองเด็กออกมารายงานว่า
> ที่สมองตรวจพบเชื้อไวรัส เช่นกันที่
> ก้านสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสมอง และเริ่มตรวจพบเชื้อในปอด
> ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยัง
> ตรวจไม่พบเลย ทำไมวันนี้จึงเจอละ
>
> คุณหมอบอกว่าความหวังสุดท้าย ของเรายังมี คือ
> ใช้เซรุ่มของคนอื่นที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง มาฉีดให้
> น้องเฟย
> เป็นความหวังสุดท้าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายของน้องเฟย ไม่ไหว
> ต้องส่งกองทัพของคนอื่นมา
> ช่วย ถ้าช่วยได้ก็คงจะฆ่าไวรัสได้บ้าง ทางผมจึงตกลงให้ใช้เซรุ่มตัวนี้
> ถึงแม้จะยังไม่การรับรอง
> เซรุ่มตัวนี้อย่างเป็นเอกสารแต่ในเมืองนอกมีการใช้กัน
> และได้ผลบ้างในบางเคสเท่านั้น
>
> คุณหมอได้แจ้งอีกว่าราคาเข็มละ 60,000 B. ซึ่งทางเราก็ยินดี
>
> ทางคุณหมอได้ขอเจาะไขกระดูกสันหลังเพื่อขอส่งไปตรวจหาเชื้อด้วย
> ซึ่งทางเราก็คิดหนักในตอนแรก
> กลัวแกจะทนไม่ไหว แต่ในที่สุดทางเราก็ได้อนุญาต
> เพราะเราไม่มีที่พี่งแล้วนอกจากหมอ
>
> หลังจากได้รับการฉีดเซรุ่ม เข้าไป 2 ชั่วโมง หัวใจของน้องเฟยก็หยุดเต้น
> ขึ้นมา คุณหมอจึงรีบ
> เข้ามาปั๊มหัวใจซึ่งก็ใช้เวลาในการปั๊ม 1.20 ชั่วโมง คุณหมอทั้ง 3
> คนออกมาแจ้งว่าน้องเฟย ไม่ไหว
> แล้ว ผมกับแฟน อากง อาม่า มีแต่น้ำตา พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
> พอคุณหมอเห็นสภาพผม
> ในตอนนั้น ท่านก็เดินกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้งช่วยกันปั๊มหัวใจอีกร่วม 30
> นาที ด้วยกัน แต่ผลสุดท้าน
> น้องเฟยก็จากพวกเราไป แล้ว
>
>
> ผมเสียใจมาก โทษตัวเองว่า เราประมาทอะไรไปรึเปล่า ทำไมเราไม่ส่งเขาไปรพ
> บำรุง
> ราษฏร์แต่แรก
> เราเห็นว่าประวัติการรักษาทั้งหมดอยู่ที่ รพ กรุงเทพคริสเตีย
> เขาเกิดที่นี่ ประวัติการรักษาก็อยู่ที่นี่
> แต่ที่นี่กลับไม่สนใจลูกผมเลย คุณหมอวรรณี
> ก็ได้แต่ส่งเสียงตามสายเท่านั้น ทั้งที่เราก็หาเขาตลอด
> ทำไมเขาถึงปล่อยให้ลูกเรานอนรออยู่เฉย ๆ ตั้ง 3-4 ชั่วโมง
> จนกระทั่งหมอเวรมาตรวจในตอน 4
> ทุ่ม พบว่าเป็นเคสอาการหนัก
> คุณหมอวรรณีก็ไม่ได้แวะมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดกับเรา
> เลย แม้สักคำ มีแต่หมอเวรหนุ่มที่มีความตั้งใจมาก แต่ยังขาดประสบการณ์
> มาดูแลน้องเฟยคน
> เดียว
>
> นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ลูกผมนอนรอโดยหาคำตอบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
> เปลี่ยนหมอ หรือ เปลี่ยน
> โรงพยาบาลเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหมอ หรือ กลัวไม่ได้ประวัติการรักษา
> เพราะเขาอาจไม่
> รอดรอให้เรารักษา
> เหมือนผม
>
> เฟย ป๊ากับม๊า รักเฟยมาก และ เสียใจมาก ๆ
> ขอให้เฟยเกิดมาเป็นลูกป๊าอีกนะ คราว
> นี้ป๊ากับม๊า จะดูแลเฟยใหม่ จะไม่ให้ไปโรงเรียนถ้ามีไข้ และ
> จะไม่ฝืนถ้าลูกร้องไม่ไหวอีกต่อไป
>
>
> สิ่งที่ผมเขียนมานี้เป็นความจริงทั้งหมด และขอให้ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์แก่
> พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ทุกคนใน
> การดูแลลูก หลานของท่าน โรค Enterovirus 71
> นี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการแผลที่มือ ปาก เท้า
> แต่ถ้ามันเข้าไปถึงหัวใจ หรือก้านสมอง โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ๆ ถ้ารอด
> สมองก็จะไม่เหมือนเดิม
>
>
> สาธารณสุข หรือ แม้แต่โรงเรียน ก็ตาม แจ้งแต่ผมการตรวจในห้องแล๊ป
> แต่ไม่เคยเล่าอาการ
> ล่วงหน้ามาให้ทราบ ทั้ง ๆ ที่ทางผมได้เล่าละเอียด ดังนั้น
> ผมจึงขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวต่าง
> ๆ ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบ เพื่อเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน
> ชีวิตน้องเฟย 1 คน ใน
> โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จะมีค่าหากทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
>
> ขอขอบคุณครับ
>
> คุณพ่อ และ คุณ แม่ น้องเฟย
>
> 25/9/49
|