คำตอบที่ 1
คนใช้รถติดก๊าซ LPG กระอักแน่! รัฐบาลชาย สบช่องราคาน้ำมันลง ประกาศแยกราคาก๊าซ LPG ออกเป็น 2 ตลาด เคาะปรับขึ้นพรวดเดียว 6 บาทต่อกิโลกรัม หรือในอัตราลิตรละ 1 บาท คาดสรุปราคาอีกครั้ง สัปดาห์หน้า
วันนี้ ( 13 พ.ย.) นานแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ออกเป็น 2 ตลาด ได้แก่ 1.ภาคครัวเรือน-ปิโตรเคมี และ 2.ภาคขนส่ง-อุตสาหกรรม โดยส่วนแรกจะไม่มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใดจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2552
ส่วนกลุ่ม 2 ในภาคขนส่งฯ ซึ่งจะรวมไปถึงรถยนต์ที่ติดตั้งกเชื้อเพลิงก๊าซแอลพีจี รัฐบาลมีมติให้ปรับขึ้น 6 บาทต่อกิโลกรัม แต่เป็นการทยอยปรับเดือนละ 2 บาท หรือประมาณ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งจะปรับขึ้นเมื่อใดแล้วแต่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน (กบง.) จะพิจารณา โดยจะมีการประชุมภายในสัปดาห์หน้า
โดยการปรับขึ้นดังกล่าวจะรวมถึงผู้ขับแท็กซี่ด้วย แต่เพื่อลดผลกระทบแก่กลุ่มแท็กซี่ทางภาครัฐจะเข้าไปช่วยเหลือด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จากแอลพีจี เป็นเอ็นจีวี ฟรี ประมาณ 20,000 คัน จากปัจจุบันรถที่ใช้แอลพีจี มี 40,000 คัน สาเหตุที่ปรับเปลี่ยนให้ไม่หมด เนื่องจากการหารือกับสมาคมผู้ขับแท็กซี่คาดว่า จะมีรถแท็กซี่ปรับเปลี่ยนเพียงประมาณ 20,000 คันเท่านั้น
ส่วนภาระนำเข้าที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับภาระไปก่อน ซึ่งมีการนำเข้าแอลพีจี ลอตแรกตั้งแต่เดือน เม.ย. 2551 วงเงินรวมประมาณ 7,200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มทยอยใช้คืน ปตท.ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2552 เป็นต้นไป และจะใช้หนี้หมดภายในเดือน พ.ย. 2553 เพราะคาดว่าจะมีเงินจากการเก็บส่วนต่างแอลพีจี เก็บเพิ่มจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เริ่มจากเดือนละ 260 ล้านบาท ไปเต็มเพดานประมาณเดือนละ 720 ล้านบาท ในเดือนที่ 3 ของการจัดเก็บ จึงคาดว่าจะใช้หนี้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาดังกล่าว
สวนราคาแอลพีจี ภาคครัวเรือนหลังเดือน ก.พ.2552 จะมีการปรับขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงนั้น ซึ่งการกำหนดราคาที่ปรับขึ้น 6 บาทต่อ กก.มาจากฐานประเมินว่าราคาแอลพีจี ปีหน้า จะอยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน และราคาสมมติฐานน้ำมันดิบประมาณ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีมาใช้เอ็นจีวี 20,000 คัน เวลา 4 เดือน รถแท็กซี่จะได้ร้บการสนับสนุนเป็นวงเงินค่าปรับเปลี่ยนประมาณ 40,000 บาทต่อคัน และจะให้แท็กซี่นำอุปกรณ์เก่าแอลพีจี มาขายคืนชุดละ 3,000 บาท เพื่อป้องกันการนำอุปกรณ์เก่าไปใช้สำหรับภาคขนส่งประเภทอื่น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการอีก 5 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการติดตามการลักลอบนำแอลพีจีไปจำหน่ายประเทศเพื่อนบ้าน การตรวจสอบการใช้แอลพีจีผิดประเภทและความปลอดภัย การตรวจสอบปริมาณแอลพีจี ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน การประชาสัมพันธ์ปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาแอลพีจี และคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของรถแท็กซี่จากการใช้แอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวี
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรณีการใช้แอลพีจีผิดประเภท คือ ลักลอบนำก๊าซครัวเรือนไปใช้ในขนส่งหรืออุตสาหกรรม ในปัจจุบันถือเป็นการดำเนินที่ผิดกฎหมายว่าด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 4/2547 เรื่องการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนปิโตรเลียมที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการเข้มงวดการดำเนินการดังกล่าว แต่หลังจากเกิดโครงสร้าง 2 ราคา เพื่อป้องกันการลักลอบทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เริ่มแรกจะประชาสัมพันธ์และตักเตือน หากพบทำผิดจะมีการจับกุม กรอบระยะเวลาจะเป็นเมื่อใดทาง กบง.จะเป็นผู้กำหนด
ขณะเดียวกันภายใน 6 เดือนข้างหน้าจะให้บรรดาโรงบรรจุติดตั้งมิเตอร์ เพื่อดูแลตรวจสอบให้ชัดเจนป้องกันการลักลอบถ่ายเทใช้ผิดประเภท ระหว่างยังไม่มีมิเตอร์ก็จะใช้สถิติการจำหน่ายปี 2550 เป็นตัวกำหนด โดยปัจจุบันไทยมีการผลิตแอลพีจีประมาณ 350,000 ตันต่อเดือน แต่มีความต้องการใช้ประมาณ 379,000 ตันต่อเดือน แบ่งออกเป็นการใช้ภาคครัวเรือนร้อยละ 46 อุตสาหกรรมร้อยละ 15 ปิโตรเคมีร้อยละ 20 และภาคขนส่งร้อยละ 19
ดังนั้น การปรับขึ้นราคาแอลพีจี ประมาณ 6 บาท ต่อกิโลกรัม จึงจะมีปริมาณก๊าซที่ต้องปรับขึ้นราคาเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 34 โดยที่ผ่านมาก๊าซนำเข้านี้ทาง ปตท.เป็นผู้นำเข้ามาก่อนตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นมา ซึ่งมีการนำเข้าสูงสุดต่อเดือนเมื่อเดือน ต.ค. ประมาณ 113,000 ตันต่อดือน แต่ยอดนำเข้าได้เริ่มลดลงหลังจากเกิดภาวะวิกฤติโลก โดยเดือน พ.ย. 2551 นำเข้าประมาณ 100,000 ตัน คาดว่าเดือนธันวาคมจะนำเข้า 62,000 ตัน และ ม.ค.จะนำเข้าเพียง 45,000 ตัน สาเหตุนำเข้าลดลง เนื่องจากการใช้ภาคอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีลดลงมากประมาณร้อยละ 30 เพราะผลพวงของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว