WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


...วิธีฟื้นชีวิตเเบตเตอรี่โน๊ตบุ๊ค....
kupree
จาก kupree
IP:125.26.74.103

พุธที่ , 24/2/2553
เวลา : 23:26

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      
ขอเรียนให้ทราบเบื้องต้นว่า " นี่คือบทความที่ได้รับจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ "

ผมเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เเต่เห็นว่าเป็นการดีหากนำมาให้ อ. von คุณหนุ่มกระโทก หรือพี่น้องเราได้ร่วมวิเคราะห์ วิจารณ์ข้อเท็จจริง






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
      
การทำ calibrate แบตเตอรี่

มีความสงสัยกันมากในหมู่ผู้ใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเพลง MP3 กล้องถ่ายรูป และอื่นๆ ว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้แบตเตอรี่ชนิดประจุไฟได้ที่มาพร้อมเครื่องมีอายุยืนยาว เพราะเมื่อเสื่อมสภาพแล้วจะซื้อใหม่ราคาช่างเจ็บปวดหัวใจเสียเหลือเกิน

บางคนก็บอกว่า ให้ถอดแบตเตอรี่ออกใช้การเสียบอะแดปเตอร์แทน วิธีการนี้อายุของแบตยิ่งจะไปเร็วเพราะไม่มีการกระตุ้นด้วยการใช้งานเลย บางคนก็บอกว่า เสียบอะแดปเตอร์ไว้ตลอดเวลาจะได้ชาร์ทให้เต็มตลอดเวลา นี่ก็ไม่เหมาะอีกเพราะยังไม่ได้คลายประจุออกมาก็อัดคืนเข้าไปแล้ว แล้วจะทำอย่างไรดี?

นี่คือคำตอบ ที่ได้มาจากฝ่ายสนับสนุนฮาร์ดแวร์ของบริษัท แอบเปิ้ล ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ชื่อดัง และโทรศัพท์ iPhone เครื่องเล่นเพลงอย่าง iPod แนะนำมาอย่างนี้ครับ

การปรับแต่งแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อยืดอายุให้นานวันและมีพลังเพียงพอในการทำงานเสมอ (โดยเฉพาะแบตเตอรี่ยุคใหม่ที่เป็น Lithion) ควรจะทำการ calibrate ตามขั้นตอนดังนี้

1. เสียบปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ให้ชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็ม จนกระทั่งไฟแสดงการชาร์ท หรือไอค่อนแสดงการชาร์ทในอุปกรณ์นั้นแสดงว่าเต็ม 100%.
2. ปล่อยให้มีการชาร์ทต่อไปอีกสัก 2 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างการชาร์ทนี้คุณยังสามารถทำงานกับเครื่องอุปกรณ์ได้ตามปกติ.
3. ถอดปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ แล้วใช้งานไปตามปกติจนกระทั่งแบตเตอรี่หมด (ถ้าทำงานสำคัญให้หมั่นเซฟงานไว้ด้วย) จนกระทั่งแบตเตอรี่จ่ายไฟจนหมด ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์จะมีกรอบหน้าต่างเตือน หรือเสียงเตือน (ถ้าตั้งค่าไว้) ก็แค่กดปุ่มปิดกรอบแจ้งเตือนนั้น แต่ทำงานต่อไป.
4. จนกระทั่งแบตเตอรี่หมดจริงๆ และเครื่องเข้าสู่ภาวะหลับ (sleep) อย่าลืมเซฟงานสำคัญไว้ก่อนเมื่อมีการเตือนก่อนที่เครื่องจะหลับไป.
5. ปิดเครื่องหรือปล่อยให้มันหลับไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมงหรือมากกว่า ถ้ามีงานต้องทำอาจจะถอดแบตเตอรี่ออกแล้วใช้กำลังไฟจากเพาเวอร์อแด็ปเตอร์แทนได้ (ถ้าเครื่องนั้นทำได้ เพราะมีบางเครื่องถ้าถอดแบตเตอรี่ออกจะเปิดไม่ได้ก็มี กรณีนี้ก็นอนหลับพักผ่อนเถอะ).
6. ครบ 5 ชั่วโมงแล้วเชื่อมต่อเพาเวอร์อะแดปเตอร์อีกครั้ง ทำการชาร์ทไฟให้เต็มที่อีกครั้ง แบตเตอรี่ของคุณจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง.

Tip: วิธีการนี้ผมลองทดสอบกับเครื่องโน้ตบุ๊คที่ใช้งานมาประมาณปีเศษ จากที่เคยใช้งานได้นานสามชั่วโมงก็จะเหลือเพียงชั่วโมงเศษๆ แบตเตอรี่ก็หมดประจุแล้ว เลยใช้วิธีการนี้ดูบ้าง ปรากฏว่าทำให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้เกือบสองชั่วโมง เลยทำการ calibrate ซ้ำไปสี่ห้าครั้ง เรื่องไม่น่าเชื่อก็บังเกิด แบตเตอรี่ก้อนนั้นสามารถกลับมาจ่ายประจุได้สามชั่วโมงอีกครั้งหนึ่ง ทดลองดูซิครับ อาจจะไม่ต้องเสียเงินห้าหกพันสำหรับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ก็ได้นะครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.74.103 พุธ, 24/2/2553 เวลา : 23:27  IP : 125.26.74.103   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49622

คำตอบที่ 2
       แบตเตอรีของผมก็ใช้มากว่าสามปีเกือบสี่ปีแล้วยังใช้ได้ตามเวลาเหมือนใหม่ไม่มีปัญหาอะไร

ผมไม่เคยถอดแบตเตอรี่ออกจากตัวเครื่องเลยให้มันชาร์ทคาไว้อย่างนั้นแหละ ไม่เคยกดปุ่มชัตดาว์นเครื่องนอกจากรีบูตเวลาอัพเดทวินโดว์ มันเปิดเครื่องอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ซื้อมา เลิกใช้ก็ปิดฝาเครื่องไฮเบอร์เน็ตพอจะใช้ก็ปลุกมันตื่นมาอีกที


เดือนละหลายครั้งที่ถอดมันออกมาจากซัพพลายแล้วหิ้วไปทำงานที่อื่นให้มันบริหารตัวเองบ้าง แต่ส่วนมากจะใช้พลังงานไปครึ่งเดียวก็กลับมาที่โต๊ะทำงานแล้ว

นานๆครั้งก็จงใจใช้จนมันแน่นิ่งไปเลยก็มี ถือว่าเป็นการปล่อยประจุทั้งหมดแบบบริหารกำลังรีเฟรซแบตเตอรี่ไปในตัว

ไม่เคยใช้ได้เวลาน้อยกว่าสเป็กกำหนดไว้ ไม่ต้องเซ็ตอัพให้มันวิ่งช้าถนอมกำลัง CPU มีแรงเท่าไรก็ให้มันวิ่งให้เต็มที่ เพราะผมไม่ชอบใช้เครื่องอืดแบบลดความเร็วถนอมแบตให้ใช้นานๆ

ผมใช้แบบนี้มาสามเครื่องแล้ว เจ้า Fujisu life book ตัวเก่าของผมใช้แบตเตอรี่ชุดเดียวตลอดชีวิตเครื่องห้าปีไม่เคยรวน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.17.4 พฤหัสบดี, 25/2/2553 เวลา : 00:39  IP : 125.24.17.4   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49623

คำตอบที่ 3
       แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นชนิด Lithium Ion (Li-on)
ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา โดยไม่เกิดปัญหา Memory Effect
(โน้ตบุ๊คบางยี่ห้ออาจจะเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิด Lithium Polymer หรือตัวย่อ Li-Polymer ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน แต่น้ำหนักเบากว่า)

ปัญหา Memory Effect คือกรณีที่แบตเตอรี่ถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่อยู่บ่อย ๆ
ทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่มันเคยเก็บไว้ได้ เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่ปัญหา Memory Effect จะมีผลกระทบต่อแบตเตอรี่ชนิด Ni-Cad
แต่สำหรับ Li-on และ Li-Polymer จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด แบตเตอรี่แบบ Li-on และ Li-Polymer
จะนับการชาร์จเป็นรอบ (Cycle) โดยจะแบ่งแรงดันออกเป็น 3 ระดับคือ

1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 65-70%,
2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60%
3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 58.8.102.88 พฤหัสบดี, 25/2/2553 เวลา : 23:16  IP : 58.8.102.88   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49630

คำตอบที่ 4
       เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่ให้คุ้มค่า

1.จะชาร์จเมื่อไหร่?

จากกราฟแกนแนวตั้งเป็นความจุ และแกนแนวนอนเป็นจำนวนรอบ (Cycle) ของการชาร์จ
หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ (Cycle)
นขณะที่การชาร์จแบตเตอรี่ Li-on และ Li-Polymer ที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle)
ซึ่งสรุปได้ว่าการชาร์จที่ระดับ 1C จะทำให้พลังงานของแบตเตอรี่นั้นมีการสูญเสียพลังงานน้อยที่สุด
ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้นนั่นเอง
(ในความเป็นจริง การชาร์จในระดับ 2C ดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าในระดับ 1C แต่อย่างไรก็ตาม
ควรหลีกเลี่ยงการชาร์จในระดับ 3C เพราะจะทำให้อายุการใช้งานการแบตเตอรี่ลดลงอย่างมาก)





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 58.8.102.88 พฤหัสบดี, 25/2/2553 เวลา : 23:22  IP : 58.8.102.88   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49631

คำตอบที่ 5
       2. จะถอดหรือจะใส่แบตฯ อย่างไรดี?

มีคำแนะนำที่ว่า “หากจะไม่ได้มีการใช้โน้ตบุ๊คเป็นระยะเวลานานให้ทำการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่อง”
แต่ก่อนที่จะทำการถอดแบตเตอรี่ออกมาเก็บนั้นอยากจะให้ลองดูตารางด้านล่างครับ

ตารางนี้แสดงถึงการสูญเสียพลังงงานของแบตเตอรี่ในระดับอุณหภูมิต่างๆกัน
โดยจากตารางจะเห็นได้ว่าหากทำการเก็บแบตเตอรี่ที่อุณหภูมิปกติ (25 องศาเซลเซียส)
แบตเตอรี่ที่มีความจุ 40% หลังจากผ่านไป 1 ปี จะคลายประจุออกมา 4%

และยิ่งอุณหภูมิการเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่แบตเตอรี่ที่มีความจุเต็ม 100% จะคลายประจุออกมาถึง 20%

หลังจากผ่านไป 1 ปี และหากอุณหภูมิ การเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
จึงสรุปได้ว่าหากต้องการถอดและเก็บแบตเตอรี่นั้นควรให้แบตเตอรี่มีความจุ 40%
และควรเก็บในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และไม่มีความชื้น
(ตัวเลข 40% นี้เป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดจากการทดลองในห้องแล็ป)
ในทางกลับกัน กรณีที่มีการใช้งานโน้ตบุ๊ค การชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งควรชาร์จให้เต็มความจุของแบตเตอรี่





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 58.8.102.88 ศุกร์, 26/2/2553 เวลา : 00:06  IP : 58.8.102.88   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49633

คำตอบที่ 6
       3. ถ้าเสียบปลั๊กใช้งานควรจะใส่หรือจะถอดแบตฯ ดี?


ภายในแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คนั้นจะมีวงจรไว้สำหรับควบคุมการชาร์จ โดยลักษณะของวงจรชาร์จแบตเตอรี่ที่พบในโน้ตบุ๊คจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ

แบบที่ 1 ทำการชาร์จตลอดเวลาแม้ระดับความจุของแบตเตอรี่จะสูงกว่า 90% วงจรแบบนี้จะพบได้ในโน้ตบุ๊ครุ่นเก่าๆ

แบบที่ 2 วงจรชาร์จแบตเตอรี่จะทำงานเมื่อระดับความจุของแบตเตอรี่ต่ำกว่า 90-95% (แล้วแต่ยี่ห้อ)

โดยโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะใช้วงจรแบบที่ 2 นี้ เกือบทั้งหมด ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากวงจรการชาร์จทั้ง 2 แบบแล้วสรุปได้ว่า
หากโน้ตบุ๊คของคุณเป็นรุ่นที่ใช้แบบเตอรี่ที่มีวงจรการชาร์จแบบที่ 2 แล้ว การเสียบปลั๊กเล่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดแบตออก
และจะไม่มีผลกระทบใดๆต่อแบตเตอรี่เพราะวงจรการชาร์จของแบตเตอรี่ยังไม่ได้ทำงาน (ในกรณีที่แบตเตอรี่มีความจุมากกว่า 90-95%)
แต่หากแบตเตอรี่มีความจุไม่ถึงระดับ 90-95% แนะนำให้ทำการใช้งานไปจนกว่าความจุของแบตเตอรี่จะลดลงถึงระดับ 2C หรือ 1C
แล้วจึงค่อยเสียบปลั๊ก
ในกรณีที่โน้ตบุ๊คของคุณเป็นรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ที่มีวงจรการชาร์จแบบที่ 1 (ไม่ตัดการทำงาน) ลองพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสียต่างๆ ดังตารางนี้





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 58.8.102.88 ศุกร์, 26/2/2553 เวลา : 00:26  IP : 58.8.102.88   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49635

คำตอบที่ 7
       ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆมีหลักการครับ
แล้วอย่างนี้ แบทมือถือก็ แบบเดียวกันสิคับพี่หนุ่ม
ผมต้องชาร์ทที่2c ใช้จน 3c .......จนหมดประจำ

แล้วการกระตุ้นแบทให้กลับมามีวิธีบ้างไหมคับ คล้ายๆพี่ที่ปลุกแบทรถยนต์นะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

i m จาก เอ็ม ไดเร็กเก่าๆ 112.142.51.52 อังคาร, 2/3/2553 เวลา : 23:25  IP : 112.142.51.52   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49679

คำตอบที่ 8
       อา ... อย่างนี้ต้องลอง

แทงคิ้วกั๊บ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จันทร์เจ้า จาก จันทร์เจ้า 124.121.67.184 อังคาร, 9/3/2553 เวลา : 12:44  IP : 124.121.67.184   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49744

คำตอบที่ 9
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

pajeromans จาก สิงห์pajero 58.8.25.146 อังคาร, 9/3/2553 เวลา : 15:15  IP : 58.8.25.146   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 49745

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันเสาร์,23 พฤศจิกายน 2567 (Online 6261 คน)