ช็อกแอ็บซอบเบอร์ ไม่ยากหรอกที่จะเข้าใจและเลือกซื้อเอามาใช้งาน

จาก von Richthofen
IP:125.24.41.205

เสาร์ที่ , 12/1/2556
เวลา : 01:13
อ่านแล้ว = ครั้ง

เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว

แจ้งลบ

ส่งหาเพื่อน

คนส่วนมากจะเข้าใจเรื่องช็อกอัพน้ำมันและแกสสับสน ดังนั้นเรามาเริ่มกันใหม่ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจะได้เห็นภาพครับ

การใช้ช็อกอัพมีมาร้อยกว่าปีแล้วตั้งแต่รถสมัยแรกๆออกมาวิ่งบนถนน หลักการก็ไม่ต่างอะไรกับสมการ Damping เลยคือ มวล สปริง และช็อกอัพ ถ้าเป็นทางไฟฟ้าคือ โช๊ก แค็ป และพลังงานในรูปกระแสและแรงดัน

สมการของไฟฟ้าและเครื่องกลใช้สมการเดียวกันทุกประการเพียงแต่ใช้ โช๊กแทนสปริง แค็ปแทน ช๊อกอัพ มวลแทนด้วยแรงดันหรือกระแส

การ Damping มีสามอยางคือ Under damping, Critically damping, Over damping ทั้งสามอย่างมันแตกต่างกันและใช้งานกันคนละอย่าง แต่มีจุดหมายเดียวคือการลด Oscillation หรือการแก่วงตัว

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 1
Under damping คือการลดการแกว่งตัวแบบให้หยุดตัวอย่างช้าๆ คือมันจะเต้นไม่กี่ทีก็หยุด ในกรณีนี้จะบอกว่าสริงแข็งกว่าช๊อกอัพก็ได้ สปริงเลยดิ้นตัวอีกสองสามทีกว่าช็ออัพมันจะดึงจนหยุด ถ้าเอาแบบนี้มาใส่รถมันไม่ได้เรื่องแน่นอน

Over damping คือการลดการแกว่งตัวแบบหยุดทันที คือมันแกว่งแล้วโดนจับหยุดแล้วค่อยๆคืนตัวกลับระดับเดิมอย่างช้าๆ จะบอกว่าช็อกอัพมันใหญ่กว่าสปริงก็ได้ แบบนี้เอามาใส่รถมันจะแข็งกระด้างมาก น้ำหนักของรถขณะเต้นเกือบไม่ได้รับโดยสปริงหรือแหนบแต่ไปตกที่ช็อกอัพหมด พวกรถที่เบิ้ลช็อกสองสามตัวจะอยู่ในกลุ่มนี้

Critical damping คือการลดการแก่งตัวแบบสมดุล แรงของสปริงจะเท่ากับการหน่วงตัวของช็อกอัพ คือมันดิ้นตัวแล้วหยุดแกว่งที่ระดับเดิมของรถโดยไม่เด้งสองสามครั้งเหมือน Under damping หรือโดนจับหยุดแล้วค่อยๆกลับไปช้าๆเหมือน Over damping สปริงดีดรถเด้งด้วยแรงเท่าไรช็อกอัพจะดึงให้หยุดด้วยแรงเท่ากัน จะบอกว่าสมการมีค่า K ของสปริงเท่ากับค่า C ของช็อกอัพก็ได้ รถดีๆทุกคันจะใช้การ Damping ที่จุดนี้ ไม่หนักเกินไปไม่เบาเกินไป

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครทำ Critical damping ได้ทุกสถานะการณ์หรอก รถมันหนักเบาต่างกัน วิ่งถนนต่างกสภาพกัน ได้สักครึ่งเดียวในย่าน Under damping ก็หรูแล้ว คือรถมันเด้งเกินจุดปกติไปเล็กน้อยแล้วถอยกลับมาหยุดเพียงครั้งเดียวก็น่าพอใจแล้ว

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:18 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55608

คำตอบที่ 2
สมัยก่อนเรามีแต่ช็อกอัพน้ำมันใช้งานมาหลายสิบปีจนกระทั่งถึงยุครถแรลลี่ออกไปวิ่งลุยถนนฝุ่นเฟื่องฟูก็พบว่าช็อกอัพน้ำมันเริ่มตอบโจทย์ไม่ได้เพราะระยะวิ่งมันยาววืดตั้งแต่รถจั๊มเนินล้อลอยหมดสี่ล้องจนถึงลงมาบั๊มล้อยุบจนชนยางหยุดปีกนกแทบแตกคาที่มันเกิดปัญหาขึ้นหลายตัวที่ยอมรับไม่ได้คือ

อย่างแรกคือมันคืนตัวช้าเพราะช็อกอัพน้ำมันดึงมันเท่าไรมันก็อยู่ตรงนั้น เอามือไปกดมันก็ยุบ ดึงมันก็ยืดตามแรงมือแล้วก็หยุดเท่านั้น ความเร็วของการวิ่งขึ้นอยู่กับสปริงหรือแหนบเท่านั้น ถ้าสปริงแข็งมันวิ่งเร็ว ถ้าอ่อนมันก็วิ่งคืนช้า ถ้าจะให้ช่วงล่างมันวิ่งสนองตัวเร็วขึ้นก็ต้องเซ็ตสปริงหรือแหนบแข็งขึ้นมันจะได้ดีดล้อที่ลอยวิ่งลงให้ติดถนนเร็วที่สุด แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าก็ตามมาอีกไม่จบ

อย่างที่สองพอช็อกอัพน้ำมันใช้งานไปสักพักมันน้ำมันในกระบอกก็ร้อนตัวจากการที่มันโดนรีดให้วิ่งขึ้นบนลงล่างทุกวินาทีที่วิ่งบนถนนเลวๆจะเกิดฟองอากาศปนในเนื้อน้ำมันจนหมดสภาพความหนืดของแกนช็อกอัพ ลองนึกภาพดูว่าเวลาซักผ้าเอามือกวาดฟองในกาละมังมันไม่หนืดมือหรอกแต่ถ้าวาดลึกลงไปถึงน้ำมันจะหนืดมือกว่าฟอง ดังนั้นช้อกอัพน้ำมันเวลาที่มันร้อนและเกิดฟองในน้ำมันแล้วช่วงวิ่งสองนิ้วแรกลูกสูบมันแทบจะวิ่งในฟองน้ำมันไร้ความหนืดโดยสิ้นเชิงรถแทบจะร่อนลงข้างทางจนอยากเอาเท้าขึ้นมาช่วยจับพวงมาจับเพิ่ม

จะเป็นช็อกอัพแบบดึงหรือช็อกอัพแบบดันก็ไม่พ้นปัญหานี้ไปได้หรอก ดังนั้นก็เกิดช็อกอัพแบบสองห้องขึ้นมาคือห้องที่มีอากาศและห้องที่ไม่มีอากาศ ให้ห้องที่มีลูกสูบวิ่งมันไม่มีอากาศและน้ำมันเต็มใตลอดเวลาก็จบเรื่องปัญหาฟองอากาศในน้ำมันไป ระบบน้ำมันสองห้องใช้งานต่อเนื่องกันมาอีกหลายสิบปี

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:21 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55609

คำตอบที่ 3
อย่างที่สามคือช็อกอัพในโลกนี้ทุกตัวมันหนืดได้ไม่เกินแรงดันอากาศคูณพื้นที่หน้าตัดกระบอกสูบเท่านั้น ถ้ามีแรงมหาศาลไปดึงหรือกดมันอยางรวดเร็วเมื่อไรมันจะวิ่งวืดเกิดสูญญากาศหลังลูกสูบทันที ถ้านึกภาพไม่ออกให้ลองเอามือดึงเข็มฉีดยาแล้วเอานิ้วอุดปลายดูว่าถ้าดึงมันเร็วเกินไปกระบอกมันวิ่งฟรีจะมีสูญญากาศเกิดขึ้นภายในกระบอกแทน ดังนั้นแทนที่จะเกิดฟองอากาศดันเกิดฟองสูญญากาศแทน ดังนั้นถ้าอยากได้ความหนืดสูงมีสองวิธีคือทำลูกสูบให้โหญ่เพื่อเอาพื้นที่หน้าตัดเพิ่มจะได้มีแรงก่อนสูญญากาศเยอะขึ้น กับทำรูน้ำมันวิ่งให้ใหญ่พอที่มันไม่เกิดสูญญากาศหลังลูกสูบ คราวนี้มันก็เพิ่มปัญหามาอีกหลายตัวเลย

อย่างที่สี่ พอเพิ่มขนาดรูเพื่อให้มันวิ่งเร็วขึ้นจนไม่เกิดสูญญากาศหลังกระบอกมันก็ลดความหนืดแกนลง ดังนั้นการแก้คือต้องใช้น้ำมันที่มีความหนืดเพิ่มขึ้นเพือให้มันช่วยให้หนึบเพิ่ม ตอนนี้ก็แก้ปัญหาได้ถ้าระยะวิ่งแกนมันวิ่งยาวๆ แต่ปัญหาที่ตามมาคือน้ำมันยิ่งหนืดถ้าเกิดเอาไปใช้ในสภาพที่มีการเต้นเขย่าถี่ยิบแบบถนนเป็นลอนมันก็ยังเกิดฟองของสูญญากาศอยุ่ดี น้ำมันหนืดยิ่งอุ้มฟองของสูญญากาศได้มากขึ้น ยิ่งเต้นน้ำมันก็ยิ่งมีฟองเล็กในเนื้อน้ำมันมากขึ้นไปอีกจนเกิดวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ ช็อกอัพใหญ่อย่างกับแขนนักกล้ามก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:25 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55610

คำตอบที่ 4
สิ่งที่แก้ให้ช็อกอัพน้ำมันสามารถทำงานได้ดีขึ้นและไม่สูญพันธุ์ไปจากตลาดคือทำวาวล์หลายๆตัวบนลูกสูบ วิธีนี้แก้ปัญหาได้หลายตัวพร้อมๆกัน ตอนที่รถวิ่งบนถนนดีๆแกนช็อกอัพไม่วิ่งมากวาวล์ตัวที่ปิดรูใหญ่จะเปิดหมด รถก็นุ่มนวลขึ้นเพราะน้ำมันวิ่งได้สะดวกแกนช็อกเกือบไม่มีแรงไปดึงรถให้เกิดความกระด้างเลย พอเจอถนนเลงหรือโดดคอสะพานวาวล์ใหญ่จะปิดทันทีในเสี้ยววินาทีแล้วให้วาวล์เล็กเปิดแทนเพื่อเพิ่มความหนืดดังรถเอาไว้ไม่ให้เซไถลลงข้างทาง

โอ้..พระเจ้าจอร์ท มันยอดมาก วิศวกรที่คิดระบบนี้สามารถแก้ปัญหาหลายๆเรื่องด้วยการเพิ่มวาวล์ใหญ่อัตโนมัติเพียงตัวเดียวเท่านั้น น้ำมันวิ่งสะดวกแกนไม่แข็งมากคนขับก็สบายก้น น้ำมันวิ่งผ่านรูใหญ่ฟองน้ำมันก็เกิดน้อยมากช็อกอัพก็ไม่ต้องใหญ่ แต่สิ่งที่มันยังแก้ไม่ได้คือถ้าแกนมันเต้นเร็วๆมันยังเกิดสูญญากาศหลังกระบอกสูบอยู่ดี

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:27 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55611

คำตอบที่ 5
วิศวกรก็ต้องกลับมาคิดใหม่กลังจากโกยเงินกับช็ออัพระบบสองวาล์ไปหลายปีได้เงินไปเป็นร้อยล้านว่าจะทำอย่างไรให้หลังลูกสูบมันไม่เกิดสูญญากาศจนมันวืดในจังหวะดึงแกนเร็วๆและถี่ แบบนี้รถแข่งแรลลี่มันวิ่งแหกโค้งลงไปกินโคลนข้างถนนแน่นอน

โจทย์ตัวนี้ยากมา คิดกันจนวิศวกรหัวล้านไปหลายสิบคนก็ได้ผลสรุปออกมาว่า

อย่างแรกคือการแก้ปัญหาสูญญาากาศเข้าไปผสมกับน้ำมันจนเป็นฟองให้จบสิ้นคือในกระบอกช็อกอัพต้องไม่มีสูญญาอากาศ ต้องทำกระบอกให้มีแต่น้ำมันล้วนๆ เป็นความคิดดีมาก แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เอ็งพูดเหมือนเด็กขอไอติมแบบนี้ไม่ต้องเป็นวิศวกรก็ตอบได้
มีวิศวกรอีกคนที่หาทางออกได้ บอกว่าระบบกระบอกไร้สูญญากาศมีแต่น้ำมันเต็มกระบอกของแบบนี้มันไม่มีในโลกนี้หรอก คิดให้ตายก็ไม่มีทางทำได้อย่างไรก็ต้องมีสูญญาากาศในกระบอกสูบไอ้ที่คิดมาตั้งหลายปีจนหัวล้านหมดเงินค่าวิจัยไปเป็นร้อยล้านเรื่องการคิดค้นช็อกอัพแบบใหม่มันจบแบบนี้ไม่ได้หรอก

คำเฉลยจากวิศวกรคนนั้นคือมันต้องมีอากาศที่มีปริมาตรเพียงพอไปไล่สูญญากาศ แต่ให้มันไปอยู่อีกห้องหนึ่งซิ ห้องที่ลูกสูบวิ่งมีแต่น้ำมันล้วนๆกันการเกิดฟองอากาศ แต่อีกห้องมันมีทั้งน้ำมันส่วนเกินและอากาศอยู่ด้วยแล้วเชื่อมห้องเข้าหากันก็จบแล้ว กระบอกช็อกอัพไม่แตกตอนโดดคอสะพานเพราะมีอากาศที่ยืดหดตัวได้ช่วยอยู่ และสูญญากาศส่วนใหญ่มันไปเกิดที่กระบอกอากาศส่วนหนึ่ง

เรื่องแกนช็อกอัพมันเฉี่อยไม่ยิงล้อรถเร็วพอออกไปจับถนนตอนมันลอยที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงก็แก้ได้ด้วยการแทนที่เป็นอากาศธรรมดาก็อัดแกสที่มีแรงดันสูงลงไปเลย คราวนี้แรงดันแกสมันช่วยยิงแกนช็อกอัพเสริมกับแรงสปริงหรือแหนบเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นรถก็ไม่ต้องใช้สปริงแข็งแหนบแข็งอีกต่อไปเพราะแกนช็อกอัพมันช่วยยิงล้อรถออกไปเพิ่มการยึดเกาะถนนเพิ่มขึ้นมาอีก แกสแรงดันสูงเข้าเสริมให้น้ำมันวิ่งไปแทนที่สูญญากาศในกระบอกชุดในสุดดีขึ้น กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว

โอ้ววว..พระเจ้าจอร์ท ปัญหาทุกตัวหายเกลี้ยงหมด ไอ้หมอนี่ฉลาดจริงต้องเลื่อตำแหน่งให้เป็น chief engineer ของแผนก R&D เสียแล้ว วิศวกรคนนี้ชื่ออะไรนะ ท่านประธานถาม

ผมชื่อ Monroe ครับ และผมขอยื่นใบลาออกจากบริษัทวันนี้เลยด้วย เพราะผมจะไปทำช็อกอัพขายกับเพื่อนแล้ว

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:36 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55612

คำตอบที่ 6
จะเลือกซื้อช็อกอัพแกสหรือน้ำมันมาใช้ดี

ช็อกอัพแกสแพงกว่าน้ำมันสองเท่าเป็นอย่างต่ำ แต่อายุใช้งานมันพอๆกันหรือแบบแกสอายุจะน้อยกว่า เพราะช็อกอัพมันทำงานอยู่ภายใต้แรงดันสุง ซีลรั่วนิดเดียวก็จบเห่ดันน้ำมันรั่วออกมาจนหมดกระบอกแล้ว ขณะที่แบบน้ำมันล้วนซีลรั่วนิดหน่อยยังขโยกวิ่งใช้งานต่อได้อีกเป็นหมื่นกิโลเมตรเพราะซีลแกนมันลอยในอากาศ

รถเล็กน้ำหนักเบาเช่น city car น้ำหนักไม่ถึงตัน ถ้าใส่สปริงใหญ่หวังจะให้มันดีดล้อออกมาจับถนนดีขึ้นมันจะแข็งจนขับไปหัวสั่นหัวคลอน ดังนั้นสปริงเล็กบวกช็อกอัพแกสคือทางออกเดียวของรถเล็ก ดังนั้นอย่าขี้เหนียวกับช็อกอัพแกสกับรถน้ำหนักไม่มาก เพราะถ้าใส่ช็อกอัพน้ำมันหวังประหยัดเงินมีหวังได้ไปเสียเงินเพิ่มค่าศาลาสวดศพแน่นอน เพราะรถเล็กน้ำหนักเบามันถูกออกแบบมาให้ใช้แบบแกสมาตั้งแต่เกิด

รถวิ่งทางไม่ดี รถวิ่งยาวด้วยความเร็วสูง ช็อกอัพแกสดีแน่นอนเพราะมันไม่มีฟองน้ำมัน วิ่งเร็วอย่างไรล้อก็ยังดีดตัวเร็วพอที่จะไม่ลอยและยึดเกาะถนนได้ตลอดเวลา

รถปิกอัพวิ่งในเมือง บรรทุกต่ำ ไม่วิ่งหนัก ขับไม่เร็ว ปิกอัพแตนๆ ใช้น้ำมันดีแล้ว ใส่แกสทำไมให้เปลืองเงิน แถมยังกระด้างอีกต่างหาก แหนบเดิมๆก็ยังขับไม่สบายก้นแล้วยังไปเอาช็อกอัพแข็งเพราะมีแรงดันแกสมาดันเพิ่มอีก เสียเงินแพงแถมยังไม่ดีไปกว่าน้ำมันราคาถูก

รถบรรทุกหนัก ถ้ารวยก็ใช้ช็อกอัพแกสไปเลยเพราะได้เสียเงินบ่อยๆแน่ ถนนปกติน้ำหนักรถมันช่วยกดตัวรถลงพื้นอยู่แล้ว ยามวิ่งบนถนนไม่ดีที่ความเร็วพอสมควรมวลของรถมันมี Moment of inertia สูง ตัวรถเกือบอยู่กับที่แต่ล้อมันเด้งอิสระช็อกน้ำมันก็เอาอยู่ ลองขับหยอดเนินบนถนนกับวิ่งผ่านโดดเนินไปเลยที่ความเร็วสักสี่สิบแล้วจะเข้าใจเรื่องนี้ว่าน้ำหนักรถมันช่วยให้สบายก้นได้ เพราะรถมันนิ่งแต่ล้อไปเต้นแทน แต่เมื่อไรเอารถบรรทุกหนักไปโดดคอสะพานที่ความเร็วสูง น้ำหนักของรถจะไปทำลายช็อกอัพแกสมากกว่ารถน้ำหนักน้อยหลายเท่าตัว

รถยกสูงช็อกอัพสำคัญมาก อย่าขี้เหนียวกับช็อกอัพแกสที่แข็งกว่าหนึบกว่าตอบสนองเร็วกว่า มันดีกว่าช็อกอัพน้ำมันทุกประการ การลดอาการโยนตัวของบอดี้ที่สูงโย่งคือหัวใจของรถยกสูง

แกสไม่ดีไปหมดทุกอย่าง น้ำมันก็มีจุดดีของตัวเอง หวังว่าที่ผมเล่าให้ฟังยืดยาวคงทำให้เลือกช็อกอัพได้ถูกใจและเหมาะกับรถของตัวเองได้ระดับหนึ่ง

แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen 125.24.41.205 เสาร์, 12/1/2556 เวลา : 01:55 IP : 125.24.41.205

แก้ไขคำตอบ

ลบคำตอบ 55613

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1