คำตอบที่ 119
ขอคุณครับที่ให้ความกระจ่าง
ผมพอสรุปได้ว่า การจะหาพลังงานมาขับเคลื่อนจักรกล โดยการคิดแบบกำปั้นทุบดินนั้น เป็นในทางสูญเสียพลังงานทางอ้อมในรูปแบบอื่นๆ เช่น แสง สี เสียง ความร้อน ได้ประสิทธิภาพ ที่ออกมา น้อยกว่าที่่ใส่เข้าไป
แต่หากเป็นปฏิกิริยาเคมี ไฟฟ้า นิวเคลียร์ มันก็เป็นการใช้วิทยาศาสตร์ประยุกต์ โดยต้องรู้ถึงธรรมชาติของมันให้ลึกซึ้ง เช่น
1.ถ้าเรารู้ว่าน้ำเมื่อตกจากที่สูงก็จะทำให้ได้พลังงานมาก ก็ไม่ต้องหิ้วน้ำใส่ถ่ง ใส่รถเอาไปเติมเขื่อน แต่ควรรู้ถึงธรรมชาติของน้ำว่ามันระเหย เป็นไอกลายเป็นเมฆ เราควรปลูกป่า รักษาสมดุลให้ธรรมชาติเพื่อให้ธรรมชาติเป็น ตัวจ่ายพลังงานให้กับเรา
2.การรู้ว่าเอา ก้อนแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านขดลวดแล้ว โดยธรรมชาติ e จะเคลื่อยที่จากด้านปฐมภูมิ ไปทุติยภูมิ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะเอาไฟฟ้าที่ได้จากการทำงานนี้กลับมาหมุนมอเตอร์ แล้วทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเท่าเดิม เพราะเกิด Loss ในระบบตั้งแต่ สายไฟก็มีความต้านทาน ,มอเตอร์ก็มีแรงเสียดทาน เราก็เพียงเข้าใจธรรมชาติ ของลม, แรงโน้มถ่วง ,น้ำขึ้น-น้ำลง มาใช้ให้เกิดประโยชน์
3.ถ้าเรารู้ว่าการเอา อีเลคตรอน ยิงใส่นิเครียส ของแร่ทำให้อะตอมของธาตุ แยกตัวเป็น 2 อะตอมและได้พลังงานความร้อน และปฏิกิริยานั้นก็เป็นลูกโซ ต่อเนื่องและตั้งชื่อว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ เราก็ต้องหาธาตุที่ ทำให้ได้ปฏิกิริยานี้ดีที่สุด โดยธรรมชาติแร่เช่น ยูเรเนี่ยม สามารถทำปฏิกิริยานี้ได้ดี เราจึงใช้แร่ยูเรเนี่ยมทำปฏิกิริยานิวเคลี่ยร์ เพื่อให้ได้ความร้อน แต่ก็ไหงกลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ไปเลย
ผมคิดว่าวิกฤติของการขาดแคลนทรัพยากรในครั้งนี้(ทรัพยากรทุกอย่างรวมถึงน้ำมันด้วย) มนุษย์ คงต้องเข้าใจธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง ในโลกให้ลึกซึ้ง แล้วนำเอาธรรมชาติของมันมารวมกับมันสมองคนเก่ง ที่โลกเรานานๆ จะเจอแบบสุดยอดๆ สักคนเช่นไอร์สตาย ,นิวตัน ,อืนๆอีกหลายคน เป็นหมอก็มีมาก อิอิ แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบเอากำปั้นทุบดินแบบ เครื่องผลิตไฮโดเจนแบบนี้แน่นอน
ขอบคุณ อใวอน อีกครั้งที่ตอบคำถาม