WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วันอาสาฬหบูชาสำคัญอย่างไร ??
somsaks
จาก หนุ่มกระโทก
IP:202.91.18.200

เสาร์ที่ , 28/7/2550
เวลา : 18:04

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       สมัยที่ผมยังเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเทศบาล ผมจำได้ว่าคุณครูสมเกียรติ รอดน้อย
เคยสอนผมอ่านว่า อาสาน-หะ-บูชา แปลว่า วันบูชา ใน เดือนแปด ปีไหนมีเดือนแปดสองหน ให้ใช้วันในเดือนแปดหลัง
ตอนเด็ก ๆ เมื่อผมมีปัญหาอะไรที่ผมไม่เข้าใจ หรืออยากรู้อยากเห็น ผมจะถามครูสมเกียรติเป็นคนแรก
แม้กระทั่งนามสกุล "รอดน้อย" ผมยังถามคุณครูว่า รอดน้อย ทำไมยังมีชีวิตอยู่ ครูสมเกียรติตอบผมว่า
ครูเป็นคนสิงห์บุรี ลูกหลานชาวบางระจัน ศัตรูหน้าไหนมาแหยม เป็นอันว่าเหลือชีวิตรอดกลับไปน้อย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 4 จาก >>> 1  2  3  4  5  

คำตอบที่ 91
       คราวนี้เมียตัวแสบก็แกล้งเอาขยะ และสิ่งโสโครกมาเททิ้งในบ้าน พอผัวกลับมาเห็นเข้า นางก็แกล้งทำเป็นร้องไห้ แล้วลงมือทำความสะอาดของเหล่านั้นทันที นางแกล้งทำเช่นนี้อยู่สองสามวัน เมื่อผัวกลับเข้ามาบ้าน ก็เห็นสภาพรกรุงรังเช่นเคย จึงได้เอ่ยถามผู้เป็นเมียว่า

“ทำไมถึงทำบ้านสกปรกอย่างนี้ทุกวันล่ะ”

พอเห็นว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นางจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้โฮ แล้วกล่าวให้ร้ายพ่อผัวแม่ผัวว่า “พี่ขา ฉันทนไม่ไหวแล้ว พ่อแม่พี่แกล้งเอาของเหล่านี้มาเทเรี่ยราดทุกวัน ฉันปัดกวาดไม่ไหวแล้ว ถ้าพี่รักฉันจริง พาฉันไปอยู่ข้างนอกเถอะ”


ฝ่ายผัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เกิดเชื่อ และสงสารเมียขึ้นมา เลยเกิดใจอ่อน เห็นผิดเป็นชอบ จึงกล่าวปลอบผู้เป็นเมียไปว่า “พ่อแม่ทำอย่างนี้ก็เกินไป แล้วพี่จะจัดการให้”
เมื่อความหลงใหลเข้าครอบคลุมจิตใจเช่นนี้แล้ว ทำให้ขาดสติยั้งคิด กลับไปทำสิ่งซึ่งเป็นบาปกรรมได้ง่าย กรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนของพระโมคคัลลานะจึงเกิดขึ้น


อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายได้โกหกพ่อแม่ว่า จะไปเยี่ยมญาติซึ่งอยู่ห่างออกไป จึงอยากจะชวนพ่อแม่ให้ไปเยี่ยมด้วยกัน แล้วก็ขับเกวียนพาพ่อแม่เข้าไปในป่า เมื่อถึงกลางทาง ก็บอกกับพ่อแม่ว่า จะขอลงไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะตามไปทีหลัง


เวลาไม่นานต่อมา ลูกชายซึ่งปลอมตัวเป็นโจร ก็แอบลอบสังหารผู้เป็นพ่อแม่ถึงแก่ความตาย
กรรมที่ทำร้ายพ่อแม่อย่างนี้ ต้องตกนรกและต้องถูกทุบตีจนตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายชาติ จวบจนชาติสุดท้ายที่จะต้องได้รับกรรม จนมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.60.236 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:30  IP : 125.24.60.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12305

คำตอบที่ 92
       นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสต่อไปอีกว่า

ผู้ที่ประทุษร้ายพระโมคคัลลานะก็เช่นกัน ย่อมต้องชดใช้กรรมที่ได้สร้างไว้ด้วย อย่างเช่น พวกโจรที่ทุบหัวของพระโมคคัลลานะจนเสียชีวิต ก็ต้องไปเกิดวิบัติตามไปด้วย เพราะไปทำร้ายผู้อื่นเขา

เมื่อเหล่าโจรได้ฆ่าพระโมคคัลลานะจนถึงแก่ความตายแล้ว ก็นึกกระหยิ่มใจ พากันดื่มสุราจนเมามายขาดสติ เมื่อสติไม่มี เหล่าโจรก็พากันโอ้อวดกันเป็นยกใหญ่ ว่าตนเองเป็นผู้ที่ลงมือเอาหินทุบหัวพระโมคคัลลานะก่อน เสียงถกเถียงระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่ว จนกระทั่งมีตำรวจเมืองผ่านเข้ามา และได้ยินเรื่องที่เหล่าโจรทำการสังหารพระโมคคัลลานะ จึงได้ทำการจับกลุ่มโจรกลุ่มนั้นไปตัดสินความ


พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นผู้ตัดสินความ ได้ตรัสรับสั่ง ให้จัดการขุดหลุมแค่เอว แล้วให้พวกโจรลงไปยืนในหลุม กลบดินฝังครึ่งล่างของพวกโจรให้แน่น จนไม่สามารถกระดิกตัวได้ หลังจากนั้นก็ให้เอาฟางมาโปะคลุมหัวพวกโจรไว้จนมิด แล้วจุดไฟเผา แค่นั้นยังไม่สาสมกับความผิดที่ฆ่าพระสงฆ์ ยังรับสั่งให้เอาศพที่ถูกไฟเผาแล้ว มาตัดเป็นท่อน ๆ


นี่แหละกรรมตามทัน ใครทำสิ่งใดไว้ ย่อมต้องชดใช้เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นหรอก






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.60.236 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:31  IP : 125.24.60.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12306

คำตอบที่ 93
       ฝ่ายพระมหาเถระได้เสวยทุกขเวทนา พ้นที่จะอุปมา แต่ยังทรงชีวิตอยู่ จึงคิดอยู่ในใจว่า ตัวท่านนี้จะดับสูญเข้าสู่นิพพานแล้ว จำจะไปถวายนมัสการลาพระผู้มีพระภาค แล้วจึงกลับมาเข้าสู่พระนิพพานในที่นี้ คิดดังนั้นแล้วจึงเข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานผูกรัดร่าง กระดูกที่แหลกละเอียด ก็คุมกันเข้าเป็นแท่งเดียวดังเก่าด้วยกำลังฌาน แล้วจึงเหาะไปสู่เวฬุวันมหาวิหาร เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลลาเข้าสู่พระนิพพาน

พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกาตรัสถามว่า จะนิพพานที่ใด ท่านกราบทูลว่า จะนิพพานที่กาฬศิลาประเทศ อันเป็นที่อยู่ของท่าน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ตถาคตได้เห็นท่านก็เป็นที่สุดแล้ว ท่านจงเทศนาให้ตถาคตฟังก่อน พระสงฆ์ทั้งหลายจะได้เห็นท่านได้ฟังเทศนาของท่านก็เป็นที่สุดในครั้งนี้


ฝ่ายพระมหาเถระได้ฟังพุทธฎีกาดังนั้น จึงได้สำแดงปาฏิหาริย์เป็นเอนกอนันต์ ครั้นสำแดงแล้ว ก็สำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทเป็นปัจฉิมที่สุด เหมือนธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำปาฏิหาริย์ถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อท่านไปกราบทูลลาจะเข้าสู่พระนิพพาน


เมื่อพระมหาเถระกระทำปาฏิหาริย์ เห็นปานดังพระสารีบุตร เสร็จแล้วจึงทูลลาว่า กระหม่อมฉันอุตส่าห์สร้างบารมีมาก็ช้านาน ประมาณได้อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปป์โดยคณนา หวังจะพบพระพุทธองค์ และพระศาสนาของพระพุทธองค์ บัดนี้ก็สำเร็จสมปรารถนาแล้ว จะได้ถวายนมัสการบรมบาทพระชินสีห์ก็เป็นที่สุดแล้ว จึงถวายบังคมลา พระสัพพัญญูบรมครูแล้วกลับไปกาฬศิลาประเทศ เข้าไปสู่กุฎีที่อยู่จำพระวัสสา จึงเข้าสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วกลับถอยหลังลงมาเป็นอนุโลมปฏิโลมหลายครั้ง ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว พระมหาเถระก็เข้าสู่พระนิพพาน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.42.159 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:39  IP : 125.24.42.159   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12307

คำตอบที่ 94
       กิตติศัพท์ที่พวกโจรเข้าทุบตีพระโมคคัลลานะนั้น ได้เลื่องลือไปในนิคมชนบทนานาประเทศ บรรดาอำมาตย์ได้นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อพระองค์ทรงทราบก็เกิดสังเวชสลดพระทัย


ทรงเห็นว่าการกระทำของพวกโจรไม่บังควร จำจะเสาะเอาตัวมาลงโทษให้จงได้ แล้วได้ทรงสั่งให้พวกอำมาตย์ ไปดำเนินการจนได้ตัวพวกโจร แล้วนำเข้าไปถวายพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อซักไซ้ไต่สวนได้ความว่า พวกสมณชีเปลือยใช้โจรให้ไปกระทำการดังกล่าว พระองค์จึงสั่งให้ไปจับพวกเดียรถีย์ชีเปลือยมาได้เป็นจำนวนมาก


เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความจริงแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษ เอาพวกเดียรถีย์ชีเปลือย และพวกโจรที่จับมาได้ ฝังดินลึกเพียงสะดือ แล้วให้เอาใบไม้แห้งและฟางเกลี่ยไป จากนั้นจึงจุดไฟคลอก ครั้นเพลิงไหม้ทั่วกันแล้ว จึงให้เอาไถเหล็กมาไถ ให้ร่างกายขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ตายด้วยกันทั้งหมด






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.42.159 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:41  IP : 125.24.42.159   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12308

คำตอบที่ 95
      

วันนี้ผมขอจบเท่านี้ก่อนครับ

ท่านยังมีเรื่องเล่าอีกหลายเรื่องถ้าผมไม่เล่าเรื่องใน พระโมคคัลลานสูตร อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ ก็จะไม่สมบูรณ์ ถ้าใจร้อนก็เปิดพระไตรปิฎกไปอ่านหน้าที่ผมว่าอ่านก่อนได้เลย

ยังมีเรื่องพระโมคคัลลานะทรมารเศรษฐีขี้เหนียว เรื่องนี้สนุกมาก และเป็นต้นกำเนิดประเพณีการทำบุญให้ทานไฟของชาวนครศรีฯอีกด้วยครับ


เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
เตสํ เหตุํ ตถาคโต พระตถาคต กล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ และความดับของธรรมเหล่านั้น
เอวํ วาที มหาสมโณ พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.48.234 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:59  IP : 125.24.48.234   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12309

คำตอบที่ 96
      
บาลีคาถาที่พระโมคคัลลานใช้ในขณะที่อธิฐานประสานกระดูกของท่านเอง เพื่อจะกลับมาทูลลาพระพุทธองค์ก่อนเข้าสู่นิพพานนั้น หลายท่านอาจจะผ่านหูมาบ้างแล้วและหมอไสยศาสตร์บางท่านก็ยังใช้คาถาบทนี้รักษาผู้ที่ต้องทรมานกับอาการกระดูกแตก กระดูกหักอยู่ มนต์บทนี้เรียกว่า มนต์ประสานกระดูกหรือมนต์ต่อกระดูก ขอรับ .......



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Ethan_Hunt จาก Ethan_Hunt 203.130.145.67 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 12:45  IP : 203.130.145.67   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12314

คำตอบที่ 97
       อย่างนั้นเราต้องรีบฝึกมนต์นั้นซะแล้ว


กันไว้เผื่อมีคนแช่งชักหักกระดูก



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 202.91.19.192 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 16:13  IP : 202.91.19.192   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12317

คำตอบที่ 98
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

chyvw จาก ชาย 203.146.104.35 จันทร์, 3/9/2550 เวลา : 16:51  IP : 203.146.104.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12380

คำตอบที่ 99
       ถึงตอนนี้ผมอยากแทรกเรื่องสักหนึ่งเรื่อง เป็นเรื่องกรรม เราเอาพระโมคคัลลานะรับกรรมเป็นครูได้ เหมือนกับการไปงานศพไม่ใช่ไปเพื่อฟังพระอย่างเดียวแต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของงานศพคือไปเอาศพเป็นครูว่าชีวิตมันไม่เที่ยง


ผมจะจำแนกกรรมตามบาลีที่ได้จัดเป็นหมวดหมู่โดยพระพุทธโฆษาจารย์ชาวลังกา ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรคเมื่อแปดร้อยปีก่อนได้รวบรวมจากประไตรปิฏกแล้วจัดหมวดหมู่ของกรรมไว้ดังนี้





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:14  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12475

คำตอบที่ 100
       หมวดที่ 1 ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล

1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้)
2. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหน้า)
3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพต่อๆไป)
4. อโหสิกรรม (กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก)

ทั้งสี่ข้อนี้ท่านได้เรียบเรียงไว้ค่อนข้างจะกระจ่างแบบไม่ต้องอธิบายเพิ่มว่าแต่ละอย่างคืออะไร






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:17  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12476

คำตอบที่ 101
       หมวดที่ 2 ว่าโดยกิจ คือจำแนกการให้ผลตามหน้าที่

5. ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด, กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด)
6. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมที่เข้าช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม)
7. อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น
ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน)
8. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม
เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น)

กรรมตั้งแต่ 5-8 นี่ก็กระจ่างอีกเหมือนกัน เราจะรู้จักการทำงานของกลไกกรรมว่ามันสนองและตัดรอนกรรมได้อย่างไร







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:20  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12477

คำตอบที่ 102
       หมวดที่ 3 ว่าโดยปากทานปริยาย คือ จำแนกตามความยักเยื้องหรือลำดับความแรงในการให้ผล

9. ครุกกรรม (กรรมหนัก ให้ผลก่อน ได้แก่ สมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม)
10. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองจากครุกกรรม)
11. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย คือกรรมทำเมื่อจวนจะตาย
จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มี 2 ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น)
12. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ, กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน
หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมนี้จึงจะให้ผล)

ลำดับของกรรมตามข้อข้างต้นบอกอะไรได้หลายๆอย่างของกรรมแต่ละบุคคลครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:23  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12478

คำตอบที่ 103
       กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิได้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นต้น ได้รวบรวมมาจัดเรียงเป็นแบบไว้ภายหลัง.


อ้างจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:35  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12480

คำตอบที่ 104
       ผมถือโอกาสนี้กระทำการ ให้อโหสิกรรมแก่ผู้ใดก็ตามที่ทำกรรมไว้กับผม ขอให้ถือว่ากรรมนั้นขาดกันไม่เกี่ยวข้องกับผมตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป

ส่วนผู้นั้นจะยังคงรับกรรมที่สร้างกับผม ต่อไปภาคหน้าแม้แต่ผมจะให้อโหสิแล้ว ก็คงต้องเป็นไปตาม ชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม อุปฆาตกกรรม ของผู้นั้นเองซึ่งไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงกฏแห่งกรรมนั้นได้





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:45  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12481

คำตอบที่ 105
      



ทุกอย่างต้องใช้แต่พอดี ไม่เว้นแม้แต่ พละ 5




o ศรัทธา ที่มีมากเกินพอดี ตะบี้ตะบันศรัทธา ไม่ลืมหูลืมตา ไม่ปฏิบัติเอาเอง ได้แต่หาสิ่งภายนอกตัวมาเสริม หลงพระหลงอาจารย์ ศรัทธาย่อมนำไปสู่ความงมงาย โงหัวไม่ขึ้น ยิ่งเห็นอัศจรรย์ ตายิ่งมัว หัวยิ่งหนัก ก้นก็ชักสูงขึ้นกว่าหัวโดยมิอาจยกตัว ยกใจ กลับขึ้นได้โดยง่าย


o ปัญญา พละ ก็ ต้องพอดี ไม่พอดี ก็มีแต่ทิฏฐิ มานะ คิดว่าตนเองนั้นแน่ คิดว่าผู้อื่นโง่ว่าตนทั้งโลก


o สติ ก็ต้องพอดี ไม่พอดี ก็แต่สะดุ้ง ขนลุก กลัวสาระพัด หรือไม่ก็สะกตจิตตัวเอง นั่งแข็งทื่อ หรือ เข้าภวังค์ไป เพราะไปกักความคิดเสียหมด


o สมาธิ ก็ต้องพอดี ไม่งั้นก็เอาแต่สุขกับการหลับตา เอาแต่ปิติ เอาแต่ปราโมธ์ เห็นเป็นเย็น เห็นเป็นนิพพาน


o วิริยะ เกิน พอดี ก็ตะบี้ตะบันทำ ไม่ยั้งคิด ทำเหมือนไม่รู้ว่าเวลาสมควรพัก เวลาสมควรผ่อนคลาย ทำตัวเหมือนคนบ้า


วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ ผมฝากข้อคิดของ พละ5 ไว้เท่านี้หวังว่าเพื่อนๆคงนำข้อคิดนี้ไปใช้ประโยชน์แก่ตัวเองบ้างครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.63.55 พุธ, 5/9/2550 เวลา : 21:58  IP : 125.24.63.55   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12482

คำตอบที่ 106
       ประเพณีให้ทานไฟ เป็นประเพณีหนึ่งซึ่งถือปฏิบัติกันมานานของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชและที่อำเภอท่าชนะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเพณีนี้สันนิษฐานว่าเกิดจากอากาศหนาวมากๆ ในช่วงฤดูหนาว พระภิกษุสามเณรนุ่งห่มจีวรเพียงบางๆ และภัตตาหารที่บิณฑบาตมาได้ก็มักจะเย็นชืดหมด เป็นอุปสรรคต่อ การศึกษาพระธรรมด้วยอากาศหนาว ชาวบ้านพุทธศาสนิกชนจึงคิดอยากให้ความอบอุ่นแก่พระภิกษุสามเณร จึงคิดการทำบุญโดยการให้ทานไฟขึ้น ข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่ง กล่าวว่า มูลเหตุสำคัญของประเพณีนี้มาจาก"คัมภีร์ขุททกนิกาย"ซึ่งได้กล่าวถึงเศรษฐีคนหนึ่งแห่งแคว้นสักกะ ชื่อ โกสิยะ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:07  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12595

คำตอบที่ 107
       เศรษฐีคนหนึ่งแห่งแคว้นสักกะ ชื่อ โกสิยะ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ญาติมิตร ชาวเมืองทั่วไป ทาสบริวาร บุตรภรรยา หรือแม้กระทั่งตัวเอง มีอยู่วันหนึ่งเศรษฐีโกสิยะเดินผ่านร้าน ขายขนมเบื้องในตลาด เห็นชาวเมืองนั่งกินขนมเบื้อง จึงคิดอยากกินขนมเบื้องบ้าง แต่ด้วยความตระหนี่ จึงไม่ยอมซื้อกิน แต่ถึงอย่างไรความอยากกินขนมยังคั่งค้างภายในจิตใจ จึงมีอาการผิดปกติไป ภรรยาเศรษฐี ทราบเรื่องจึงรับอาสาจะทำขนมเบื้องให้เศรษฐีกิน





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:09  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12596

คำตอบที่ 108
       แต่เศรษฐีเป็นคนตระหนี่ เกรงว่าจะสิ้นเปลืองเงินทอง เพราะใครๆ ก็คงต้องกินด้วย จึงไม่อยากให้ภรรยาทำขนม ภรรยาเศรษฐีจึงชวนเศรษฐีไปทำขนมบนชั้นที่ ๗ ของบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็นจะได้ไม่กินด้วย ภรรยาเศรษฐีก็สัญญาว่าจะไม่กินขนมด้วย พระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงทราบด้วยญาณว่าเศรษฐีคนนี้ตระหนี่เกินไป ควรจะให้เลิกนิสัยอย่างนี้ เสีย จึงรับสั่งให้พระโมคคัลลานะไปแก้นิสัยเศรษฐี พระโมคคัลลานะจึงเหาะตรงไปยังชั้น ๗ ของบ้านเศรษฐี ยืนสำรวมอยู่ที่ประตู





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:10  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12597

คำตอบที่ 109
       เมื่อเศรษฐีเห็นจึงคิดว่าพระโมคคัลลานะจะมาขอขนมกิน จึงคิดรังเกียจและออกปากไล่พระโมคคัลลานะได้ทรมานเศรษฐีอยู่นาน จนเศรษฐีต้องยอมถวายขนมเบื้องให้พระโมคคัลลานะบ้าง พระโมคคัลลานะจึงแสดงธรรมเรื่องประโยชน์ของการให้ เศรษฐีและภรรยาเกิดเลื่อมใส จึงนิมนต์พระโมค- คัลลานะไปรับอาหารที่บ้านตน แต่พระโมคคัลลานะไม่รับ และบอกว่าถ้าจะถวายอาหารควรไปถวาย พระพุทธองค์และพระสาวก จำนวน ๕๐๐ รูป ณ เชตวันมหาวิหาร เศรษฐีและภรรยาจึงทำขนมเบื้องถวาย พระพุทธองค์และพระสาวก จำนวน ๕๐๐ รูป แต่ทำเท่าไหร่แป้งที่เตรียมไว้เพียงเล็กน้อยก็ไม่หมด





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:12  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12598

คำตอบที่ 110
       สุดท้าย พระพุทธองค์ได้ทรงเทศนาสั่งสอนเศรษฐีและภรรยา จนทำให้เศรษฐีและภรรยาเกิดความอิ่มเอิบในการ ทำบุญบริจาคทานและบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด ด้วยมูลเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการทำบุญด้วยการ ให้ทานไฟในปัจจุบัน


ผมได้ถามเรื่องทานไฟจากคุณแม่ของรุจ คุณแม่ได้เล่าให้ฟังบางส่วน และน่าเสียดายที่ตอนนี้ประเพณีทานไฟไม่หลงเหลือในเมืองนครฯแล้ว ความทรงจำของผู้ใหญ่อายุแปดสิบยังจำได้เพียงแต่เลือนๆเพราะมันนานมากที่นครฯไม่มีงานทานไฟ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:15  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12599

คำตอบที่ 111
       ประเพณีการทำบุญให้ทานไฟ มักทำกันในช่วงเวลาที่มีอากาศหนาวมากเป็นพิเศษใน ตอนเช้าตรู่ของวันใดวันหนึ่งในเดือนอ้ายต่อเดือนยี่ ซึ่งจะเป็นวันที่เท่าไหร่นั้นทางวัดและชาวบ้าน อุบาสก อุบาสิกา จะทำความตกลงกันเป็นปีๆ ไป

ในตอนเช้าตรู่ของวันนัดหมาย ชาวบ้านพุทธศาสนิกชนทุกคนจะพร้อมใจกันไปยังวัดใกล้บ้าน โดยจัดแจงเอาเครื่องประกอบทำขนมและอุปกรณ์ไปด้วย เมื่อถึงวัดก็ช่วยกันก่อกองไฟและทำขนมกันทันที ขนมที่นิยมทำกัน เช่น ขนมเบื้อง ขนมครกและขนมกรอก


ส่วนกองไฟจะก่อกี่กองก็ได้ตามจำนวนพระ ภิกษุสามเณรในวัด และจำนวนผู้ร่วมทำบุญ เมื่อก่อกองไฟเสร็จแล้วจะนิมนต์พระภิกษุสามเณรมาผิงไฟ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และขนมที่ทำสุกแล้วก็สามารถถวายพระภิกษุสามเณรให้ฉันได้ทันที เมื่อพระสงฆ์ฉัน ขนมอิ่มทุกรูปแล้วก็จะให้พร เมื่อให้พรเสร็จแล้วพระสงฆ์จะกลับไปปฏิบัติกิจของสงฆ์ต่อไป ส่วนชาวบ้าน พุทธศาสนิกชนผู้ร่วมทำบุญก็จะร่วมรับประทานขนมที่เหลือ และช่วยกันขนของกลับบ้าน เป็นอันเสร็จพิธี การทำบุญ


ปัจจุบันการทำขนมในงานนี้มักทำสำเร็จมาจากบ้านแล้ว ไม่ค่อยนิยมมาทำที่วัดอย่างอดีต เพราะสะดวกกว่า และประเภทของขนมก็มากขึ้นตามสมัยนิยม และในบางที่ก็อาจมีของคาวเลี้ยงพระใน งานนี้ด้วย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:18  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12600

คำตอบที่ 112
       ครั้งหนึ่ง วัจฉโคตรปริพาชก เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ และได้ถามปัญหากับท่านทีละข้อ คือ
โลกเที่ยงหรือ ?
โลกไม่เที่ยงหรือ ?
โลกมีที่สุดหรือ ?
โลกไม่มีที่สุดหรือ ?
ชีพก็อันนั้น สรีระก็เป็นอันนั้นหรือ ?
ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่นหรือ ?
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ ?
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกหรือ ?
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีหรือ ?
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ?


ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ตอบปัญหาแต่ละข้อนั้นว่า ปัญหาข้อนี้ก็ เป็นปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์


ที่มา: โมคคัลลานสูตร ๑๘[๗๘๘]๓๙๑-๓๙๒







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:23  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12601

คำตอบที่ 113
       ผมขอจบเรื่องพระโมคคัลลานะที่เล่าต่อเนื่องมาเป็นเดือนเพียงเท่านี้ครับ น่าจะสมบูรณ์ทุกเรื่องของท่านแล้ว

ผมขอแถมมนต์ต่อกระดูกของพระโมคคัลานะไว้ให้เพื่อนๆใช้กันในที่นี้ด้วย

คาถาพระมหาโมคคัลลาน์ต่อกระดูก
คาถาที่พระมหาโมคคัลลาน์ใช้ร่ายประสานกระดูกนั้น หลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์ ได้นำมาใช้รักษากระดูกให้ญาติโยม จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เนื้อความของคาถานั้นมีดังนี้
เถโร โมคคัลลาโน
อันตะระธายิตวา ภูมิสุขุมัง
ปรมาโน ภควโต อิทธิยา
อัตตโน สรเร มังสัง โลหิตัง

อีกตำราหนึ่งครับ

คาถาประสานกระดูก. จัตตาโร ปัตเต เอโก ยะถา อธิฏฐามิ

อีกตำราท่านว่าไว้

คาถาประสานกระดูก จัตตาโร ปัตเต ยะถา เอโก ตะถา อะธิฏฐาหิฯ

ให้เสกเป่าประสานบาดแผล ต่อกระดูกหัก กระดูกเดาะ เคล็ดยอก ช้ำบวม ฟกช้ำดำเขียว จะเสกน้ำมันงาดิบ หรือน้ำมันใดๆๆทา กระดูกเคลื่นไม่เข้าที่จะหายภายใน3วัน7วัน ถ้าบาดแผลเป็นทั้งร่างกายให้เสกน้ำอาบก็ได้

ตำนานว่า ท้าวจตุโลกบาล นำบาตรมาถวายจาก4ทิศ พระพุทธเจ้าต้องการใช้ใบเดียว จึงใช้คาถานี้รวมบาตร4ใบให้เป็นใบเดียว

ลอกจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

ใครชอบแบบไหนจากสามแบบที่ผมกล่าวมานี้เลือกเอาไปใช้ได้เลยครับ








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:28  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12602

คำตอบที่ 114
       ขอขัดใจเพื่อนๆโดยเอาพระไตรปิฎกล้วนๆแบบย่อยยากมาให้อ่านกัน

ผมไม่อยากจะย่อยให้เลยเนื่องจากจะทำลายความสมบูรณ์ของพุทธดำรัส เอาแบบดิบๆนะครับอ่นแล้วได้บุญได้กุศลครับ


พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะทำกรรมประมาณเท่านี้ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือจึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียดหมด ถึงมรณะสิ้น ๑๐๐ อัตภาพ โมคคัลลานะได้มรณะอย่างนี้ ก็พอสมแก่กรรมของตนเองแท้.
พวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ (แก่กรรมของเขา) เหมือนกัน, ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแท้" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:33  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12603

คำตอบที่ 115
      
โย ทณฺเฑน อทณฺเฑสุ อปฺปทุฏฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ
เวทนํ ผรุสํ ชานึ สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ จิตฺตกฺเขปํ ว ปาปุเณ
ราชโต วา อุปสคฺคํ อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ โภคานํ ว ปภงฺคุณํ
อถ วาสฺส อคารานิ อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ นิรยํ โส อุปปชฺชติ.



ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลายผู้ไม่มีอาชญา
ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันที
เดียว คือถึงเวทนากล้า ๑ ความเสื่อมทรัพย์ ๑ ความสลายแห่ง
สรีระ ๑ อาพาธหนัก ๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ ความขัดข้อง
แต่พระราชา ๑ การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ ความย่อยยับ
แห่งเครือญาติ ๑ ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย ๑ อีกอย่าง
หนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา, ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก.






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:35  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12604

คำตอบที่ 116
      
จบเรื่องพระโมคคัลลานะโดยสมบูรณ์ครับ

ขอให้กุศลในการสดับธรรมของเพื่อนๆจงให้เพื่อนๆได้พบกับนิพพานโดยเร็ว

ท่านใดหวังในบุญที่จะส่งให้ได้พบกับสิ่งที่ดีในภพนี้ภพหน้าจงได้ตามที่หวัง

อนุโมทนาครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.46.28 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 00:39  IP : 125.24.46.28   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12605

คำตอบที่ 117
      

สาธุ ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.25.183.103 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 07:34  IP : 125.25.183.103   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12614

คำตอบที่ 118
       มีเพื่อนๆต้องการให้ผมขยายความเรื่องโทษของการประทุษร้ายในบุคคลที่ไม่คิดกระทำประทุษร้ายก่อน หรือจะกล่าวได้ว่าทำเขาข้างเดียว

ถ้ายิ่งบุคคลผู้นั้นมีจิตไม่ร้ายตอบแม้จะโดนทำเอาหนักข้างเดียว และยิ่งผู้โดนกระทำประทุษร้ายนั้นมีจิตอโหสิกรรมให้แก่ผู้ประทุษร้านนั้น ก็เหมือนกับเป็นการเร่งส่งไปรษณีย์ด่วนให้กรรมนั้นติดจรวดสนองตามกรรมของผู้กระทำนั้นทีเดียว

เพราะผู้ถูกกระทำได้สละสิทธิ์ในการทวงถามหนี้กรรมอันนั้นไปแล้ว ดังนั้นวงล้อแห่งกรรมจึงทำงานเพียงแต่สนองกรรมให้ผู้กระทำนั้นตามแรงส่งของผู้กระทำนั้นๆ


โย ทณฺเฑน อทณฺเฑสุ อปฺปทุฏฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ
เวทนํ ผรุสํ ชานึ สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ จิตฺตกฺเขปํ ว ปาปุเณ
ราชโต วา อุปสคฺคํ อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ โภคานํ ว ปภงฺคุณํ
อถ วาสฺส อคารานิ อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ นิรยํ โส อุปปชฺชติ.



ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลายผู้ไม่มีอาชญา
ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือถึงเวทนากล้า

๑ ความเสื่อมทรัพย์ การทำมาหากินฝืดเคือง เคยไม่เดือดร้อนในการงานหารายได้ก็เกิดเรื่องราวสาระพัดเข้ามาทำให้กิจการที่เคยรุ่งเรื่องนั้นพบกับวิบาก งานการเคยมีมากกลับลดน้อยลงตามแรงกรรม บางรายถ้ากรรมหนักไม่มีบุญเก่าค้ำจุนอาจจถึงกับหมดอาชีพไปเลยทีเดียว

๑ ความสลายแห่งสรีระ เกิดอาการเจ็บปวดร่างกาย ปวดหลังปวดตัวหนักขึ้น เคยมีสุขภาพดีก็กลับเจ็บออดแอดทำให้ใช้ชีวิตประจำวันทำมาหากินได้ลำบากขึ้น

๑ อาพาธหนัก กรรมหนักจากข้อที่แล้วถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ นั่งกินนอนกินเลยทีเดียว

๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต เกิดอาการจิตไม่สงบ อิฉาตาร้อน หรือเกิดอาการเกรงกลัวในการสู้หน้าผู้คนที่รู้ในการกระทำของตน ไปนั่งที่ไหนก็ระวังตัวจนเกิดจิตระแวงตลอดเวลา

๑ ความขัดข้องแต่พระราชา อันนี้เรียกสมัยนี้ว่าโดนกฏหมายเล่นงาน จะมีคดีความเกิดขึ้นทำให้กระทบต่อการดำเนินชีวิตจนเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจติดคุกติดตรางหรือเสียทรัพย์ ขั้นเบาๆก็อาจจะโดนตั้งกรรมการสอบเรื่องราวความชั่วเก่าๆที่ปูดขึ้นมา เกิดเรื่องมีปัญหากับผู้บังคับบัญชา หรือโดนเจ้านายเกลียดจนชีวิตไร้ความสุขไปเลย

๑ การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง แปลเป็นคำพูดสมัยนี้คือโดนกล่าวโทษในความผิดที่ร้ายแรงจากคนรอบข้าง คนที่เคยคุยกันดีๆก็กลายเป็นศัตรูมากล่าวโทษ เกิดการเสียเพื่อนเสียญาติมองหน้าไม่ติดจากเรื่องร้ายๆที่โดนกล่าวโทษ ชีวิตจะมีแต่เรื่องราวสร้างความรำคาญใจไม่รู้จบ เรื่องโน้นไปเรื้องนี้มา ความวัวยังไม่หายความควายมาแทรกอีกแล้ว

๑ ความย่อยยับแห่งเครือญาติ เรื่องนี้ทำให้เสียญาติครับ แต่จะแปลให้เข้ากับยุคสมัยสามารถนับเอาเพื่อนฝูงมิตรสนิทรวมเข้ากับกลุ่มนี้ได้ด้วยถ้าคนนั้นไม่มีญาติหรือญาติน้อย พวกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องไม่คบด้วยเนื่องจากละอายในผลกรรมที่ผู้นั้นทำไว้ ไปไหนก็ไม่มีใครนับญาติ เรื่องที่เคยมีคดีความกับเพื่อนฝูงญาติพี่น้องก็ถึงจุดแตกหักย่อยยับไปไม่เผาผีกันอีกต่อไป

๑ ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย ของเคยมีก็ไม่มี ของเคยเก็บสะสมก็ถึงกับคราวต้องสูญ สมบัติของตระกูลก็อาจจะต้องขายกิน ทรัพย์ที่สะสมไว้จะร่อยหรอไปเรื่อยๆ เงินทองทรัพย์สินจะถึงการวิบัติอย่างต่อเนื่องแม้แต่เครื่องมือทำมาหากินก็จะไม่เหลือในสักวัน

๑ ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา อันนี้ไม่ต้องอธิบายมากเห็นภาพเลยครับ แต่มีการตีความอีกประการเรื่องของไฟไหม้เรือนคืออาจจะต้องเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไป อย่างเบาเกิดการแตกแยกในครัวเรือนการทะเลาะเบาะแว้งจนถึงอย่างหนักอาจจะต้องแยกทางแยกเรือนกันกับภริยา นับว่าเป็นไฟไหม้เรือนอย่างหนึ่ง

ตอนจบพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

"ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก"


นรกคือคำตอบสุดท้ายครับ คือลงนรกทางสังคมตอนยังไม่ตายและไฟนรกจริงๆหลังตาย(กายแตก)ไปแล้ว

น่ากลัวครับ รู้แล้วอย่าทำนะครับ มันรุนแรงมาก และยิ่งกระทำต่อ ผู้มีศิลธรรมแม้เป็นบุคคลธรรมดา พระสงฆ์ พระอรหันต์ พระปัจเจก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมจะทวีคูณเป็นร้อยเท่า-ล้านเท่าเลยครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก von Richthofen ไม่ล็อกอิน 124.157.141.193 พฤหัสบดี, 13/9/2550 เวลา : 10:49  IP : 124.157.141.193   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12621

คำตอบที่ 119
      
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ Von ขอรับที่ให้ความรู้แถมยังอ่านสนุกอีกด้วย .....


ในสมัยพุทธกาลยังมีพุทธสาวกอีกองค์หนึ่งซึ่งนับว่า ท่านสำคัญมาก ท่านเคยขอประทานพรจากพุทธองค์ 8 ประการ พรที่ท่านขอประทานมีดังนี้ ขอรับ...


พรข้อที่ 1.ท่านขอว่า "ขอพระองค์ อย่าได้ประทานจีวรอันปราณืตที่มีผู้นำมาถวายแล้วแก่ข้าพระองค์เลย"
พรข้อที่ 2.ขอพระองค์ อย่าได้ประทานบิณฑบาดอันปราณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์เลย
พรข้อที่ 3.ขอพระองค ์อย่าได้ให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ ที่เดียวกันกับที่พระองค์ประทับอยู่
พรข้อที่ 4.ขอพระองค์ อย่าได้พาข้าพระองค์ไปในที่ ที่นิมนต์ที่พระองค์ทรงรับใว้
พระพุทธเจ้า์ทรงตรัสว่า : ดูก่อนเธอเห็นประโยชน์อย่างใดจึงได้ขอพรสี่ประการนี้
ท่านทูลว่า : ข้าแต่พระผู้มีพระภาคที่ข้าพระองค์ขอประทานพรเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้คนทั้งหลายตำหนิ ข้าพระองค์ว่าเห็นแก่ลาภ สักการะ ข้าแต่พระองค์พระผู้เป็นบุรุษอันสูงสุดยังมีต่ออีกพระเจ้าข้า


พรข้อที่ 5.ขอพระองค์ ได้โปรดกรุณาเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ซึ่งข้าพระองค์รับใว้เมื่อพระองค์ไม่อยู่
พรข้อที่ 6.ขอให้ข้าพระองค์ได้พาพุทธบริษัทเช้าเฝ้าได้ ในขณะเขามาเพื่อจะเฝ้า
พรข้อที่ 7.ข้าพระองค์มีความสงสัยเรื่องใด เมื่อใด ขอให้ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าทูลถามได้ทุกโอกาศ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า : ดูก่อนเธอเห็นประโยชน์อย่างใดจึงได้ขอพรสามประการนี้
ท่านทูลว่า : ข้าแต่พระผู้มีพระภาคที่ข้าพระองค์ขอประทานพรเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้คนทั้งหลายตำหนิ ข้าพระองค์ว่า บำรุงรักษาพระองค์ด้วยเหตุอันใดกัน เรื่องเท่านี้พระองค์ก็มิทรงสงเคราะห์ ข้าแต่พระจอมมุนี เรื่องอื่นยังมีอีกพระเจ้าข้า


พรข้อที่ 8 ......พรที่ 8 ชักเลือนๆตามอายุคนถามแล้ว ขอรับ มิกล้าเขียนกลัวว่าความหมายจะผิดไป จำได้แม่นๆได้แค่ 7 ข้อ ไม่ทราบว่าอาจารย์ Von อาจารย์หนุ่มหรือท่านผู้รู้ทุกท่านพอทราบประวัติพุทธสาวกองค์นี้หรือไม่ ขอรับ ถ้าทราบได้โปรดสงเคระห์ ผู้มีปัญญาอันอ่อนด้อยด้วย ขอรับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Ethan_Hunt จาก Ethan_Hunt ศุกร์, 14/9/2550 เวลา : 00:45  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12634

คำตอบที่ 120
       พรข้อที่แปดขอให้ทรงเทศนาซ้ำให้ฟังอีกครั้ง เมื่อทรงเทศนาเมื่อข้าพระองค์มิได้อยู่ณที่นั้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.60.21 ศุกร์, 14/9/2550 เวลา : 00:52  IP : 125.24.60.21   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12635

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 4 จาก >>> 1  2  3  4  5  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพฤหัสบดี,21 พฤศจิกายน 2567 (Online 7606 คน)