WeekendHobby.com


@@นักเดินทางกับตะเกียงและแสงจันทน์@@
มดดำ
จาก มดดำ
ศุกร์ที่ , 18/5/2550
เวลา : 11:16

อ่าน = 416
58.136.52.203
       บทความที่น่าอ่านนำมาฝากครับ

ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิด
อาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วงบางขณะ
ที่พระจันท์ทอแสงนวลกระจ่าง
เธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้
หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน...






ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง...
ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันท์....
นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่า
ตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด
ตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้
เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการ
ในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกครา
การเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี
ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพ
แสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆ ทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่ เค้ามีอยู่







เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า
"จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม ในเมื่อแสงจากพระจันท์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้"

นักเดินทางผู้นั้นคิดได้จึง
ทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทาง
หลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไป








ค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน...
...ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทาง
ก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อย
กลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริง
กับแสงจากพระจันทร์
ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝัน
นักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆเพียงลำพัง
แค่สัมภาระ ไร้ ตะเกียงดวงเก่า!
เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงจันท์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหาย
ดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือ
เช้าวันใหม่ ..............
สายลมหนาว --ผ่านพัดมาเยือนอีกครา
----------ผ่านพัด---เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือก
ตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้ง
บัดนี้
นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตน
ตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้ง
มันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่างและ
ความอบอุ่นไปพร้อมๆกัน






เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้วลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้มเป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้
ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆ
ดวงจันท์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น!
ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทาง
คนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียง
เค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทางและเช่นกัน
เค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่น
นักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัว หลงทาง
เค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน






... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้น
จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้
บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้ว
เค้านึกเสียดายจับใจ
แม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืน
จึงทำได้แต่เพียงนอนหนาว
รอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันท์นั้นได้ผ่านเลยไป
เวลาได้ผ่าน........
เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้ว
แสงจันท์ได้กลับมาสดใสอีกครา
ทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้น
แต่ดวงจันท์ก้ออยู่ไกลเกินไป.......


เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


   
   

คำตอบที่ 1
       อีกบทความที่น่าอ่านเช่นกัน

อุปสรรคและปัญหาชีวิต


ในชีวิตของเราแต่ละคนนั้น ย่อมหนีอุปสรรคและปัญหาชีวิตต่างๆไปไม่พ้น อุปสรรคและปัญหาเหล่านี้มีอยู่มากมาย และเราจะต้องพบอยู่เกือบตลอดเวลา หากเราคิดว่าอุปสรรคเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องลำบาก ปัญหาต่างๆเป็นเรื่องยุ่งยากเกินกว่าจะแก้ไข เราจะเกิดความกลุ่มใจและมีแต่ความทุกข์

วิธีแก้ก็คือ เมื่อเราพบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม ให้คิดว่าเรากำลังมีโอกาสดีที่จะฝึกฝนตัวของเราให้ก้าวหน้า ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะอุปสรรคเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เราได้เรียนรู้ และเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น

ดังนั้นเราควรที่จะดีใจที่มีโอกาสพบอุปสรรคในชีวิตมากกว่าที่จะเสียใจหรือกลุ้มใจ


สมมติว่าเรากำลังเดินไปบนถนนสายหนึ่ง และพบกับกำแพงสูงขวางกั้นทางเดินของเราอยู่ข้างหน้า ถ้าเราเกิดความท้อถอย รู้สึกว่ากำแพงนั้นสูงเกินกว่าที่จะปีนได้และยอมแพ้ง่ายๆ ด้วยการเดินหันหลังกลับไปทางเดิม เราก็จะไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้


ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราพยายามหาทางข้ามกำแพงด้วยวิธีการต่างๆเช่นพยายามหาก้อนหิน กิ่งไม้ ฯลฯ เพื่อมาวางกองให้สูงขึ้นๆแล้วปีนข้ามไป ก็เท่ากับว่าเราได้หาทางฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิต ..และเมื่อทำสำเร็จ เราก็จะรู้สึกภาคภูมิใจที่เราสามารทำสิ่งที่ยากลำบากได้สำเร็จ จิตใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น มีกำลังกาย กำลังใจเพื่มมากขึ้น ทำให้เราสามารถเดินทางต่อไปได้อีกไกล และเมื่อเราพบกำแพงอื่นๆอีก


เราจะไม่รู้สึกกลัว เพราะเราสามารถผ่านอุปสรรคเช่นนั้นมาก่อนแล้ว ความท้อถอยหรือวิ่งหนีไปโดยไม่คิดแก้ไขไม่ได้ช่วยให้เราสบายใจขึ้น เพราะถึงอย่างไรเราก็หนีอุปสรรคในชีวิตไปไม่พ้น

ดังนั้นเมื่อเราพบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆขอให้เราคิดถึงมันในแง่ดี คิดว่ามันมีประโยชน์ต่อเรา ถ้าขาดอุปสรรคก็เท่ากับเราขาดประสบการณ์ ที่จะช่วยให้เรามีคามรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต ขาดความก้าวหน้าในชีวิต เพระฉะนั้น


จงอย่าวิ่งหนีปัญหาต่างๆ แต่ขอให้หันหน้าเข้าต่อสู้เผชิญหน้ากับมันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส และหาทางแก้ไขให้หลุดพ้นจากอุปสรรคเหล่านั้น ถ้าเราสามารถทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อๆไปเมื่อเราพบปัญหาหรืออุปสรรคเช่นนี้อีก


เราจะสามารถเข้าใจและแก้ไขได้ทันที เราจะมีจิตใจที่เข้มแข็งและมีความสามารถในการแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญ ..เราจะมีแต่ความสุขในชีวิต







มดดำ จาก มดดำ  58.8.37.153  ศุกร์, 18/5/2550 เวลา : 11:20   


คำตอบที่ 2
       บทความนี้ก็ดีครับ
เพราะถือจึงหนัก


นาวาเอกผู้หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากราหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า "เป็นไงมั่งพักนี้?"

"หนักครับ" เขาทูล "ช่วงนี้แย่มากเลยครับ"

"หนักอะไร" สมเด็จฯ ถาม


แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต เรื่องการงาน เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ ขอบารมีเป็นที่พึ่ง


สมเด็จฯ นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ พร้อมกับรับสั่งว่า "นั่งอยู่นี่แหล่ะ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว" แล้วจึงเสด็จเข้าไป


นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา เขาเริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก


ในที่สุด สมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก แล้วทรงถามว่า "เป็นไง?"


"หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"

"อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียละ?" สมเด็จฯ รับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"


กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ ชีวิตหรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง


แม้แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน เมื่อใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์ เช่นความทุกข์ ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ที่รู้ตัวว่ามาครองใจ หาไม่แล้วจะกลายเป็นของหนักจนเอาตัวไม่รอด





มดดำ จาก มดดำ  58.8.37.153  ศุกร์, 18/5/2550 เวลา : 11:32   


คำตอบที่ 3
       กินใจจัง ขอรับท่านมดดำ

แต่ถ้านั่งตากฝน 2 คืน 2 วัน กับเต้นท์ 3 เหลี่ยม น้ำท่วมเต้นท์ และอาหารใกล้หมด ไม่สามารถออกจากป่าได้เนี่ยจะทำอย่างไงดี ขอรับ



Rin จาก Rin  203.113.40.73  ศุกร์, 18/5/2550 เวลา : 17:35   


คำตอบที่ 4
       ก็นั่งอยู่ต่อครับท่านขุนริน



มดดำ จาก มดดำ  58.8.33.156  จันทร์, 21/5/2550 เวลา : 07:03   


คำตอบที่ 5
       แล้วเราจะเป็นอะไรดี
ระหว่าง
1. ชายคนที่ ทิ้งตะเกียง
2. ตะเกียง ที่ถูกทิ้ง
3. แสงจันทร์
4. ชายคนที่ เก็บตะเกียง

ทุกๆคน อาจจะเคยเป็นทุกอย่าง ในเวลาต่างกัน และอาจจะเป็นทุกอย่างในเวลาเดียวกันก็ได้



เจ้าหมีขาว 212 จาก เจ้าหมีขาว PCT_212  61.19.52.58  จันทร์, 21/5/2550 เวลา : 10:20   


      

Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วัน<%=WeekdayName(Weekday(Date))%>,<%=formatdatetime(date(),1)%> (Online <%=Application("OnlineUsers")%> คน)
                                       

เพื่อลดภาระของ ฐานข้อมูล ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เพราะเวบเปิดมากว่า 10 ปี
จึงทำให้เวบช้าลงมาก ทีมงานจึงขออนุญาต แปลงข้อมูลจาก ฐานข้อมูลหลักเป็น SHTML File
เพื่อลดภาระการทำงานของ ฐานข้อมูลหลักครับ การแปลงฐานข้อมูลนี้ จะทำให้กระทู้นี้
ไม่สามารถตอบคำถามได้อีกต่อไปครับ แต่จะสามารถค้นหาชื่อกระทู้ และ Link ตรงมาที่หน้านี้ได้เหมือนเดิมครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง ทีมงาน Weekendhobby.com


Convert on : 25/8/2554 21:44:20

Error processing SSI file