จาก teby
ศุกร์ที่ , 26/9/2551
เวลา : 18:05
อ่าน = 31682
125.25.99.130
|
ภาพ/ที่มา http://www.ecareasy.com/show_carnews.php?news_id=2642
กว่าค่ายมิตซูบิชิจะเผยโฉมปาเจโร่ สปอร์ตออกมาได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน แต่ก็คุ้มกับการรอคอย เพราะสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ที่ชื่นชอบรถเอสยูวีได้อย่างลงตัว โดยการออกแบบได้อาศัยแนวคิด The Stylish Riding-On-Demand SUV จึงทำให้รูปทรงออกมาโฉบเฉี่ยวโดนใจในสไตล์สปอร์ต พร้อมเติมเต็มภายในให้มีระดับกว้างขวางนั่งสบาย กับช่วงล่างที่ให้การทรงตัวได้อย่างมั่นใจ รวมไปถึงความคล่องตัวในทุกการเดินทาง
และหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปไม่นาน ทางค่ายมิตซูบิชิก็ได้ถือโอกาสเชิญชวนบรรดาสื่อมวลชนสายยานยนต์ให้ไปร่วมทดสอบมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นการลองขับในแบบช่วงสั้น ๆ ที่มีการกำหนดเส้นทางไว้ โดยทางออนโรดเป็นทางตรงไป-กลับประมาณ 18 กม. และทางออฟโรดที่ให้ขับประมาณ 1 กม.กว่า พร้อมกันนั้นยังให้ขับบนเส้นทางโค้งอีกประมาณ 5 กม. รวมกันแล้วก็สามารถรับรู้ถึงความเป็นปาเจโร่ สปอร์ต ได้พอสมควร
โฉมสไตล์สปอร์ตปราดเปรียว
ในส่วนของภายนอกนั้นได้รับการออกแบบใหม่ให้มีรูปทรงที่ปราดเปรียว ขนาดพอเหมาะ พร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่โดนใจ โดยเฉพาะไฟหน้าดีไซน์สไตล์โรบ๊อกซ์ที่เป็นแบบโปรเจคเตอร์ฝังไฟกลมไว้สองดวงกับไฟเลี้ยวในโคมเดียวกัน จึงส่องสว่างได้เต็มที่ในยามค่ำคืน และสอดรับกับกระจังหน้าใหม่แบบ Double Fin สไตล์แนวเฉียง แบ่งเป็นสองช่องมีสัญลักษณ์ทรีไดมอนด์ตรงกลาง ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวดุดัน
ส่วนกันชนหน้าก็ท้าทายด้วยช่องดักลมในแบบรังผึ้ง ที่รองรับด้วยแผ่นกันกระแทกได้อย่างกลมกลืน พร้อมกับเพิ่มไฟตัดหมอกมาเสริมทัพได้อย่างลงตัว ขณะที่ด้านข้างเสริมโป่งข้างล้อให้รู้สึกบึกบึน คู่กับล้ออัลลอยลายใหม่แบบ 6 ก้าน ขนาด 16 นิ้ว และดูดีด้วยกระจกมองข้างกับที่เปิดประตูด้านนอกแบบโครเมียม สะดวกสบายในการขึ้น-ลงด้วยบันไดข้าง และด้านท้ายที่น่ามองด้วยไฟท้ายดีไซน์พิเศษดูสะดุดตา เสริมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนกันชนหลังมีแผ่นกันกระแทกในตัวสุดท้ายเพิ่มประโยชน์ใช้สอยด้วยราวหลังคาและสปอยเลอร์ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
ภายในนั่งสบาย ตกแต่งหรูพอตัว
พอเข้ามาภายในห้องโดยสารจะเห็นถึงการตกแต่งด้วยโทนสีเงิน โครเมียม เริ่มจากแผงหน้าปัดที่ว่าออกแบบใหม่ในสไตล์หรูแต่ดูแล้วไม่ต่างจากมาตรวัดของรถกระบะไทรทันเท่าไหร่
ส่วนพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน จับกระชับมือใช้ได้ เครื่องเสียงคุณภาพดีจาก ALPINE
ทำงานร่วมกับจอภาพแบบ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบ IMT เด่นด้วยคอนโซลหน้ากลางที่ดีไซน์สวยให้สีเงินได้อารมณ์ ที่สำคัญระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่มีแผงควบคุมด้านหลังแบบแยกอิสระและช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
มาที่เบาะนั่งเป็นแบบ 3 แถว รองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ถึง 5 รูปแบบ โดยเบาะคนขับปรับตำแหน่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง ขณะที่เบาะนั่งแถวสองสามารถปรับเลื่อนหน้า-ถอยหลัง และพนักพิงยังแยกพับแบบ 60:40 เช่นเดียวกับเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถแยกพับแบบ 50:50 รวมไปถึงช่องสัมภาระที่พื้นห้องโดยสารพร้อมฝาปิดหลังเบาะนั่งแถวที่ 3
ขุมพลังมีทั้ง 2.5 L กับ 3.2 L
สำหรับเครื่องยนต์เป็นแบบคอมมอนเรล ไดเรกต์อินเจคชั่น ดีเซล โดยมีให้เลือก 2 ขนาด เครื่องยนต์ 2.5 DI-D Hyper Common Rail DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้กำลังสูงสุดที่ 140 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดที่ 321 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที และเครื่องยนต์ 3.2 DI-D Hyper Common Rail DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้กำลังสูงสุดที่ 165 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดที่ 351 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ INVECS-II ที่มี Sportronic มาให้ด้วย
ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นแบบ SUPER SELECT 4WD (SS4) ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ เอสยูวี ระดับหรู โดยสามารถถ่ายทอดพลังขับเคลื่อนสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการขับขี่บนทุกสภาพพื้นผิวถนน โดยมีรูปแบบให้เลือกถึง 4 โหมด คือ 2 H ขับล้อหลังแบบปรกติ ส่วน 4 H เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ถ้าเป็น 4 HLC จะให้กำลังขับเคลื่อนสูงที่มีระบบเซ็นเตอร์ ดิฟต์ล็อก และ 4 LLC จะเหมาะกับสภาพทางที่ต้องการกำลังขับเคลื่อนสูงที่ไม่สามารถใช้ความเร็วได้
ทดสอบออนโรดกับออฟโรด
ในการทดสอบครั้งนี้ ส่วนตัวผมแล้วไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับการกำหนดเส้นทางแบบนี้ที่ให้ระยะทางในการขับน้อยเกินไป ซึ่งทำให้บางส่วนไม่สามารถที่จะจับฟิลลิ่งมาถ่ายทอดได้อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ไม่เป็นไรได้แค่ไหนก็ต้องสาธยายไปตามนั้น ก่อนอื่นมาว่ากันถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ผมเองถูกใจในการดีไซน์ตั้งแต่แรกเห็นในงานเปิดตัวและมาเห็นเต็มตัวอีกทีก็ครั้งนี้ ที่ดูแล้วน่าจะเหนือกว่าคู่แข่งและคิดว่าจะเป็นตัวตัดสินใจในการเลือกซื้อมากทีเดียว
และเมื่อเข้าไปสัมผัสภายในห้องโดยสารก็พอใจกับเบาะคนขับนั่งที่นุ่มสบายและปรับระดับด้วยไฟฟ้าได้ตามที่ต้องการ ที่สำคัญมีเนื้อที่ช่วงขามากพอ ทั้งที่เบาะหน้า เบาะแถวสองไปจนถึงเบาะแถวสาม ซึ่งขนาดผมเองสูงระดับ 180 ซม. เมื่อลองไปนั่งก็สบายพอตัว จะมีเพียงเฮดรูมสูงเหนือศีรษะเพียงคืบ จึงไม่โปร่งแต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด แต่อย่างไรแล้วเบาะแถวสามน่าเหมาะกับเด็กเล็กมากกว่า หรือจะลองพับเก็บก็เรียบเป็นแนวเดียวกับพื้น จึงเพิ่มเนื้อที่ในการวางของสัมภาระได้มากขึ้น
เมื่อถึงเวลาผมได้เริ่มขับในรูปแบบออฟโรดก่อน ซึ่งแน่นอนต้องใช้ปาเจโร่ สปอร์ต 3.2 ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อสัมผัสกับเส้นทางรอบเขาประมาณ 1 กม.กว่า ที่สภาพถนนเป็นดินแดงขรุขระพอสมควร และในบางช่วงจะมีการทำให้เส้นทางลำบากขึ้น แต่จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกสัญญาณธงให้ทราบว่าจะต้องชะลอความเร็วลง เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย และจะมีป้ายบอกให้ใช้ระบบขับเคลื่อนในโหมดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 4 H และ 4 HLC หรือ 4 LLC
ช่วงแรกจะเจอกับเส้นทางขรุขระแต่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับปาเจโร่ สปอร์ตเลย เพราะพอเริ่มออกตัวไปได้สักพักก็รับรู้ได้ทันทีถึงการทำงานของระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบน พร้อมคอยล์สปริงกับด้านหลังแบบทรีลิงค์ ทอล์คอาร์มพร้อมคอยล์สปริงนั้นทำหน้าที่ในการรองรับและสามารถซับแรงสะเทือนได้อย่างดีเพราะเมื่อตอบสนองมายังเบาะนั่งก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มพอตัวที่มีมากกว่ารถคู่แข่ง ยอมรับว่านั่งสบายกว่าที่คิดไว้ และควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ
ต่อมาก็ถึงทางลงเนินขึ้นเนิน มีสัญญาณธงแดงบอกให้เบรกก่อนและค่อยไต่ลง สามารถผ่านไปได้อย่างง่าย ๆ แต่เมื่อมาถึงสภาพทางที่เป็นโคลนหรือผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าผ่านไปได้ผมจึงเปลี่ยนมาที่โหมด 4 HLc ที่มีกำลังขับเคลื่อนสูงและมีระบบเซ็นเตอร์ดิฟต์ล็อกมาช่วยควบคุมแรงบิดของล้อหน้าและหลังให้เหมาะสม ซึ่งกดคันเร่งไม่ต้องมากก็ตะลุยผ่านไปได้ไม่ยากนัก และด่านสุดท้ายเป็นทางขึ้นเนินสูงกับทางลงเนินที่ค่อนข้างหวาดเสียว จึงต้องใช้โหมด 4 LLc ที่สามารถให้แรงบิดมาตั้งแต่รอบต่ำทำให้สามารถปีนป่ายขึ้นไปได้สบาย
สำหรับการลองขับในแบบออนโรดนั้นได้กำหนดเป็นเส้นทางตรงไป-กลับประมาณ 18 กิโลเมตร จึงเป็นระยะทางที่สั้นมากเท่าที่เคยขับมา กับปาเจโร่ สปอร์ต รุ่น 3.2 L ที่ได้ขับนั้นเป็นเครื่องตัวเดียวกับที่อยู่ในไทรทัน แต่ในรุ่นนี้มีน้ำหนักตัวที่มากกว่าประมาณ 2,100 กก. ทำให้ต้องแบกรับในส่วนนี้ไปด้วย และแน่นอนถึงจะมีแรงบิดที่ให้มา 315 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำ 2,000 รอบแต่ก็ไม่สามารถจะกระชากตัวรถให้พุ่งออกไปได้อย่างปรู๊ดปร๊าดตามอารมณ์ที่ต้องการเท่าไหร่ จะออกแนวค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีพฤติกรรมการขับแบบใจร้อน เพราะถึงแม้ว่ารอบเครื่องค่อนข้างจะลื่นไหล สามารถลากรอบได้ แต่การตอบสนองกลับไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าต่อให้กระทืบคันเร่งเต็มที่ก็ดูจะไม่ช่วยให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการที่ลองวัดความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใช้เวลาไปประมาณ 17 วินาที แต่ถ้ามาขับแบบค่อย ๆ เปิดคันเร่งก็จะรู้ได้ถึงเกียร์ INVEST-II ที่เปลี่ยนจังหวะได้อย่างนุ่มนวล
และพอความเร็วขึ้นมาอยู่ที่ 100 กม./ชม. สังเกตรอบเครื่องจะหมุนอยู่ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งจัดว่ากำลังดี แต่ในบางช่วงลองเช็กอัตราเร่งแซงจาก 80 -120 กม./ชม. ก็ทำได้น่าพอใจ ใช้เวลาราว 8 วินาที ทำให้มั่นใจได้กับการแซงว่าสามารถผ่านไปได้อย่างสบาย และเมื่อต้องชะลอความเร็วก็กดเบรกได้นุ่มเท้า หรือจะเบรกให้หยุดสนิทก็สั่งได้เลย สำหรับความเร็วที่ 120 กม./ชม. ที่ 2,500 รอบนั้น ยังคงขับสบายเพราะภายในห้องโดยสารไม่มีเสียงเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินเท่าไหร่
แต่ถึงระยะทางจะมีจำกัดอย่างที่กล่าวมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะหาความเร็วสูงสุดมาให้รับรู้กัน
และเมื่อลองเร่งความเร็วขึ้นไปตามสเตป ในช่วงรอบกลางสามารถตอบสนองได้ดี โดยความเร็วที่ 140 กม./ชม. รอบจะอยู่ที่ 2,800 รอบ และใช้เวลาไม่มากก็สามารถเร่งขึ้นไปที่ 3,200 รอบได้ที่ความเร็ว 160 กม./ชม. จนกดคันเร่งมิดแล้วก็มาตื้ออยู่ที่ 170 กม./ชม. จึงทำให้ต้องผ่อนคันเร่งเล็กน้อยแล้วเค้นอัตราเร่งอีกทีก็สามารถขยับขึ้นไปได้ 180 กม./ชม. ที่ 3,600 รอบ แต่ก็ยังทรงตัวได้ดีทีเดียว
ต่อมาถึงได้มาลองขับบนเส้นทางโค้ง ซึ่งเป็นการทดสอบให้ทราบถึงประสิทธิภาพของช่วงล่างว่าจะแน่สักแค่ไหน และเมื่อผ่านไปตามโค้งต่าง ๆ ที่มีทั้งโค้งกว้างและโค้งตัวเอส โดยใช้ความเร็วในระดับ 80-100 กม./ชม. ก็เผยให้เห็นถึงการทรงตัวที่ไว้ใจได้ไม่ออกอาการโยนในโค้ง หรือแม้ท้ายปัดก็ไม่มีให้เห็น ที่สำคัญสามารถควบคุมพวงมาลัยไปได้ตามที่ทิศทางที่ต้องการได้ แม่นยำ และเมื่อมาจุดปลายทางได้ให้ลองขับเพื่อดูรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 5.6 เมตร ซึ่งก็สามารถเลี้ยวกลับรถได้แบบม้วนเดียวจบ
หากจะให้สรุปโดยรวม ปาเจโร่ สปอร์ต สอบผ่าน โดยเฉพาะรูปลักษณ์ ส่วนสมรรถนะนั้นก็ตอบสนองได้พอตัว พร้อมช่วงล่างที่ให้ทั้งความนุ่มกับการทรงตัวที่มั่นคงและการเกาะถนนที่ดี สำหรับสนนราคาค่าตัวนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ 950,000-1,240,000 บาท สนใจอย่างไรก็ไปลองขับกันได้
|