คำตอบที่ 271
       เขยิบขึ้นที่ด้านบนอีกหน่อย ก็จะเป็นตำแหน่งของจานจ่าย ซึ่งก็จะต้องถูกถอดรื้อออกมาอีกเหมือนกันเพื่อทำการตรวจเช็คทั้งหมด

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 272
       โอริงจานจ่ายไม่ต้องพูดถึงครับ แบนติดร่องแข็งไม่กระดิกเลย ใช้ไขควงงัดออกนี่แตกเป็นชิ้นออกมาเลยครับ นั่นเป็นที่มาของการรั่วซึมบริเวณใต้จานจ่าย ซึ่งตรงจุดนี้ต้องเปลี่ยนอะไหล่ใหม่(แท้)ในลำดับต่อไป

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 273
       จากนั้นก็ย้ายกลับมาที่ด้านหน้าเครื่องอีกครั้ง พร้อมกับถอดรื้อฝาครอบหน้าเครื่องออกมา เพื่อทำการตรวจเช็คเกี่ยวกับสายพานไทม์มิ่งและลูกรอกสายพาน

ในส่วนของสายพานไทม์มิ่งนั้นจริงๆแล้วคงดูตามสภาพไม่ได้ เพราะยากที่จะเห็นถึงสภาพสายพานที่แท้จริง คือ เราไม่รู้ว่าสายพานเส้นนั้นยังคงอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้อีกนานหรือไม่ ดูจากรอยจางของตัวหนังสือ ดูจากรอยแตกลายงาของตัวท้องสายพาน หรืออะไรก็แล้วแต่จะค่อนข้างยากทีเดียว ดังนั้น การเปลี่ยนตามระยะกม.ที่เหมาะสม ซึ่งน่าจะอยู่ในเกณฑ์ 80,000-100,000 กม.น่าจะดูเหมาะสมกับระยะเวลามากที่สุด แต่ข้อดีอีกอย่างของเครื่องจำพวก G16A นี้ ก็คือ การขาดของสายพานไทม์มิ่งนั้นไม่มีผลเสียที่ร้ายแรงต่อเครื่องยนต์เหมือนกับพวกเครื่องดีเซลทั้งหลายเพราะการออกแบบของตัวฝาสูบนั้นมีลักษณะเป็นวาล์วหลบ ทำให้เมื่อสายพานไทม์มิ่งขาดจะทำให้การทำงานที่ผิดจังหวะของระบบเครื่องด้านล่างไม่กระทบถึงตัววาล์วด้านบน

และในส่วนของสายพานไทม์มิ่งที่เป็นของที่ขายๆกันมันจะมีทั้งของแท้และของเทียม ในส่วนของของเทียมนี้เราไม่ต้องพูดถึง แต่ไอ้ส่วนของแท้ที่เป็นลักษณะแบบเกือบจะเหมือนแท้นี่สิต้องระวังครับ กล่าวคือ มันจะมีกล่องตีตราว่า ซูซูกิเลยแต่มันจะเป็นลายโลโก้กล่องแบบเรียบๆไม่ได้เป็นตัวนูน และด้านในก็จะบรรจุสายพานเส้นโดดๆเปล่าๆไม่มีพลาสติกห่อให้อีกที และก็ไม่มีสติ๊กเกอร์ที่เอาไว้ให้เขียนระบุหลักกิโลอีกด้วย ถ้าเป็นสายพานพวกนี้ทางร้านอะไหล่ทั่วไปมันก็จะเรียกว่า "แท้" แล้ว แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะว่า บางเส้น(ผมบอกว่า"บางเส้น"นะครับ) มันจะขาดอยู่ที่หลักกิโลที่ประมาณ 40,000 กม. (คือจะไม่ถึง 80,000-100,000 กม.) เพราะจริงๆแล้วระยะกิโลที่เราควรเปลี่ยนถึงแม้ว่าจะอยู่ในไม่ควรเกิน 100,000 กิโลแต่บางทีเราแอบใช้ได้ถึง 120,000-150,000 กม.มันก็ยังคงใช้ได้อยู่ ดังนั้น เท่าที่สังเกตุดูในการวางเครื่องยนต์ G16A นี้ในจำนวน 10 คันมันจะมีอยู่ประมาณ 2 คันที่จะขาดอยู่ในระยะทางที่ไม่เกิน 40,000 กม. (เรียกได้ว่า 20% ทีเดียว) นอกนั้นก็น่าจะยังใช้ได้อยู่ปกติ แต่เมื่อเจอเคสแบบนี้เข้าก็ลองเปลี่ยนเป็นแบบซื้อศูนย์แท้เลย(แพงกว่ากันนิดหน่อย) ผ่านมาเป็นหลายสิบคันแล้วไม่เคยเจอขาดก่อนกำหนดอีกเลยครับ

ข้อแตกต่างของสายพานไทม์มิ่งแท้ศูนย์ ก็คือ
1. ตัวกล่องจะปั๊มตัวหนังสือเป็นตัวนูน
2. ตัวสายพานจะถูกห่อด้วยพลาสติกใสอีกชั้นนึง
3. ในห่อพลาสติกจะให้ตัวสติ๊กเกอร์ไว้ให้เขียนหลักกิโล เอาไว้แปะที่หน้าเครื่องยนต์เพื่อให้ทราบถึงระยะที่ควรเปลี่ยนในครั้งต่อไป

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 274
       รื้อสายพานไทม์มิ่งและลูกรอกออก เราก็สามารถรื้อปั๊มน้ำออกมาได้แล้ว พร้อมทำการตรวจเช็คสภาพภายในของเสื้อสูบไปด้วยเลย

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 275
       สภาพปั๊มน้ำที่ถอดออกมานี้ เท่าที่ดูก็คาดว่า ตั้งแต่ที่เป็นเครื่องยนต์มาจากโรงงานคงจะไม่เคยเปลี่ยนเลย เพราะสภาพทรุดโทรมอย่างมาก ใบพัดเป็นสนิมหมดแล้ว ตัวเสื้อมิเนียมด้านในก็เริ่มๆผุกร่อนบ้างแล้ว คือ อาจจะเคยถอดออกมาดู แต่ก็เพียงแค่ดูแล้วก็ใส่ ทากาวแดงกลับเข้าไปใหม่เพื่อป้องกันการรั่วเท่านั้น แต่ก็ยังคงโชคดีที่ตัวปั๊มน้ำนั้นยังคงไม่รั่ว

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 276
       หลังจากที่ถอดปั๊มน้ำออกมาแล้วก็จะเห็นดั่งรูป นั่นก็คือ ร่องรอยการผุกร่อนบริเวณปั๊มน้ำที่มีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากบริเวณช่วงใบพัดไปจนถึงแนวท่อน้ำข้างเครื่อง (จริงๆแล้วก็ยังงงอยู่ในตอนแรกที่ว่า บริเวณด้านนอกของท่อน้ำข้างเครื่องได้มีการอุดกาวสีขาวไว้บริเวณโดยรอบ ก็ยังงงงงว่าทำไมถึงต้องอุดพอกอะไรมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่มันก็มีโอริงกันน้ำรั่วอยู่แล้ว ทำไมยังจะต้องไปพอกกันรั่วมากมายด้วย แต่พอ.........

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 277
       แต่พอ.....แต่พอ......ถอดท่อน้ำออกไปก็ถึงบางอ้อ.....
นั่นก็คือ บริเวณที่ท่อน้ำยัดเข้ามามันไม่เหลือมิเนียมอยู่เลย แล้วไอ้โอริงที่กันบริเวณปากท่อมันจะไปเหลืออะไร โอริงอยู่ลอยๆเฉยๆไม่ได้แนบสนิท ยังไงๆน้ำก็ต้องรั่วแน่นอน เค้าถึงพอกมันที่ด้านนอกเยอะแยะมากมาย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะกาวพวกนี้จะดีแค่ไหนก็ตามยังไงก็ทนแรงดันของน้ำไม่ไหว น้ำร้อนๆมีแรงดัน แถมนานๆไปกาวก็ต้องเสื่อมสภาพไป อนาคตก็ต้องมีโอกาสน้ำรั่วแล้วเครื่องก็ต้องพังอยู่แล้วถ้าไม่ทำให้ดี

ในส่วนของเนื้อมิเนียมที่ผุกร่อนบริเวณช่วงหลังใบพัดปั๊มน้ำจนมาถึงแนวท่อน้ำนี้มีผลเกี่ยวกับประสิทธิภาพค่อนข้างมากนะครับ เพราะตัวใบพัดจะทำการหมุนดูดน้ำหรือดันน้ำในลักษณะเป็นลำก็จะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สมบูรณ์แบบ แต่พอเสื้อผุกร่อนแบบนี้ก็จะทำให้ระบบน้ำนั้นกระจัดกระจายไม่ค่อยมีทิศทาง ก็จะทำให้ปั๊มน้ำด้อยประสิทธิภาพลงไป แล้วยิ่งใบพัดปั๊มน้ำเป็นสนิมกร่อนแบบนั้นด้วยยิ่งแล้วไปใหญ่

ตรงจุดนี้เรียกได้ว่า "เป็นงาน" เลยล่ะครับ "เป็นเรื่องด้วย" เพราะว่าเราจะทำอย่างไรให้เนื้อมิเนียมเนี่ยมันกลับมาเหมือนอย่างเดิม เราจะต้องเอาไปเชื่อมหรือเปล่า? ถ้าไปเชื่อมแล้วมันร้อนดึงเสื้อสูบบริเวณนี้เบี้ยวคดล่ะจะทำอย่างไร? แล้วท่อน้ำจะใส่เข้ามาได้ไหมหลังเชื่อม? แล้วถ้ามันคดเสียก็ต้องทิ้งเสื้อสูบนี้ไปทั้งตัวเลยหรือเปล่า?
(เดี๋ยวตรงจุดนี้จะเอ่ยอีกที ตอนหลังนะครับ)

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 278
       ได้ความรู้มากเลยครับ

ขอบคุณครับ จาก : สอ(sorapol) 26/3/2556 21:30:08 [125.24.39.168]   แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 279
       (ขออนุญาตต่อเลยนะครับ)
จากนั้นก็เริ่มถอดฝาครอบวาล์วออก เพื่อดูสภาพภายในเครื่องยนต์บริเวณวาล์วและสปริงวาล์ว แล้วก็ถอดน็อตยึดฝาสูบออก
สภาพโดยรวมของฝาสูบด้านบนก็ค่อนข้างโอเคอยู่ แต่ก็ดูเหมือนๆกับว่า มันสะอาดยังไงๆพิกล ขี้เขม่าแทบไม่มีเลย สวนทางกับสภาพเครื่องภายนอก(หรือว่าคิดไปเอง) หรือไม่ก็เคยเปิดซ่อมไปก่อนแล้วไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 280
       ยกฝาสูบออกไป เหลือแต่เสื้อสูบ หรือที่นิยมเรียกกันว่า "ท่อนล่าง"

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 281
       แล้วก็มาดูในส่วนของกระบอกสูบก่อนเลยครับ เพื่อที่จะทำการดูตรวจสอบว่า สภาพการใช้งานเป็นอย่างไร เพราะว่ากระบอกสูบนี้เราจะนำมาใช้เป็นหัวใจหลักในการพิจารณาว่า "งานนี้เราจะโอเวอร์ฮอล์เครื่องแบบชุดเล็กหรือว่าชุดใหญ่" ซึ่งถ้าหากว่า กระบอกสูบเป็นรอยมาก มีการสึกหรอจากการใช้งานมาก ลำพังแค่เปลี่ยนแหวนลูกสูบใหม่ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะสร้างกำลังอัดของกระบอกสูบให้กลับมาดีดังเดิม เพราะเสื้อกระบอกสูบด้านในมีการสึกหรอเยอะอาจจะไม่แนบสนิทเท่าที่ควรกำลังอัดก็จะยังไม่ดีไม่ได้มาตรฐาน สร้างแรงม้าแรงบิดออกมาได้ไม่เหมาะสม ซึ่งก็จะต้องทำการคว้านเสื้อสูบใหม่แล้วก็เปลี่ยนลูกสูบใหม่เป็นแบบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย(หรือที่เรียกว่า โอเวอล์ไซส์ ซึ่งก็ต้องใช้แหวนแบบโอเวอร์ไซส์ไปด้วย) หรือไม่ก็ตีปลอกสูบใหม่แล้วก็สามารถใช้ชุดเดิมมาตรฐานสแตนดาร์ดได้

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 282
       ในการตรวจสอบเบื้องต้นว่ากระบอกสูบนั้นมีการสึกหรอมากแค่ไหนนั้น เราสามารถตรวจเช็คได้จากภาพรวมของกระบอกสูบโดยทั่วไปและการใช้นิ้วลูบบริเวณด้านบนของกระบอกสูบ ซึ่งเป็นจุดที่มีการอัดระเบิดหรือที่เรียกว่า "Top dead center" ซึ่งถ้าหากว่า ร่องรอยมีลักษณะสดุดหรือลูบแล้วเป็นขั้นๆ นั่นก็หมายความว่า การเปลี่ยนแค่แหวนลูกสูบนั้นอาจจะไม่เพียงพอกับการโอเวอร์ฮอล์เครื่องยนต์ตัวนี้ เพราะจะมีการสึกหรอที่ตัวเสื้อด้วย(ไม่ใช่แค่ชุดแหวนอย่างเดียว) ดังนั้นก็อาจจะต้องทำการตีปลอกใหม่หรือขยายโอเวอร์ไซส์เป็นแนวทางต่อไป

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 283
       ซึ่งในส่วนของเครื่องยนต์ตัวนี้จะเห็นว่า หลังจากนำกระดาษทรายเบอร์ละเอียดมาลองลูบๆขัดๆตรวจเช็คดูเพื่อความแน่ใจก็พบว่า สภาพของกระบอกสูบโดยรวมแล้วยังค่อนข้างดีอยู่ การสึกหรอที่เกิดขึ้นมีน้อยมาก ดังนั้น การโอเวอร์ฮอล์เครื่องยนต์ตัวนี้จึงเป็นเพียงแค่งานโอเวอร์ฮอล์ชุดเล็กหรือที่เรียกว่า "เปลี่ยนแหวน บดวาล์ว" เพื่อฟื้นฟูสภาพเครื่องยนต์ให้กลับมามีประสิทธิภาพดังเดิม

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 284
       จากนั้นจึงทำการถ่ายน้ำมันเครื่องออก ซึ่งก็จะโล่งใจไปอีกระดับหนึ่งว่า อืม....น้ำมันเครื่องที่ถ่ายออกมานี้ไม่มีน้ำปนเลยแม้แต่น้อย

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 285
       เปิดอ่างแคร้งรื้อทุกอย่างออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
- ชุดลูกสูบ 4 ลูก เพื่อเปลี่ยนแหวนลูกสูบชุดใหม่ แท้โรงงานลงไป
- อ่างและฝักบัว เพื่อตรวจเช็คและล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่างๆ เศษเหล็กต่างๆที่เกิดจากการสึกหรอ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 286
       ถอดน็อตยึดก้านสูบ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 287
       ในการรื้อถอดนี้ ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เจ้าเครื่องตัวนี้มันจะมีเหล็ก(ตามรูป) เป็นเหล็กงอๆ ยึดอยู่ตามฝาครอบข้อเหวี่ยง ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยเคยเห็นซักเท่าไหร่ ก็น่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า เสื้อสูบที่สร้างขึ้นมาจากอลูมิเนียมอาจจะมีความนิ่มกว่าพวกเสื้อสูบที่สร้างมาจากเหล็ก ดังนั้นการบิดตัวต่างๆจากความร้อนจากการทำงานและอะไรๆหลายๆอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ จึงสร้างเหล็กตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการดามเสริมความแข็งแรงอีกชั้นนึง

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 288
       ไม่นานนักก็สามารถถอดชุดลูกสูบและก้านออกมาทั้งหมด

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 289
       ล้างทำความสะอาดเสื้อสูบ พร้อมตรวจเช็คอย่างละเอียดอีกครั้ง

สงกรานต์นี้ไปเที่ยวไหนครับช่างสอ จาก : nikomw(nikomw) 31/3/2556 14:26:30 [171.4.72.7] คงจะไม่ได้ไปไหนครับ เพราะจะต้องทำรถอยู่ที่บ้านเพื่อให้เสร็จๆออกไป จะได้เอาไปใช้ท่องเที่ยวกัน จาก : สอ(sorapol) 1/4/2556 23:09:33 [125.24.64.95] แล้วพี่ไม่ไปเที่ยวไหนเหรอครับ ออฟโรด หรือปั่นจักรยาน?? จาก : สอ(sorapol) 1/4/2556 23:10:36 [125.24.64.95] คงไม่ได้ไปไหนครับเข้ากะดึกยาวสามคืนฉลองสงกรานต์เลยครับตอนนี้ร้องเพลงรออยู่ครับ จาก : nikomw(nikomw) 3/4/2556 1:57:21 [110.170.119.32]   แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 290
       หลังจากล้างทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เราก็มานั่งพิจารณาตรวจเช็คอย่างละเอียดเกี่ยวกับเสื้อสูบตัวนี้อีกที

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 291
       ลองดูเปรียบเทียบกันครับ อันนี้จะเป็นภาพก่อนทำความสะอาด ซึ่งยังมีคราบปะเก็นจากการรื้อถอดอยู่ รวมทั้งชุดลูกสูบและคราบเขม่าที่ยังไม่ได้ทำการขูดทำความสะอาด

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 292
       ซึ่งก็จะแตกต่างกันกับตอนหลังที่ได้ทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว เพราะการทำความสะอาดต่างๆนี้จะทำให้ได้เห็นถึงจุดที่มีปัญหาในเบื้องต้นก่อน ก่อนที่จะนำไปตรวจเช็คขึ้นแท่นที่โรงกลึงจริงๆอีกทีหนึ่ง

ซึ่งสำหรับเสื้อสูบตัวนี้ ความผิดปกติที่สังเกตเห็นได้คือ ขอบกระบอกสูบด้านบนจะมีลักษณะที่ต่ำกว่าขอบของเสื้อสูบอยู่เล็กน้อย (ถ้าดูจากรูปจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน) ซึ่งโดยปกติแล้วขอบของกระบอกสูบจะต้องเสมอหรือแนบสนิทพอดีกับเสื้อมิเนียมด้านนอก การตรวจเช็คในจุดนี้จริงๆแล้วเราสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
1. การมองด้วยตาเปล่า แต่ตาต้องดีๆหน่อยนะครับ ในข้อนี้จะเป็นกรณีที่เป็นค่อนข้างมากถึงจะมองด้วยตาเปล่ารู้
2. การใช้แสง ซึ่งเป็นนำเอาฟุตเหล็กมาวางทาบตามแนวขวางแล้วใช้ไฟฉายส่องผ่านเพื่อให้แสงรอด ซึ่งถ้าหากว่า แสงไม่สามารถรอดผ่านได้ก็แสดงว่า เสื้อสูบกับกระบอกสูบนี้ยังคงแนบสนิทดีอยู่ 80% (ซึ่งก็จะต้องขึ้นแท่นเช็คดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ) แต่ถ้าแสงสามารถรอดผ่านใต้ฟุตเหล็กได้ก็แสดงว่า เสื้อสูบกับกระบอกสูบนี้มีความสูงต่ำที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าแสงรอดได้มากก็สูงต่ำแตกต่างกันมาก แต่ถ้าแสงรอดได้น้อยก็สูงต่ำแตกต่างกันน้อย(ซึ่งไม่ว่าแสงจะผ่านมากหรือน้อยก็จะต้องขึ้นแท่นไสหน้าใหม่สถานเดียว) วิธีนี้เราสามารถใช้กระดาษแทนแสงไฟฉายได้อีกเหมือนกัน โดยเอากระดาษบางๆสอดรอดใต้ฟุตเหล็กแบบเดียวกันครับ ซึ่งถ้ากระดาษรอดได้ก็แสดงว่าเสื้อสูบกับกระบอกสูบไม่แนบสนิท แต่ถ้ากระดาษรอดไม่ได้ก็แสดงว่าเสื้อสูบกับกระบอกสูบแนบสนิท
3. การขึ้นแท่นกลึง วิธีนี้จะสามารถเช็คได้ 100% ว่า เสื้อสูบกับกระบอกสูบแนบสนิทหรือไม่แนบสนิท (ส่วนใหญ่วิธีนี้ก็มักจะเป็นการนำเอาเสื้อมาขึ้นแท่นไสไปเลยทีเดียวครับ ไม่ค่อยมีใครเอามาเช็คเฉยๆหรอกครับ)

แน่นอนครับ.......สิ่งที่บอกไปนี้มันก็คือ การตรวจเช็คว่า "เจ้าเสื้อสูบตัวนี้มันโก่งหรือไม่โก่งครับ" ซึ่งสำหรับเสื้อสูบตัวนี้ ทั้งการมองด้วยตาเปล่า ทั้งแสงทั้งกระดาษหนังสือพิมพ์สามารถรอดผ่านได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น การสรุปเบื้องต้นของการตรวจเช็คด้วยตัวเอง นั่นก็คือ เสื้อสูบโก่งครับ ซึ่งมันก็คือ ปัญหาที่ได้เกิดขึ้นที่แท้จริงของเจ้าเครื่องยนต์ตัวนี้

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 293
       อย่างไรก็ตาม การสรุปเกี่ยวกับเสื้อสูบโก่งนี้เป็นเพียงแค่สมมติฐานที่ได้ตั้งขึ้นไว้ในเบื้องต้นก่อนแล้วกัน เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เสื้อสูบมันตั้งหนามันจะโก่งไปได้อย่างไร แต่โอเคหละยังไงๆก็จะต้องไปขึ้นแท่นตรวจเช็คอีกทีอยู่แล้วพร้อมกับการแก้ไขเกี่ยวกับบริเวณด้านหลังปั๊มน้ำที่จะต้องแก้อีกเช่นกัน ดังนั้นเราจึงพักเรื่องเสื้อสูบไว้ก่อน

ทีนี้เราย้ายมาดูในส่วนของฝาสูบกันบ้าง ในรูปจะเป็นฝาสูบโดยภาพรวม ซึ่งได้มีการขูดคราบเศษปะเก็นฝาสูบเดิมที่ติดอยู่ออกไปบ้างแล้ว

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 294
       ปัญหาต่อมาที่ได้พบต่อเลย นั่นก็คือ ร่องรอยการกัดกร่อนของน้ำที่หล่อเย็นบริเวณรอบๆฝาสูบ ซึ่งก็ได้มีการผุจนจะทะลุไปหาห้องจุดระเบิดของชุดวาล์วอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้มีอยู่หลายจุดทีเดียวที่กร่อนไป ปัญหาตรงจุดนี้ต้องทำการแก้ไข ซึ่งการแก้ไขโดยทั่วไปก็คือ นำฝาสูบนี้ไปเชื่อมอลูมิเนียมเติมเนื้อพอกให้มันกลับมาดังเดิมแล้วทำการไสหน้าใหม่ทั้งหมดให้เรียบ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 295
       จากนั้นก็เริ่มถอดชุดวาล์วทั้งหมดออกโดยใช้ C clamp ถอดชุดวาล์วแต่ละชุด ซึ่งก็จะต้องทำการมาร์คตำแหน่งของวาล์วแต่ละตัวด้วยว่า วาล์วตัวไหนเป็นของสูบไหนบ้าง ไม่ควรสับตำแหน่งกันนะครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 296
       ในรูปจะเรียกว่า ตัวปะกับวาล์ว ซึ่งต้องระวังหายโดยเด็ดขาด ถ้าหายก็ยุ่งเลยล่ะครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 297
       หลังจากถอดตัวปะกับวาล์ว(หรือที่เรียกว่า "Lock valve") ตัวสปริงวาล์ว และตัวแป้นวาล์ว(Retainer) ออกไป เราก็จะได้พบกับอีกหนึ่งตัวสำคัญนั่นคือ ยางหมวกวาล์วหรือยางตีนวาล์วนั่นเอง

ยางตีนวาล์วนี้จะทำหน้าที่กันน้ำมันเครื่องไม่ให้ไหลลงมาที่ก้านวาล์วไอดี ซึ่งถ้าหากน้ำมันเครื่องไหลลงมาได้ก็จะเข้าสู่ห้องเผาไหม้ พอเครื่องยนต์เกิดการทำงานเผาไหม้จากการจุดระเบิดก็จะทำให้เกิดควันขาวออกมาที่ท่อไอเสีย พร้อมกับมีภาวะการกินน้ำมันเครื่องควบคู่ไปด้วย ดังนั้นถ้ายางตีนวาล์วนี้เสื่อมสภาพ แข็ง มันก็จะกันน้ำมันไม่ได้ มีควันขาวและกินน้ำมันเครื่อง

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 298
       ซึ่งสำหรับยางตีนวาล์วของเครื่องตัวนี้ หลังจากถอดออกมาก็เรียกได้ว่า สัมผัสแล้วก็ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นเหล็กตรงไหนเป็นยาง เพราะว่าทุกตัวมันแข็งโป๊กเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นตรงจุดนี้มันก็จะฟ้องได้ทันทีว่า เครื่องยนต์ตัวนี้มันจะต้องมีอาการควันขาวและกินน้ำมันเครื่องอย่างแน่นอน

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 299
       อุปกรณ์ทุกอย่างที่ถอดออกมาต้องทำการล้างใหม่ให้สะอาดทั้งหมดทุกชิ้น และเก็บไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ ระวังการสูญหายอย่างเด็ดขาดครับ ควรหากล่องใส่ไว้อย่างเป็นระเบียบจะดีที่สุด โดยที่ระหว่างล้าง ระหว่างเก็บใส่กล่องก็ควรตรวจเช็คนับทุกชิ้นส่วนอยู่สม่ำเสมอครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 300
       หลังจากถอดทุกอย่างออกจากฝาสูบหมดแล้ว ก็เหลือแต่ฝาสูบโดดๆอย่างเดียว เพื่อที่จะทำการตรวจเช็คอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะนำไปเชื่อมและขึ้นแท่นกลึง

แสดงความคิดเห็นย่อย