[ Home ]


+ รายงานทริป

+ รูปหน้า 1
+ รูปหน้า 2
+ รูปหน้า 3

+ เส้นทาง GPS
+ ระดับความสูง
   - น้ำเอ่อ
   - ตะเพินคี่

 

 


ทริป น้ำเอ่อ - หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะ
เพินคี่
(2-3 มิย. 44)
คนเข้ามาอ่าน=3443 Truehits.net คน

      "อ้อมอกภูเขา..พี่น้องหมู่เฮาอยู่สุขสบาย...." ท่อนเพลงนี้ผุดขึ้นมาในใจเมื่อเราได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านตะเพินคี่ ที่มีชาวบ้านอัธยาศัยดี และมีมิตรไมตรีกับคนแปลกหน้า ซึ่งหาได้ยากในเมืองกรุง ก่อนที่เราจะพูดถึงหมู่บ้านตะเพินคี่ เรามาติดตามกันก่อนดีกว่าว่าจุดเริ่มต้นของทริปนี้เป็นอย่างไร

        จุดนัดหมายของเราอยู่ที่ปั้มน้ำมันอีกตามเคย เพราะสะดวกที่สุดในการนัดหมาย ทริปนี้มีขบวนรถ ไปกันมากพอสมควรทั้งหมด 17 คัน จากเดิมที่คาด ไว้ว่าจะไปด้วยกัน 20 คัน โดยมีสมาชิกใหม่ ๆ ที่มาร่วมทริปกับเราครั้งแรกคือ คุณพงษ์ (Ford Double Cab), คุณกระปุก ( Suzuki Caribian), คุณมนตรี (Jeep 4L), พี่วิสรัส (Jeep Wrangler) และ คุณสมเจตน์ (Jeep 4L) ซึ่งได้โทรมาขอร่วมทริปนี้กับผมตอนตีสอง สำหรับสมาชิกใหม่เรายืนยันได้จากทริปนี้ว่าใจเกินร้อยกันทุกคน

     เราเริ่มออกเดินทางกันประมาณเวลา 8.30 น.จากปั้มน้ำมัน PT กม 45 ไปยังจุดนัดพบที่สองที่ปั้มน้ำมันเชลล์ ก่อนถึงถนนเลี่ยงเมืองสุพรรณบุรี เพื่อร่วมรับประทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารเทียนเหลา พร้อมเตรียม ข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยง ต่อจากนั้นจึงแวะที่ห้างโลตัส เพื่อจับจ่ายซื้ออาหาร เหล้ายาปลาปิ้ง ชุลมุนกันพอควรเพราะไปกันเยอะ แต่ก็ลุล่วงด้วยดี เริ่มต้นเดินทางพี่วิสรัส ขับบึ่งนำหน้าสุด พบว่าเส้นทางตอนต้น เป็นทางลูกรังอัดแน่นอย่างดี เราขับเคลื่อนขบวนกันอย่าง สบายๆ จนไปถึง หน่วยที่ 1 อุทยานแห่งชาติพุเตย ได้พบกับเจ้าหน้าที่อุทยาน ได้สอบถามเส้นทาง ที่จะไปตะเพินคี่ และ น้ำเอ่อ เจ้าหน้าที่บอกว่า เส้นทาง ที่ตะเพินคี่และน้ำเอ่อ เป็นเส้นทางลูกรังอัดแน่นเหมือนกัน (ลางสังหรณ์ ตำนานพุ....ตั้งเค้ามาแล้ว) แต่ที่น้ำเอ่อน่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่า เมื่อได้ข้อมูลอย่างนี้ จึงปรึกษากันว่า น่าจะไปน้ำเอ่อ เพราะดูจากแผนที่การเดินทาง (ที่ได้มาเป็นของปีที่แล้ว ) เร้าใจกว่าตะเพินคี่มาก ด้วยความอยากลุย จึงตัดสินใจว่าจะไปที่นี่กัน เราหยุดพักทางข้าวเที่ยงกันที่ที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งเราได้รับการต้อนรับอย่างดี จากคุณพันเทพ อันตะกูล หัวหน้าอุทยานฯ ซึ่งในวันนั้น จริงๆแล้วจะมีพนักงานของบริษัทซีเกต ประเทศไทย จะมาสัมมนากันที่นี่ แต่เรามาถึงก่อน แก้วน้ำที่เตรียมไว้ จึงถูกนำมาใช้ต้อนรับพวกเราอย่างทันที ในขณะที่เราทานข้าวกันอยู่ คุณพันเทพ ก็ได้เล่าถึงประวัติของอุทยานฯ ให้พวกเราฟัง พร้อมชี้ไปยังภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วบอกว่า ลูกนั้นแหล่ะที่เครื่องบินของสายการบินเลาด้าแอร์ตก พร้อมเสริมท้ายด้วยมุขขำขันอีกว่า แถวนั้น ผีฝรั่งเยอะ นี่ถ้านั่งมองดีๆ จะเห็นนางไม้ฝรังนั่งอยู่บนยอดไม้ แถมด้วยเหตุผลชวนขำขันอีกด้วยว่า ผีพวกนี้กลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่ได้ทำพิธีสวดบังสกุลเหมือนคนไทย และไม่ได้ทำกงเต็กเหมือนคนจีน เฮ้อ...ฟังแล้วขนหัวลุก

      

 หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็บอกลาคุณพันเทพ แล้วเริ่มออกเดินทางไปน้ำเอ่อ โดยใช้เส้นทางลาดยาง ซึ่งตัดเข้ามาถึงที่ทำการอุทยานจนมาถึงทางแยก เลี้ยวขวาใช้เส้นทางลูกรังเหมือนเดิม ฝนตั้งเค้าว่าจะตก แต่ก็ไปตกบริเวณเทือกเขา หรือยอดเขาแทน ทำให้หลายคนเริ่มเซ็งมากขึ้น และเริ่มทำใจว่ เส้นทางจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด เราเดินทางไปตามแผนที่ที่ได้มา จุดข้ามน้ำเป็นเพียงธารน้ำเล็กๆ เหมือนน้ำท่วม กทมฯ ที่รถเก๋งโตโยต้าก็ผ่านได้ ขับไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพักแรม ค่อยใจชื้นขึ้นเนื่องจากวิวทิวทัศน์สวยงาม และบรรยากาศดีมาก แต่เอ...ได้ยินพี่ฉลามขาวบอกว่า เหมือนไร่ผมเปี๊ยบเลย แถมยังมีลูกคู่ สนับสนุนอีกต่างหากว่าเหมือนจริงๆ ทั้งสถานที่กางเตนท์และแหล่งน้ำ แต่จะต่างกันก็ ตรงที่ไปไร่ผมก็ตรงหูโช๊ครถฟอร์ดไม่หลุดเท่านั้นเอง เมื่อถึงที่พักต่างคนต่างกางเตนท์ ริชาร์ดก็เอาที่นอนยางแบบปั๊มลมมาด้วย สงสัยแอบไปดูใครใช้ตอนทริปทิไล่ป้า เลยเอามาใช้บ้าง แต่กว่าจะปั้มเสร็จเป็นที่นอนเหงื่อแตกเหงื่อแตน ทางฝ่ายผู้หญิงก็ไปตระเตรียมข้าวปลาอาหาร งานนี้ได้น้องเมียโกกุย มาเป็นกุ๊ก (อร่อยไม่อร่อยโกกุยรับผิดแต่ผู้เดียว) แถมนินจาเต่าได้ปลาชะโดตัวใหญ่มา 1 ตัวจากชาวบ้าน กว่าจะเผาได้ใช้พ่อครัวประมาณ 5-6 คนในการทำจึงสำเร็จรู้สึกจะไหม้ไปแถบนึงนะ นั่งกินข้าวเย็นกันไปก็คุยกันไป ดื่มกันไป ฝนก็ตกเปาะแปะๆ บูรพาออฟโรดก็เหนียวแน่นกันจริงๆ ตั้งวงก๊งเหล้ากันต่างหาก(สงสัยจะขี้อาย) ต้องให้นายหนอนไปกระแซะเอามือกีตาร์ออกมาให้เสียงเพลงกับวงสมาชิกหน้าใหม่-หน้าเก่าๆ กับเราบ้างถึงจะยอมแตกวง อ้อ...มีอีกลุ่มที่แยกวงไปหาลำไพ่พิเศษ ก็พวกแม่บ้านไง แข่งรำพัดกันจนสนุกเขาหล่ะ รู้สึกกลุ่มนี้ไม่ยอมแตกวงเลยหลับกันดึกน่าดู งานนี้เด็กๆ ก็ร่าเริง สนุกกันตามเคย ลูกหมีโดนรุ่นน้องรับรุ่นพี่โดยการอาบน้ำเป็ปซี่จากน้องเพียวแบบเต็มๆ (ฝากเอาไว้ก่อน...คอยดูลูกหมีทริปหน้าละกัน) เวลาล่วงเลยค่อนคืนได้เวลาพักผ่อน ต่างพากันเข้านอน เต้นท์ใครเตนท์มัน พี่วิศรัส กับนายหนอน นอนเปลในบ้านแต่ทนแมลงไม่ไหวเลยต้องหนีไปนอนบนรถ งานนี้ลืมดูว่าโกกุยนอนกี่โมงหว่า....

      อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็นสบาย หมอกลงเรี่ยๆ พื้นดิน สวยน่าดู ฝนที่ตกเปาะแปะๆ เมื่อคืนก็อันตรธานหายไปทันทีที่แสงทองเริ่มส่อง เราเริ่มทานอาหารเช้ากัน มีไข่เจียวสามกระทะ รู้สึกว่าเปลี่ยนคนเจียวทุกกระทะไม่รู้ว่าไข่ใครอร่อยที่สุด พอตกสายพวกเราก็เก็บเตนท์และสัมภาระต่างๆ โดยทางผู้ใหญ่ทัน (คู่เขยโกกุย) ได้บอกเส้นทางเข้าไปบ้านเขมรโรง เนื่องจากเห็นว่าทุกคนผิดหวัง จากเส้นทางที่เรามาเมื่อวาน ในขณะที่ฉลามขาว ต้องถอดโช๊คอัพออกหนึ่งข้างเพราะหูโช๊คฉีกและโช๊คคด เราเริ่มออกเดินทางออกจากบ้านไกรเกรียงตอนสิบโมงครึ่ง เมื่อถึงทางเข้าบ้านเขมรโรง ด่านแรกที่เจอคือเนินสูง จึงให้พี่วิสรัสบุกขึ้นไปก่อนคนแรก แต่เฮ้อ! แค่เริ่มแรก ก็ติดซะแล้ว เพราะทางชันและขรุขระมากจริงๆ รถไม่สามารถผ่านเนินแรกไปได้ จำเป็นต้องวินซ์ รถกับต้นไม้ด้านหน้า งานนื้พี่วิสรัส ได้ลองวินซ์ไฮโดลิกตัวใหม่จริงๆ ซักที หลังจากแอบซ้อมวินซ์กับต้นไม้ที่น้ำเอ่อคนเดียว ปรากฎว่า วินซ์ได้ช้ามาก บางคนบอก เป็น Turtle Speed แต่บางคนว่าเร็วไปต้อง Snail Speed เอากันเข้าไป คันถัดมาก็เป็นรถริชาร์ด ปรากฎว่าขึ้นได้สบายๆ เพราะมีดีทร้อย์ล็อค คันถัดๆ มาไม่มีใครผ่านซักกะคน ทั้งๆที่กองเชียร์แน่นขนัดกัน ไปหมดแม้แต่ยางไซแมกซ์ของพี่ณรงค์ ก็ไม่สามารถผ่านขึ้นมาได้ งานนี้กองเชียร์มันส์น่าดู กระปุกก็เอารถสแตนดาร์ด Suziki Caribian ลองดูบ้าง ทำท่าว่าจะผ่านแต่ก็ไม่ผ่าน เฮอะๆ ถ้าผ่านได้ก็ทำเอาหลายคนหน้าแตกเลยหล่ะ เมื่อมาถึงคราวพี่เล็กสามช่า เห็นบอกว่างานนี้ถ้าผ่านไม่ได้ แย่แน่เพราะคุยไว้เยอะ นายหนอนก็ตั้งท่าถ่ายวีดีโอให้อย่างเต็มที่ เมื่อพี่เล็กเอาจริง ขับตะลุยขึ้นมาอย่างไม่ยั้ง ทำให้นายหนอนกระโดดหลบรถแทบไม่ทัน กลิ้งโค่โล่อยู่ข้างรถพี่เล็ก แต่พี่เล็กหยุดไม่ได้แล้ว ต้องส่งแรงรถผ่านเนินสุดท้ายในที่สุดก็ผ่านมาได้โดยไม่ใช้วินซ์ และแอร์ล็อกเกอร์เลย พอผ่านมาได้แอบถอนหายใจเฮือก ๆ (เกือบไปแล้วตู..ฆาตรกรรมนายหนอน) หลังจากขึ้นมาได้ทั้งหมด 9 คัน พวกเราก็ตัดสินใจว่าคงจะไม่ไปกันต่อเพราะเสียเวลากันมา 2 ชั่วโมงกับการวินซ์รถ 7 คัน กับเนินแรกของทางเข้าเขมรโรง แต่คาใจเอาไว้ว่าซักวัน คงต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง จึงได้กลับไปทานข้าวกลางวันกัน


คุณพงศ์บอกผมว่าเขาได้เตรียมของเพื่อที่จะไปบริจาคที่หมู่บ้านตะเพินคี่ ขากลับจึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือไปที่บ้านตะเพินคี่ กับไปอ.ด่านช้างบ้านริชาร์ด(ไปกินไวน์กัน) ส่วนพี่วิสรัสขอตัวกลับก่อนมีภารกิจที่ต้องสะสาง กลุ่มที่ไปตะเพินคี่จะมี คุณพงษ์ คุณเอ้ คุณธเนศ คุณนพ และ คุณณรงค์ เส้นทางที่เราไปเริ่มมีฝนก็เริ่มเทลงมา ทำให้ทางลูกรัง แปรสภาพเป็นทางโคลน ซึ่งชันและลื่น ใช้คามระมัดระวังกันพอควร เส้นทางซ้ายผาขวาเหว มีต้นไม่ร่มรื่นตลอดเส้นทาง อากาศเริ่มเย็นลง ความสูงจาก GPS วัดได้ประมาณ 700 กว่าเมตร ตอนนี้ล้อรถแต่ละคันกลายสภาพเป็นโดนัทใหญ่บ้างเล็กบ้าง ไม่เว้นแม้แต่ยางไซแมกซ์ของคุณณรงค์ เราไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านตะเพินคี่ บรรยากาศหมู่บ้านดีมาก เราได้รับการต้อนรับอย่างดี จาก ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านบอกเราว่า ที่เขตหมู่บ้านนั้นเขาห้ามทานเหล้า หรือเล่นการพนัน แต่ในเขตโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกล นักสามารถทำได้ ซึ่งหากต้องการกางเตนท์ หรือพักผ่อนที่โรงเรียน โดยมาเป็นหมู่คณะจำนวนมาก ก็สามารถพักได้เพราะพื้นที่กว้างขวางจริงๆ เท่าสนามฟุตบอล ทำเอาเราเสียดายไปตามๆ กัน เพราะสถานที่สวยมาก อากาศก็ดี โซลิวี่ภรรยาของครูมนัสซึ่งเป็นครูคนเดียวของที่นี่ พูดชักชวนให้ไปเที่ยวถ้ำว่า "ไป ก๊ะ ไปเที่ยวถ้ำไหม จะพาไป ไม่ไกลหรอก" แต่เราต้องปฎิเสธน้ำใจของเธอ เพราะเวลาค่อนข้างเย็นมาก ประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว ระหว่างที่รอผู้ใหญ่บ้านเพื่อที่จะมอบของที่เรามาบริจาค โซลิวี่ ได้พาพวกเราไปไหว้เจดีย์จุฬามณี ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้าน สันนิษฐานว่าจะเป็นยอดเจดีย์ที่พวกเขา ได้หักมาจากของเดิม จากถิ่นฐานเดิมก่อนที่จะอพยพมาอยู่บนยอดดอยแห่งนี้ เป็นเวลากว่า 200 ปี ทำให้หลายๆ คนงง ๆ ว่าเอ..ทำไมเจดีย์เขาแปลก ๆ นะ ทางผู้ใหญ่บอกว่า "จะมาเที่ยววันไหนอีก ให้บอกล่วงหน้านะ จะได้เตรียมการต้อนรับไว้ให้ ข้าวไม่ต้องเอามาก็ได้ ที่นี่มีข้าวเยอะแยะ จะเตรียมหุงไว้ให้" ได้ยินอย่างนี้แล้ว ซึ้งในน้ำใจแกจริง ๆ เพราะทุกคำพูดที่แกพูดมามองจากแววตาเป็นคำพูดจากใจแกจริง ๆ ทันใดนั้นโกกุยรีบถามต่อว่ามีทางไปต่ออีกหรือเปล่า ผู้ใหญ่บ้านแกบอกว่า "มี" แต่รีบบอกด้วยความเป็นห่วงว่า "โอ๊ย ไปไม่ได้หรอก ทางมันลำบาก แต่เดินไปได้ 5 กิโลเอง" โกกุยรีบบอกว่า "ผมชอบ" เล่นเอาผู้ใหญ่บ้านออกจะงงๆ ในท่าทีของโกกุย จากนั้นเราได้ล่ำลาแกพร้อมกับเคลื่อนขบวนออกจากหมู่บ้าน ไปยังโรงเรียนเพื่อนำของบริจาค อุปกรณ์การเรียนไว้ที่นั่น ก่อนที่จะออกเดินทางกลับ

 

         พวกเราได้เดินทางออกมาจากหมู่บ้านตะเพินคี่ และแยกย้ายกันกลับกรุงเทพฯ แต่ภาพของหมู่บ้าน ยังชัดเจนอยู่ในใจ บางคนบอกว่าจะกลับมาอีกเร็วๆนี้ เพราะประทับใจในอัธยาศัยที่ดีของชาวบ้านหมู่บ้าน ตะเพินคี่และประทับใจ ในการรักษา กฎ ระเบียบของหมู่บ้านงดงาม มานานกว่า 200 ปี.......

จบรายงาน
รายงานโดย คุณเจี๊ยบ (ไม่ได้ไปแต่รายงานเหมือนไปจริง)



Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | Stickerboard | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

webmaster@hits.sahaunion.co.th