คำตอบที่ 176
fiogf49gjkf0d
ต้องขอโทษ..ด้วยครับ Computer Program รวนๆ resize ลำบากจริงๆ..
ก็ต้องขอบคุณ พี่เรวัตที่มาช่วย post ภาพจนจบเรื่องให้ได้ชมกันครับ..
ของผมก็มาเสริมพี่เรวัตตามสมควร..
ที่พม่า.. ป่าไม้ยังมีอีกมาก ต้นใหญ่ๆมากๆ
หลวงพี่บอกพวกเราว่า.. ถ้ามีโอกาสจะพาไปดู "ป่าสักที่อังกฤษปลูก กระเหรี่ยงตัด".. แต่สุดท้ายเราก็ไม่มีเวลาไปดูเพราะว่า มิฉะนั้นเราจะไปข้ามกลับไทยไม่ทันด่านปิดครับ..
การที่พวกเราได้วิ่งในเขตพม่านั้น.. ก่อนอื่นก็ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า " มีความเสี่ยง " นะครับ จากปัญหาชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มตามแดนชายแดน
ก่อนออกเดินทาง 1 วัน.. ทางหลวงพ่อได้ติดต่อประสานงานกับทหารกระเหรื่อง DKBA เพื่อให้พวกเขาช่วยเคลียร์ทางให้ขบวน กับทหารกลุ่มต่างๆ เช่น
พอออกจากด่านเจดีย์สามองค์ออกมา ก็เป็นเขตพื้นที่ของทหารพม่าดูแล จนถึงวัดเจดีย์ทองที่คณะได้ไปทำบุญเป็นวัดแรก.. ขณะขบวนออกเดินทางนั้น ก็มีรถกระบะของทหารกระเหรี่ยง DKBA ขับนำทางให้
หลังจากออกจากวัดมานั้น.. ก็จะเข้าเขตดูแลของทหารกระเหรี่ยง DKBA เราขับรถกันไปจนถึงด่านตรวจของ DKBA ที่นี่.. ทาง DKBA ได้มีการถ่ายรูปรถและคนขับทุกคันและทุกคน ก่อนเข้าไปในพื้นที่ของเขา..
ตรงด่านของ DKBA นี้.. ขบวนเราต้องจอดรอที่ด่าน 1 ชั่วโมงกว่า เพื่อให้รถกระบะ DKBA ที่นำขบวนชองเราไปเคลียร์เส้นทาง กับทหารกระเหรี่ยง KNU ที่เราจะต้องผ่านในพื้นที่ต่อไป..
รอกันชั่วโมงกว่า.. ทางทหาร DKBA ก็บอกว่าทางทหาร KNU ยอมให้เราผ่านพื้นที่เขาได้..
เราก็เดินทางต่อ.. ไปยังวัดที่สอง ที่เราตั้งใจไปทำบุญกัน ซึ่งก็อยู่ในพื้นที่ดูแลของ DKBA
หลังจากถวายของพระเสร็จ..เราก็ขับต่อจนถึงด่านตรวจของทหารกระเหรี่ยง KNU ซึ่งเป็นด่านใหญ่ แน่นอนครับว่า อาวุธหนักของ KNU ครบมือมากกว่าทางด่าน DKBA มากๆ ทั้ง เครื่องยิงลูกระเบิด M203, เครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถัง พวก AK47 หรือ อาก้า นั้นเด็กๆ มีใช้กันอยู่แล้วเป้นปกติทั้งสองด่าน..
เมื่อมาถึงด่านตรวจของ KNU... ทางหลวงพ่อก็ส่งภาษาทักทาย ทหารอย่างดี อย่างว่าแหละครับ ทางพม่าเขานับถือพระกันมากๆ..
ตามแผนเดิม.. หลวงพ่อท่าน กะว่าเมื่อถึงจุดนี้แล้ว ขบวนเราจะอ้อมเข้าเขตไทยช่วงบริเวณระหว่างบ้านจะแกกับแม่น้ำสุริยะครับ.. แต่เมื่อได้พูดคุยกับหัวหน้าด่านแล้ว หัวหน้าด่านบอกว่าถ้าไปทางนั้น ขบวนเราจะต้องเจอด่านตรวจอีก 2 ด่านกว่าจะได้เข้าเขตไทย..
ว่าแล้วหัวหน้าก็แนะนำว่าไปอีกทางจะดีกว่า เพราะว่าจะไม่มีด่านตรวจอีกเลย และจะเดินทางไปออกที่บ้านเปิ่งเคลิ่งได้เลย.. แต่ว่าอย่างไรจะมีน้องพยาบาลของทาง KNU ของติดรถไปลงที่แถวเปิ่งเคลิ่งด้วย และฝาก ผบ. ทบ. ( ผู้บัญชาการทางบ้าน ) ของหัวหน้าด่าน KNU ติดรถมาลงระหว่างทางด้วย.. แน่นอนครับว่าเรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว..
สภาพเส้นทางจากด่านเจดีย์สามองค์มาจนถึงด่านทหารกระเหรี่ยง KNU นั้น.. เป็นเส้นทางที่เขาใช้สัญจรในการทำไม้กัน สภาพถนนจึงเป็นทางลูกรังค่อนข้างพอไปได้ ไม่แคบเท่าไร จะข้ามลำน้ำก็มีสะพานซุงทำไว้ให้ข้าม แต่ขบวนเราวิ่งลงลำธารเลย เพราะว่าไม่มีน้ำเท่าไร น่าจะปลอดภัยกับรถมากกว่าวิ่งบนสะพานซุง..
ส่วนทางที่ออกจากด่าน KNU มาได้สักพักก็จะหมดเขตทำไม้ ดังนั้นทั้งเล็ก ทั้งแคบ ไม่มีสะพานซุงให้ใช้ ลุยกันแบบดิบๆ บางช่วงก็วิ่งผ่าทุ่งนากันเลย รอดซุ้มไม้ ซุ้มไผ่ มีโอกาสจะหลงทางกันได้ง่ายๆ ตลอดทั้งทริป เพราะมาทางแยกต่างๆมากมาย ถึงแม้ว่าจะใช้วิทยุบอกทางกันแล้วก็ไม่พอ เพราะขบวนเรายาวถึง 13 คัน ก้ต้องแก้ด้วยวิธีการส่งไม้ต่อกัน ทุกๆแยกเท่านั้น ไม่งั้นหลงทาง ชัวร์ๆ..
เมื่อออกจากด่านตรวจของทหารกระเหรี่ยง KNU แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ.. จนถึงทางแยกเลี้ยวขวาไปออกแถวบ้านจะแก, แถวพุจือโน้น ส่วนแยกซ้ายไปทางเหนือขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปออกที่เปิ่งเคลิ่ง อ. อุ้มผางเลย.. แน่นอนครับสภาพทางดิบๆกว่าช่วงแรกมาก
พอใกล้จะถึงบ้านเปิ่งเคลิ่ง ผมก็สอบถามกับหลวงพ่อว่า " พื้นที่แถวนี้เป็นเขตของใครครับ "
หลวงพ่อบอกว่า "หลายกลุ่มเลย ทั้งพม่า ทั้งกระเหรี่ยง DKBA, กระเหรี่ยง KNU , กระเหรี่ยง DKBS"
แถมก่อนถึงเปิ่งเคลิ่ง ยังมีด่านทหารพม่า คอยดักอยู่อีก 1 ด่าน.. และก็แน่นอนครับ.. หลวงพ่อท่านต้องลงรถมาเจรจาอีกเช่นเคยครับ... และอย่างนี้ถ้าไม่ตั้งชื่อทริปว่า " ข้ามากับพระ" ไม่ได้แล้ว...