คำตอบที่ 33
fiogf49gjkf0d
"อาหลอง" ทองทั้งชาติ ขาดไม่ได้คือผู้หญิงนมโต!?
ทองทั้งชาติ...
ละครอะไร เชยโบราณชิบ...
เรื่องไหนเรื่องนั้นเป็นต้องเอาลูก-หลานตัวเองมาเล่นด้วย...
ทำไมผู้ร้ายมันยิงไม่เคยโดนพระเอกเลยฟะ...
จะดีก็ตรงนางตัวร้ายนมโตนี่แหละ...ฯลฯ
เหล่านี้เป็นอารมณ์บางส่วนที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนสำหรับใครก็ตามที่มีโอกาสได้ชมผลงานจากการกำกับของผู้กำกับรุ่นใหญ่ "ฉลอง ภักดีวิจิตร" ที่ผูกขาดละครแนวแอ็กชั่นให้กับช่อง 7 มาโดยตลอดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ "ระย้า" ในปี 2542 กระทั่งผลงานล่าสุดอย่าง "นักฆ่าขนตางอน" ในปีพ.ศ.2553 นี้
แต่ถึงแม้จะมีเสียงค่อนแคะออกมาให้ได้ยินกันบ้าง ทว่าสิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือตัวเลขเรตติ้งในแต่ละเรื่องของละครจากฝีมือของเจ้าของฉายา "ทองทั้งชาติ" คนนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับสูงแทบจะทั้งสิ้น
ที่สำคัญถึงแม้มันจะออกแนวเชย เนื้อหาไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่มันก็ดูจะเป็นความเชยเป็นความโบราณที่มีเอกลักษณ์ของความสนุกอะไรบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้ยากที่คนอื่นจะเลียนแบบกระทั่งทำให้คนที่มีโอกาสได้ชมละครที่มียี่ห้อฉลองแปะเป็นต้องเผลอไผลนั่งเฝ้าหน้าจอได้อย่างไม่รู้ตัว
...
"ฉลอง ภักดีวิจิตร" (2475) เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวน 4 คน ของ พุธ ภักดีวิจิตร (วิจารณ์, ฉลอง, เขียวหวาน และวินิจ ภักดีวิจิตร) ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในแวดวงภาพยนตร์ทั้งสิ้น
"คุณพ่อก็เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ ขณะที่ทางคุณอาสด (สดศรี บูรพารมย์ น้องชายของพุธ ภักดีวิจิตร) เองก็เป็นผู้กำกับ สมัยนั้นก็มีบริษัทศรีบูรพา ตอนผมอายุ 5-6 ขวบ ก็อยู่ในกองถ่ายแล้ว คือจะเรียกว่าเกิดมาบนกองฟิล์มก็ว่าได้"
ฉลองเดินเข้าสู่ถนนแผ่นฟิล์มด้วยการรับหน้าที่เป็นตากล้องประเดิมด้วยภาพยนตร์เรื่อง "แสนแสบ" เมื่อปี 2493 และทำงานให้กับผู้สร้างภาพยนตร์หลายต่อหลายราย ก่อนจะได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระราชทานถึง 2 ตัว ในปี 2507 จากเรื่อง ผู้พิชิตมัจจุราช และ 2510 จากเรื่อง ละอองดาว
"ถามว่าได้เรียนการถ่ายภาพมาจากไหนหรือเปล่า ผมเป็นครูของตัวเองนะ ไม่ได้เรียนแต่มีการสั่งตำรามาจากอเมริกา ก็มานั่งอ่านนั่งศึกษาเอง ซึ่งผมจะบอกว่าการทำงานถ่ายภาพของผมนั้นเป็นไปตามตำราของฝรั่งเลย ไม่มีมั่ว ทุกอย่างเป็นไปตามตำรา"
ฉลองหันมารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างควบกับตากล้องจากภาพยนตร์เรื่อง "น้ำเพชร" ที่มี ส.อาสนจินดากำกับ นำแสดงโดย "มิตร เพชรา" ก่อนจะทำหน้าที่ผู้กำกับเต็มตัวครั้งแรกใน "จ้าวอินทรี" โดยใช้นามแฝงว่า "ดรรชนี"
ผลงานที่เริ่มชื่อเสียงให้กับเจ้าตัวเป็นอย่างมากก็คือ "ฝนใต้" ที่เจ้าตัวนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างและกำกับการแสดง..."เรื่องนี้แรงมาก ก็เลยต้องทำคล้ายๆ ภาค 2 ออกมาเรื่อง ฝนเหนือ แล้วก็มีหนังเพลงเรื่อง ระเริงชล เพราะช่วงนั้นกระแสหนังเพลงกำลังมาแรง ซึ่งเรื่องนี้ได้เงินถึง 3 ล้านบาทเลยนะ ซึ่งต้องถือว่าเยอะพอสมควรในสมัยนั้น"
ปี 2515 ผลงานของฉลองเริ่มมีโอกาสออกสู่ตลาดหนังนอกประเทศหลังได้จับมือกับ "ฉั่นทงหมั่น" อดีตหัวหน้าฝ่ายโฆษณาของชอร์แห่งฮ่องกงทำหนังเรื่อง "2 สิงห์ 2 แผ่นดิน" (The Brothers) โดยมีดาราไทยอย่าง สมบัติ เมทะนี, อโนมา ผลารักษ์ ร่วมแสดงกับดาราดังของฮ่องกง "เกาหย่วน" และ "มิสหยีห้วย" อดีตนางงามไซโก้ ร่วมด้วยดาวร้ายอย่าง เฉินซิง และ เถียนฟง เรื่องนี้นอกจากจะฉายในฮ่องกงแล้วยังมีการส่งไปฉายที่อเมริกา ทั้งที่นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก้ และลอสแอนเจลิส อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลงานที่ถือว่าเป็นมาสเตอร์พีชและนำมาซึ่งฉายา "ทองทั้งชาติ" ของคนชื่อ "ฉลอง ภักดีวิจิตร" ก็คือ "ทอง" (GOLD หรือ S.T.A.B.) นำแสดงโดย "เกร็ก มอร์ริส" (Greg Morris) พระเอกผิวสีชาวอเมริกาที่กำลังโด่งดังจากซีรีส์เรื่อง "ขบวนการพยัคฆ์ร้าย" (Mission Impossible) พร้อมด้วยนางเอกชาวเวียดนาม "เถิ่ม ถุย หั่ง" ขณะที่ดาราไทยนั้นก็ประกอบไปด้วย สมบัติ เมทะนี, กรุง ศรีวิไล, อโนมา ผลารักษ์, ดามพ์ ดัสกร, ดลนภา โสภี, กฤษณะ อำนวยพร ฯ
เรื่องนี้มีการทุ่มทุนอย่างมโหฬาร(ในสมัยนั้น)กว่า 10 ล้านบาท แต่ก็สามารถทำรายได้อย่างถล่มทลาย โดยเฉพาะที่อเมริกาที่เดียวได้ขอซื้อภาพยนตร์เรื่องทองในราคาที่สูงถึงหนึ่งล้านเหรียญหรือราว 20 ล้านบาทเลยทีเดียว
"คือหลังจากสองสิงห์ประสบความสำเร็จมาก พอเสร็จแล้วก็จะทำเรื่องทอง ก็มีการคุยกับคุณบรรเจิด ทวี ซึ่งมันก็ค่อนข้างจะยากอยู่เพราะโปรเจ็กต์มันใหญ่พอสมควร แต่เราก็เอา ทำเลย เป็นเรื่องที่หลังจากอเมริกาแพ้สงครามเวียดนาม"
"ซึ่งพอมันเป็นเรื่องของทหารอเมริกันเราก็ต้องการความสมจริง ก็บินไปที่อเมริกา ตอนนั้น มอร์ริสเขากำลังดังจากมิสชั่นอิมพอสสิเบิล ตอนแรกไปเจอผู้จัดการของเขาก่อน เขาก็ให้ทำบทภาษาอังกฤษไปให้เขาดู ก็กลับมาทำแล้วก็บินไปใหม่ ก็ปรากฏว่าทางนั้นตอบรับ"
"ค่าตัวไม่แพงนะ แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าเท่าไหร่ เขาก็ให้คิวมา 4 อาทิตย์ ถ่ายทั้งกลางวันกลางคืน หยุด 1 วันคือวันอาทิตย์"
หลังประสบความสำเร็จจากทองนับจากนั้นมาดูเหมือนหนังของฉลองก็จะต้องมีนักแสดงชาวต่างชาติมาร่วมโดยตลอด ทั้ง ตัดเหลี่ยมเพชร (H-Bomb) ในปี พ.ศ. 2518 ที่ได้ โอลิเวีย ฮัสซีย์ ซึ่งโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง โรมิโอกับจูเลียตมาร่วมแสดง รวมไปถึงทองภาค 2, 3, 4
มิใช่เฉพาะจะมีดาราอินเตอร์เท่านั้น หากแต่หนังแอ็กชั่นภายใต้การกำกับของฉลองนั้นต้องบอกว่ามีความอลังการงานสร้างอยู่ไม่น้อย ซึ่งผู้กำกับรุ่นเก๋าบอกว่าหนังของตัวเองไม่ใช่ประเภทระเบิดภูเขาเผากระท่อมเหมือนกับหนังไทยแอ็กชั่นในยุคเดียวกันอย่างแน่นอน
"ของผมระเบิดรถไฟ ระเบิดเฮลิปคอปเตอร์เลยครับ (หัวเราะ) เอารถไฟชนกันในตัดเหลี่ยมเพชร หรืออย่างทอง 2 นี่ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ที่เหาะได้ คือติดเครื่องร่อนไว้ อันนี้เราก็สั่งจากเมืองนอกมาเลยนะ จ้างที่อเมริกาทำ ขับไปจนถึงยอดเขากางปีกปุ๊บบินออกหน้าผาไปเลย"
"หรืออย่างทอง 3 นี่เราเอารถฉลามบกของอเมริกาเอามาเล่นเลยนะแล้วเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จสูง เพราะมีบริษัทอเมริกาเป็นคนจัดจำหน่ายไปทั่วโลก เป็นเรื่องของการชิงเทวรูปทองคำกัน ส่วนทอง 4 ก็ได้แซม โจนส์มาร่วมแสดงกับดาราผู้หญิงอีก 2 คน"
ทำงานกับดาราต่างชาติเรื่องมากมั้ย?
"ไม่นะ แล้วเขาค่อนข้างจะเป็นระเบียบเสียด้วยซ้ำ นัดเป็นนัด แล้วเขาจะจริงจังมาก ทุ่มเท แล้วผมว่าเขาเชื่อฟังผู้กำกับมากๆ เขาไว้ใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราทำถูกต้องตามตำราทุกอย่าง บล็อคกิ้งอะไรอย่างไรต้องเป๊ะๆ"
ฉลองทิ้งท้ายผลงานก่อนที่วงการหนังไทยจะเข้าสู่วงการซบเซาด้วยภาพยนตร์อย่าง มังกรเจ้าพระยา และสุดขีด (มังกรเจ้าพระยา 2) จากนั้นเขาหยุดพักการทำงานไประยะหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าสู่วงการละครโทรทัศน์ให้กับช่อง 7 โดยยังยึดในแนวแอ็กชั่นที่ถนัดจากผลงานเรื่อง ระย้า, ดาวคนละดวง, อังกอร์ ก่อนจะทำเรื่อง ทอง 5, ล่าสุดขอบฟ้า, ฝนใต้ มาธาดอร์, อังกอร์ 2, เหล็กไหล, ชุมแพ, ทอง 9, เสาร์ 5
รวมถึง นักฆ่าขนตางอน ที่เพิ่งจะจบลงไป ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนต้องมีการขยายวันออกอากาศเพิ่ม
ซึ่งในขณะที่บางส่วนอาจจะสนุกสนานไปกับผลงานของเขาแบบไม่ได้คิดอะไร ทว่าก็มีไม่น้อยทีเดียวที่มองว่างานของผู้กำกับรุ่นเก่าคนนี้ค่อนข้างจะเชย ทว่าก็เป็นความเชยที่บอกได้ยากว่าทำไมถึงดูสนุก
"ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันยังไง (หัวเราะ) แต่แฟนละครผมเด็กเยอะมากนะ หลักคิดก็ง่ายๆ แหละครับทำอย่างไรให้มันดูสนุก แต่ที่สำคัญคือต้องมีเหตุมีผลในตัว แล้วอีกอย่างเราค่อนข้างจะลงทุนมาก ไม่มีเลยว่าได้มา 100 ลงทุน 50 ได้มา 100 ไป 100 คือเท่าทุนไม่มีกำไร บางทีก็เกินร้อย ก็ขาดทุน ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะเราถือว่าเราให้ความบันเทิง"
"ถามว่าตอนนี้โปรเจ็กต์หนังอยากทำมั้ย ก็อยากนะ อาจจะเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ก็ไม่แน่เพราะผมอยากจะเอา อังกอร์ กลับมาทำเป็นหนังดูบ้าง แต่ก็แค่คิดๆ ไว้นะ"
จุดเด่นอีกประการของยี่ห้อฉลองก็คือบรรดาตัวประกอบทั้งหลายซึ่งมักจะมีบทเด่นสำคัญไม่แพ้ตัวเอก ซึ่งสวนใหญ่นั้นจะมีหน้าตาที่ดูเป็นธรรมชาติชนิดหื่นเป็นหื่น ร้ายเป็นร้าย ได้ใจเอามากๆ
"แล้วก็จะมีพวกฝรั่งเข้ามาด้วยถ้ามันมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน...คัดเลือกมาจากไหนหรือ ก็คือส่วนใหญ่พวกที่เล่นๆ อยู่เขาจะชวนๆ กันมาเอง หรือบางทีเราก็ถามว่ามีใครอีกมั้ย แล้วโดยส่วนมากที่เป็นคนรู้จักพอวันไหว้ครูบวงสรวงละครอะไรพวกนี้เขาก็จะพากันมาเต็มไปหมด มาให้เห็นหน้า ถ้าบังอิญเหมาะเราก็เอา บางคนก็มาขอเล่นเลยก็มี"
สุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยในละครของคนที่ชื่อ "ฉลอง ภักดีวิจิตร" ก็คือดาราหญิงหน้าอกใหญ่ๆ ซึ่งพอถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาผู้กำกับรุ่นใหญ่ถึงกับหัวเราะร่วนก่อนรีบชิงตอบ.."เราก็ต้องเลือกเอง นมใหญ่ทุกคน (หัวเราะ) คือมันไม่มีอะไรหรอก เพราะว่าละครของเรามันเป็นละครบู๊ บางทีก็เครียดก็เอาตรงนี้เข้ามาช่วยให้ความบู๊มันลดลงไปบ้าง"
"สังเกตไม่ทิ้งเลยนะ นมเบ้อเริ่ม (หัวเราะ) แล้วมันก็เป็นเรื่องของการประเล้าประโลมซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาตามหลักธรรมชาติ แต่ถ้าสังเกตผมไม่ได้ไม่ได้มาเน้นกับฉากพวกนี้มากมายนะ โดยเฉพาะในละคร จะมีบ้างก็ต้องเป็นไปตามเรื่อง มีเหตุมีผล ซึ่งเราทำให้ดูกันเพลินๆ มากกว่า..."
Ref. http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000092228>