WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วิทยาศาสตร์ + ความรู้ รอบๆ ตัวเรา...
005
จาก BoyDogtag,TTC-005
IP:202.122.130.31

อังคารที่ , 13/7/2553
เวลา : 15:28

อ่านแล้ว = 44983 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 6 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  

คำตอบที่ 151
      

fiogf49gjkf0d
ส่วนในเวียดนามยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าปัจจุบันได้รับมอบเครื่องบินรบ Su-30MK2 ไปทั้งหมดกี่ลำ ขณะที่สื่อในรัสเซียรายงานอ้างการเปิดเผยของผู้บริหารบริษัทซูคอยว่า เวียดนามมีแผนจัดซื้อทั้งหมด 44 ลำ และ อาจจะเปลี่ยนไปเป็น Su-35 ที่เป็นเครื่องบินรบ “ยุค 4 ++” ที่ใช้เทคโนโลยีสเตลธ์ จำนวนหนึ่งด้วย

วุฒิสมาชิกชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ไปเยือนเวียดนามเดือนที่แล้วกล่าวว่า มีคนจำนวนมากในรัฐสภาที่ต้องการสนับสนุนให้สหรัฐฯ ขายอาวุธแก่เวียดนาม แต่ยังติดที่ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน

แต่ในขณะเดียวกัน เวียดนามซึ่งเป็นคู่พิพาทน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่อยู่ใกล้จีนมากที่สุด ยังมีชื่อในบัญชีลูกค้าของเครื่องบิน T-50 “สเตลธ์” ของค่ายรัสเซีย

รัสเซียก็เช่นเดียวกับจีน คือ อยู่ระหว่างการทดลองเครื่องบินรบที่ใช้เทคโนโลยีล่องหนของตน และ กองทัพอากาศรัสเซียมีแผนการที่จะนำเข้าประจำการเครื่อง T-50 PAK-FA ภายในปี 2558 นี้

นายริชาร์ด อาบูลาเฟีย (Richard Aboulafia) แห่งทีลกรู๊ป (Teal Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาคาดว่า จนถึงปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเครื่องบินอาจจะสูงถึง 178,000 ล้านดอลลาร์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.140 พฤหัสบดี, 9/2/2555 เวลา : 08:42  IP : 124.121.116.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 114648

คำตอบที่ 152
      

fiogf49gjkf0d
ภาพชุดข้างล่างถูกนำออกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ข่าวการทหารของจีนและแพร่ออกประชาคมออนไลน์ในวันจันทร์ 6 ม.ค.2555 โดยตั้งชื่อเรื่องว่า “J-20 แห่งปีมังกร” การบินทดสอบ J-20 “เฉิงตู” เคยเป็นความลับสุดยอดมาก่อน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจีนอยากจะอวด และอาจจะบ่งบอกว่าการทดสอบกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ ก่อนจะผลิตออกมาใช้งานจริง นักวิเคราะห์ตะวันตกมองว่าเครื่องบินรบเทคโนโลยีสเตลธ์ของจีนกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ดุลอำนาจทางอากาศในเอเชีย ทำให้หลายประเทศที่หวาดผวา “อำนาจจีน” โดยเฉพาะอย่างย่ิงเกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งอินเดีย ต่างกำลังหาเขี้ยวเล็บใหม่เพื่อเสริมอำนาจเหนือน่านฟ้าของตัวเองบ้าง.. ไม่ต้องกล่าวถึงเวียดนาม





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.140 พฤหัสบดี, 9/2/2555 เวลา : 08:45  IP : 124.121.116.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 114649

คำตอบที่ 153
      

fiogf49gjkf0d






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.140 พฤหัสบดี, 9/2/2555 เวลา : 08:45  IP : 124.121.116.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 114650

คำตอบที่ 154
      

fiogf49gjkf0d






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.140 พฤหัสบดี, 9/2/2555 เวลา : 08:46  IP : 124.121.116.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 114651

คำตอบที่ 155
      

fiogf49gjkf0d
" อีกหน่อยเราจะใช้หอยทากแทนแบตเตอรี่... "

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามคิดค้นแบตเตอรี่ที่สามารถให้พลังงานได้โดยอาศัยกระบวนการเมตาบอลิซึมตามธรรมชาติของสัตว์ หนึ่งในตัวอย่างของงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จก็คือ ผลงานของทีมนักวิทยาศาสตร์จาก Clarkson University และ Ben-Gurion University of the Negev ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ Evgeny Katz ถ้าใครสนใจก็เข้าไปอ่านเอกสารงานวิจัยได้ใน Journal of the American Chemical Society

พวกเค้าได้ติดตั้งเซลล์พลังงานชีวภาพลงไปในตัวของหอยทากที่มีชีวิต มันสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากกลูโคสในกระแสเลือดของหอยทาก เมื่อขั้วไฟฟ้าของเซลล์พลังงานชีวภาพนี้ต่อกับวงจรภายนอก มันก็จะสร้างพลังงานได้ระหว่าง 7.45 และ 0.16 ไมโครวัตต์ (เปรียบเทียบกับแบตเตอรี่ที่ใช้กับนาฬิกาจะให้พลังงาน 1 ไมโครวัตต์)

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็มีนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มนึงที่ประสบความสำเร็จในการฝังเซลล์พลังงานชีวภาพกับแมลง แต่ข้อเสียก็คือ ช่วงชีวิตของแมลงมีระยะเวลาที่สั้นมาก ซึ่งทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานแค่ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ในขณะที่หอยทากสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้นานกว่าเป็นเวลาหลายเดือน แต่โชคร้ายที่การผลิตไฟฟ้าด้วยวิธีนี้ กระแสไฟที่ได้จะตกลงถึง 80 % เมื่อผ่าน 45 นาทีแรกไปแล้ว นั่นหมายความว่านักวิทยาศาสตร์จะต้องหาวิธีที่สร้างหรือเก็บไฟฟ้าให้ดีกว่านี้ และทางนักวิทยาศาสตร์ได้เตรียมนำวิธีนี้ไปทดลองใช้กับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น กุ้งล็อบสเตอร์

งานวิจัยชิ้นนี้มีประโยชน์ ก็คือ นำไปพัฒนาเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ติดตามหรือเก็บข้อมูลที่สามารถใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เช่น มันอาจจะใช้เป็นอุปกรณ์การแพทย์ฝังไปในร่างกายของมนุษย์โดยใช้พลังงานจากความร้อนในร่างกายหรือพลังงานจลน์ เป็นต้น

Ref. : http://board.palungjit.com/f178/war-room-อาสาสมัครเตรียมการ-เฝ้าระวัง-ประสานงานเตรียมพร้อม-เพื่อรองรับสถานการณ์ปี-2012-a-288866-936.html







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.114.198 จันทร์, 19/3/2555 เวลา : 22:01  IP : 124.121.114.198   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 115584

คำตอบที่ 156
      

fiogf49gjkf0d
" BOEING 797 "

It can comfortably fly 10,000 Miles (16,000 km) at Mach 0.88 or 654 mph (1,046 km/h)
with 1000 passengers on board !

They have kept this secret long enough.
This shot was taken last month by an amateur photographer .






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 17/5/2555 เวลา : 19:24  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116564

คำตอบที่ 157
      

fiogf49gjkf0d
The BOEING 797

Boeing is preparing this 1000 passenger Jet Liner that could reshape the Air Travel Industry. Its radical "Blended Wing & Fuselage" design has been developed by Boeing in cooperation with NASA Langley Research Centre. The mammoth aircraft will have a wing span of 265 feet compared to 211 feet of its 747, and its been designed to fit within the newly created Air Terminals for the 555 seat Airbus A380, which is 262 feet wide.







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 17/5/2555 เวลา : 19:25  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116565

คำตอบที่ 158
      

fiogf49gjkf0d
The new 797 is Boeing's direct response to the Airbus A380, which has racked up orders for 159 already. Boeing decided to kill its 747X Stretched Super Jumbo in 2003 after little interest was shown for it by Airline Companies, but continued to develop its "Ultimate Airbus Crusher", the 797 at its Phantom Works Research Facility in Long Beach, California.

The Airbus A380 had been in the works since 1999 and has accumulated $13 Billion in development costs, which gives Boeing a huge advantage. More so because Airbus is thus committed to the older style tubular structure for their aircraft for decades to come.






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 17/5/2555 เวลา : 19:26  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116566

คำตอบที่ 159
      

fiogf49gjkf0d
There are several big advantages in the "Blended Wing & Fuselage" design, the most important being the ‘Lift to Drag’ ratio which is expected to increase by an amazing 50%, resulting in an overall weight reduction of the aircraft by 25%, making it an estimated 33% more fuel efficient than the A380, and thus making the Airbus's $13 Billion Dollar investment look pretty shaky.

"High Airframe Rigidity" is another key factor in the "Blended Wing & Fuselage" technology. It reduces turbulence and creates less stress on the airframe which adds to fuel efficiency, giving the 797 a tremendous 10,000 Mile range with 1,000 passengers on board cruising comfortably at Mach 0.88 or 654 MPH, which gives it another advantage over the tube-and-wing designed A380's 570 MPH.







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 17/5/2555 เวลา : 19:27  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116567

คำตอบที่ 160
      

fiogf49gjkf0d
The exact date for introduction of the 797 is as yet unclear, but the battle lines are clearly drawn in the high-stakes war for future civilian aircraft supremacy.







fiogf49gjkf0d
แจ๋วมากๆเลย พี่บอย
จาก : thebank44(thebank44) 18/5/2555 11:02:09 [202.183.235.61]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 17/5/2555 เวลา : 19:28  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116568

คำตอบที่ 161
      

fiogf49gjkf0d
วันก่อนเห็นคนไทยบางกลุ่ม แห่ไปกราบไหว้..นพนอบ ฮุนเซน...ก็งงๆว่าตอนนี้ ตรูอยู่ประเทศอะไรหว่า....เป็นเมืองขึ้น เขมรไปแล้วเหรอ....ล่าสุดวันนี้...ดูข่าวที่สมุทรสาคร...ไอ้หยา...ตอนนี้ ไม่ได้เป็นแค่เมืองขึ้น..แต่ตรูอยู่ใน ประเทศพม่า นี่หว่า....



fiogf49gjkf0d
ตาพงศ์เราต้องหนีไปตั้งหลักที่ ปิล๊อคก่อน เสาร์นี้เลยน๊ะ
จาก : ฅนบางกอก(rawat) 30/5/2555 19:54:50 [124.120.2.82]
ฝากเที่ยวเผื่อด้วยครับ... ถ่ายรูปมาให้ชมกันเยอะๆนะครับ..
จาก : 005 (005 ) 30/5/2555 22:45:34 [116.12.242.178]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

cowboyttc076 จาก โคบาลพงศ์ ttc 076 180.180.36.156 พุธ, 30/5/2555 เวลา : 19:20  IP : 180.180.36.156   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116740

คำตอบที่ 162
      

fiogf49gjkf0d
ฟอสซิลในพม่าชี้บรรพบุรุษของคนและลิงอยู่ใน “เอเชีย”

ฟอสซิลที่เพิ่งพบใหม่ในพม่าชี้ว่าบรรพบุรุษของทั้งมนุษย์ ลิง และลิงไม่มีหางนั้นมีกำเนิดในเอเชียไม่ใช่แอฟริกาอย่างที่เข้าใจ ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันมานานหลายทศวรรษถึงกำเนิดมนุษย์วานร โดยฟอสซิลที่ขุดพบในอียิปต์นั้นเป็นหลักฐานที่ยึดกันมานานว่าแอฟริกาเป็นแหล่งกำเนิดของแอนโทรพอยด์นี้ แต่กระดูกที่พบเมื่อ 15 ปีก่อนก็จุดประเด็นถึงความเป็นไปได้ว่าเอเชียอาจเป็นแหล่งกำเนิดของบรรพบุรุษของเราและลิง

ไลฟ์ไซน์ระบุว่าทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติได้ขุดพบฟอสซิลใหม่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ซึ่งอาจจะเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่า “แอนโทรพอยด์” (anthropoids) หรือมนุษย์วานรซึ่งเป็นสัตว์ในตระกูลลิงไพรเมทชั้นสูง (higher primates) นั้นอาจมีกำเนิดในดินแดนที่ปัจจุบันกลายเป็นทวีปเอเชียตะวันออก และเผยถึงก้าวสำคัญในวิวัฒนาการของสัตว์ไพรเมทและมนุษย์

ฟอสซิลดังกล่าวมีชื่อว่า “แอเฟรเชีย ชิจิเด” (Afrasia djijidae) โดย “แอเฟรเชีย” (Afrasia) นั้นแสดงถึงแอนโทรพอยด์ในยุคแรกที่ถูกพบในจุดที่อยู่ระหว่างแอฟริกาและเอเชีย ส่วน “ชิจิเด” (djijidae) นั้นเพื่อรำลึกถึงเด็กผู้หญิงจากหมู่บ้านหนึ่งในใจกลางพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่ขุดพบซากฟอสซิลดังกล่าว ซึ่งหลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นหาซากฟอสซิลในตะกอนดินเป็นเวลา 6 ปีพวกเขาก็ได้พบฟันของแอเฟรเชียจำนวน 4 ซี่ ในพื้นที่ซึ่งเข้าถึงได้ด้วยเกวียนเท่านั้น และรถขับเคลื่อนสี่ล้อไม่สามารถเข้าไปได้

ฟันของมนุษย์วานรแอเฟรเชียอายุ 37 ล้านปีนี้คล้ายคลึงกับฟันของแอนโทรพอยด์ในยุคแรกเริ่ม “แอโฟรทาร์เซียส ไลบิคัส” (Afrotarsius libycus) ซึ่งมีอายุราว 38 ล้านปี ที่เพิ่งขุดพบในทะเลทรายซาฮารา (Sahara Desert) ของลิเบียเมื่อเร็วๆ นี้ โดยแอนโทรพอยด์ในลิเบียนั้นแตกต่างจากที่พบในแอฟริกามากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดไว้เยอะ ซึ่งชี้ว่ามนุษย์แอนโทรพอยด์นี้น่าจะมีกำเนิดจากที่อื่น และด้วยว่าคล้ายคลึงระหว่างแอเฟรเชียและแอโฟรทาร์เซียสนั้นชี้ว่าแอนโทรพอยด์ในยุคเริ่มแรกที่สร้างอาณานิคมในแอฟริกานั้นมาจากเอเชีย

การอพยพจากเอเชียนี้ได้ตั้งระยะสำหรับวิวัฒนาการในยุคหลังของลิงเอป (ape) หรือลิงไม่มีหางและมนุษย์ในแอฟริกา โดย ฌอง-ฌาคส์ เจเกอร์ (Jean-Jacques Jaeger) นักวิจัยในทีมและนักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยปัวตีเย (University of Poitiers) ในฝรั่งเศสกล่าวกับไลฟ์ไซน์ว่า แอฟริกาเป็นสถานที่กำเนิดของมนุษย์ และเอเชียก็เป็นจุดเริ่มต้นของบรรพบุรุษของเรา

แผนภาพ : แสดงตำแหน่งที่พบฟอสซิลของบรรพบุรุษทั้งคนและลิงในพม่าและแอฟริกา ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่หนักเพียง 100 กรัม (ไลฟ์ไซน์)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.190 พฤหัสบดี, 7/6/2555 เวลา : 22:13  IP : 115.87.12.190   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116911

คำตอบที่ 163
      

fiogf49gjkf0d
ด้วยรูปร่างของแอเฟรเชียจากเอเชียและแอโฟรทาร์เซียสในแอฟริกาเหนือ ชี้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจกินแมลง และขนาดฟันของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ชี้ว่าเมื่อมีชีวิตอยู่บรรพบุรุษของเราหนักประมาณ 100 กรัม หรือมีขนาดประมาณตัวทาร์เซียร์ (tarsier) ในปัจจุบัน

อย่าไงรก็ดี ยังคงมีคำถามปลายเปิดว่าแอนโทรพอดส์ในยุคแรกๆ นั้นอพยพจากเอเชียไปแอฟริกาได้อย่างไร ย้อนกลับไปในอดีตนั้นทั้งสองทวีปนี้แยกจากกันด้วยทะเลที่กว้างกว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea) ในปัจจุบันที่เรียกว่า “ทะเลเทธีส” (Tethys Sea) ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าแอนโทรพอยด์ในยุคแรกนั้นว่ายข้ามทะเลจากเกาะสู่เกาะ และออกจากเอเชียมาถึงแอฟริกา หรืออาจจะล่องแพไปพร้อมซุงจากการพัดพาของธรรมชาติ ซึ่งเกาะวัตถุใดๆ ที่ถูกพัดลงทะเลโดยกระแสน้ำท่วมหรือพายุ ซึ่งพบว่าสัตว์กลุ่มอื่นๆ ก็อพยพจากเอเชียไปยังแอฟริกาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้

หลังจากที่แอนโทรพอยด์ในยุคแรกเดินทางสู่แอฟริกา สัตว์ชนิดเดียวกันที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ตายเกลี้ยงอยู่ในเอเชีย ซึ่งเจเกอร์กล่าวว่า เมื่อราวๆ 34ล้านปีก่อนนั้นมีธารน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ทำให้ภูมิอากาศโลกเย็นจัดและส่งผลกระทบต่อเอชียมากกว่าแอฟริกา และระหว่างวิกฤตดังกล่าว ทีมวิจัยของเขาสันนิษฐานว่า แอนโทรพอยด์ดั้งเดิมในเอเชียก็สูญสิ้นไปหมด ส่วนแอนโทรพอยด์ที่เราพบในเอเชียปัจจุบันนี้ อย่างชะนีหรืออุรังอุตังนั้นก็อพยพมาจากแอฟริกาเมื่อประมาณ 20 ล้านปีก่อน

ทีมวิจัยยังเชื่ออีกว่าแอนโทรพอยด์ในยุคตั้งต้นนั้นเคยปรากฏในบริเวณระหว่างพม่าและลิเบีย อย่างไรก็ดี ฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวยังไม่ได้รับการขุดค้น ส่วนหนึ่งเป็นเหตุผลในเรื่องความปลอดภัยของการเข้าถึงพื้นที่ อย่างเช่นในแอฟกานิสถาน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับงานวิจัยนี้พวกเขาได้เผยแพร่รายละเอียดลงวารสารโพรซีดิงส์ออฟเดอะเนชันนัลอะคาเดมีออฟไซน์ส (Proceedings of the National Academy of Sciences) ในฉบับออนไลน์

ภาพ : ตัวทาร์เซียร์ที่คาดว่ามีขนาดพอๆ กับแอนโทรพอยด์ที่พบในพม่า

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000070145>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.190 พฤหัสบดี, 7/6/2555 เวลา : 22:17  IP : 115.87.12.190   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 116912

คำตอบที่ 164
      

fiogf49gjkf0d
ฉันเป็นผู้หญิงเกาหลี เกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

' ใครขโมยเงินไป ' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

' ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ '

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้.... แล้วพูดว่า

' ผมขโมยเองครับ '

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้น ได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย '

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว '

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


หลายปีผ่านไป...

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย

ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ '

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

' แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน '

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว '

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

' ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ '

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อ

ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบาก เช่นนี้ไปได้ '

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไป

พร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ '

นนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่งานก่อสร้างท่าเรือทะเล .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

' มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ '

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ...

ฉันถามเขาว่า

' ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ '

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

' ก็ดูผมสิสกปรก มอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี '

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม '

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

' ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง '

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

' แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ '

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ '

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด ' เจ็บมากไหม '

ฉันถาม...

' ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ... '

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

' เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ '

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...


หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ...

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วย กับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า...

' พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง '

เมื่ิอสามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง '


คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
' พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด '
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า
' แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่... '
' ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ '

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...


เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้ '

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
' พี่สาวของผมครับ ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
' ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ '

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว .....

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

' ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด

....คือน้องชายของฉันค่ะ '

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

“ จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม “



จบบริบูรณ์....

--------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ -- ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีดำรงตำแหน่งเป็น

ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัท ฮุนได ที่ยิ่งใหญ่ของเกาหลี และบริษัทในเครืออีกกว่า 20 บริษัท
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า
' ซัมซุง '

ซึ่งมีธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นหนังซี่รี่ย์
แสดงโดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุค

ประวัติจริงของฮุนไดและซัมซุง

บางทีคุณอาจจะ เคยอ่านหรือทราบมา แต่ก็ยังอยากส่งมาให้ในภาคไทย...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 9/7/2555 เวลา : 12:41  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117184

คำตอบที่ 165
      

fiogf49gjkf0d
" บางลำพู...ในวันที่ไม่มีต้นลำพู "

เชื่อว่าอาการใจหายคงจะเกิดขึ้นกับหลายๆ คน เมื่อได้ทราบข่าวว่าต้นลำพูเก่าแก่อายุนับร้อยปีที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของบางลำพูและอยู่คู่กับสวนสันติชัยปราการมานานนับสิบปี ในวันนี้ได้ยืนต้นตาย และสุดท้ายได้ถูกตัดทิ้งเหลือเพียงตอไม้ ปล่อยให้สวนสันติฯ ดูโล่งแปลกตาไปจากที่เคยเป็น

เกิดอะไรขึ้นกับต้นลำพู ทำไมต้นลำพูจึงตาย และอีกหลายๆ คำถาม ในวันนี้ อาจารย์สมปอง ดวงไสว ผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอนุรักษ์ต้นลำพูต้นสุดท้ายไว้ให้ชาวบางลำพูได้รู้จัก จะเป็นผู้ถ่ายทอดให้ฟัง

แม้พื้นเพเดิมจะเป็นคนดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี แต่เมื่อได้มาเป็นครูสอนวิชาศิลปะอยู่ที่โรงเรียนวัดสังเวชวิศยารามตั้งแต่ปี 2519 ทำให้ อ.สมปอง มีความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชนบางลำพู ที่ในสมัยนั้นทั้งหน่วยงานราชการ บรรดาห้างร้านและธนาคารต่างๆ ยังสะกดชื่อชุมชนไม่ตรงกัน บ้างก็ใช้ “บางลำพู” บ้างก็ใช้ “บางลำภู” โดยที่ไม่รู้แน่ว่าคำใดถูกต้อง

“เราสงสัยว่าชื่อบางลำพูน่าจะมาจากต้นลำพู แต่เราไม่เคยเห็นต้นลำพู ตั้งแต่ที่มาอยู่ก็เริ่มสงสัยแล้ว” อ.สมปอง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นภารกิจการค้นหาต้นลำพูเพื่อยืนยันว่าเป็นที่มาของชื่อบางลำพู ก่อนที่อาจารย์และนักเรียนกลุ่มหนึ่งรวมถึงชาวชุมชนบางลำพูได้ออกค้นหาต้นลำพูโดยอาศัยความช่วยเหลือของผู้นำชุมชนที่อยู่บางลำพูมาตั้งแต่เกิด จนวันที่ 30 สิงหาคม 2540 จึงได้พบต้นลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพู ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา

ภาพ : อ.สมปอง ดวงไสว ผู้จุดประเด็นต้นลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพู
ต้นลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพู ที่วันนี้เหลือแต่ตอ...






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.22.49 จันทร์, 16/7/2555 เวลา : 21:17  IP : 124.121.22.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117275

คำตอบที่ 166
      

fiogf49gjkf0d
“เมื่อก่อนบริเวณที่เจอต้นลำพูเป็นสำนักงานกลางโรงงานน้ำตาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม มันทึบรกมาก ด้านหลังจะมีบ้านพักของคนงานบริษัทศรีมหาราชา ริมแม่น้ำจะมีต้นชมพู่น้ำ ต้นจิกน้ำ และมีต้นลำพูอยู่ตรงกลาง ต้นลำพูต้นนี้เป็นต้นสุดท้ายของบางลำพูที่ได้เจอ เป็นต้นอายุนับร้อยปีที่หาไม่ได้แล้ว เราไม่ได้อนุมานเอาเอง เพราะได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้มาดูเพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับต้นลำพูเลย สมัยนั้นอินเตอร์เน็ตก็ไม่มี” อ.สมปอง กล่าวและว่า

“ตอนที่เราเจอต้นลำพูตอนปี 2540 กทม.กำลังจะทำเขื่อนปิดบริเวณนี้เพื่อกั้นน้ำไม่ให้ท่วมเข้าถนนสามเสน ถนนพระสุเมร ถนนพระอาทิตย์ ซึ่งการสร้างเขื่อนปิดน้ำไม่ให้ขึ้นลง ไม่มีน้ำกร่อยเข้ามาต้นลำพูจะอยู่ไม่ได้ ก็เลยเขียนบอกไปทางหนังสือพิมพ์ พอหนังสือพิมพ์ลงข่าวสื่อมวลชนก็มาทำข่าว ในที่สุดก็มีข้อสรุปคือทำเขื่อนแบบมีที่ปิดเปิดให้น้ำเข้าออกได้และสามารถกันคลื่นได้ด้วย”

เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากนั้นกรุงเทพมหานครได้มีโครงการพัฒนาสภาพภูมิทัศน์บริเวณป้อมพระสุเมรุ ซึ่งเป็นโครงการเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยได้สร้าง “สวนสันติชัยปราการ” สวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อเป็นการเปิดภูมิทัศน์อันสวยงามของป้อมพระสุเมรุ ซึ่งต้องถือว่าต้นลำพูมีส่วนอย่างมากในการสร้างสวนแห่งนี้ขึ้น อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงรับสั่งให้ดูแลต้นลำพูต้นนี้ไว้อย่าให้ตาย

“เมื่อตอนที่รัฐบาลได้ถวายพระที่นั่งสันติปราการจำลองแด่ในหลวงในงานสโมสรสันนิบาต พระองค์ทรงทอดพระเนตรและรับสั่งกับสมเด็จพระราชินีว่า บางกอกไม่มีต้นมะกอก บางม่วงไม่มีต้นมะม่วง บางลำพูยังมีต้นลำพูอยู่ ต้นนี้ต้นเก่าแก่ ผมฟังแล้วขนลุกว่าต้นไม้ต้นเดียวท่านยังจำได้” อ.สมปองกล่าว

หากจะกล่าวว่าต้นลำพูกลายมาเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนบางลำพูก็คงจะไม่ผิด โดย อ.สมปอง กล่าวว่าการค้นพบต้นลำพูได้ทำให้เกิดความตื่นตัวในท้องถิ่นในชุมชนของตัวเอง มีการพูดถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น เรื่องราวดีๆของท้องถิ่นเยอะขึ้น รวมถึงประชาคมบางลำพูด้วยเช่นกัน โดยหลังจากที่พบต้นลำพูแล้ว ชาวชุมชนวัดสังเวช ชุมชนไก่แจ้-เขียนนิวาสน์ คนในย่านนี้ทั้งหลายมารวมตัวกันเป็นประชาคมบางลำพู มีการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะงานถนนคนเดิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดถนนคนเดินในกรุงเทพ ความคิดมาจากบางกอกฟอรั่มเป็นผู้จุดประกายให้เกิดขึ้น

คราวนี้ทุกคนก็ได้ทราบที่มาของชื่อย่านบางลำพู ส่วนต้นลำพูก็ได้รับการดูแลอย่างดี มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมแก่การดำรงชีวิต ทุกสิ่งดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่แล้วทำไมวันหนึ่ง ต้นลำพูถึงจากเราไป?

“ผมเผยแพร่ความรู้เรื่องต้นลำพูของบางลำพูอย่างต่อเนื่อง โดยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ และเขียนหนังสือ ‘ลำพู สัญลักษณ์ประวัติศาสตร์ของบางลำพู’ เป็นเล่มแรกเมื่อปี 2541 นอกจากนั้นก็สอนเด็กนักเรียนให้รู้จักประวัติศาสตร์ชุมชน ส่วนการอนุรักษ์จริงๆ เมื่อสร้างเป็นสวนสาธารณะแล้วทาง กทม. จะเป็นคนดูแล เราก็มีหน้าที่คอยช่วยคอยดูแลว่าตอนนี้เป็นยังไงแค่นั้น ซึ่งเขาก็ทำดีแล้วในระดับหนึ่ง มีการปลูกเพิ่มนั่นก็ถือว่าดี” อ.สมปอง กล่าว

ภาพ : ต้นและใบยังคงสดใส รากอากาศสมบูรณ์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.22.49 จันทร์, 16/7/2555 เวลา : 21:21  IP : 124.121.22.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117276

คำตอบที่ 167
      

fiogf49gjkf0d
“พอช่วงน้ำท่วมปีที่แล้ว ที่บ้านน้ำท่วม ผมมานอนที่ ม.ธรรมศาสตร์ ตอนเช้าๆ ก็จะมาดูต้นลำพูทุกวัน คอยมาถ่ายภาพเก็บไว้ตลอด วันหนึ่งผมเห็นใบมันเหลืองๆ ก็นึกว่าผลัดใบ แต่วันนั้นก็สังหรณ์ใจว่าหรือต้นลำพูจะตายเพราะจมน้ำ แต่ก็ไม่ได้บอกใคร พอคอยดูมาเรื่อยๆ เห็นว่าเริ่มผิดปกติแล้ว เพราะเดือนหนึ่งมันน่าจะผลัดใบใหม่แล้ว แต่นี่สองเดือนยังไม่ผลัดเลย แล้วเห็นกิ่งด้านซ้ายมันเริ่มดำๆ แปลว่าใช่แล้ว มันเริ่มค่อยๆ ตายไป”

“สาเหตุหลักคือน้ำท่วม แต่เรานึกไม่ถึงว่าเขาซึ่งอยู่กับน้ำมาจะพ่ายแพ้น้ำ เหตุที่แพ้ก็เพราะอายุมาก ถ้าเป็นต้นเต็มๆ ดีก็คงอยู่ได้ แต่เผอิญข้างในเป็นโพรง และตอนน้ำท่วมรากอากาศไม่สามารถโผล่มาหายใจได้เลย ตรงนี้ก็เพราะพวกเราไม่รู้เท่าทัน ไม่อย่างนั้นก็เอาบิ๊กแบ็กปิดแล้วสูบน้ำออกก็พอสู้ได้ แต่เราไม่รู้เพราะคิดว่าเขาจะผลัดใบ จริงๆ แล้วเคยถามผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่าต้นลำพูจะไม่ผลัดใบ แต่ต้นนี้ผลัดใบทุกปี รวมถึงทุกต้นที่อยู่ตรงนี้ด้วย เราก็เลยคิดว่ามันคงเป็นปกติของเขา ซึ่งมันก็แปลก และทำให้เราตายใจ” อ.สมปอง กล่าว

หลังจากการติดตามดูอาการของต้นลำพูมาตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่มาจนถึงเมื่อต้นปีนี้ก็ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาดูและแนะนำให้ลองริดกิ่งใบออก เพื่อให้แตกกิ่งเติบโตได้บ้าง หลังจากนั้นก็มีการตัดกิ่ง และตอนกิ่งโดยหวังว่าจะเกิดต้นใหม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนในที่สุดต้นลำพูก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยวและตายไปในที่สุด

และจากนั้น ในวันศุกร์ที่ 6 กรกฏาคม ที่ผ่านมา ทาง กทม. ก็ให้คนเข้ามาตัดต้นลำพูที่ยืนต้นตาย เหลือไว้เพียงแต่ตอสูงราว 1 ฟุต เท่านั้น โดยที่ไม่ได้บอกใคร แม้แต่ อ.สมปอง ที่อุตส่าห์ลุยน้ำไต่สันเขื่อนป้องกันน้ำท่วมเข้าไปค้นหาลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพูจนพบ ก็ไม่ทราบเรื่อง

“ต้นไม้ตายก็จริง เรายอมรับได้เพราะเป็นธรรมชาติของต้นไม้ วันหนึ่งก็ต้องตาย อายุก็ไม่น่าเกิน 200 ปี อยู่แล้ว แต่เราไม่คิดว่าเขาจะตัดทิ้ง คิดว่าเขาจะเก็บให้มันยืนต้นอยู่เป็นอนุสรณ์ตรงนี้ได้ วันจะตัดเราก็ไม่รู้ ไม่ได้มีการปรึกษากัน เราล้าหลังเหตุการณ์ ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือทัดทานได้เลย ทั้งที่เราเห็นความสำคัญของเขา ใครๆ ก็เห็นความสำคัญของเขา”

ภาพ : กิ่งก้านของต้นลำพูเริ่มแห้งและร่วงโรยหลังจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.22.49 จันทร์, 16/7/2555 เวลา : 21:27  IP : 124.121.22.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117277

คำตอบที่ 168
      

fiogf49gjkf0d
“ถามว่าตัดแล้วเอาไปไว้ไหน ปรากฏว่าไปเป็นขยะอยู่หนองแขม เขาหาต้นตะเคียนเอาไปไว้ให้คนกราบไหว้บูชาหาสตางค์ แต่เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการให้เอามาศึกษา ต้นไม้ตายไม่เป็นไร แต่ตายอย่างมีหลักฐานและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษามันถึงมีค่ามากกว่า คุณเก็บไว้ซักท่อนเอาไว้หลังพระที่นั่งสันติชัยปราการ คนก็มาดูได้ แต่วันนั้นก็ฟลุคนะ ผมเจออยู่ 3 ชิ้นที่เขาไม่เก็บไปก็เลยเก็บไว้ เผื่อวันหลังมีการจัดงานเราก็จะเอาสิ่งเหล่านี้มาให้คนได้ดู ให้เค้าทึ่งได้ว่าเรายังมีเหลืออยู่นะ” อ.สมปอง กล่าว

กว่า 15 ปี ที่ผูกพันกันมากับต้นลำพูที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของชาวบางลำพู อ.สมปองมีเพียงความรู้สึกคือเสียใจและเสียดาย “มาเจอกันทุกครั้งก็เหมือนได้คุยกัน มาแต่ละคราวช่วงหลังผมจะถ่ายรูปไว้ตลอด ตั้งแต่ยุคแรกๆ และช่วงก่อนที่สูญเสียเขาจะถ่ายไว้ถี่มาก ถ่ายครั้งหลังสุดลงในบทความของนิตยสาร อสท. เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว นั่นคือรูปสุดท้ายที่เห็นกิ่งเต็มๆ ทั้งหมด ปีที่แล้วที่จะมีกระบวนเรือพระราชพิธี ผมกะว่าจะถ่ายต้นลำพูคู่กับเรือสุพรรณหงส์ แต่ว่าตอนนั้นน้ำแรง ต้องงดไป ก็เลยได้แต่ภาพต้นลำพูกับเรือโยง เรือหางยาวไป ก็เสียดายไม่มีภาพประวัติศาสตร์ และต่อนี้ไปภาพนั้นก็จะไม่มีอีกแล้ว” อ.สมปอง กล่าวอย่างเสียดาย

แม้ต้นลำพูจะปิดฉากชีวิตลง แต่เรื่องราวของบางลำพูก็ยังต้องดำเนินต่อไป ประวัติศาสตร์บางลำพูต่อจากนี้จะไม่มีต้นลำพูที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คงเหลือแต่ตอที่เปรียบเสมือนหมุดหมายบอกเล่าเรื่องราวของอดีต แม้รอบๆ ตอที่ถูกตัดทิ้งจะยังมีต้นลำพูต้นเล็กๆ เหลืออยู่ 4-5 ต้น แต่ก็เป็นปลูกใหม่ที่ไม่ผูกพันกับต้นเก่าแก่

“ต่อไปถ้าจะเล่าถึงต้นลำพู ก็คงต้องบอกว่าช่วงที่เรารู้จักเขามากที่สุด ได้เรียนรู้เขามากที่สุดคือช่วงปี 2540 เป็นต้นมา จนถึงช่วงน้ำท่วมปีที่แล้ว แล้ววันหนึ่งเขาก็จากไป ก็จะได้เล่าถึงประวัติศาสตร์น้ำท่วมปีมหัศจรรย์ ที่จู่ๆ ก็น้ำท่วมขนาดนี้ได้ ท่วมไม่ธรรมดา และต้นลำพูก็ไปกับเค้าด้วยงานนี้” อ.สมปอง กล่าวติดตลก

การสูญเสียในครั้งนี้เป็นบทเรียนสอนอะไรหลายๆ อย่าง ที่ชัดเจนก็คือสัจธรรมของชีวิตที่ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นอกจากนั้นอีกอย่างหนึ่งที่ อ.สมปอง ชี้ให้เห็นคือการเชื่อมโยงกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนในชุมชนที่ต้องสื่อสารกันได้อย่างใกล้ชิดให้มากกว่านี้ รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่เข้ามาดูแลก็ต้องศึกษาเรื่องที่รับผิดชอบให้ลึกซึ้งมากขึ้น

“ที่ญี่ปุ่นตอนโดนสึนามิ ต้นสน 70,000 ต้น ตายหมด เหลือรอดอยู่ต้นเดียว เขาก็ระดมเงินหลายล้านเยนเพื่อรักษามันให้อยู่ได้นานเท่าที่จะนานได้ ที่เมืองจีนต้นสนเป็นพันปีก็ยังอยู่ได้ เขาเอาเหล็กยึดไว้ไม่ล้มแน่นอน เราก็น่าจะทำได้แต่สายไปแล้ว ดูแล้วมันก็เจ็บปวด เราเจอไม้ประวัติศาสตร์แต่เราไม่สามารถดูแลเค้าให้ถึงที่สุด” อ.สมปอง กล่าวปิดท้าย

ภาพ : ในที่สุดก็ถูกตัดกิ่งก้าน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.22.49 จันทร์, 16/7/2555 เวลา : 21:29  IP : 124.121.22.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117278

คำตอบที่ 169
      

fiogf49gjkf0d
และสุดท้าย ก็เหลือเพียงแค่ตอ.....





fiogf49gjkf0d
บ้านเรามันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่สนใจอะไรเลย น่าจะมีกฏหมายคุ้มครองต้นไม้หายากมั่ง ใครตัดติดคุก30ปี
จาก : kosol(kosol) 16/7/2555 21:49:19 [125.26.117.49]
นี่แหล่ะ คนไทย ง่ายๆ สบายๆ ลืมง่ายอีกต่างหาก
จาก : 130(130) 16/7/2555 22:10:32 [49.48.124.220]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.22.49 จันทร์, 16/7/2555 เวลา : 21:32  IP : 124.121.22.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 117279

คำตอบที่ 170
      

fiogf49gjkf0d
อย่าดูแคลน! อินเดียเคยพบน้ำแข็งบนดวงจันทร์มาแล้ว

หลายคนอาจจะดูแคลนว่าประเทศที่คนจนแทบล้นประเทศอย่าง “อินเดีย” นี่หรือที่จะส่งยานไปดาวอังคาร และยังตั้งเป้าส่งคนไปอวกาศในอีก 3 ปีข้างหน้านี้อีก ทำเป็นเล่นไป...อย่างน้อยเขาก็เคยส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์และพิสูจน์ว่ามีน้ำแข็งอยู่บนนั้นมาแล้ว

วันที่ 15 ส.ค.2012 ที่ผ่านมามีข่าวฮือฮาจากอินเดีย ระหว่างการฉลองครบรอบปีที่ 65 การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ เมื่อ มานโมฮัน สิงห์ (Manmohan Singh) นายกรัฐมนตรีของอินเดีย ออกมาประกาศว่า คณะรัฐมนตรีของอินเดียมีมติเห็นชอบในโครงการส่งยานโคจรไปบินรอบดาวอังคาร และนับเป็นภารกิจแรกของอินเดียที่มีเป้าหมายไปเยือนดาวอังคาร

จากข้อมูลของสเปซด็อทคอมที่อ้างรายงานข่าวของเอพีนั้น นายกสิงห์กล่าวว่า ภายใต้ภารกิจดังกล่าว ยานอวกาศของอินเดียจะเข้าไปใกล้ดาวอังคารและจะเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งการส่งยานอวกาศไปดาวอังคารนี้นับเป็นก้าวสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอินเดีย ซึ่งกำหนดส่งยานคือเดือน พ.ย.2013 ด้วยมูลค่าโครงการ 4.5 พันล้านรูปีหรือประมาณ 2.6 พันล้านบาท

การประกาศดังกล่าวตามหลังความสำเร็จขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ที่ส่งยานสำรวจเคลื่อนที่ “คิวริออซิตี” (Curiosity) ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารสำเร็จเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2012 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดยยานดังกล่าวมีน้ำหนักประมาณ 1 ตัน และขนาดประมาณรถมินิคูเปอร์ (Mini Cooper) ซึ่งนาซาคาดหวังว่าจะใช้งานยานสำรวจเคลื่อนที่ไปอย่างน้อย 2 ปีในการสำรวจพื้นที่ลงจอด คือ หลุมอุกาบาตรเกล (Gale Crater) เพื่อค้นหาว่าพื้นที่ดังกล่าวเอื้อต่อการดำรงชีวิตหรือไม่

สำหรับอินเดียนั้นเคยประสบความสำเร็จในการส่งยานโคจรไร้คนขับไปดวงจันทร์เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา โดยยานดังกล่าวคือยาน “จันทรายาน 1” (Chandrayaan-1) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพิสูจน์ว่ามีน้ำแข็งอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ และอินเดียก็ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายโครงการอวกาศ

นอกจากนี้องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (India Space Research Organisation) ซึ่งเป็นหน่วยงานอวกาศของประเทศยังได้พัฒนายานสำรวจดวงจันทร์ขึ้นอีกลำคือ “จันทรายาน 2” (Chandrayaan-2) ซึ่งมีกำหนดส่งขึ้นไปปฏิบัติภารกิจในปี 2013 ซึ่งสเปซด็อทคอมระบุว่า ภารกิจใหม่นี้จะมียานโคจรที่ปฏิบัติการคล้ายจันทรายาน-1 รวมถึงหุ่นยนต์ลงจอดและเคลื่อนที่สำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ด้วย อีกทั้งอินเดียยังกำลังพัฒนาโครงการเที่ยวบินขับเคลื่อนโดยมนุษย์และตั้งเป้าส่งมนุษย์ไปอวกาศเป็นครั้งแรกของประเทศในปี 2015

ภาพ : มาธาวัน แนร์ (Madhavan Nair) ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย หรือ ไอเอสอาร์โอ ในวันส่งจันทรายาน 1 สำเร็จ (เอเอฟพี)

Ref. : http://mgr.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000101710






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 171.97.195.45 อาทิตย์, 19/8/2555 เวลา : 01:56  IP : 171.97.195.45   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 118074

คำตอบที่ 171
      

fiogf49gjkf0d
เจ๋ง! ประดิษฐ์ที่ชาร์ตแบตฯโทรศัพท์ พลังงานลมหายใจ

Mthainews: อีกไม่นานการวิ่งออกกำลังกายไม่เพียงแค่เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ยังสามารถชาร์ตแบตเตอรรี่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายอย่างเช่น ไอโฟน ไอพอด ได้ด้วยร่างกาย โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงกับกระแสไฟฟ้า

ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ชาร์ตแบตที่ไม่ต้องเสียบกับกระแสไฟฟ้า เพียงแต่ใช้ระบบเปลี่ยนลมหายใจมนุษย์ ที่ออกมาจากปอดของเรา แปรเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะเป็นลักษณะคล้ายกับที่ปิดจมูก แต่ภายใน ประกอบด้วยใบพัด ตัวสร้างพลังงานเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าผ่านสายเชื่อมต่อ หากมีการหายใจใบพัดก็จะทำงานทันที







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พุธ, 22/8/2555 เวลา : 08:04  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 118155

คำตอบที่ 172
      

fiogf49gjkf0d
โจโค พอลโล ผู้ประดิษฐ์ ชาวบราซิล กล่าวว่า อุปกรณ์ชนิดนี้สามารถใช้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะวิ่งออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งนอนหลับ

ซึ่งในอนาคตหวังว่าจะได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย และมันจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอน และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พุธ, 22/8/2555 เวลา : 08:05  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 118156

คำตอบที่ 173
      

fiogf49gjkf0d
" นาวีมังกรรับมอบเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของประเทศ "

รอยเตอร์ส--วานนี้ (23 ก.ย.) เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน ถูกส่งมอบให้กับกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) และมีการจัดพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาของเรือ ท่ามกลางความตึงเครียดกรณีข้อพิพาทเหนือเกาะในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้

หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทมส์ รายงาน พิธีส่งมอบเรือบรรทุกเครื่องบินขนาด 300 เมตร ซึ่งเป็นอดีตเรือโซเวียตชื่อว่า วาร์ยัค จัดขึ้นที่เมืองต้าเหลียนในมณฑลเหลียวหนิง หลังจากมีการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยบริษัทต่อเรือของจีน

ในระหว่างพิธีการส่งมอบ เรือบรรทุกเครื่องบินได้ชักธงชาติจีนขึ้นเสากระโดง ธงกองทัพปลดแอกฯ บนหัวเรือฯ และธงกองทัพเรือบนพวงมาลัยเรือ ทว่า ฝ่ายกระทรวงกลาโหมจีนไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีการนี้

พิธีการดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความตึงเครียดกรณีพิพาทเหนือน่านน้ำในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีความขัดแย้งกรณีพิพาทเหนือเกาะเตี้ยวอี๋ว์กับญี่ปุ่น รวมทั้งกรณีพิพาทเหนือเกาะในบริเวณทะเลจีนใต้กับเวียดนามและฟิลิปปินส์ ที่ปะทุมากขึ้นในปีนี้ (2555)

เมื่อปีที่ผ่านมา (2554) รัฐบาลจีนยืนยันว่าจะซ่อมแซมเรือบรรทุกเครื่องบินเก่าของโซเวียด และยังกำชับอีกว่าเรือฯ นี้จะไม่มีการคุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และมีจุดประสงค์หลักๆ คือจะนำมาใช้ในการฝึกซ้อมและการวิจัย

ทว่า นับตั้งแต่ส.ค.2554 เป็นต้นมา มีการทดลองออกทะเลของเรือบรรทุกเครื่องบิน ครั้งล่าสุดนับเป็นครั้งที่ 10 (27 ส.ค.) นั้น ก่อให้เกิดความกังวลจากชาติมหาอำนาจ อย่างญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ซึ่งเรียกร้องให้จีนอธิบายว่าทำไมถึงต้องการเรือบรรทุกเครื่องบินนัก

ทั้งนี้ เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีนนี้ เป็นเรือที่ต่อในอดีตสหภาพโซเวียต ชื่อเรือว่า “วาร์ยัค” แต่สร้างไปได้ 60 เปอร์เซ็นต์ สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายลงเมื่อปี 2534 ทำให้ต้องหยุดชะงักไป และเนื่องจากอู่ต่อเรือฯ ลำนี้อยู่ในยูเครน กรรมสิทธิ์เรือฯ จึงตกเป็นของยูเครน ต่อมากองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ซื้อมาในมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2541 และนำมาดำเนินการซ่อมแซมปรับปรุงที่อู่เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ตั้งแต่ปี 2545 ขณะนี้ มีการตั้งชื่อเรือแต่เพียงว่า “หมายเลข 16”

กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ปิดความลับเกี่ยวกับโครงการความมั่นคงที่ได้รับประโยชน์จากเงินงบประมาณทางทหารมหาศาล โดยเงินงบฯ ในปีนี้ (2555) สูงถึง 106,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 11.2 เปอร์เซ็นต์

ตามรายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนกำลังทุ่มเงินกับการป้องกันภัยทางอากาศ เรือดำน้ำ อาวุธต่อต้านดาวเทียม และขีปนาวุธต่อต้านเรือที่ทันสมัย ทั้งหมดสามารถนำมาใช้เพื่อต่อต้านการเข้ามารุกรานในพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ เช่น ทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ จีนยังใช้เงินในการป้องกันอีกราว 120,000 - 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ภาพ : เหล่าทหารเรือยืนรายล้อมเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน เนื่องในพิธีส่งมอบเรือฯ ให้แก่กองทัพเรือ และเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. (ภาพเฟิ่งหวง)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 171.97.189.160 จันทร์, 24/9/2555 เวลา : 21:46  IP : 171.97.189.160   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119526

คำตอบที่ 174
      

fiogf49gjkf0d
เรือบรรทุกเครื่องบินจีน หรือขณะนี้มีชื่อเรียกว่า "หมายเลข 16" พร้อมพรักไปด้วยกองทหารเรือ เพื่อร่วมในพิธีรับมอบเรือฯ และเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อวันที่ 23 ก.ย.

Ref. : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000117282






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 171.97.189.160 จันทร์, 24/9/2555 เวลา : 21:50  IP : 171.97.189.160   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119527

คำตอบที่ 175
      

fiogf49gjkf0d
" ปรากฏการณ์ LINE "

POSITIONING : MAGAZINE : EXCLUSIVE

โดย อังสุมาลิน ศิริมงคลกิจ Positioning Magazin


-50 ล้านคน คือ ชาว LINE ทั่วโลกที่เกิดขึ้นในเวลา 399 วัน (มิ.ย. 2011-ก.ค. 2012)

-20 ล้านคน อยู่ในญี่ปุ่น

-1 ล้านคน คือ จำนวนเฉลี่ยผู้ใช้ LINE ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านมา

-100 ล้านคน เป็นจำนวนชาว LINE ทั่วโลกที่คาดว่าจะมีในสิ้นปี 2555

-1,000 ล้านข้อความ ที่ส่งกันในแต่ละวัน

-80 ล้านบาท คือ รายได้ต่อเดือนของ Naver บริษัทผู้พัฒนา LINE จากการขาย “สติกเกอร์”

นี่คือสถิติของ “LINE” แอปพลิเคชัน “แชต” ที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็น “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” ที่มีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนทั่วโลก และแน่นอนเป็น “มีเดีย” ที่ทรงพลังสำหรับแบรนด์

ปรากฏการณ์ LINE นี้ยังกำลังระบาดหนักในไทย เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในทุกมิติ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นสำหรับนักการตลาดแล้ว ทุกปรากฏการณ์คือหลักฐานสำคัญที่ทำให้เรารู้จักผู้บริโภคยุคนี้ได้มากขึ้น

LINE มาตอกย้ำว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมยอดฮิตตลอดกาลของคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ค่ายมือถือพบว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมในระดับ Top 3 นอกเหนือจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คและอีเมล และยิ่งมีอุปกรณ์ตอบโจทย์มากขึ้นอย่างสมาร์ทโฟน เครือข่ายและแพ็กเกจที่เสนอราคาพร้อมจ่ายได้ ก็ยิ่ง “แชต” กันทุกที่ทุกเวลา ส่งกันกระหน่ำมากขึ้น

แต่ “แชต” แบบเดิมๆ ส่งเฉพาะข้อความ ตัวการ์ตูนเล็กน้อยอย่างที่ WhatsApp เคยมีอาจน่าเบื่อ นี่คือช่องว่างที่ทำให้ LINE สามารถเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ด้วย 3 Key Success ที่ใช้ดังนี้

1. Cross Platform ใช้มือถืออะไรก็ LINE ได้ทั้งนั้น

“การตกต่ำลงของ BlackBerry เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นเลยว่า การคิดอะไรแล้วคิดว่าจะเก็บเอาไว้เฉพาะในดีไวซ์ หรือใช้เฉพาะในแพลตฟอร์มตัวเอง เป็นสิ่งที่ผิด แต่ LINE เปิดตัวมาก็เห็นเลยว่าใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือหลายประเภท เขาไม่ปิดกั้น” โอม-อดิลฟิตรี ประพฤติสุจริต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ ออนไลน์ จำกัด อธิบาย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ LINE เล็งเห็นมาตั้งแต่ต้น เพราะถ้าหากไล่เรียงประวัติการเปิดตัวของ LINE จะพบว่า LINE คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะเจาะตลาดแชตระดับโลกด้วยการเข้าถึงทุกระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟน เริ่มจาก iOS สัปดาห์ต่อมาเปิดตัวบน Android ตามด้วย Windows Phone BlackBerry และข้ามมายังอุปกรณ์อย่าง PC

เป็นการเปิดทุกช่องทางให้ LINE เข้าถึงทุกกลุ่ม เพราะพฤติกรรมจริงของผู้ใช้งานก็คือ ทุกคนมีเพื่อนใช้โทรศัพท์มือถือหลากหลาย มีแอปฯ แชตหลายตัว หลายคนต้องเปลี่ยนแอปฯ แชตไปมา เพราะบางแอปฯ ไม่ได้อยู่บนทุกแพลตฟอร์มหรือทุกระบบปฏิบัติการ แต่เมื่อ LINE ใช้ได้หมด จึงตอบโจทย์แอปฯ เดียวเอาอยู่ ไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมาให้ปวดหัว

2. สติกเกอร์ เครื่องมือแทนใจคนขี้เกียจพิมพ์

ช่องว่างที่ทำให้ LINE เข้ามาทดแทน WhatsApp หรือแอปฯ แชตอื่นๆ ได้ทั้งหมดคือหมัดเด็ดที่ถือเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่คือ “สติกเกอร์” ที่เป็นคาแร็กเตอร์น่ารัก ขณะที่ WhatsApp เน้นการส่งตัวหนังสือ มี Emotical ใช้แสดงอารมณ์ไม่มาก แต่ LINE มีคาแร็กเตอร์ที่สื่ออารมณ์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ถึงใจกว่า

เอนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด บริษัทแอดวานซ์อินโฟรเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้กล่าวถึงความแตกต่างของ LINE กับ WhatsApp ว่า “WhatsApp เป็นการสื่อสารด้วยข้อความ ตอบสนองด้านฟังก์ชัน ส่วน LINE มีอีโมชันด้วย มีสติกเกอร์กุ๊กกิ๊กซึ่งมาจากบุคลิกของบริษัทผู้พัฒนา”

“WhatsApp พัฒนาโดยบริษัทจากอิสราเอลก็จะเน้นการใช้งาน ส่งข้อความเร็ว ระบบหลังบ้านดี ขณะที่ LINE เป็นของบริษัทเกาหลีที่พัฒนาในญี่ปุ่นก็เลยจับไลฟ์สไตล์ได้ มีความน่ารัก ใส่ผงชูรสเข้าไปมากกว่า และเราก็ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว”

โอม-อดิลฟิตรี มองว่าสติกเกอร์เป็นมากกว่าแค่อีโมชัน “สำหรับผมสติกเกอร์มันเป็นมากกว่าอีโมชัน มันเป็นฟังก์ชันเลยล่ะ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ลูกน้อง LINE มาถามว่า มีคนนี้มาขอพบจะรับนัดไหม แล้วผมพิมพ์ตอบกลับไปว่า โอเค น้องเขาก็จะรู้เลยว่า เคสนี้เฉยๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ แต่ถ้าผมส่งเป็นสติกเกอร์กลับไปเป็นตัวคาแร็กเตอร์ชูป้ายโอเค ลูกน้องก็จะรู้เลยว่าคนนี้เป็นคนที่ผมอยากเจอต้องรีบนัดให้ไวเลย ตรงนี้เป็นการบอกว่าสติกเกอร์เป็นตัวบอกระดับขั้นของคำว่าโอเค แล้วคนรับสารเขาก็จะเก็ตความรู้สึกของคนส่ง”

3. คนไทยรักภาพมากกว่าคำ

จากพฤติกรรมของคนไทยที่มักถ่ายทอดความรู้สึกหรือเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวด้วยภาพ เห็นได้จากการอัปโหลดภาพไปยังโซเชียลมีเดียทั้งหลาย คอนเทนต์ประเภทภาพมักได้รับความนิยมตลอดมาโดยตลอด การสื่อสารด้วยภาพแทนที่จะต้องมาพิมพ์จึงกลายเป็นทางออกของการสื่อสารที่แสดงความรู้สึกที่สอดคล้องกับฟังก์ชัน สติกเกอร์ของ LINE ซึ่งการสื่อสารด้วยภาพก็เคยฮิตมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัย MSN แต่สิ่งที่ LINE ต่อยอดได้มากกว่าคือการเซตคาแร็กเตอร์ให้กับตัวการ์ตูน รวมทั้งร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ทำให้ Content ภาพของ LINE มีเรื่องราวและอารมณ์ที่ผู้ใช้งานเอาไปใช้จริงได้ในชีวิตประจำวัน

สามกุญแจสู่ความสำเร็จที่สร้างให้ LINE มีความต่าง กลายเป็นโปรดักต์ใหม่ที่สามารถสร้างเรื่องพูดคุยได้ยาวบนโลกโซเชียลมีเดียได้อย่างสวยงาม

LINE คืออะไร

LINE เป็นแอปพลิเคชันให้บริการ Messaging รวมกับ Voice Over IP ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่มแชต ส่งข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ หรือจะพูดคุยโทรศัพท์แบบเสียงก็ได้ โดยข้อมูลที่ถูกส่งขึ้นไปนั้นฟรีทั้งหมด ตอนนี้ LINE ใช้ได้ในระบบปฏิบัติการ iOS, Android, Windows Phone, PC และ BlackBerry

ฟีเจอร์ของ LINE ประกอบด้วย การส่งข้อความ, การสนทนาด้วยเสียง, การเปลี่ยนพื้นหลังแบ็กกราวนด์หน้าห้องแชต, การสนทนาแบบกลุ่ม, Official LINE และการส่งสติ๊กเกอร์

การเชื่อมต่อ LINE ของผู้ใช้เข้าหากัน มี 4 วิธี

1. เพิ่มคอนแท็กต์จากรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของ WhatsApp ที่ทำให้ผู้ใช้งานสะดวก

2. การสแกน QR Code

3. Shake it เอาโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องที่อยู่ใกล้กันมาเขย่าคล้ายการจับมือให้รู้จักกัน

4. การเสิร์ชหาจาก ID คล้ายการใส่รหัสของ BlackBerry

ต่อมา LINE ถูกพัฒนาไปไกลกว่าการเป็นแค่แอปพลิเคชัน เพราะ LINE ได้เพิ่มฟีเจอร์ Home และ Timeline เข้ามาจนกลายเป็น Social Media อย่างหนึ่ง โพสต์ข้อความบ่งบอกสเตตัส, รูปภาพ, คลิปวิดีโอ และพิกัด โดยมีจุดเด่นที่การแสดงอารมณ์ด้วยสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดแข็งของ LINE ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นไม้เด็ดที่ทำให้ LINE ถูกต่อยอดไปอีกมากและเบียด Social Media หลักอย่างเฟซบุ๊กเลยทีเดียว

ระบบหลังบ้านอีกอย่างที่มีขึ้นมาแล้วบ่งบอกทิศทางอนาคตของนั่นคือ LINE Coin หรือ “เงิน” ในอาณาจักรทั้งหมดของ LINE ซึ่งก่อนหน้านี้การซื้อสติกเกอร์จะซื้อผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปฯ โดยตรง แต่หลังจากอัพเดตล่าสุด Coin ได้เข้ามาแทนที่ กล่าวคือ ต่อไปนี้เมื่อซื้อบริการหรือสติกเกอร์ต้องแลกเป็น Coin ก่อน ถึงแม้ราคา 100 Coin จะเทียบเท่า 1.99 เหรียญเท่ากับราคาสติกเกอร์แบบเดิม แต่นี่เท่ากับเป็นการปูทางไปสู่บริการอื่นๆ ของ LINE ที่ Naver เจ้าของแอปฯ นี้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะให้บริการดูดวง, เกม และคูปองส่วนลดในอนาคต ซึ่งเท่ากับว่า LINE พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นโซเชียล มีเดีย แพลตฟอร์มแบบมีทิศทางการหารายได้อยู่ในใจชัดเจนแล้ว

กำเนิด LINE จากวิกฤตสึนามิญี่ปุ่น

Naver คือ บริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น LINE เป็นบริษัทผลิตเกมสัญชาติเกาหลี มีสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น ไอเดีย LINE มาจากเหตุการณ์วิกฤต จึงเป็นแอปฯ ที่แม้จะมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่ต้นกำเนิดของ LINE ดราม่าไม่น้อย เพราะมาจากตอนที่ญี่ปุ่นเกิดสึนามิ ระบบการสื่อสารประเภท Voice ล่มจนติดต่อกันไม่ได้ ทีมงาน 100 ชีวิตจึงระดมกำลังสร้างช่องทางสื่อสารผ่าน Data ซึ่งตอนนั้นยังใช้ได้อยู่ เพื่อติดต่อและให้กำลังใจกัน ในที่สุด LINE ก็ถือกำเนิดขึ้นในเวลา 2 เดือน

เมื่อแอปฯ LINE ถูกพัฒนาขึ้นจากส่วนที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่น จึงมีส่วนผสมของความน่ารักของญี่ปุ่นที่เป็นจุดขายการส่งออกด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาทั่วเอเชียอยู่แล้ว ทำให้การออกแบบคาแร็กเตอร์ของ LINE เข้าถึงคนไทยได้ไม่ยาก รวมทั้งประเทศอื่นๆ อย่างรัสเซีย เบลารุส ซึ่งนอกจากความน่ารักแล้วยังมาจากคาแร็กเตอร์ที่มีพื้นฐานจากการใช้ชีวิต สถานการณ์ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน

สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย ผู้บริหารของ LINE ได้ว่าจ้างบรษัท Spark Communication ดูแลเรื่องการทำพีอาร์ แต่สำหรับดีลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคู่ค้าต่างๆ ผู้บริหารจะบินตรงมาเจรจา จากนั้นมีการประสานงานกันผ่านทางอีเมลอย่างต่อเนื่อง

Time “LINE”
-23 มิถุนายน 2011 เปิดตัวเป็นครั้งแรกในระ บบ iOS
-28 มิถุนายน 2011 เข้าสู่มือถือ Android
-เดือนตุลาคม 2011 เริ่มต้นใช้ Free Call ได้
-17 ตุลาคม 2011 มีผู้ใช้งาน 3 ล้านดาวน์โหลด
-8 พฤศจิกายน 2011 หลังจากใช้งานมาแค่ 5 เดือนก็มีผู้ใช้งานถึง 5 ล้านคน
-29 พฤศจิกายน 2011 ประกาศมีผู้ใช้งาน 7 ล้านคน
-27 ธันวาคม 2011 ฉลองตัวเลข 10 ล้านคน
-27 มกราคม 2012 พอเข้าสู่ปีใหม่ Line ก็มีผู้ใช้งาน 15 ล้านคน
-2 มีนาคม 2012 ผู้ใช้งาน 20 ล้านคนทั่วโลก
-7 มีนาคม 2012 ใช้งาน Line บน PC ก็ได้
-10 มีนาคม 2012 ตามมาด้วยการใช้งานบน Windows Phone และ Mac
-29 มีนาคม 2012 เปิดตัว Line Card
-12 เมษายน 2012 เปิดตัว Line Camera แอปฯ แต่งภาพ
-18 เมษายน 2012 Line แอปฯ หลักมีผู้ใช้งาน 30 ล้านคน
-26 เมษายน 2012 เพิ่ม Sticker Shop ผู้เล่นซื้อสติ๊กเกอร์ได้แล้ว 15 แบบ
-9 พฤษภาคม 2012 คุยเป็นกลุ่มได้แล้วด้วยฟีเจอร์ Group Board
-6 มิถุนายน 2012 มีผู้ใช้งาน 40 ล้านคน เมื่อแอปฯ มีอายุ 1 ปี
กลางเดือนมิถุนายน 2012 Official Line เปิดให้บริการ
-4 กรกฎาคม 2012 Line Brizzle เกม Puzzle ที่มาพร้อมกับคาแร็กเตอร์นกจอมกวน
-ต้นเดือนกรกฎาคม 2012 จับมือกับ Sarino ออกแบบสติกเกอร์ Kitty
-26 กรกฎาคม 2012 ฉลองครั้งใหญ่ด้วยยอดดาวน์โหลด 50 ล้านครั้ง
-ปลายเดือนกรกฎาคม 2012 เปิดตัว Line Brush แอปฯ วาดรูป
-ต้นเดือนสิงหาคม 2012 LINE ประเทศญี่ปุ่นเปิดจำหน่ายสติกเกอร์ Snoopy และ Tweety
-6 สิงหาคม 2012 เปิดฟีเจอร์ Home และ Timeline ในแอนดรอยด์
-20 สิงหาคม 2012 LINE for Blackberry ในประเทศไทยเริ่มใช้งานได้
-21 สิงหาคม 2012 Line 3.1.0 ระบบเงินในโลกของ LINE ที่เรียกว่า LINE Coin

Ref. : http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000119220






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.185.235 เสาร์, 29/9/2555 เวลา : 19:53  IP : 124.121.185.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119702

คำตอบที่ 176
      

fiogf49gjkf0d
" มาถึงแล้ว แอร์บัส A380 การบินไทยลำแรก "

เครื่องบินโดยสารลำใหญ่ที่สุดในโลก แอร์บัส A380 ลำแรกของสายการบินไทย เดินทางถึงสุวรรณภูมิแล้ว เมื่อเช้าวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา และพร้อมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เที่ยวบินแรก 6 ตุลาคมนี้

เช้าวันนี้(29ก.ย.) เครื่องบินแอร์บัส เอ380-800 ลำแรกของการบินไทย ได้เดินทางมาสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากมีพิธีรับมอบที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์ และพัฒนาธุรกิจรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทยจำกัด กล่าวภายหลังนำเครื่องบินแอร์บัส เอ380-800 ลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่าในเบื้องต้นจะใช้เครื่องบินแอร์บัส เอ380-800 ทดสอบบินในระยะสั้นก่อน เพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้สัมผัส และอีก 2 ลำ ที่จะนำส่งในปลายเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ จะให้บริการในเส้นทางไปกลับกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต และลำที่ 3-4 จะบินในเส้นทางกรุงเทพ-ฝรั่งเศส

ทั้งนี้หากได้ฝูงบินแอร์บัส เอ380-800 ครบทั้ง 6 ลำ ซึ่งคาดว่าจะได้ครบในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ทางบริษัทการบินไทย มีแผนที่จะบินไปยังเมืองซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย รวมถึงเส้นทางบินประเทศญี่ปุ่น ส่วนผลประกอบการคาดว่าจะทำให้ฐานการผลิตของการบินไทยในปี 2556 มีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 10 โดยเป็นการขยายตัวของจำนวนเครื่องบิน และจำนวนที่นั่ง และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 แสนล้านบาท เป็น 2.2 แสนล้านบาท

Ref.: http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000119684>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.185.235 เสาร์, 29/9/2555 เวลา : 20:07  IP : 124.121.185.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119703

คำตอบที่ 177
      

fiogf49gjkf0d
“กังนัม” ย่านนี้ สไตล์ไหน.....

ถึงนาทีนี้แล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก “กังนัมสไตล์” (Gangnam Style) เพลงดังของ “PSY-ไซ” หรือ ปาร์ก แจ ซอง แร็ปเปอร์ชาวเกาหลี ที่ของดีไม่ได้อยู่ที่หน้าตา แต่อยู่ที่ความฮิตของท่าเต้นควบม้า และความฮาของมิวสิกวิดีโอ ที่ส่งให้เพลงและท่าเต้นนี้ฮิตระเบิดไปทั่วโลก

เนื้อหาของเพลงกังนัมสไตล์ พูดถึงการใช้ชีวิตแบบคนรวย กลางวันก็ทำงานเต็มที่ กลางคืนก็ออกไปสนุกสนาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูง รู้ว่าเวลาไหนควรทำตัวแบบไหน เป็นแบบฉบับของคนในย่านกังนัม หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการเสียดสีสังคมวัตถุนิยม ล้อเลียนสังคมย่านกังนัมที่ดูหรูหราและมั่งคั่ง ใช้จ่ายเงินเพื่อให้ดูเป็นสไตล์ของคนมีเงิน

ถ้ากล่าวถึงย่าน “กังนัม (Gangnam)” (หรือ “คังนัม”) ในเกาหลีใต้ ก็คือย่านธุรกิจ แฟชั่น และย่านของคนมีอันจะกินในกรุงโซลยุคปัจจุบัน สมัยก่อนนั้น “กังนัม” ที่แปลว่า “ฝั่งใต้ของแม่น้ำ” เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่เกษตรกรรม เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผลจากการเติบโตเศรษฐกิจในช่วงยุค 1970 ทำให้แผ่นดินย่านกังนัมกลายเป็นทอง กลายเป็นย่านธุรกิจ การค้า และเป็นที่อยู่อาศัยของคนมีอันจะกิน แต่คนในย่านนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นเศรษฐีใหม่ แตกต่างจากย่านธุรกิจและที่ทำการรัฐบาลย่านเก่าที่ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของแม่น้ำฮัน อันเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนเก่าของขุนนาง และเศรษฐีเก่า

ปัจจุบัน ย่านกังนัมเป็น 1 ใน 25 เขต ที่รวมกันเป็นกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของกรุงโซล แต่ที่ดินในเขตกังนัมรวมกันแล้วมีมูลค่าสูงกว่าราคาที่ดินของเมืองปูซาน เมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้เสียอีก ทั้งๆ ที่ปูซานเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้า และเป็นเมืองอุตสาหกรรม

ภาพ : “กังนัม” ในยามค่ำคืน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.27.156 อังคาร, 2/10/2555 เวลา : 00:00  IP : 124.121.27.156   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119795

คำตอบที่ 178
      

fiogf49gjkf0d
ในกังนัมอันเป็นย่านธุรกิจนั้น นอกจากจะมีออฟฟิศใหญ่ๆ ซึ่งเป็นบริษัทระดับชาติ ก็ยังมีบริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งอยู่ในแถบนี้ด้วย และยังมีทั้งคลินิกศัลยกรรมชื่อดังหลายแห่ง โรงเรียนกวดวิชา มหาวิทยาลัยชื่อดัง แหล่งช้อปปิ้ง ร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารแพงๆ รวมไปถึงการมีสภาพแวดล้อมที่ดี สาธารณูปโภคครบครัน ที่ส่งผลให้กังนัมกลายเป็นย่านแห่งความหรูหรา ใครที่ได้ขึ้นชื่อว่าอาศัยในย่านนี้ก็จะกลายเป็นคนรวยขึ้นมาในทันที

แม้ว่าจะเป็นย่านหรูหรา แต่กังนัมก็ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญนักของกรุงโซล เนื่องจากไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่ก็มีเฉพาะห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ เช่น Coex Mall ที่มีทั้งโรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ และอควาเรียม รวมอยู่ในแห่งเดียวกัน รวมไปถึง ห้างลอตเต้ สถานที่รวมเอาสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ มาไว้ด้วยกัน

หากจะเทียบกับบ้านเราแล้ว ย่านกังนัม ก็คล้ายกับ สีลม-สาทร อันเป็นย่านธุรกิจใจกลางกรุงนั่นเอง

ภาพ : ย่านช้อปปิ้งของกังนัม

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120278





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.27.156 อังคาร, 2/10/2555 เวลา : 00:03  IP : 124.121.27.156   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119796

คำตอบที่ 179
      

fiogf49gjkf0d
ชำแหละโฆษณา “รวมพลังปลดหนี้ LPG” หลอกขึ้นราคาคนในชาติ-อุ้มธุรกิจ ปตท.

“ผศ.ประสาท” ชำแหละโฆษณา “รวมพลังปลดหนี้แก๊สแอลพีจี” บิดเบือน เชื่อกระทรวงพลังงานหวังผลสร้างความชอบธรรมในการขึ้นราคา แฉสาเหตุที่ต้องนำเข้า แท้จริงมาจากภาคปิโตรเคมีซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. แต่กลับโยนให้คนทั้งชาติช่วยแบกรับภาระ “ปานเทพ” หนุนแนวคิดภาคปิโตรเคมีซื้อก๊าซจากต่างชาติเอง ระบุจะทำให้ก๊าซในประเทศเหลืออย่างมหาศาล ราคาถูกลงแน่นอน

วันที่ 1 ต.ค. ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงานวุฒิสภา และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV

ผศ.ประสาทกล่าวว่า โฆษณารวมพลังปลดหนี้แก๊สแอลพีจี มีการบิดเบือนโดยทำให้เห็นว่าที่แก๊สแอลพีจีไม่เพียงพอเพราะคนทั้งประเทศใช้เยอะ จากที่เคยส่งออกต้องเปลี่ยนมาเป็นนำเข้า แต่ไม่ยอมบอกว่าภาคปิโตรเคมีที่ใช้แอลพีจีนั้นเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงปี 2553-2554 เพิ่มขึ้นมากถึง 34 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ แล้วปัจจุบันก็โตเกือบจะเท่าภาคครัวเรือนแล้ว

จากข้อมูล (ภาพประกอบ 3) การใช้แก๊สแอลพีจีในภาคปิโตรเคมีเพิ่งเริ่มนับในปี 2535 และในปี 2551 เราได้เริ่มนำเข้า แต่ที่เขาไม่บอกคือเราใช้ก๊าซไปทำอะไร ซึ่งในปี 2554 มีการนำเข้า 1.4 ล้านตัน แต่ใช้ในภาคปิโตรเคมีถึง 2.1 ล้านตัน ฉะนั้นแล้วถ้าไม่นับภาคปิโตรเคมี ก๊าซเรามีเหลือเฟือ แล้วปรากฎว่าธุรกิจปิโตรเคมีทั้งหลายก็เป็นบริษัทลูกที่ปตท.ที่ตั้งขึ้นมา

ที่แสบกว่านั้นในอดีตเราตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยส่วนมากเก็บเงินจากเบนซินเพื่อไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล ในช่วงที่น้ำมันแพง แต่ต่อมาดันเอาไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม เท่าที่พบคือเริ่มชดเชยแอลพีจีตั้งแต่ปี 2542 ในราคากิโลกรัมละ 5.55 บาท

ผศ.ประสาทกล่าวต่อว่า ในปี 2554 คนไทยใช้แก๊สหุงต้มจำนวน 6.89 ล้านตัน ราคาขายปลีกปัจจุบัน (กันยายน 2555) ไม่รวมค่าขนส่งอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม มูลค่าก็ปาเข้าไปที่ 1.25 แสนล้านบาท ถ้าขายตามราคานำเข้าที่ราคาตลาดโลก 31 บาท มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.14 แสนล้านบาท ตัวเลขมันใหญ่พอที่เขาต้องทำโฆษณานี้ออกมา แต่ปัญหาคือเงินที่ไปชดเชยก๊าซหุงต้ม ได้ถูกดึงไปใช้ในภาคปิโตรเคมีด้วย กลายเป็นว่าคนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับภาระเพื่อสนับสนุนกิจการปตท.

ส่วนที่อ้างว่าใช้แอลพีจีในรถยนต์เป็นการใช้ผิดประเภท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ส่งเสริมให้ใช้เอง แต่พอผลิตเอ็นจีวีได้ก็ดึงคนไปใช้เอ็นจีวีแทน อีกทั้งมีข้อมูลจาก ม.ล.กรณ์กสิวัฒน์ เกษมศรี บอกว่าแม้แต่ควีนอลิซาเบธ และในประเทศออสเตรเลีย ก็ใช้แอลพีจีในรถยนต์

ผศ.ประสาทกล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของโฆษณาตัวนี้ เพื่อหาความชอบธรรมนำไปสู่การขึ้นราคาแอลพีจีเป็น 31 บาท โดยโยนความผิดให้ประชาชนว่าใช้ผิดประเภท ใช้ฟุ่มเฟือย ทั้งที่ความจริงแล้วสาเหตุที่ดินพอกหางหมูอยู่ทุกวันนี้คือการแปรรูป ปตท. เพราะก่อนหน้านี้จ่ายเงินเข้ากองทุน รัฐก็จัดสรรมาถึงประชาชน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ครึ่งหนึ่งเป็นของเอกชนไปแล้ว ซึ่งมันไม่เป็นธรรม มีเพียงไม่กี่หมื่นคนที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้

นอกจากนี้ ผู้บริหารของ ปตท.เคยบอกไว้เองว่า แอลพีจีในภาคปิโตรเคมีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าตัว ฉะนั้นให้เป็นหน้าที่ของบริษัทนำเข้าเองจากต่างประเทศได้หรือไม่ ส่วนของในประเทศให้ประชาชนใช้ อย่าลืมว่าประชาชนเป็นเจ้าของทรัพยากร

ด้าน นายปานเทพกล่าวว่า โฆษณาก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่ารู้ทันก๊าซ ทราบมาว่านักวิชาการที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เป็นดอกเตอร์ท่านหนึ่งไปลงทุนลงแรงทำโฆษณานี้ขึ้นมาโดยไม่เปิดเผยชื่อ แต่ตัวนี้เปิดเลยว่าเป็นของกระทรวงพลังงาน ทำขึ้นมาก็เพื่อโน้มน้าวประชาชนให้เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องขึ้นราคา และเพื่อให้ประชาชนเชื่อจึงเอาพรีเซ็นเตอร์ 4 คนมาพูด (วิทวัส สุนทรวิเนตร์, ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา, สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ, วีระ ธีรภัทร) ซึ่งแต่ละคนก็พูดด้วยความระวัง พูดเพื่อความเป็นธรรม แต่น่าเสียดายที่มันอยู่ในโฆษณาที่ชี้ชวนให้ขึ้นราคากับคนทั้งประเทศ นี่คือเล่ห์เพทุบายของโฆษณาชิ้นนี้ แต่ทุกคนก็ยังยอมเป็นพรีเซนเตอร์ให้

เราใช้ก๊าซหุงต้มมากจริง แต่ปัญหาคือใครใช้มาก ณ วันนี้ เทียบแล้วเรานำเข้า 1.4 ล้านตัน แต่ภาคปิโตรเคมีใช้ถึง 2.1 ล้านตัน เขาใช้มากกว่าที่นำเข้าด้วยซ้ำ หมายความว่าทำให้กระทบในประเทศแล้วยังต้องไปนำเข้าอีก จากที่เราเคยเป็นประเทศส่งออก จนต้องมานำเข้านั้นก็เพราะภาคปิโตรเคมี ไม่ใช่เพราะประชาชน

ประการต่อมา อุตส่าห์อ้างราคาตลาดโลก ว่าได้แบกรับราคาที่ต่ำเกินจริงไปเยอะ แต่คนที่จ่ายเข้ากองทุนพลังงานก็คือประชาชนผู้ใช้เบนซิน ต้องจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน 5-6 บาทต่อลิตร โดยให้เห็นภาพว่าคนรวยคือคนใช้เบนซิน จ่ายอุดหนุนเพื่อแบกรับภาคขนส่งที่ใช้ดีเซลและประชาชนตาดำๆที่ใช้ก๊าซหุงต้มทำอาหาร แต่ไม่เคยบอกเลยว่าส่วนหนึ่งได้ไปแบกรับภาคปิโตรเคมีและอุตสาหกรรม ที่อ้างว่าช่วยคนจนที่จริงแล้วคนจนถูกจับไปเป็นข้ออ้าง ไม่พูดสักคำว่าคนรวยมหาศาลกำลังใช้ประชาชนทั้งประเทศไปแบกรับให้เขาได้ต้นทุนต่ำที่สุด จะได้รวยที่สุดเวลาส่งออก

นายปานเทพกล่าวต่อว่า ปัญหาดินพอกหางหมูสามารถแก้ไขได้เลย โดยไม่ต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย เพียงแค่แยกอุตสาหกรรมปิโตรเคมีออกจากการอุดหนุนทั้งหมด แต่เชื่อได้เลยโฆษณานี้เป็นการขึ้นราคากับคนไทยทั้งประเทศ ตามประกาศมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว

ที่เหมาะสมนั้นภาคปิโตรเคมีและอุตสาหกรรม ไม่ควรได้ราคาเท่ากับภาคประชาชนมาตั้งแต่ต้นแล้ว ทีนี้กองทุนที่ไปอุดหนุนราคาก็เป็นหนี้ด้วย ส่วนปตท.มีแต่ได้กับได้ ไม่ต้องขาดทุนเพราะได้กองทุนนี้มาอุดหนุนในการตรึงราคา ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็ได้กำไรมากมาย ก๊าซปากหลุมก็ได้ในราคาถูก ได้กำไรหลายทอด แต่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์เลย แถมยังชี้หน้าด่าว่าไม่ประหยัด ฟุ่มเฟือย ซึ่งมันฟังไม่ขึ้น ประชาชนคนขับรถไม่มีทางเลือกที่จะไม่ขับรถ คนที่ทำกับข้าวก็ต้องกินข้าวเท่าเดิม ไม่ใช่พอก๊าซถูกแล้วกินข้าวมากขึ้น แต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีสิทธิเลือกที่จะใช้ก๊าซในประเทศให้น้อยลง แล้วเลือกใช้จากต่างประเทศในราคาตลาดโลกแทนคนอื่นเขา อย่างน้อยก็แค่รวยน้อยลง เพราะไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเหมือนภาคประชาชน

ทั้งนี้ คิดแบบตัวเลขกลมๆ ถ้าแยกภาคปิโตรเคมีออกไป จะเหลือก๊าซแอลพีจีในชาติ 7 แสนตันอย่างต่ำ เมื่อดูอุปสงค์-อุปทาน ราคาก๊าซต้องลงแน่นอน และถ้าธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันกับทั่วโลกจริง ต้องใช้ในราคาที่ทั่วโลกใช้กัน

Ref. : http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120583






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.29.16 อังคาร, 2/10/2555 เวลา : 21:51  IP : 124.121.29.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 119824

คำตอบที่ 180
      

fiogf49gjkf0d
25หนังมรดกชาติไทย เสียดายถ้าไม่ได้ดู..

ซึ่ง 1 ใน 25 เรื่อง... มีเรื่อง "หนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์ " ซะด้วยสิครับ..

หนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์ (2517)

เด็กไทย โดยเฉพาะเด็กชายในยุค 2510-2520 ไม่ว่าอยู่ที่ใดในเมืองไทย ไม่รอดพ้นจากอำนาจมนต์สนุกของภาพยนตร์ชุดทางทีวีจากญี่ปุ่น คือ ชุดยอดมนุษย์ อุลตร้าแมน ฮีโร่ของเด็กทั้งเด็กญี่ปุ่นและเด็กไทย เด็กๆ ต่างชื่นชมและบูชาพวกยอดมนุษย์ที่คอยพิทักษ์โลกโดยการปราบเหล่าร้ายสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกือสารพัด สร้างโดย สมโภช แสงเดือนฉาย

สำหรับอีก 24 เรื่องที่เหลือ.. หาอ่านได้ใน
http://www.posttoday.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/182360/25%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B9







fiogf49gjkf0d
เหอๆไม่ไหวจะดูและ555
จาก : TTC077(TTC077) 23/10/2555 23:26:38 [124.122.183.52]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 110.168.17.117 อังคาร, 23/10/2555 เวลา : 23:17  IP : 110.168.17.117   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 120395

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 6 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันจันทร์,23 ธันวาคม 2567 (Online 6493 คน)