WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วิทยาศาสตร์ + ความรู้ รอบๆ ตัวเรา...
005
จาก BoyDogtag,TTC-005
IP:202.122.130.31

อังคารที่ , 13/7/2553
เวลา : 15:28

อ่านแล้ว = 44989 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 7 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  

คำตอบที่ 181
      

fiogf49gjkf0d
ปฏิบัติการวันสิ้นโลก 2012 ท้าพิสูจน์ที่ปราสาทภูเพ็ก สกลนคร

ปฏิทินชาวมายาบอกว่าโลกจะดับสูญในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ตรงกับ พ.ศ. 2555 แต่สุริยะปฏิทินขอมพันปีที่ปราสาทภูเพ็ก บนยอดเขาสูง 520 เมตร ชี้ว่าวันนี้เป็นวัน "เหมายัน" กลางคืนยาวที่สุด และโลกก็ยังอยู่ต่อไป

กิจกรรม และวิธีการท้าพิสูจน์ของ "ปฏิบัติการวันสิ้นโลก" ที่ปราสาทภูเพ็ก สกลนคร

ในเมื่อปฏิทินชาวมายาและกระแสข่าวลือทั่วโลกตั้งโจทย์ว่า "แกนโลก" จะกลับขั้ว ทีมงานพยัคฆ์ภูเพ็กก็ต้องพิสูจน์หักล้างว่านี่คือข่าวลือเข้าทำนอง "แหกตา" ระดับโลก โดยปฏิบัติการ "ตรวจแกนโลก" ใช้หลักดาราศาตร์และคณิตศาสตร์จากข้อมูลที่บรรพชนเมื่อพันปีที่แล้วทิ้งไว้ที่ปราสาทภูเพ็ก
1.ปฏิบัติการทางดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์

1.1 พิสูจน์ว่าขั้วโลกเหนือยังคงชี้ที่ตำแหน่ง "ดาวเหนือ"

โดยใช้รอยขีดที่พื้นหินหน้าท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (ท่อโสมสูตร) เป็นเครื่องช่วยหาตำแหน่ง ในคืนวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ผมกับคุณหมอศิริโรจน์ฯ จะปีนขึ้นไปบนหลังคาของห้องวิมานของปราสาทภูเพ็ก และใช้เชือกผูกลูกดิ่งหย่อนลงมาให้ตรงกับจุดกึ่งกลางของท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (มีรอยขีดบนหินกำกับอยู่ที่ข้างฝาและพื้น) เพื่อกำหนดตำแหน่งยืนให้หันหน้าตรงทิศเหนือภูมิศาสตร์ซึ่งชี้ที่ขั้วโลกเหนือ (Geographic north) ใช้อุปกรณ์ครึ่งวงกลมวัดมุมเงยขึ้นไป 17 องศา จะตรงกับ "ดาวเหนือ" (North Star, Polaris) หลายท่านอาจถามว่ารู้ยังไงว่านี่คือดาวเหนือ ก็ใช้วิชาดาราศาสตร์ครับ ราวหัวค่ำของคืนดังกล่าวจะใช้ดาวค้างคาว (Cassiopia) เป็นตัวช่วยชี้ ถ้าดึกหน่อยจะใช้กลุ่มดาวหมีใหญ่ (Ursa Major) เป็นตัวชี้

1.2 พิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าดวงอาทิตย์จะต้องขึ้นที่มุมกวาด 115 องศา (Azimuth 115) ของตำแหน่งสุริยะปฏิทินขอมพันปี ในเช้าวันที่ 21 ธันวาคม 2555 หรือ 21 December 2012

ปราสาทภูเพ็กมีหินสี่เหลี่ยมวางอยู่หน้าประตูห้องวิมานด้านบนมีรูสี่เหลี่ยมเล็กๆเรียงกันในรูปทรงเรขาคณิต ผมใช้หลักดาราศาสตร์บวกกับข้อมูลปฏิทินมหาศักราช นักโบราณคดีจากกรมศิลปากรให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาล แต่ผมตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งดวงอาทิตย์ในราศีสำคัญของปฏิทินมหาศักราชซึ่งใช้ในราชสำนักขอม ปฏิทินฉบับนี้รับอิทธิพลมาจากอินเดียและปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ในระบบราชการอินเดีย ผมเป็นนักเรียนเก่าจากมหาวิทยาลัยเกษตรแห่งรัฐปันจาบ ประเทศอินเดีย ก็มีไดอารี่ปฏิทินมหาศักราชควบคู่กับปฏิทินสากล ดังนั้นผมได้ทำการพิสูจน์ในเชิงประจักษ์หลายครั้งหลายหนจนลงความเห็นว่านี่คือ "สุริยะปฏิทิน" ขอมพันปี ท่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปที่คอลั่ม "ปราสาทภูเพ็ก" ในเว้ปไซด์เดียวกันนี้ ดังนั้นเช้าวันดังกล่าวดวงอาทิตย์ต้องขึ้นตรงกับตำแหน่ง "เหมายัน" ราศีแพะทะเล (Zodiac Carpricornus)

1.3 ตรวจสอบว่าแกนของโลกยังคงอยู่ที่มุมเอียง 23.5 องศา จากแนวดิ่ง

เป็นที่ทราบอย่างดีว่าโลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะเอียงจากแนวดิ่ง 23.5 องศา ทำให้ได้รับแสงอาทิตย์ด้วยมุมตกกระทบไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลาจึงก่อให้เกิดฤดูกาลอย่างที่เราๆท่านๆสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทีมงานพยัคฆ์ภูเพ็กมีวิธีตรวจสอบมุมเอียงของแกนโลกโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคอะไรทั้งสิ้น พูดง่ายๆว่าคำนวณโดยใช้ไม้แท่งเดียวเท่านั้น วิธีการคำนวณใช้สูตรนี้นะคร้าบ

มุมเอียงของแกนโลก = 90 - (มุมตกกระทบเวลาเที่ยงสุริยะของวันเหมายัน + องศาของเส้นรุ้ง)

มุมตกกระทบเวลาเที่ยงสุริยะของวันเหมายัน คือมุมเงยของดวงอาทิตย์ ณ ตำแหน่งที่ตรงกับทิศเหนือแท้ ของวันที่ 21 ธันวาคม เป็นปรากฏการณ์เหมายัน (Winter solstice) กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี

องศาเส้นรุ้ง สามรถหาได้สองวิธี หนึ่งวัดมุมเงยของดาวเหนือซึ่งทำได้ทุกคืน สองวัดมุมเอียงของดวงอาทิตย์ (Angle of incidence) ในวันที่ 21 มีนาคม หรือ 23 กันยายน เป็นปรากฏการณ์ "วิษุวัต" โลกตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน

1.4 ตรวจสอบอัตราความเร็วการหมุนรอบตัวเองของโลก

ปกติโลกหมุนรอบตัวเองในอัตราความเร็ว 1 องศา ต่อ 4 นาที หรือ 15 องศา ต่อ 1 ชั่วโมง โดยคำนวณจากโลกเป็นวัตถุทรงกลม 360 องศา และหมุนรอบตัวเองโดยเฉลี่ยวันละ 24 ชั่วโมง ตัวเลขนี้ใช้ในการกำหนดเวลามาตรฐาน Greenwich Mean Time (GMT) โดยให้เมือง Greenwich ที่ประเทศอังกฤษเป็นจุดเริ่มต้นของ "ศูนย์องศา เส้นแวง" (Longitude 0) ประเทศไทยเราใช้เส้นแวงที่ 105 ตะวันออก เราจึงอยู่ที่โซนเวลา +7 GMT คำนวณจาก 105 องศา x 4 นาที = 420 นาที หารด้วย 60 = 7 ชั่วโมง มิน่าตอนถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรแข่งที่ประเทศอังกฤษเวลาสองทุ่มแฟนบอลพี่ไทยอย่างเราๆท่านๆต้องถ่างตาดูที่เวลาตีสาม เล่นเอาง่วงนอนกันระนาวในตอนทำงานวันรุ่งขึ้น ในการนี้เราใช้นาฬิกาแดดเปรียบเทียบกับนาฬิกาข้อมือ และกร้าฟสมการแห่งเวลา (Equation of time) เพื่อตรวจดูว่าโลกหมุนรอบตัวเองในอัตราปกติ 1 องศา ในเวลา 4 นาที หรือ 15 องศา ใน 1 ชั่วโมง หรือไม่

อย่างไรก็ตามในวันที่ 17 ธันวาคม 2555 นาฬิกาแดดกับนาฬิกาข้อมือจะกลับมาเท่ากันอีกครั้งหนึ่ง จะใช้วิธีเดิมตรวจสอบการหมุนรอบตัวเองของโลกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ผมคัดย่อมาบางส่วน สมาชิกท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดตามที่ลิ้งค์ได้เลย http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539370544

โดยส่วนตัวแล้ว แปลกดีครับ บางสิ่งบางอย่างทำให้รู้ว่าคนโบราณสมัยขอมคิดค้นวิธีกำหนดปฏิทินได้แล้ว ซึ่งหลักฐานก็ยังปรากฏอยู่ ทริปนี้น่าสนใจครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kosol จาก 083 125.26.120.72 ศุกร์, 26/10/2555 เวลา : 00:25  IP : 125.26.120.72   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 120415

คำตอบที่ 182
      

fiogf49gjkf0d
ตบท้าย......ด้วยภาพเปรียบเทียบความเหมือนระหว่างสัญลักษณ์ลึกลับที่ปราสาทภูเพ็ก สกลนคร ประเทศไทย กับสัญลักษณ์บนปฏิทินชาวมายา ประเทศเม็กซิโก และที่แน่ๆสถานที่ค้นพบปฏิทินชาวมายา กับสถานที่ตั้งของปราสาทภูเพ็ก อยู่ในเส้นรุ้งเดียวกัน แต่คนละซีกโลก







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kosol จาก 083 125.26.120.72 ศุกร์, 26/10/2555 เวลา : 00:31  IP : 125.26.120.72   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 120416

คำตอบที่ 183
      

fiogf49gjkf0d
" พบบ่อน้ำมันเมืองแพร่ แฉรัฐปกปิด-ประเคนต่างชาติ-ปตท."

แพร่ - ยันพบแหล่งน้ำมันในประเทศหลายพื้นที่ เฉพาะภาคเหนือ 6 จว.มีหมด แต่รัฐปกปิดหมกเม็ด เตรียมประเคนสัมปทานให้ต่างชาติ-ปตท. ทำคนไทยต้องซื้อน้ำมันแพง ปลุกคนไทยร่วมดันกฎหมายพลังงาน ตั้งสภาพลังงานตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน จนถึงระดับชาติ กันนักการเมืองออกจากวงจรผลประโยชน์ เก็บค่าภาคหลวงเพิ่มเป็น 80% จากเดิมเก็บแค่ 5%

วันนี้ (2 ธ.ค.) พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส ได้เปิดเผยข้อมูลบ่อน้ำมันในจังหวัดภาคเหนือ ระหว่างร่วมเวทีเสวนาปฏิรูปการเมือง-ชำแหละปัญหาพลังงาน ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จัดขึ้นที่จังหวัดแพร่ ว่า น้ำมันดิบในประเทศมีอยู่จำนวนมหาศาล แต่รัฐบาลสำรวจ และปกปิดไม่ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล ในขณะเดียวกัน กำลังดำเนินการยกสัมปทานให้แก่ต่างชาติไป

โดยที่จังหวัดแพร่ มีบ่อน้ำมันอยู่ห่างจากที่ประชุมคือ โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์เพียง 4 กม.เท่านั้น รวมถึงแหล่งน้ำมันในภาคเหนืออีกจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลมีแผนยึดแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ และใช้ไม่หมด 6 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ลำพูน ลำปาง และแพร่ ไปเป็นของ ปตท. ทำให้ต้องมีการปิดบ่อน้ำมันไว้ก่อน

ในการเดินหน้าของภาคประชาชน จะต้องมีการปฏิรูปเก็บค่าภาคหลวงร้อยละ 80 จากผลผลิต ไม่ว่าจะเป็นสัมปทานต่างชาติ หรือปตท.ก็ตาม ต้องทำให้เป็นหลักสากล จากปัจจุบัน ประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการเก็บภาษีต่ำที่สุดในโลก เมื่อเก็บค่าภาคหลวงเป็นแบบสากลแล้ว จะสามารถนำเงินมาพัฒนาประเทศได้มาก

สำหรับการร่างกฎหมายพลังงานซึ่งถือเป็นมติของประชาชน เบื้องต้น มีการเสนอโมเดลเป็นสภาพลังงานแห่งชาติ เรียกว่ามีสภาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีการตรวจสอบแหล่งน้ำมันอย่างโปร่งใส บริหารโดยประชาชน เอาพลังงานแยกออกมาจากนักการเมืองเด็ดขาด

ในอนาคต จะต้องมีคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติมาตั้งแต่ระดับหมู่บ้านๆ ละ 21 คน ระดับตำบล 21 คน ระดับอำเภอ 21 คน ระดับจังหวัด 21 คน เป็นระดับขึ้นไปจนถึงระดับชาติ รวมประมาณ 1.5 ล้านคน ทำหน้าที่ตรวจสอบแหล่งน้ำมัน ปริมาณการขาย ส่งจำหน่ายเท่าไหร่ต้องนำมาเป็นรายได้ของคนไทยเข้ากระเป๋าคนไทยทุกคน หลังจากนั้น จะมีโครงการร่วมกับหลายประเทศสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ขนส่งมวลชน และน้ำมันไปยังภูมิภาคต่างๆ

“แพร่จะกลายเป็นศูนย์กลางน้ำมัน และแหล่งท่องเที่ยวในอาเซียน ทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจประเทศไทยมากขึ้น ประเทศไทยจะพัฒนามากในหลายๆ ด้านด้วยรายได้จากการจำหน่ายน้ำมัน แต่ปัจจุบัน มีการเบียดบังของนักการเมืองทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพง และมีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย”

เขาย้ำว่า ทางออกต้องปฏิรูปอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายใน 3 เดือนจากนี้ไปจะต้องเร่งทำกฎหมายพลังงานโดยประชาชน เพื่อกันนักการเมืองออกไปโดยต้องใช้ความร่วมมือจากประชาชน 67 ล้านคน ทำให้น้ำมันเหลือ 19 บาท/ลิตร แก๊ส 7 บาท

“ทุกอย่างจะพัฒนาได้หมดจากรายได้น้ำมันของชาติ”

นายอานันต์ ฟูตุ้ย ชาว อ.เด่นชัย จ.แพร่ กล่าวว่า ชาวแพร่ทราบว่ามีการขุดสำรวจน้ำมัน แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่พบ เปิดบ่อไปแล้ว แต่ทำไมข้อมูลไม่ชัดเจน เราเห็นอย่างนี้จังหวัดต้องออกมาทำความเข้าใจ และหาข้อมูลข้อเท็จจริงให้แก่ประชาชนมากขึ้น

นายดิน แดนไทย พันธมิตรฯ จ.ลำปาง เปิดเผยว่า ที่จังหวัดลำปางมีการพบน้ำมันเป็นแหล่งใหญ่ใน อ.เกาะคา ร้อยละ 85 ของพื้นที่ อ.ห้างฉัตร ร้อยละ 85 ของพื้นที่ และ อ.เมือง ร้อยละ 90 ของพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันมหาศาล แต่ทำไมคนลำปางไม่รับทราบอะไรเลย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000146810



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.39.32 จันทร์, 3/12/2555 เวลา : 00:10  IP : 124.121.39.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121320

คำตอบที่ 184
      

fiogf49gjkf0d
“เอเอเอส”หวั่นน้ำมันไทยไม่ตรงสเป็กปอร์เช่นำเข้า"

บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ออกจดหมายประกาศเตือนผู้บริโภค โดยมีเนื้อความว่าโรงงานปอร์เช่ได้รับแจ้งว่ามีรถปอร์เช่ ดีเซล ที่รองรับมาตรฐานน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (EU5) ได้ถูกนำเข้ามาสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีมาตรฐานน้ำมันที่ยูโร 3 (EU3) ดังนั้นจึงขอแจ้งอย่างเป็นทางการว่า....

....... "รถยนต์ปอร์เช่ ดีเซล ที่นำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระนั้นมีเครื่องยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รองรับมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 (EU5) ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย ส่งผลให้รถยนต์เหล่านั้น รวมไปถึงเครื่องยนต์มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียหาย " .......

ทั้งนี้ รถยนต์จากโรงงานปอร์เช่ทุกคันได้รับการผลิตขึ้นให้เหมาะสมตามข้อกำหนดและข้อจำกัดของแต่ละประเทศ โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยของผู้ขับขี่เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงความเหมาะสมตามมาตรฐานของน้ำมัน มาตรฐานของ emission และมาตรฐานของความปลอดภัยด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองโรงงานปอร์เช่ไม่สามารถให้การรับประกันเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงระบบท่อไอเสีย และ Diesel particulate filter ที่ติดตั้งมากับรถที่นำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระที่ใช้กับมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 (EU5) ในประเทศไทยที่มีมาตรฐานน้ำมันที่ยูโร 3 (EU3) ได้

ดังนั้นทางโรงงานปอร์เช่แนะนำให้ลูกค้าที่ซื้อรถจากผู้นำเข้าอิสระ ทำการติดต่อผู้นำเข้าอิสระที่ท่านได้ทำการซื้อมาในกรณีที่รถที่ท่านซื้อมีปัญหา

อย่างไรก็ตาม เอเอเอส เน้นย้ำว่า บริษัทเป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่สามารถนำเข้ารถปอร์เช่ ดีเซล ที่มีการรับรองมาตรฐานน้ำมันที่ยูโร 3 (EU3) ตามมาตรฐานโรงงานปอร์เช่

Reference : http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000146447






fiogf49gjkf0d
โชดคีจัง.. ใช้ Terrano TD27.... จะ EURO อะไรก็เคี้ยวได้ทั้งนั้น... 555 !!!
จาก : 005(005) 3/12/2555 8:16:42 [202.122.130.31]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 3/12/2555 เวลา : 08:15  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121322

คำตอบที่ 185
      

fiogf49gjkf0d
ฝรั่งสงสัย “ปลากัดไทย” หายใจยังไงระหว่างสู้กัน?

ขณะที่เราอาจสนใจแค่สีสันและการกัดเก่งหรือไม่เก่งของปลากัดไทย แต่ฝรั่งกลุ่มหนึ่งสงสัยได้ในพฤติกรรมก้าวร้าวของปลากัดไทยว่า ระหว่างต่อสู้ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลนั้น พวกมันนำออกซิเจนจากไหนมาใช้ และพวกเขาก็พบว่าปลาสายพันธุ์ดุนี้สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำระหว่างต่อสู้ จึงมีแรงในการกัดกันได้ต่อเนื่อง

ปลากัดที่นักวิทยาศาสตร์นำมาศึกษาคือปลากัดป่าภาคกลางที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “เบตตาสเปลนเดนส์” (Betta splendens) ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าปลาตัวผู้ของสายพันธุ์นี้มีการแสดงลักษณะของความก้าวร้าวที่พร้อมจู่โจมคู่ต่อสู้ และยังสามารถดึงออกซิเจนมาใช้ได้ทั้งจากในอากาศและในน้ำ

บีบีซีเนเจอร์ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบว่า ปลากัดชนิดนี้ควบคุมความสามารถดังกล่าว เพื่อจัดการพลังงานระหว่างต่อสู้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร และพวกเขาก็พบว่าปลากัดตัวผู้จะขึ้นไปที่ผิวน้ำในการต่อสู้เพื่อช่วยในการดูดซึมออกซิเจน

“ดูเหมือนเหงือกเล็กๆ ที่ช่วยในการใช้ชีวิตในแหล่งน้ำออกซิเจนต่ำนั้น จะทำงานไม่ทันการต่อสู้อันเข้มข้น และมีความต้องการอากาศหายใจมากขึ้น” ดร.สตีเฟน พอร์ทูกัล (Dr. Steven Portugal) จากราชวิทยาลัยสัตวแพทย์ (Royal Veterinary College) ลอนดอน อังกฤษ อธิบายผ่านทางบีบีเนเจอร์

ดร.พอร์ทูกัลได้ศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับคณธทำงานจากมหาวิทยาลัยควีนแลนด์ (University of Queensland) ออสเตรเลีย และตีพิมพ์งานวิจัยลงวารสารคอมพาราทีฟไบโอโลจีแอนด์ฟิสิโอโลจีพาร์ทเอ (Comparative Biology and Physiology Part A)

สำหรับปลากัดป่าภาคกลางนี้พบได้ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแหล่งน้ำที่มีออกซิเจนต่ำหรือในนาข้าว โดยปลากัดที่พวกเขานำมาศึกษานั้นอยู่ในกลุ่ม อนาบันโตได (Anabantodei) ซึ่งมีความสามารถพิเศษที่สามารถดึงออกซิเจนจากอากาศและน้ำโดยใช้อวัยวะพิเศษผ่านเหงือกและผิวหนังได้

“ตัวผู้ของสปีชีส์นี้จะมีสีสันฉูดฉาดและก้าวร้าวมากเมื่อเผชิญหน้ากับเพศเดียวกัน โดยเชิงประวัติศาสตร์คนท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมดังกล่าวของปลาและจับมาสู้กันในถังน้ำที่ใช้เพื่อการประลอง คล้ายกับกรณีชนไก่” ดร.พอร์ทูกัลอธิบาย

นับแต่ปลากัดถูกนำออกมาจากป่าเพื่อใช้ในการแข่งขันกัดกัน ปลาชนิดนี้ก็กลายเป็นปลาที่ได้รับความนิยมในการเพาะเลี้ยง โดยนักผสมพันธุ์ให้ความสนใจในการพัฒนาพันธุ์เพื่อเพิ่มสีสันและลักษณะท่าทางที่สวยงามให้มากขึ้น แต่ ดร.พอร์ทูกัลพุ่งความสนใจไปที่การใช้พลังงานเพื่อการแสดงพฤติกรรมดังกล่าว

ในห้องปฏิบัติการนักวิจัยได้จับปลากัดตัวผู้ 2 ตัวมาเจอกันในถังน้ำเพื่อให้พวกมันแสดงพฤติกรรมการต่อสู้ แต่ปลาทั้งสองถูกแยกอยูในขวดที่สามารถมองเห็นกันผ่านกระจกแก้ว ซึ่งพวกเขารายงานว่าปลากัดเริ่มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวทันทีเมื่อถูกนำมาเจอกัน

นักวิจัยวิเคราะห์ก๊าซที่อยู่ภายในถังน้ำทั้งก่อนและหลังการต่อสู้ เพื่อทำความเข้าใจว่าปลากัดใช้พลังงานไปเท่าไรระหว่างกัดกัน และพวกมันได้รับออกซิเจนจากไหน ซึ่ง ดร.พอร์ทูกัลกล่าวว่า ในช่วงการต่อสู้นั้นดูเหมือนปลากัดจะอาจได้รับออกซิเจนจากน้ำอย่างเพียงพอ พวกมันจึงขึ้นสู่ผิวน้ำบ่อยขึ้นเพื่อหายใจเอาออกซิเจนจากอากาศให้มากขึ้น หรืออีกแง่หนึ่งพวกมันขึ้นไปหายใจนั่นเอง
แต่ปลากัดก็ไม่ได้พักอยู่ที่ผิวน้ำ โดยทีมวิจัยสังเกตว่าปลากัดตัวผู้ทั้งสองจะขึ้นสู่ผิวน้ำในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น พวกมันจึงต่อสู้กันต่อไปได้ ซึ่งการหายใจเป็นจังหวะเดียวกันของปลานี้เป็นกลไกป้องกันในการกันผู้ล่า เพราะการขึ้นผิวน้ำเพียงลำพังเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อ การหายใจเป็นจังหวะสอดคล้องกันจึงลดการถูกจู่โจมโดยลำพังได้

ดร.พอร์ทูกัลกล่าวว่า การกัดกันของปลากัดนั้นเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างเป็น “สุภาพบุรุษ” เพราะหากคู่ต่อสู้ต้องการอากาศหายใจก่อน ซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้หากเราคิดจะใช้โอกาสนี้จู่โจม เพราะคู่กัดนั้นหมดแรงจนถึงขั้นต้องหายใจก่อน แล้วหันหลังขึ้นผิวน้ำเพื่อรับอากาศ จึงเป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะเข้าจู่โจม

แต่หากการจู่โจมระหว่างคู่ต่อสู้ขึ้นไปหายใจไม่สำเร็จ คู่ต่อสู้ก็จะกลับมาพร้อมออกซิเจนเต็มเปี่ยม และเราเองก็จะต้องขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจเช่นเดียวกัน ซึ่งมีโอกาสที่เราจะพลิกตกเป็นรองและถูกจู่โจมกลับ ดังนั้น จึงต้องหายใจพร้อมหันหรือไม่เช่นนั้นก็เลือกเสี่ยงที่จะถูกจู่โจมระหว่างขึ้นสู่ผิวน้ำและกลับมาต่อสู้

อย่างไรก็ดี ดร.พอร์ทูกัลบอกว่าเขาแปลกใจที่พบว่า ปลากัดตัวผู้นั้นสู้จนเกือบหมดลมระหว่างเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ และออกซิเจนเสริมเกือบทั้งหมดนั้ได้จากการเทียวขึ้นผิวน้ำบ่อยๆ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะหายใจไม่พอในแต่ละครั้ง ดังนั้น เขาให้ความเห็นว่าการกัดกันจึงต้องการออกซิเจนในปริมาณมาก

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000146462






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 3/12/2555 เวลา : 08:22  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121323

คำตอบที่ 186
      

fiogf49gjkf0d
'ไทย" อันดับ13เงินสกปรกไหลออก..10 ปี สูญไปแล้วเฉียด 2ล้านล้านบาท..

เอเจนซี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - แฉ อาชญากรรม คอร์รัปชั่น และการหนีภาษี เป็นปัจจัยที่ช่วยกันดูดเงินไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนาไปเฉียดๆ 6 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยที่เงินผิดกฎหมายเหล่านี้ยังกำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศที่เป็นแชมป์ในการสูญเสียเงินเหล่านี้สูงที่สุดคือจีน เฉลี่ยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 274,000 ล้านดอลลาร์ (8.494 ล้านล้านบาท) หรือถ้านับรวมตั้งแต่ปี 2001-2010 ก็เท่ากับ 2.74 ล้านล้านดอลลาร์ (84.94 ล้านล้านบาท) ขณะที่เฉพาะปี 2010 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ทำการศึกษาอยู่ที่ 420,360 ล้านดอลลาร์ (13.031 ล้านล้านบาท) ส่วนไทยตลอดทั้งทศวรรษ มีมูลค่าความสูญเสียเฉลี่ยปีละ 6,426 ล้านดอลลาร์ (199,206 ล้านบาท) อยู่ในอันดับ 13 หรือรวมทั้ง 10 ปีก็จะอยู่ที่ 64,260 ล้านดอลลาร์ (1.992 ล้านล้านบาท) และนับเฉพาะปี 2010 อยู่ที่ 12,370 ล้านดอลลาร์ (383,470 ล้านบาท) ติดอยู่อันดับ 10 ของโลก

เฉพาะในปี 2010 เพียงปีเดียว บรรดาเงินสกปรกจากชาติกำลังพัฒนาทั่วโลกซึ่งไหลเข้าไปตามศูนย์หลบหนีภาษีและพวกธนาคารตะวันตกทั้งหลาย มียอดรวมกันทั้งสิ้น 858,800 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เกือบๆ ครึ่งหนึ่งทีเดียว (274,000 ล้านดอลลาร์) เป็นเงินที่ออกมาจากจีน หรือคิดเป็นกว่า 8 เท่าตัวของอันดับ 2 และ 3 อย่างมาเลเซีย (64,380 ล้านดอลลาร์) และเม็กซิโก (51,200 ล้านดอลลาร์) ตามลำดับ

องค์การเพื่อความซื่อสัตย์มั่นคงทางการเงินแห่งโลก (Global Financial Integrity หรือ GFI) ซึ่งเป็นองค์การรณรงค์เพื่อให้การเงินในระดับโลกอยู่ในภาวะที่มีผู้รับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ โดยมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน จัดทำรายงานจัดอันดับดังกล่าวนี้ออกมาเผยแพร่ในวันจันทร์(17) โดยบอกด้วยว่า ยอดเงินผิดกฎหมายไหลออกของทั่วโลกในปี 2010 เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2009

เรย์มอนด์ เบเกอร์ ผู้อำนวยการจีเอฟไอกล่าวว่า เวลานี้ยังคงมีเงินสกปรกจำนวนมากมายมหาศาลไหลออกจากโลกกำลังพัฒนา ไปเข้าสู่โลกพัฒนาแล้ว ตลอดจนเข้าสู่พวกศูนย์ออฟชอร์สำหรับหลบหนีภาษีและพวกธนาคารของประเทศพัฒนาแล้ว

“การที่พวกชาติกำลังพัฒนากำลัง 'เสียเลือด' มากขึ้นๆ ในช่วงเวลาซึ่งทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนต่างกำลังดิ้นรนเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจของตนเองเติบโตกันทั้งนั้น รายงานฉบับนี้จึงควรถือเป็นสัญญาณเตือนภัยให้บรรดาผู้นำของโลกตระหนักว่า จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้มากขึ้นเพื่อจัดการกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเป็นอันตรายเหล่านี้” เบเกอร์ระบุ

รายงานฉบับนี้ของจีเอฟไอ ซึ่งใช้ชื่อว่า “การเคลื่อนย้ายของเงินผิดกฎหมายจากบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ปี 2001-2010” (Illicit Financial Flows From Developing Countries: 2001-2010) ระบุว่า นอกจากจีนที่เป็นอันดับ 1 แล้ว ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในอันดับรองๆ ลงมา ได้แก่ ที่ 2 เม็กซิโก ซึ่งสูญเสียเงินในช่วง 10 ปีนี้โดยเฉลี่ยเท่ากับปีละ 47,600 ล้านดอลลาร์, ที่ 3 มาเลเซีย 28,500 ล้านดอลลาร์, ที่ 4ซาอุดีอาระเบีย 21,000 ล้านดอลลาร์, ที่ 5รัสเซีย 15,200 ล้านดอลลาร์, ที่ 6ฟิลิปปินส์ 13,782 ล้านดอลลาร์, ที่ 7 ไนจีเรีย 12,904 ล้านดอลลาร์, ที่ 8 อินเดีย 12,332 ล้านดอลลาร์, ที่ 9 อินโดนีเซีย 10,886 ล้านดอลลาร์, ที่ 10 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 10,650 ล้านดอลลาร์, ที่ 11 อิรัก 10,597 ล้านดอลลาร์, ที่ 12 แอฟริกาใต้ 8,390 ล้านดอลลาร์, ที่ 13 ไทย 6,426 ล้านดอลลาร์

เฉพาะปี 2010 นั้น ขณะที่จีนยังคงรักษาแชมป์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น มาเลเซียกลับแซงขึ้นที่ 2 โดยสูญเสียเงินไปในปีดังกล่าว 64,380 ล้านดอลลาร์, ที่ 3 เม็กซิโก 51,200 ล้านดอลลาร์, ที่ 4 รัสเซียก็แซงขึ้นด้วยยอด 43,600 ล้านดอลลาร์, ส่วนที่ 5 ซาอุดีอาระเบีย 38,200 ล้านดอลลาร์, ขณะที่อันดับ 6-10 ของปี 2010 ได้แก่ อิรัก 22,200 ล้านดอลลาร์, ไนจีเรีย 19,660 ล้านดอลลาร์, คอสตาริกา 17,510 ล้านดอลลาร์, ฟิลิปปินส์ 16,620 ล้านดอลลาร์, และไทย 12,370 ล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน บรรดาผู้นำกลุ่ม 20 ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก (จี20) กำลังให้ความสำคัญมากขึ้นกับวิธีการในการปราบปรามทั้งเรื่องการฟอกเงิน การรักษาความลับของพวกธนาคารที่ไม่เป็นผลดีต่อสาธารณชน และช่องโหว่ด้านภาษี ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้การยักยอกเงินแผ่นดินหรือการเคลื่อนย้ายเงินรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมาย ไปจากประเทศกำลังพัฒนา

ref. http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000153524






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 20/12/2555 เวลา : 16:34  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121697

คำตอบที่ 187
      

fiogf49gjkf0d
ฮอนด้าร้องสรรพสามิตไม่เป็นธรรม...วีออสได้รถคันแรก

ข่าวในประเทศ - ค่าย“ฮอนด้า” ยั้วจัด ร่อนหนังสือถามกรมสรรพสามิต กรณี “วีออส ใหม่”โมเดลปี 2013 ได้สิทธิ์โครงการรถยนต์คันแรก แจงขัดแย้งกับเงื่อนไขการเปิดตัวและการขายที่โครงการฯกำหนดไว้ ทั้งยังผิดกับการรับรู้ของคนทั่วไป ไม่เอื้อการแข่งขันเสรี ไม่เป็นธรรมกับทุกค่ายรถยนต์

หลังจากสร้างความกังขาปนความสงสัยในพลังที่มองไม่เห็นของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) ที่มีต่อกรมสรรพสามิต เหตุอนุมัติให้ “โตโยต้า วีออส ใหม่” รุ่นปี 2013 ที่ยังไม่ได้เปิดตัวพร้อมขายอย่างเป็นการ และใช้เพียงแคตตาล็อกแผ่นเดียวเปิดรับจองแก่ลูกค้าทั่วไป พร้อมได้รับสิทธิ์คืนเงินภาษีเต็ม 1 แสนบาทจากโครงการรถยนต์คันแรก


ทั้งนี้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยนายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกรมสรรพสามิตอย่างครบถ้วน แต่การที่ไม่สามารถเผยโฉมวีออส ใหม่ สู่สาธารณชนได้ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากวีออสมีจำหน่ายในหลายประเทศ ทำให้การดำเนินงานทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อการขายวีออสรุ่นปัจจุบันในประเทศอื่นๆได้

ขณะที่กรมสรรพสามิตออกมายืนยันว่า วีออส ใหม่ โมเดลปี 2013 ได้ขึ้นไลน์ผลิตจริง เสียภาษีจริง วางจำหน่ายจริง พร้อมกับประกาศบนเว็บไซต์ของกรมฯ ระบุว่า มีวีออส ใหม่ 7 รุ่นย่อยที่ได้สิทธิ์คืนภาษีรถยนต์คันแรก

ประเด็นนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายค่ายรถยนต์ รวมถึงบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่อุตสาห์เร่งเวลาเปิดตัว “ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ” เร็วขึ้นจากกำหนดเดิมมา 6 เดือน หวังเข้าสิทธิ์โครงการรถยนต์คันแรก

โดยนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า การกระทำดังกล่าวขัดแย้งกับเงื่อนไขของกรมสรรพสามิต ที่ประกาศไว้ 29 พฤศจิกายน 2555ว่ารถที่เข้าโครงการรถยนต์คันแรก ต้องมีการผลิตแบบแมส(จำนวนมาก) และต้องเปิดตัวพร้อมจำหน่ายกับประชาชนทั่วไปภายใน 31 ธันวาคม 2555

ดังนั้นวานนี้ (19ธ.ค.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จึงทำหนังสืออย่างเป็นทางการไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อขอคำชี้แจงว่า การที่โตโยต้า วีออส ใหม่ ไม่ได้เปิดตัวในรูปแบบตามความเข้าใจของคนในวงการยานยนต์ทั่วไป หรือที่ประชาชนเคยรับรู้ แบบนี้เรียกว่าการเปิดตัวหรือไม่

“ในแถลงของโตโยต้าพูดแต่เรื่องการผลิต แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการจำหน่ายที่ชัดเจน ขณะเดียวกันยังยอมรับว่าการที่เผยโฉมวีออส ใหม่ไม่ได้เพราะต้องยึดตามแผนเดิม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโตโยต้ายังไม่พร้อม”

อีกประเด็นที่ฮอนด้าขอคำตอบจากกรมสรรพสามิต คือ ถ้าหากวีออส ใหม่ ผ่านเงื่อนไขการขายด้วยการกระทำแบบนี้ โดยไม่มีรถโชว์ ไม่มีการเปิดตัว ซึ่งผิดกับความเข้าใจของค่ายรถยนต์อื่นๆและประชาชนทั่วไป แต่สุดท้ายก็อนุมัติให้ผ่านเกณฑ์ ดังนั้นกรมสรรพสามิตต้องประกาศให้ค่ายรถยนต์อื่นๆรับรู้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมว่า กรณีแบบวีออสใหม่นี้สามารถทำได้

นายพิทักษ์ กล่าวว่า กรมสรรพสามิตทำแบบนี้ถือว่าไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน เพราะฮอนด้าก็มีรถ ค่ายอื่นๆก็มีรถเตรียมเปิดตัวในปีหน้า ดังนั้นถ้ารู้ว่าการผลิตมานิดหน่อย เปิดราคาขายโดยมีแคตตาล็อกแผ่นเดียวเดินแจก และไม่มีรถยนต์คันจริงมาเปิดตัวให้เห็น ก็สามารถเข้าสิทธิ์โครงการรถยนต์คันแรกได้

“เราต้องการความเป็นธรรม และอยากเห็นความโปร่งใสในการทำงาน ดังนั้นสรรพสามิตต้องตอบคำถามให้ได้ 2 ข้อคือ 1. วีออส ใหม่เข้าเกณฑ์ได้อย่างไร 2. ถ้าทำ (การขาย)แบบนี้ได้ ทำไมสรรพสามิตไม่บอกให้ทุกค่ายรถยนต์รู้ทั่วกัน” นายพิทักษ์ กล่าว

Ref. : http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154076>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 20/12/2555 เวลา : 16:47  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121698

คำตอบที่ 188
      

fiogf49gjkf0d
“น้ำมันชีวภาพจากสาหร่าย” งานวิจัย “มช.ช่วยทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง

คณะวิทยาศาสตร์ มช. เตรียมพร้อมวิจัยพลังงานทดแทนจากแพลงตอนพืช “สาหร่ายขนาดเล็ก” สู่กระบวนการทางเคมีแปรรูปเป็นน้ำมันชีวภาพ “ไบโอดีเชล” หวังลดต้นทุนเชื้อเพลิงคาดได้ผลสรุปภายในปี '56

รองศาสตราจารย์ ดร. ยุวดี พีรพรพิศาล จากห้องปฏิบัติการวิจัยสาหร่ายประยุกต์ สาขาวิชาจุลชีววิทยา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า เชื้อเพลิงจากถ่านหินกำลังใกล้หมดไปจากโลกของเรา โอกาสที่พืชในยุคปัจจุบันจะกลายเป็นฟอสซิลถ่านหินคงไม่มีอีกแล้ว และน้ำมันจากแหล่งธรรมชาติก็กำลังถูกมะรุมมะตุ้มจากประเทศเจ้าของสถานที่และประเทศอื่นๆ ที่พยายามมาหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้กันอย่างเข้มข้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องพยายามหาพลังงานจากแหล่งใหม่ๆ ซึ่งคงไม่หนีไปจากพลังงานชีวภาพที่โลกของเรายังสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีวันหมด

“มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อีกชนิดหนึ่งซึ่งพึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันไม่นานนักว่า สามารถให้พลังงานแก่โลกของเราด้วยศักยภาพที่สูงและไม่มีวันหมด บางคนให้ความเห็นว่าสิ่งมีชีวิตนี้เป็นความหวังเดียวในโลกของเราก็ว่าได้ที่สามารถจะให้พลังงานแก่มนุษยชาติอย่างไม่จำกัดเวลา สิ่งมีชีวิตดังกล่าวคือสาหร่ายขนาดเล็ก (microalgae) ซึ่งเราจะพบเห็นโดยทั่วไปทั้งในน้ำ บนบก ซึ่งเราเรียกสาหร่ายขนาดเล็กนี้ว่าแพลงก์ตอนพืช สาหร่ายขนาดเล็กเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงซึ่งต้องใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นวัตถุดิบ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ น้ำตาลซึ่งจะเป็นอาหารของพืชและก๊าซออกซิเจน

จากกระบวนการนี้จะมองเห็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของสาหร่ายอีกประเด็นหนึ่ง คือการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเท่ากับว่าสาหร่ายเหล่านี้ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และพร้อมกันนั้นก็ให้ก๊าซออกซิเจนแก่แหล่งน้ำหรือสิ่งแวดล้อมซึ่งความสำคัญตรงนี้ยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกับพืชหรือต้นไม้ที่เรายกย่องกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกทีเดียว ความสำคัญของสาหร่ายดังกล่าวนับว่าช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี"

รองศาสตราจารย์ ดร. ยุวดี กล่าวต่อว่า เซลล์ของสาหร่ายเหล่านี้มีกรดไขมันค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับพืชอื่นๆ โดยทั่วไปจะมีราว 20% แต่บางชนิด อาจมีถึง 60-70% ถ้าสามารถเลี้ยงสาหร่ายขนาดเล็กเหล่านี้ได้เป็นปริมาณมากๆ แล้วนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า เอสเทอริฟิเคชัน (esterification) ในที่สุดก็จะได้ไบโอดีเซล ซึ่งใช้เป็นน้ำมันเต็มรถให้รถวิ่งฉิวได้เลย หรืออาจจะใช้กระบวนการทางกายภาพโดยการเผาด้วยความร้อนสูงๆ ที่เรียกว่าไพโรไลซิส (pyrolysis) ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีโดยใช้ความร้อน ในสภาวะไร้อากาศ ซึ่งในที่สุดก็จะได้น้ำมันก็ออกมาเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีกระบวนการอื่นๆ อีกหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนชีวมวลของสาหร่ายเป็นน้ำมันได้

ภาพ : แพลงตอนพืช “สาหร่ายขนาดเล็ก”






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 7/1/2556 เวลา : 11:35  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121954

คำตอบที่ 189
      

fiogf49gjkf0d
สาหร่ายขนาดเล็กเองก็มีสิ่งที่ได้เปรียบพืชน้ำมันอื่นๆ อีกหลายประการ นอกจากจะมีกรดไขมันสูงดังที่กล่าวมาแล้ว สาหร่ายขนาดเล็กยังเพาะเลี้ยงง่าย ใช้สารอาหารที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เก็บเกี่ยวได้เร็ว ราว 2-3 อาทิตย์ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว น้ำเลี้ยงสาหร่ายยังสามารถเลี้ยงสาหร่ายรุ่นต่อไปได้อีกหลายครั้ง

ทั้งนี้ การเลี้ยงสาหร่ายขนาดเล็กใช้พื้นที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับการปลูกพืชน้ำมันชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นยังใช้แรงงานน้อยกว่าการปลูกพืชน้ำมันชนิดต่างๆ อีกด้วย ข้อได้เปรียบเหล่านี้นำมาซึ่งความหวังที่จะได้น้ำมันจากสาหร่ายขนาดเล็กอย่างยิ่งยวด

รองศาสตราจารย์ ดร. ยุวดี กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการวิจัยทั้งในประเทศแถบทวีปอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย แม้กระทั่งในเอเชีย มีกลุ่มนักวิจัยที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายน้ำมัน หรือน้ำมันจากสาหร่ายมาเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรและผลการวิจัยก็ดีขึ้นมาตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นทีม ปตท. ที่กรุงเทพมหานคร หรือทีมเชียงใหม่ (Chiang Mai Cluster) ที่ประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

“สำหรับผลงานวิจัย อยู่ในระดับที่นำพึงพอใจและนับเป็นโอกาสอันดีที่กลุ่มเชียงใหม่ได้รับทุนสนับสนุนการทำวิจัยในเรื่องพลังงานชีวภาพของสาหร่ายขนาดเล็กจากบริษัทแอลวีเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศต่างๆ ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก ถ้านำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้มาเลี้ยงสาหร่ายขนาดเล็กให้เจริญอย่างรวดเร็วแล้วนำมวลของสาหร่ายมาใช้เป็นพลังงานอีกทางหนึ่งให้กับโรงงานน่าจะเป็นแนวคิดที่ดี คาดว่างานวิจัยในเรื่องนี้คงจะสำเร็จภายในปี 2556

อย่างไรก็ตามงานวิจัยสาหร่ายน้ำมันยังต้องดำเนินการต่อไปอีกสักระยะหนึ่งและจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติจริงๆ ก็ต่อเมื่อสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่ง ณ เวลานั้น เราคงได้น้ำมันจากสาหร่ายไปใช้เติมรถกันได้อย่างทั่วถึง” รองศาสตราจารย์ ดร. ยุวดี กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ : สาหร่ายที่ทำการเพาะเลี้ยงระดับห้องปฏิบัติการ

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9560000000334






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 7/1/2556 เวลา : 11:37  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121955

คำตอบที่ 190
      

fiogf49gjkf0d
" แฉเล่ห์เจ้าหน้าที่กรมขนส่งฯ เรียกเก็บค่าเปลี่ยนป้ายแตกลายงาแพงหูฉี่ "

ร้องเจ้าหน้าที่ ขบ.เรียกเก็บค่าเปลี่ยนป้ายแตกลายงาถึง 800 บาท และต้องรอป้ายใหม่ถึง 6 เดือน บางรายหากไม่อยากเสียเงินจะไม่ได้ป้ายใหม่แต่จะซ่อมป้ายเก่าให้แทน และไม่รับรองแตกลายงาซ้ำอีก ด้าน ขบ.เต้นเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ยันไม่เสียเงินค่าเปลี่ยนป้ายใหม่

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ให้นำแผ่นป้ายทะเบียนที่มีปัญหาแตกลายงามาเปลี่ยนเป็นป้ายทะเบียนใหม่ได้ตั้งแต่กลางปี 2555 ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดปรากฏการร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรียกเก็บเงินค่าทำป้ายทะเบียนใหม่รวม 800 บาท แบ่งเป็นค่าทะเบียนด้านหน้า 400 บาท และด้านหลัง 400 บาท และต้องรออีก 180 วัน หรือประมาณ 6 เดือนถึงจะได้รับแผ่นป้ายใหม่ ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาป้ายทะเบียนแตกลายงาซึ่งส่วนใหญ่เป็นหมวดที่ขึ้นต้นด้วย ฎ ข และ ฮ หรือจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2552 ไม่ได้รับความสะดวก และสงสัยว่าเหตุใดต้องรับภาระค่าใช้จ่าย เพราะความผิดพลาดเกิดขึ้นมาจากการจัดซื้อจัดจ้างของ ขบ.เอง และยังต้องใช้ระยะเวลาในการรอนานมาก

ทั้งนี้ ผู้มีปัญหาป้ายแตกลายงารายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เห็นกรมการขนส่งทางบกประกาศให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบไปเปลี่ยนฟรี ก็เลยลองไปเปลี่ยนบ้าง แต่พอรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหลายบาท ซ้ำยังต้องรออีกนานจึงไม่เปลี่ยน และอยากจะขอความชัดเจนในเรื่องนี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีประชาชนร้องเรียนว่าไม่ได้รับความสะดวกกรณีไปยื่นขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนที่กรมการขนส่ง สำนักงานเขตจตุจักรอีกด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่ขนส่งได้ยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ คือ 1. ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายแต่จะเป็นการเอาป้ายทะเบียนเก่าที่แตกลายงาไปซ่อมให้ใหม่ โดยไม่รับประกันว่าที่ซ่อมให้ใหม่จะแตกลายงาอีกหรือไม่ และ 2. ถ้าต้องการเปลี่ยนป้ายทะเบียนใหม่ก็มีค่าใช้จ่าย 200 บาท แบ่งเป็นป้ายด้านหน้า 100 บาท และป้ายด้านหลัง 100 บาท มีค่าธรรมเนียมอีกจำนวนหนึ่ง

ด้านนายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวยืนยันว่า ขบ.ไม่มีนโยบายที่จะเก็บค่าทำป้ายทะเบียนใหม่แทนป้ายแตกลายงา การเปลี่ยนป้ายทะเบียนแตกลายงาไม่มีค่าใช้จ่าย และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ โดยเฉพาะการเรียกเก็บ 800 บาทถือว่าสูงมาก เพราะโดยปกติป้ายทะเบียนใหม่ที่กรมการขนส่งฯ ออกให้ประชาชนที่ไปจดทะเบียนรถใหม่จะอยู่ที่แผ่นละ 100 บาท บวกค่าธรรมเนียมตามระเบียบเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยที่ผ่านมา ขบ.ได้ประกาศให้ประชาชนที่มีปัญหาป้ายทะเบียนแตกลายงานำป้ายมาเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง และมีประชาชนนำป้ายทะเบียนมาเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ขบ.ได้เคยชี้แจงว่า กรณีที่ป้ายทะเบียนที่แตกลายงาเป็นการจ้างผลิตเป็นล็อตๆ โดยล็อตที่มีปัญหามีต้นทุนการจัดซื้อต่ำประมาณแผ่นละ 20 บาทเท่านั้น และหลังจากนำมาใช้งานประมาณ 2-3 ปีจึงเกิดปัญหา และไม่สามารถเอาผิดกับทางบริษัทผู้ผลิตได้เนื่องจากเกินกำหนดระยะรับประกัน 1 ปีไปแล้ว การจัดซื้อป้ายทะเบียนในล็อตต่อมา ขบ.จึงได้กำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ให้รับประกันการชำรุดของป้าย 5 ปีเพื่อขยายเวลารับผิดชอบของบริษัทที่ชนะการประมูลให้นานมากยิ่งขึ้น หากเกิดปัญหาอีกก็สามารถเอาผิดได้ โดยราคาจัดซื้อแผ่นป้ายทะเบียนใหม่อยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อแผ่นป้าย

Ref. : ร้องเจ้าหน้าที่ ขบ.เรียกเก็บค่าเปลี่ยนป้ายแตกลายงาถึง 800 บาท และต้องรอป้ายใหม่ถึง 6 เดือน บางรายหากไม่อยากเสียเงินจะไม่ได้ป้ายใหม่แต่จะซ่อมป้ายเก่าให้แทน และไม่รับรองแตกลายงาซ้ำอีก ด้าน ขบ.เต้นเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ยันไม่เสียเงินค่าเปลี่ยนป้ายใหม่

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ให้นำแผ่นป้ายทะเบียนที่มีปัญหาแตกลายงามาเปลี่ยนเป็นป้ายทะเบียนใหม่ได้ตั้งแต่กลางปี 2555 ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดปรากฏการร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรียกเก็บเงินค่าทำป้ายทะเบียนใหม่รวม 800 บาท แบ่งเป็นค่าทะเบียนด้านหน้า 400 บาท และด้านหลัง 400 บาท และต้องรออีก 180 วัน หรือประมาณ 6 เดือนถึงจะได้รับแผ่นป้ายใหม่ ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาป้ายทะเบียนแตกลายงาซึ่งส่วนใหญ่เป็นหมวดที่ขึ้นต้นด้วย ฎ ข และ ฮ หรือจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2552 ไม่ได้รับความสะดวก และสงสัยว่าเหตุใดต้องรับภาระค่าใช้จ่าย เพราะความผิดพลาดเกิดขึ้นมาจากการจัดซื้อจัดจ้างของ ขบ.เอง และยังต้องใช้ระยะเวลาในการรอนานมาก

ทั้งนี้ ผู้มีปัญหาป้ายแตกลายงารายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เห็นกรมการขนส่งทางบกประกาศให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบไปเปลี่ยนฟรี ก็เลยลองไปเปลี่ยนบ้าง แต่พอรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหลายบาท ซ้ำยังต้องรออีกนานจึงไม่เปลี่ยน และอยากจะขอความชัดเจนในเรื่องนี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีประชาชนร้องเรียนว่าไม่ได้รับความสะดวกกรณีไปยื่นขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนที่กรมการขนส่ง สำนักงานเขตจตุจักรอีกด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่ขนส่งได้ยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ คือ 1. ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายแต่จะเป็นการเอาป้ายทะเบียนเก่าที่แตกลายงาไปซ่อมให้ใหม่ โดยไม่รับประกันว่าที่ซ่อมให้ใหม่จะแตกลายงาอีกหรือไม่ และ 2. ถ้าต้องการเปลี่ยนป้ายทะเบียนใหม่ก็มีค่าใช้จ่าย 200 บาท แบ่งเป็นป้ายด้านหน้า 100 บาท และป้ายด้านหลัง 100 บาท มีค่าธรรมเนียมอีกจำนวนหนึ่ง

ด้านนายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวยืนยันว่า ขบ.ไม่มีนโยบายที่จะเก็บค่าทำป้ายทะเบียนใหม่แทนป้ายแตกลายงา การเปลี่ยนป้ายทะเบียนแตกลายงาไม่มีค่าใช้จ่าย และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ โดยเฉพาะการเรียกเก็บ 800 บาทถือว่าสูงมาก เพราะโดยปกติป้ายทะเบียนใหม่ที่กรมการขนส่งฯ ออกให้ประชาชนที่ไปจดทะเบียนรถใหม่จะอยู่ที่แผ่นละ 100 บาท บวกค่าธรรมเนียมตามระเบียบเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยที่ผ่านมา ขบ.ได้ประกาศให้ประชาชนที่มีปัญหาป้ายทะเบียนแตกลายงานำป้ายมาเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง และมีประชาชนนำป้ายทะเบียนมาเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ขบ.ได้เคยชี้แจงว่า กรณีที่ป้ายทะเบียนที่แตกลายงาเป็นการจ้างผลิตเป็นล็อตๆ โดยล็อตที่มีปัญหามีต้นทุนการจัดซื้อต่ำประมาณแผ่นละ 20 บาทเท่านั้น และหลังจากนำมาใช้งานประมาณ 2-3 ปีจึงเกิดปัญหา และไม่สามารถเอาผิดกับทางบริษัทผู้ผลิตได้เนื่องจากเกินกำหนดระยะรับประกัน 1 ปีไปแล้ว การจัดซื้อป้ายทะเบียนในล็อตต่อมา ขบ.จึงได้กำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ให้รับประกันการชำรุดของป้าย 5 ปีเพื่อขยายเวลารับผิดชอบของบริษัทที่ชนะการประมูลให้นานมากยิ่งขึ้น หากเกิดปัญหาอีกก็สามารถเอาผิดได้ โดยราคาจัดซื้อแผ่นป้ายทะเบียนใหม่อยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อแผ่นป้าย

ref. : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000003243>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 10/1/2556 เวลา : 08:25  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121991

คำตอบที่ 191
      

fiogf49gjkf0d
ดูอีกให้อิ่มตา "กริพเพน NG" ก่อนเปิดตัว 10 ม.ค.

ทดสอบจนเป็นที่พอใจตั้งปลายปีที่แล้ว ซาบกรู๊บ (Saab Group) ผู้ผลิตแห่งสวีเดนประกาศล่วงหน้ามาข้ามปีเช่นกัน กำหนดเปิดตัวกริพเพนเอ็นจี (Gripen NG) อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี 10 ม.ค.นี้ โดยคาดว่าทัพฟ้าบราซิลจะเป็นลูกค้ารายแรก

กริพเพนเอ็นจี หรือ Gripen New Generation เป็นการพัฒนาล่าสุดของเครื่องบินรบเอนกประสงค์ขนาดเบาที่มีความคล่องตัวสูง ปฏิบัติการได้ในทุกสภาพภูมิอากาศ มีชื่อเสียงทั้งในเรื่องประสิทธิภาพและความประหยัด ทั้งในชั่วโมงปฏิบัติการต่ำ และค่าบำรุงรักษาต่ำที่สุดในบรรดาเครื่องบินรบระดับเดียวกัน

กริเพนยังมีชื่อเสียงอีกมากมาย รวมทั้งการใช้ทางวิ่งขึ้นลงเพียง 500-600 เมตรก็เพียงพอ ใช้ทางหลวงแทนรันเวย์ได้ ขึ้นและลงบนถนนที่ยาวเพียง 350-400 เมตรก็ทำได้ ใช้ผู้เชี่ยวชาญเพียง 1 คน กับผู้ช่วยที่ไม่ต้องมีประสบการณ์อีกสัก 9 คนก็สามารถติดอาวุธให้กริพเพนได้ในทุกที่ โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น

ฯลฯ

ในปัจจุบันกองทัพอากาศไทยเป็นเพียงแห่งเดียวในย่านเอเชียที่มีเครื่องบินรบเลือดไวกิ้ง โดยจัดหาเพื่อทดแทนฝูงเอฟ-5 ที่ทยอยปลดประจำการ ทัพฟ้าไทยได้รับ 6 ลำแรกในต้นปี 2554 กำลังรออีก 6 ลำ รวมเป็น 12 ทั้งยังมีแนวโน้มว่าในอนาคตอาจจัดซื้ออีกฝูง 12 ลำ เพื่อทดแทนเอฟ-5 อีกฝูงหนึ่งที่รอปลด .. อาจจะเป็นรอบของกริพเพน NG ก็ได้

กริพเพนรุ่นแรกติดป้ายราคา 40 ล้านดอลลาร์ กริพเพ “ยุคใหม่” แพงกว่าแน่นอน ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ของเจนเนอรัลอิเล็กทริคที่ให้กำลังมากกว่า ความเร็วสูงกว่า มีจุดติดตั้งอาวุธมากกว่ากริพเพนรุ่นแรก ระบบเรดาร์ก้าวหน้ามากกว่า ส่องเป้าได้ไกลกว่า ยังทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้มากขึ้น แบบ "เจอก่อน ยิงก่อน" เช่นเดียวกับรุ่นแรก สรรพคุณอื่นๆ มีความยาวอีกหลายหน้ากระดาษ จนไม่อาจสาธยายให้ครบถ้วนได้

อย่างไรก็ตามกริพเพนเป็นเครื่องบินรบเพียงรุ่นเดียวในโลกที่ใช้ระบบดาตาลิงค์ เชื่อมข่อมูลติดตามความเคลื่อนไหวของลำอื่นๆในฝูงขณะปฏิบัติการร่วม

ระบบนี้ยังเชื่อมต่อฝูงบินกริพเพนกับหน่วยอื่นๆ รวมทั้งเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน ฯลฯ ในการป้องกันหรือปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายต่างๆ และ ได้ทำให้นักบินไม่จำเป็นจะต้องมองหาเครื่องบินลำอื่นในฝูง และจะทำให้นักบินกริเพนแต่ละลำไม่ต้องเสียเวลาในเรื่อง Visual Contact อีกต่อไป

กริพเพน NG ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยขีดความสามารถในการสื่อสารผ่านดาวเทียม

นอกจากคลิปความยาว 40 วินาที เพื่อโฆษณาการเปิดตัวกริพเพนเอ็นจีผ่านทางโทรทัศน์แล้ว ในช่วงเดือนสองเดือนมานี้กลุ่มซาบยังทำวิดีโอเกี่ยวกับกริพเพนเผยแพร่อีกหลายชุด

ในนั้นมีอย่างน้อยสองชิ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งก็คือการบินสาธิตหลังการทดสอบครั้งสุดท้ายของกริพเพนเอ็นจี ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ กับอีกชิ้นเป็นการสาธิตทำ "ด็อกไฟท์" ของกริพเพน เพื่อตอกย้ำการเป็น เครื่องบินรบที่คล่องตัวที่สุดในโลก

ชิ้นหลังทำออกมาล่วงหน้า ราวกับจะปลอบใจเจ้าของกริพเพนรุ่นแรกทั้ง 6 ประเทศในขณะนี้ว่า .. ไม่ต้องเสียใจ เพราะถึงอย่างไร JAS-39 ที่ครอบครอง ก็ยังเป็นเครื่องบินรบดีที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของโลก.

Ref. : http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000003405

Pic. : กริพเพน เอ็นจี (Gripen NG) หรือ กริพเพนยุคใหม่ (New Generation) ซาบกรู๊ปแห่งสวีเดนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี 9 ม.ค.นี้ ตามฤกษ์ที่กำหนดมาข้ามปี .. แรงและดุดันยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้นและยังคงคุณสมบัติดีเด่นอื่นๆ ของกริพเพนรุ่นแรกเอาไว้ครบถ้วน กองทัพอากาศไทยเป็นเพียงหนึ่งเดียวในย่านนี้ที่มีเครื่องบินรบเลือดไวกิ้งประจำการ แวดล้อมด้วยเครื่องบินตระกูลหมีขาวทั้งซูและมิกของบรรดาเพื่อนบ้าน.






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 10/1/2556 เวลา : 13:15  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121992

คำตอบที่ 192
      

fiogf49gjkf0d
อึ้ง! พบโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนมากถึง 271 โรค "สุนัข" มีถึง 47 โรค...

ระวังโรคโคโรนาไวรัส 2012 หลังตั้งข้อสงสัยติดเชื้อมาจากค้างคาว เหตุคล้ายโรคซาร์ส พร้อมจับตาโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำจากการเปิดประชาคมอาเซียน ทั้งไข้หวัดนก คอตีบ หัด โปลิโอ หัดเยอรมัน เสี่ยงระบาดอีก

วันนี้ (10 ม.ค.) ที่โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต ดอนเมือง ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวปาฐกถาพิเศษ "โรคติดต่ออุบัติใหม่ : ความท้าทายใหม่บนโลกเก่า" ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง โรคติดต่ออุบัติใหม่ : ความท้าทายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ว่า ปัญหาที่ท้าทายงานด้านสาธารณสุขของประเทศไทยมีดังนี้ 1.ปัญหาโลกร้อน เนื่องจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่อความไวต่อการรับเชื้อทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของมนุษย์อ่อนแอลง ขณะที่โรคใหม่ๆอุบัติขึ้นในลักษณะของการระบาด 2.ปัญหาโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ซึ่งกว่าร้อยละ 70 เป็นโรคติดจากสัตว์สู่คน เนื่องจากคนและสัตว์มีปฏิสัมพันธ์กันทำให้โรคสามารถเป็นได้ทั้งโรคของคนและสัตว์ อย่างโรคฝีดาษเมื่อสามารถกวาดล้างได้แล้ว ก็มีโรคอุบัติใหม่คือฝีดาษวานร ซึ่งเป็นลักษณะของโรคติดจากสัตว์สู่คน และ 3.เชื้อจุลชีพก่อโรค ซึ่งเกิดจากการอุบัติใหม่ การดื้อยาและปฏิชีวนะ และเกิดจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพ

"อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมรายชื่อโรคของสัตว์ที่มีศักยภาพแพร่ติดต่อสู่มนุษย์ได้ทั้งหมดจำนวน 271 โรค และที่น่าตกใจพบว่า 3 ลำดับแรกของสัตว์ที่นำโรคมาสู่คนคือ สุนัข 47 โรค สัตว์ฟันแทะ 44 โรค และการทำปศุสัตว์ 37 โรค นอกจากนี้ เป็นโรคจากแมว 34 โรค ลิง 27 โรค สัตว์เลื้อยคลานและปลา 20 โรค กระต่าย 17 โรค และนก 15 โรค" ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมภายหลังกล่าวปาฐกถาว่า โรคติดจากสัตว์สู่คนที่ควรมีการเฝ้าระวังในปี 2556 คือ โรคโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ 2012 ที่ระบาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น จอร์แดน กาตาร์ และซาอุดิอารเบีย ซึ่งปัจจุบันมีรายงานพบผู้ป่วยทั่วโลก 9 ราย เสียชีวิต 5 ราย ซึ่งจากการสอบสวนได้ตั้งข้อสงสัยอย่างรุนแรงว่าติดเชื้อมาจากค้างคาว เนื่องจากโคโรนาไวรัสมีลักษณะเชื้อคล้ายกับไวรัสซาร์สที่ระบาดเมื่อปี 2546 ซึ่งพบว่าติดเชื้อมาจากค้างคาวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าระวังห้องไอซียูที่ผู้ป่วยโรคโคโรนาไวรัสพักรักษาตัว รวมถึงแพทย์ พยาบาลที่ให้การดูแลรักษาไม่พบการติดเชื้อชนิดนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าโรคนี้จะเกิดการติดต่อจากคนสู่คนได้ยาก

"ขณะนี้ประเทศไทยมีการติดตามเฝ้าระวังกลุ่มผู้ที่เดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจำนวนกว่า 1 หมื่นคน ซึ่งภายหลังการเดินทางกลับแม้จะไม่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา แต่พบว่ามีการป่วยด้วยระบบทางเดินหายใจประมาณ 10 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่พบว่าเป็นเชื้อไวรัสโคโรนา อย่างไรก็ตาม โรคนี้ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยต้องมีการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยให้เร็วขึ้นเพื่อให้รู้เชื้อโรคและหาแนวทางป้องกัน" ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวอีกว่า ส่วนโรคจากเพื่อนบ้านที่ไทยต้องเฝ้าระวังคือ โรคไข้หวัดนก เนื่องจากเวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ยังคงพบโรคดังกล่าวทั้งในสัตว์ปีกและในคน ขณะที่อียิปต์ยังพบผู้ป่วยทุกเดือน เมื่อโรคไม่หมดไป ไทยจึงจำเป็นต้องฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่รู้ว่าโรคจะพลิกผันเมื่อไหร่ ยิ่งเมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งในแง่ของเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การเดินทางไปมาของประชากรระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอาจทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ รวมทั้งโรคจากสัตว์สู่คนได้ อาทิ โรคคอตีบ ซึ่งประเทศไทยหายไปแล้วราว 20 ปี แต่กลับมาพบอีกครั้งซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากแรงงานของประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในไทย รวมถึง โรคหัด โปลิโอ หัดเยอรมัน ไอกรน คางทูม และไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งมีโอกาสกลับมาใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขต้องเฝ้าระวังและมีการให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนอย่างโปร่งใส ไม่ปิดบัง เพื่อให้เกิดการเตือนภัยของโรคได้อย่างทันท่วงที

ref. : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000003541





fiogf49gjkf0d
สัตว์ 2 เท้า ก็ติดโรคดีเช่นกันครับ เช่น ขาวๆ อวบๆ 556
จาก : 130(130) 10/1/2556 21:52:07 [223.206.19.34]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 10/1/2556 เวลา : 13:16  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 121993

คำตอบที่ 193
      

fiogf49gjkf0d
กรุงศรีอยุธยาสุดยอด ฝรั่งยกเป็น 1 ใน 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์

ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มีแห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก

เทอร์เทียส แชนดเลอร์ (Tertius Chandler, 2458-2543) นักประวัติศาสตร์อิสระที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์โลกแนวก้าวหน้า ได้เคยศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากแหล่งต่างๆ เอาไว้ในหนังสือ Four Thousand Years of Urban Growth อันมีชื่อเสียงของเขา หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 2530

ศ.จอร์จ โมเดลสกี (George Modelski) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้ศึกษาเรื่องนี้มานานและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือ World City -3000 to 2000 ซึ่งเป็นเรื่องราวการวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา 5,000 ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี จนถึง ปี ค.ศ.2000

แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งชื่อ "อยุธยา" ได้ปรากฏในทำเนียบ 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์ และเรื่องนี้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้

นั่นคือการศึกษาเปรียบเทียบแบบเดียวกันกับมหานครนิวยอร์กในศตวรรษที่ 20 กรุงลอนดอนในทศวรรษที่ 1900 และย้อนหลังไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบุล) เมื่อก่อนคริสต์ศักราช 600 ปี หรือ เมืองเจริโค (Jericho) เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล

ทั้งหมดเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยที่นำมนุษย์เข้าสู่อีกยุคหนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมหรือการค้า แต่ละเมืองล้วนสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ต่างกันไป บางแห่งถูกเมืองอื่นๆ ร่วมยุคเดียวกันแซงหน้าในด้านความใหญ่โตและจำนวนประชากร และ บางแห่งสิ้นสุดลงเพราะถูกทำลาย...

ภายใต้การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดแบบ "ถึงก้นครัว" ตั้งแต่เรื่องการผลิตและจ่ายแจกอาหารในหมู่ประชากร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในอุบัติภัยร้ายแรงต่างๆ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่ากรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ 18 ด้วยประชากรราว 1,000,000 คน

ช่วง 400 ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตีและเผาทำลายราบในปี ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน.

ภาพตระการตา.. มุมหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเก่ายามราตรี สะท้อนอดีตอันรุ่งโรจน์ยาวนานกว่า 400 ปี ราชธานีของอาณาจักรสยาม การศึกษาของนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในช่วง 15-20 ที่ผ่านมาได้พบข้อมูลว่าเมื่อ 3 ศตวรรษก่อน กรุงศรีอยุธยามีประชากรถึง 1 ล้านคน เป็นทั้งอู่ข้าวอู่น้ำ ศูนย์กลางศิลปะวิทยาการและการค้าขายกับแว่นแคว้นต่างๆ การเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตกเริ่มขึ้นในยุคนี้ แต่.. "อูเดีย" ที่ชาวฝรั่งเศสเรียกขานย่อยยับลงในปี พ.ศ.2310 ด้วยมือของอาณาจักรใหม่ที่เข้มแข็งกว่า .. และอยู่ใกล้ๆ กัน. -- ภาพ: Tour.Co.Th

Ref. : http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000008955






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:35  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122275

คำตอบที่ 194
      

fiogf49gjkf0d
ยุคทองแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ถึงแม้จะไม่มีปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่นักการทูตตะวันตกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาได้วาดแผนที่แบบเดียวกันนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ที่ศึกษาคนคว้าในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเมื่อประมาณ 3 ศตวรรษที่แล้วที่นี่มีประชากรถึง 1 ล้านคน และจัดให้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคสมัย อยู่ในลำดับที่ 13 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:39  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122276

คำตอบที่ 195
      

fiogf49gjkf0d
ภาพวาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ 300 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า "อูเดีย" เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง 1,000,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัย.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:41  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122277

คำตอบที่ 196
      

fiogf49gjkf0d
รถม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง "ปะทะ" ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนประชากรถึง 1,000,000 คน.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:43  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122278

คำตอบที่ 197
      

fiogf49gjkf0d
แผนที่ฝรั่งเศสปีพ.ศ.2229 แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคทองของ "อูเดีย" มีแผนที่แบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก ที่สะท้อนความรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยาในยุคหนึ่งซึ่งกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุค.







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:45  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122279

คำตอบที่ 198
      

fiogf49gjkf0d
ชาวตะวันตกซึ่งเป็นนักวาดเขียนสะท้อนชีวิตความเป็นไปกับความประทับใจเอาไว้มากมาย เมื่อได้ไปเยือนกรุงศรีอยุธยาใน 3-4 ศตวรรษก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มได้ศึกษาและยกให้อยุธยาเป็นหนึ่งใน 16 เมืองใหญ่ของโลก เป็นแหล่งอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:47  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122280

คำตอบที่ 199
      

fiogf49gjkf0d
ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ "อูเดีย" ที่มีประชากรถึง 1,000,000 คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน อยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกในยุคสมัยหนึ่ง.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:49  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122281

คำตอบที่ 200
      

fiogf49gjkf0d
ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศส บอกเล่าเหตุการณ์ครั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนำพระราชสาสน์จากกรุงปารีสไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีภาพดีๆ เช่นนี้อีกจำนวนมาก ในขณะที่หลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกทำลายหรือสูญหายไปในเหตุการณ์ "เสียกรุง" แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มทำการศึกษาและได้ข้อมูลตรงกันว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกในยุคหนึ่ง.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:50  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122282

คำตอบที่ 201
      

fiogf49gjkf0d
ภาพจากเว็บไซต์ขององค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกแห่งยุค เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:51  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122283

คำตอบที่ 202
      

fiogf49gjkf0d
16 เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์


1. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค 7,000 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 2,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ (Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น "เมืองแห่งต้นปาล์ม" อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา

2. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค 3,500 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 4,000 คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิ้ล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า ต่อมาเกิดสงครามและถูกทิ้งไป ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครองในช่วง 2000 BC

3. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นมีโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค 2000 BC ประชากร 50,000 ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด 300 ห้อง ล่มสลายลงใน 1759 BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ 1930 นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน 25,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมืองและเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาการณ์ในยุคนั้น

4. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค 2100 ก่อนคริสตกาล ประชากร 100,000 คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว 500 BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ 1850 พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น "เมืองแห่งคนตาย" (City of the Dead) หรือ นีโครโพลิส (Necropolis)

5. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง 1300 BC ประชากร 120,000 คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณเป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลงและถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty)

6. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง 700 BC พลเมือง 100,000 เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจและอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้าและพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว 538 BC กษัตริย์ไซรัส Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ

7. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี 300 BC พลเมือง 100,000 ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตีและเผาจนวายวอดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล

8. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.200 ประชากร 1,200,000 คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรปและรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age)

9. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.600 ประชากร 600,000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี 618 ทำให้การส่งอาหารและพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยากและเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 10 ของจำนวนเมื่อ 18 ปีก่อนหน้านั้น

10. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.900 ประชากร 900,000 คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะและวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ 300 ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกรานและถูกตีย่อยยับลงในปี 1250

11. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.1200 ประชากร 1,000,000 คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง 3 ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ 30 ปีเศษและปี 1234 ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย

12. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1500 ประชากร 1,00,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัยและเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิง จนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค

13. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า 400 ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) ประชากร 1,000,0000 เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากสารพัดทิศ รวมทั้งชาวยุโรปด้วย แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลงเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือของกองทัพพม่า

14. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ 19 หรือปี ค.ศ. 1825 ประชากร 1,335,000 คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี 1829 รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า "บ๊อบบี้ส์" (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้

15. นิวยอร์ก ในปี 1925 หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง 7,774,000 คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1929 แต่การก่อสร้างอาคารสูงเช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์นและอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป

16. โตเกียว ใน 1968 (พ.ศ.2511) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง 20,500,000 คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 1953-1990 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด.




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.25.238 พุธ, 23/1/2556 เวลา : 20:52  IP : 124.121.25.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122284

คำตอบที่ 203
      

fiogf49gjkf0d
เลิกแล้วจ้า! “โนเกีย” ยักษ์ใหญ่มือถือโลก ประกาศยุติการผลิตโทรศัพท์ภายใต้ระบบ “ซิมเบียน”

โนเกีย ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่จากฟินแลนด์ยืนยัน ทางบริษัทตัดสินใจยกเลิกการผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ “ซิมเบียน” อย่างเป็นทางการแล้ว

คำแถลงของโนเกียระบุว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่น “808 PureView” ที่ออกวางจำหน่ายในท้องตลาดตั้งแต่ช่วงกลางปี 2012 จะเป็นโทรศัพท์รุ่นสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของโนเกียที่ใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียน โดยจากนี้โนเกียจะมุ่งเน้นสู่การพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ระบบปฏิบัติการ “วินโดวส์ โฟน” อย่างเต็มตัว หลังจากได้เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่าน มาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ท่าทีล่าสุดของโนเกียซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากค่าย “ซัมซุง” แห่งเกาหลีใต้ในขณะนี้ ถือเป็นการปิดตำนานของซิมเบียนในฐานะที่เคยเป็นระบบปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนที่จะถูกแซงหน้าด้วยระบบปฏิบัติการของค่ายแอปเปิล อิงก์จากสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา โนเกียสามารถจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนได้ 2.2 ล้านเครื่อง โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวมีสัดส่วนน้อยกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ของยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนรวม 15.9 ล้านเครื่อง

ในอีกด้านหนึ่ง คำแถลงของโนเกียยืนยันว่าบริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2012 ที่ผ่านมา โดยบริษัทสามารถทำกำไรได้ถึง 585 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 17,485 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทมีเงินสดในมือกว่า 6,318 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 188,850 ล้านบาท) ในขณะนี้

อย่างไรก็ดี สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้โนเกียกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง มาจากการตัดสินใจขายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของตัวเองในฟินแลนด์ มิใช่เกิดจากยอดขายที่ถล่มทลายของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโนเกียแต่อย่างใด

Ref. : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000010347

Pic : โนเกีย 808 เพียววิว







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 25/1/2556 เวลา : 17:25  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122293

คำตอบที่ 204
      

fiogf49gjkf0d
มีโอกาสไปธุระที่โคราช ขับรถผ่านเห็นกังหันลมขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
ได้ชับรถเข้าไปสอบถาม รปภ.ที่นั้นทราบว่ามีจำนวน 90 ต้น ราคาต้นละ 220 ล้าน ไม่รู้ว่าระยะยาวจะมีผลกระทบกับชาวบ้านอย่างไรบ้าง เลยเอามาฝากครับ






fiogf49gjkf0d
โอ้โห..!!.... 200 ต้นเลยเหรอคับ.. ท่าทางน่าจะเป้น Project ของการไฟฟ้าหรือป่าวคับนี่ ???
จาก : 005(005) 28/1/2556 13:10:41 [202.122.130.32]
โซนโคราช... เป็นแหล่งที่มีลมความเร็วมากเพียงพอในการติดตั้งกังหันผลิตไฟฟ้าครับ..
จาก : 005(005) 28/1/2556 13:12:10 [202.122.130.32]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

เรือง จาก เรือง 182.53.63.150 จันทร์, 28/1/2556 เวลา : 09:45  IP : 182.53.63.150   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122331

คำตอบที่ 205
      

fiogf49gjkf0d
http://www.dailynews.co.th/thailand/150227





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

เรือง จาก เรือง108 182.53.63.150 จันทร์, 28/1/2556 เวลา : 09:47  IP : 182.53.63.150   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122332

คำตอบที่ 206
      

fiogf49gjkf0d






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

เรือง จาก เรือง108 182.53.63.150 จันทร์, 28/1/2556 เวลา : 09:47  IP : 182.53.63.150   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122333

คำตอบที่ 207
      

fiogf49gjkf0d
ขาลง “เคเทรนด์” พรีเซ็นเตอร์ ทัวร์ แฟชั่น คอนเสิร์ต ตกฮวบ

ไม่ช็อตแล้ว…กระแสฮิตเกาหลี หรือ เคเทรนด์ ที่เคยร้อนแรงต่อเนื่องมาหลายปี กำลังเป็นวัฏจักรทั่วไป ที่ “มีขึ้นก็มีลง” เมื่อความนิยมได้ลดดีกรีความร้อนแรงมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ส่งผลให้หลายแบรนด์เวลานี้ต้องงดการนำบอยแบนด์ เกิร์ลแก๊งค์ จากเกาหลีเป็น “พรีเซ็นเตอร์” กันแล้ว ยังรวมไปถึงแฟชั่น ทัวร์เกาหลี คอนเสิร์ต ที่ล้วนแต่อยู่ในช่วงขาลง



หลังจากที่สื่อบันเทิงเกาหลี ดารา นักแสดง ซีรี่ส์ คอนเสิร์ต แฟชั่น หรือกระแส “เคเทรนด์” แผ่อิทธิพลเข้ามาครองใจคนไทยมายาวนานติดต่อกันเกือบ 10 ปี ส่งผลให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ที่อยากอินเทรนด์ต้องเลือกใช้ศิลปินเกาหลี หรือสอดแทรกความเป็นเกาหลีเพื่อทำให้แบรนด์ติดอยู่ในกระแส และได้ใจแฟนคลับ



แต่กระแสความนิยมเกาหลีเริ่มลดความนิยมลงมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ส่งผลให้ธุรกิจทัวร์ไปเกาหลี คอนเสิร์ตวงดนตรีเกาหลี รวมถึงแฟชั่นจากเกาหลีได้เสื่อมความนิยมลง



ถึงขั้นที่เจ้าของแบรนด์สินค้าที่เคยเลือกใช้ “ศิลปินเกาหลี” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องกลับมาทบทวนใหม่ หันไปใช้พรีเซ็นเตอร์คนไทยแทน หรือใช้ “เน็ตไอดอล” คนดังในอินเทอร์เน็ต หรือคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จแทน เพราะยั่งยืนกว่า สะท้อนความเป็นแบรนด์ได้ดีกว่า



ถึงขั้นเชย
“ตอนนี้ใครแต่งหน้า แต่งตัว หรือไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีถือว่าเชยแล้ว เทรนด์ตอนนี้กลับไปสู่เรื่องของ Back to Basic แล้ว” นุวีร์ เลิศบรรณพงษ์ Head of Invention, MildShare บอกก่อนจะอธิบายว่าเหตุผลที่กระแสเกาหลีที่โด่งดังในประเทศไทยมากว่า 5-6 ปีกำลังจะตกลงไปในการตลาดไทย ก็เพราะพฤติกรรมของวัยรุ่นปัจจุบันที่ติดตามข่าวสารทางโลกดิจิตอล ทำให้ความสนใจหลากหลายและเปลี่ยนเร็ว



“กระแสเริ่มลงตั้งแต่ปีที่แล้ว วัยรุ่นเบื่อง่าย เห่อตามกระแสเท่านั้น เพราะว่าการที่เขาติดตามข่าวสารทางดิจิตอล ข่าวมันมาเร็ว มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาทุกวัน วัยรุ่นก็จะดูแล้วอะไรที่เขาคิดว่าเจ๋ง ก็จะเลือกคนนั้นเป็นไอดอล”



กระแสของเกาหลีที่ตกลงส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวกับเกาหลีอื่นๆ พลอยได้รับความนิยมลดลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง อาหาร หรือแม้แต่การท่องเที่ยว เขาตั้งข้อสังเกตว่า ดูจากหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันเวลานี้ ทัวร์เกาหลีที่เคยลงโฆษณา 1 หน้าเต็มๆ ในช่วงกระแสฮิตๆ เวลานี้หายไปเกือบหมด เพราะคนเที่ยวเกาหลีน้อยลง



อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ แฟนคลับตัวจริงเท่านั้นที่ยังคงนิยมอยู่ ทำให้กระแสความนิยมแคบลงสำหรับนักการตลาดที่ต้องการยอดขายในระดับแมส กลุ่มศิลปินเกาหลีที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนักอาจจะไม่ใช่คำตอบ



“คอนเสิร์ตหรือว่ากิจกรรมบางอย่างอาจจะยังทำได้อยู่ แต่ต้องเลือกเอาเฉพาะคนหรือวงที่มีแฟนคลับเยอะๆ ดังระดับ Top 5 เข้ามาเท่านั้น จะใช้วงดาษดื่นไม่ได้แล้ว เพราะคนที่สนใจจะน้อยมาก ส่วนแบรนด์ที่ตั้งใจเข้าหากลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นก็คงต้องกลับมาพิจารณาที่คาแร็กเตอร์ของแบรนด์ว่าตัวเองเป็นใคร จะสื่อสารกับคนกลุ่มไหนแล้วค่อยเลือกพรีเซ็นเตอร์ กลับมาใช้ไอเดียสื่อสารมากกว่าแค่ใช้พรีเซ็นเตอร์ให้คนรู้จัก จำได้เป็นพอ”



กระแสญี่ปุ่นกำลังกลับมา
สอดคล้องกับความเห็นของ นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด ในฐานะที่วัตสันเองต้องดูแนวโน้มการขายสินค้าเพื่อความงามหลากหลายแบรนด์ กล่าวว่า “กระแสเกาหลีตอนนี้ก็คงต้องจับตาดู สำหรับวัตสันมองว่า กระแสยังมีอยู่ แต่การเติบโตชะลอตัวลงไป อาจจะเป็นเพราะว่ากระแสเกาหลีหวือหวามาหลายปีแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มนิ่ง ไม่มีอะไรใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องของวงจรการตลาดที่ถือว่าปกติมีขึ้นก็ต้องมีลง



ส่วนกระแสที่กำลังมา คือ เทรนด์ญี่ปุ่น ก็เริ่มกลับมาพอสมควร แบรนด์อย่างชิเชโด้หรือแม้แต่แบรนด์เล็กๆ ก็กลับมาทำตลาดอย่างจริงจังอย่างเห็นได้ชัด



เถ้าแก่น้อยยอมรับกระแสเกาหลีตก
แต่ยังต้องใช้ 2PM
ทางด้าน อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตสาหร่ายสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ยอมรับว่า จากการรีเสิร์ชตลาดพบว่า กระแสเกาหลีเริ่มตกแล้วในปีนี้ แต่ที่ยังต้องเลือกใช้วงบอยแบนด์จากเกาหลี 2PM เนื่องจาก Brand Positioning ที่เถ้าแก่น้อยเลือกใช้มาตลอดว่าเป็นแบรนด์ที่ใช้สาหร่ายจากเกาหลี และเมื่อเลือกใช้แล้วก็ต้องจัดเต็มเอา 2PM บอยแบนด์อันดับ 1 ของเกาหลีในใจคนไทย โดยมีแม่เหล็กสำคัญที่ นิชคุณ หรเวชคุณ



อีกทั้งยังรองรับบุกตลาดต่างประเทศ เพราะศิลปินเกาหลีกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักในระดับเอเชีย หลังจากที่เคยชิมลางด้วยการเลือกบอยแลนด์ “Beast” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญใหญ่คราวก่อน และได้เรียนรู้ว่าหากเป็นวงเล็กขนาดเล็กกระแสและจำนวนแฟนคลับยังไม่เพียงพอต่อการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง



แม้กระแสเคป๊อปจะแผ่วลง แต่ยังได้ชื่อเป็นวงดัง อิทธิพัทธ์ บอกว่า งานนี้ต้องควักค่าตัว สัญญา 1 ปีให้กับวง 2PM ก็ต้องควักประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (29 ล้านบาทเศษ) โดยต้องใช้เครื่องมือสื่อสารอื่นๆ เพื่อเสริมการรับรู้ให้แคมเปญนี้เข้าถึงผู้บริโภคในระดับแมส จะหวังพึ่งแค่เสน่ห์ของ 2PM อย่างเดียวไม่ได้



“การออกรายการเรื่องเล่าเช้านี้ก็เพื่อ PR ให้คนสนใจ ความจริง 2PM ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น นอกจากนิชคุณที่ได้ในแมส ซึ่งเราจะเชื่อมโยงแบรนด์เถ้าแก่น้อยกับ 2PM ก่อน และใช้สื่อด้านต่างๆ



ถึงแม้จะทำขนาดนี้แล้ว แต่ ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ก็รู้ดีว่า 2PM ก็อาจจะเข้าไปถึงคนทั้งหมด ยังคงมีแฟนเถ้าแก่น้อยส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบในสตอรี่ส่วนตัวของเขา ดังนั้นเขาจะใช้แบรนด์ตัวเองในฐานะเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในขณะที่อายุยังน้อย เป็นแรงบันดาลใจให้กับวัยรุ่นที่อยากประสบความสำเร็จแบบเขาบ้าง ทุกครั้งที่มีกิจกรรมและในภาพยนตร์โฆษณาจะมีหน้าเจ้าของเถ้าแก่น้อยร่วมด้วย



สก๊อต เพียวเร่ เตรียมเลิกใช้เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี
ทางด้าน สมพล ชวาลเวชกุล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพภายใต้แบรนด์ “สก๊อต” บอกกับ POSITIONING ว่า จากเดิมที่สก๊อต เพียวเร่ซึ่งเป็นเครื่องดื่มพรุนสกัดผสมวิตามิน เคยเลือกใช้วง “4minute” วงเกิร์ลกรุ๊ปจากเกาหลี มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องกันมา 2 ปี เวลานี้บริษัททบทวนการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์จากเกาหลีแล้ว ส่วนจะเปลี่ยนแปลงหรือเลือกใช้ใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แทนนั้น ยังเปิดเผยไม่ได้ โดยจะมีการจัดแถลงข่าวในเร็วนี้



การตัดสินใจทบทวนการเลือกใช้วงดนตรีจากเกาหลี มาจากบทเรียนที่ได้รับมาพบว่า วงเกาหลีมีความเป็นแฟชั่นสูง ความนิยมจึงมาเร็วไปเร็วอาจอยู่ได้ไม่นาน ไม่สอดคล้องกับแบรนด์ที่ต้องการสะท้อนภาพความต่อเนื่องและอยู่ได้นานของพรีเซ็นเตอร์มาเป็นตัวแทนให้กับแบรนด์



นอกจากนี้ความนิยมของวงดนตรีเกาหลีค่อนข้างจำกัด ไม่แมส ส่วนใหญ่จะมีแฟนคลับจำนวนเดียว จึงไม่สามารถสร้างการรับรู้ในวงกว้าง และกลายเป็นข้อจำกัดของสินค้าที่ทำตลาดแมสอย่างสก๊อกต เพียวเร่



“สินค้าเราทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มแมสในขณะที่วงเกาหลีเขาค่อนข้าง Niche ส่วนใหญ่เขาจะมีแฟนคลับอยู่เพียงจำนวนเดียวก็เลยเข้าถึงลูกค้าได้ไม่กว้างพอ นี่คืออีกหนึ่งในบทเรียนที่เราได้รับ แต่วงเกาหลีก็ยังเหมาะที่ใช้ทำกิจกรรม Below the line จัดอีเวนต์เฉพาะกิจแบบชั่วคราวเท่านั้น”



ก่อนหน้านี้ สก๊อตได้เลือกวง “โฟร์มินิท” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการเปิดตัว สก๊อต เพียวเร่ มาตั้งแต่ปลายปี 2010 เวลานั้นสก๊อตมองว่าสาวๆ ทั้ง 5 จากวงเกิร์ลกรุ๊ปจะช่วยให้ สก๊อต เพียวเร่เป็นที่จดจำของกลุ่าเป้าหมายที่สนใจสุขภาพ ถัดจากนั้น ในปี 2011 สก๊อตได้เซ็นสัญญาวงโฟร์มินิทให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพราะมองว่ากระแสเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลียังได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ จึงทุ่มงบ 50 ล้านบาท เพื่อใช้สื่อให้ครบวงจรยิ่งขึ้น



ทั้งนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว สก๊อต เริ่มหันมาเลือกใช้ดาราดังของไทย อย่าง อนันดา เวอร์ริ่งแฮม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้กับผลิตภัณฑ์ซุปไก่และช่วงต้นปี สก๊อตได้ เลือก “โน้ส-อุดม แต้พานิช” เจ้าพ่อเดี่ยวไมโครโฟน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสก๊อต อีซี่ ซุปไก่สกัดสำเร็จรูป สูตรใหม่ ดื่มง่าย เพื่อต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษา และคนทำงานรุ่นใหม่



“คาแร็กเตอร์ของโน้สไปฟิทอินกับตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีความน่าเชื่อถือ โน้สเขาเป็นคนพูดจริง ทุกอย่างที่เขาหยิบมาเล่าในเดี่ยวไมโครโฟน เป็นเรื่องจริง”



นอกจากแหล่งข่าวในแวดวงการตลาดให้ข้อสังเกตว่า ทิศทางการใช้พรีเซ็นเตอร์จะเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของสื่อออนไลน์ที่เพิ่มบทบาทมากขึ้น นอกจากการใช้ดาราดังของไทย เพื่อสร้างการรับรู้ได้เร็วแล้ว อีกส่วนหนึ่งจะหันมาเลือกใช้ เน็ตไอดอล ที่สร้างความโด่งดังจากออนไลน์จนมีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าด้วย



นี่คือส่วนหนึ่งของการสะท้อนภาพความลดระดับความนิยมของกระแสเคเทรนด์ของบรรดาบอยแบนด์และเกิร์ลแก๊งค์ รวมไปถึงแฟชั่นและสินค้าเกาหลี แม้จะยืนยาวมาได้นานนับสิบปีแต่เมื่อขาดความสดใหม่ ความนิยมก็ลดลง ติดตามอ่าน สกู๊ป “ขาลงกระแสเกาหลี พรีเซ็นเตอร์ ทัวร์ แฟชั่น คอนเสิร์ต หล่นฮวบ” ต่อเนื่องได้ที่ POSITIONING on iPad และเว็บไซต์ www.positioningmag.com








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 8/2/2556 เวลา : 16:44  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122466

คำตอบที่ 208
      

fiogf49gjkf0d

สินค้าที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เกาหลี

แบรนด์ / ผลิตภัณฑ์ / พรีเซ็นเตอร์

บิ๊กโคล่า /เครื่องดื่มน้ำดำ /วงดนตรี B1A4
วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก/ คลินิกเสริมความงาม /วงดนตรี B1A4
โอเล่ (โอสถสภา) /ลูกอม/ คนแรก จางกึนซอก , คนต่อมา คิมบอม
ทเวลฟ์ พลัส Shower Cream (โอสถสภา) /สบู่ครีม / ลีมิน โอ เป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ

ทเวลฟ์ พลัส /ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย / ซีวอน แห่งวงซูเปอร์จูเนียร์
แมกซิม คอนแทคเลนส์ / คอนแทคเลนส์ / ทงเฮ จากวงซูเปอร์จูเนียร์
เถ้าแก่น้อย / สาหร่ายสำเร็จรูป / วงแรกBeast , วงปัจจุบัน 2PM
สาหร่าย มาชิตะ (บุญรอด) / สาหร่ายสำเร็จรูป / คยูฮยอน จากวงซูเปอร์จูเนียร์

ยามาฮา นูโว ซีรี่ส์ (2008) / รถจักรยานยนต์ / ดงบัง
ยามาฮ่า ฟีโน่ (2008) / รถจักรยานยนต์ / ซูเปอร์จูเนียร์
ยามาฮ่า ฟีโอเร่ (2010) / รถจักรยานยนต์ (กลุ่มผู้หญิง) / วงเกิร์ลกรุ๊ป 2EN1
ยามาฮ่า TTX (2012) / รถจักรยานยนต์ / วงบอยแบนด์ Bigbang

สก๊อต เพียวเร่ / เครื่องดื่มสุขภาพ / วงเกิร์ลกรุ๊ป 4minute
สก๊อต เพียวเร่ 10 เบอร์รี่ / เครื่องดื่มสุขภาพ / วงบอยแบนด์ CNBLUE
เอเวอร์เซ้นส์ (ไบโอ คอนซูเมอร์) / ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย / วงบอยแบนด์ Bigbang และวง 2PM
เอเซอร์ โน๊ตบุ๊ก / ซีวอน / จากวงซูเปอร์จูเนียร์

ซัมซุง โทรศัพท์มือถือ / นิชคุณ / แห่ง 2PM
แบรนด์ ซุปไก่ สกัด / เครื่องดื่มสุขภาพ / นิชคุณ
มิตซูบิชิ มิราจ / รถยนต์ / นิชคุณ


แบรนด์ที่เคยเกาะกระแสเคป๊อป

นอกจากแบรนด์ที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เกาหลีเต็มตัวแล้ว ยังมีอีกหลายแบรนด์สินค้าที่อาศัยเทรนด์เกาหลีมาทำกิจกรรมการตลาด นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่ง เฉพาะแบรนด์ที่มีกิจกรรมน่าสนใจเท่านั้น เพราะถ้าหากจะนับแบรนด์ที่ใช้วิธีชิงโชคทริปทัวร์เกาหลีคงมีอีกเพียบ บรรยายไม่หมด


แบรนด์ / กิจกรรม

แฟนต้า / สนับสนุนคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลีหลายคอนเสิร์ต
สยามเซ็นเตอร์ / เชิญตัว คิมบอม พระเอกสุดฮอตจากเกาหลีมาร่วมในงานเปิดตัวหลังรีโนเวตห้างฯ
ฮอทต้า / ชิงรางวัลทัวร์เกาหลีเดินทางร่วมกับ ป๋อ-ณัฐวุฒิ
ดั๊บเบิ้ลเอ / ชิงโชคเที่ยวเกาหลี พร้อมเงินช้อปปิ้งอีก 10 ล้านวอน
โค้ก / ชิงรางวัลพาทัวร์ตามรอยซีรี่ส์เกาหลี
ทาบิ / ขนมสไตล์ญี่ปุ่นอย่างทาบิ ยังต้องชิงโชคทัวร์ไปเกาหลี ร่วมเดินทางกับ เต๋า-คชา AF8





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 8/2/2556 เวลา : 16:50  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122467

คำตอบที่ 209
      

fiogf49gjkf0d
ช่อง 3 ฆ่าตัดตอนทำลายเทป “เหนือเมฆ 2”

ช่อง 3 มัดตราสัง ฆ่าตัดตอนตัวเอง อ้างทำลายเทป “เหนือเมฆ2” ส่งผลให้ข้อกังขาที่ช่อง 3 อ้างว่า ผิดพ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพียงเพราะคำขู่จากอำนาจมืดเรื่อง “ปิดสถานี” ! ความดีไม่เคยสูญ อนาคต อุดมการณ์ “เหนือเมฆ 3” จะออกเผยแพร่ในรูปภาพยนตร์ ระหว่างนี้อยู่ที่ในช่วงวิ่งหาทุน วันนี้ … นโยบายการทำละครของช่อง 3 ขยับตัวเองเข้าสู่ยุคมืด ห้ามแตะนักการเมือง, ข้าราชการ, ตำรวจ, ทหารในเรื่องกินสินบาทคาบสินบน ฉ้อโกง ทุจริต ทั้งปวงโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย “เหนือเมฆ2”

นับวันยิ่งส่อแสดงพิรุธออกมาเรื่อยๆ สำหรับการจัดการละครเหนือเมฆ 2 ของทางช่อง 3 ที่ออกอากาศมาจนถึงตอนที่ 9 แล้วอยู่ดีๆ ก็ระงับการฉายไปดื้อๆ โดยนำละครเรื่องแรงปรารถนามาเสียบแทนพร้อมกับแถลงการณ์สั้นๆ ว่าขอระงับการฉายเหนือเมฆ 2 เนื่องจากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับข่าวเบื้องลึก เบื้องหลังว่า ถูกการเมืองเข้าแทรก เพราะเนื้อหาของละครที่ฉายภาพความทุจริต โกงกินของนักการเมืองที่เข้าไปกระแทกใจอย่างจัง จนเรียกคุยพร้อมคำขู่ “จะปิดสถานีช่อง 3 ” !! ถ้าไม่ดำเนินการในเรื่องนี้

เรื่องราวเข้มข้นจนกลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เมื่อช่อง 3 ทำตัวใบ้ถาวรไม่ชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน ออกมาอ้อมแอ้มตอบเพียงแค่ว่าพิจารณาแล้วพบว่าเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ไม่ชี้ชัดไปว่าไม่เหมาะสมตรงไหน เมื่อสังคมไล่เบี้ยไปที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลกิจการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ทั้งหมด กสทช. ก็ลุกขึ้นมาพูดถึงกรณีดังกล่าวว่าช่อง 3 กระทำการอัตวินิบาตกรรมหยุดแพร่ภาพละครของตัวเองโดยไร้เหตุผลรองรับเช่นนี้ถือว่าล่วงล้ำการทำหน้าที่ของ กสทช. เพราะหน้าที่การตรวจสอบตลอดจนสั่งระงับการออกอากาศเป็นของ กสทช. โดยตรง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการส่งหนังสือขอตรวจสอบเทปละครสามตอนสุดท้ายของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.14.186 เสาร์, 16/2/2556 เวลา : 11:34  IP : 124.121.14.186   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122545

คำตอบที่ 210
      

fiogf49gjkf0d
แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นการกระตือรือร้นพอเป็นพิธีเท่านั้นเพราะเมื่อช่อง 3 ออกมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายประสาร มาลีนนท์ รองประธานกรรมการบริหารรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ระบุว่า

“ตามหนังสือที่อ้างถึง ท่านแจ้งว่า ผู้ได้รับมอบหมายจากข้าพเจ้าได้เข้าชี้แจงข้อมูลและรับทราบต่อที่ประชุมว่า จะจัดส่งข้อมูลเนื้อหา ภาพและเสียงละคร เหนือเมฆ 2 ตอนที่ 10,11 และ 12 (รวม 3 ตอน) ที่ถูกระงับการออกอากาศ ท่านจึงขอให้ข้าพเจ้าจัดส่งเอกสารและแผ่นวีดีทัศน์ (CD) ข้อมูลละครเหนือเมฆ ตอนที่ 10,11 และ 12 (รวม 3 ตอน) จำนวน 1 ชุด ให้แก่คณะกรรมาธิการ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาต่อไปนั้น”

“ข้าพเจ้าได้สอบถามผู้ได้รับมอบหมายจากข้าพเจ้าให้เข้าชี้แจงแล้วผู้ได้รับมอบหมายแจ้งว่าไม่เคยรับต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ว่า จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใดทั้งนี้ ขอเรียนว่าในการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้น เอกสารและแผ่นวีดีทัศน์ (CD) ข้อมูลละครเหนือเมฆ 2 ตอนที่ 10,11 และ 12 (รวม 3 ตอน) ในความครอบครองของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 นั้น ได้ทำลายไปแล้ว จึงไม่มีเอกสารใดที่จะมอบให้แก่ท่านได้ จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย”

พอเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎรก็เล่นไปตามบทบาทว่าจะนำเรื่องไปประชุมกับทาง กสทช. เพื่อหาข้อยุติในเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งก็คงจะสอดคล้องกับแนวคำพูดของ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ (กสท.)ที่กล่าวชี้นำมาแล้วว่า

“โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า ช่อง 3 มีสิทธิที่จะระงับการแพร่ภาพออกอากาศละครได้ เพราะช่อง 3 เป็นฟรีทีวี ไม่ได้เป็นเคเบิลที่เรียกเก็บเงินค่าตอบแทนจากผู้ชม ซึ่งอาจจะมีปัญหาเวลาไประงับการออกอากาศละคร ทั้งที่ละครยังไม่จบ เพราะคนเสียเงินดู ถือเป็นความผิดแน่นอน แต่การระงับครั้งนี้ จะมีผลอะไรหรือไม่ คงจะต้องไปหารือกันในที่ประชุมอีกครั้ง”

ทางฝ่าย “นก สินจัย เปล่งพานิช” นักแสดงละครเหนือเมฆซึ่งสามี “ฉัตรชัย เปล่งพานิช” เป็นผู้จัดละครดังกล่าวเพิ่งจะออกมาให้ข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่เสียขวัญ หลบไปเลียแผลใจที่ต่างประเทศกับฉัตรชัย เปล่งพานิชพร้อมครอบครัว และ “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ พระเอกของละครเรื่องดังกล่าวนานหลายสัปดาห์ สินจัยพูดถึงเรื่องนี้แบบน้ำท่วมปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในทำนองว่าเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว!!

“ก็ถือว่ามันผ่านไปแล้ว ก็คงเป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตในการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มันจบไปแล้วเราก็เริ่มต้นทำงานกันใหม่ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม นกก็ยังได้ทำงานละครดีๆ เราไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่จะทำละครดีๆ มีสาระและบันเทิงเหมือนเดิม”

เมื่อถามถึง Copy เทปละครเหนือเมฆ 2 สินจัยก็ปัดว่าไม่มีเก็บไว้ที่ตัว ซึ่งในความเป็นจริงนั้น … เป็นไปไม่ได้ !! ที่ผู้จัดจะไม่มีเทปละครภายใต้การผลิตของตัวเองเก็บเอาไว้ เรื่องนี้มองได้เพียงเหตุผลคือ สินจัยก็ต้องการยุติเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามคำขอร้องและนโยบายของช่อง 3 เพราะอย่างไงซะ ค่ายเมตตามหานิยมของฉัตรชัย เปล่งพานิชก็ยังต้องทำงานกับช่อง 3

เทปละครเหนือเมฆ 2 จึงเป็นดั่งหอกข้างแคร่ของช่อง 3 การเร่งฆ่าตัดตอนตัวเอง แม้จะทำให้ทุกอย่างหยุดและจบลง และไม่อาจสาวอะไรต่อไปได้ในรายละเอียด แต่ถ้าวันใดมีมือดี โจรกรรมฉกนำ 3 ตอนสุดท้ายมาปล่อย ช่อง 3 ก็จะมีความผิดตามกฎหมายในทันที แต่ทว่าการใช้วิธีการนี้แก้ปัญหา ยิ่งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าหากมั่นใจว่าละครเหนือเมฆผิด พ.ร.บ. มาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 จริงตามที่ช่อง 3 กล่าวอ้างก็ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำลายเทปทิ้งแบบนี้

ช่อง 3 ให้เหตุผลว่าละครเรื่องดังกล่าวเป็นลิขสิทธิ์ของเขา เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะทำลายเทปนั้นทิ้งได้ตามใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของการทำลายเทปละครที่แสลงหูแสลงตาเรื่องนี้

การที่ช่อง 3 ถูกอำนาจมืดที่ดูเหมือนจะชอบธรรมในทางกฎหมายคุกคามก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอยู่ เพราะยังไง ช่อง 3 ก็ต้องรักษาอู่ข้าว อู่น้ำทางธุรกิจของตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้ผู้บริหารช่อง 3 กลัวมากและถึงขั้นตัดสินใจขอยอมตกเป็นจำเลยสังคม ยอมรับความอัปยศครั้งประวัติศาสตร์ของสถานีแบบนี้ดีกว่า … เพราะคิดว่า นานไป เรื่องทั้งหลายคงจะเงียบไปเอง แม้ตัวเองจะต้องมีรอยด่างพร้อยบ้างก็ตาม

หลังเกิดเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ไม่นาน ช่อง 3 ได้มีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการผลิตละครที่จะไม่พาดพิง นักการเมือง , ข้าราชการ, ตำรวจ, ทหารที่เกี่ยวข้องการกับการทุจริตมิชอบทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อด้วยภาพ ด้วยบท เพราะฉะนั้น … นวนิยายเรื่องไหนที่จะนำมาเป็นดัดแปลงเป็นละคร จำเป็นต้องตัด หรือดัดแปลงไม่ให้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว เพื่อจะไม่พาตัวเองเข้าไปในวังวนของอำนาจที่มองไม่เห็น ไม่สามารถเปิดเผยได้ ดังที่เกิดขึ้นกับละครเรื่อง “เหนือเมฆ 2” มาแล้ว

ตอนต่อไป สำหรับ “เหนือเมฆ” จะถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ระหว่างนี้ อยู่ในช่วงหาทุน ในชั้นแรก นนทรีย์ นิมิตบุตร และฉัตรชัย เปล่งพานิช ได้ยื่นเรื่องเสนอไปที่ “สหมงคลฟิล์ม” แล้ว เพียงแต่รอเวลาที่จะเข้าไปคุยในรายละเอียดตามขั้นตอนต่างๆเท่านั้น






fiogf49gjkf0d
อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000019898
จาก : 005 (005 ) 16/2/2556 11:38:47 [124.121.14.186]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.14.186 เสาร์, 16/2/2556 เวลา : 11:36  IP : 124.121.14.186   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122546

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 7 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันจันทร์,23 ธันวาคม 2567 (Online 10390 คน)