จาก เป้ TOC-197 210.86.130.153
อาทิตย์ที่ , 5/10/2546
เวลา : 09:00
อ่านแล้ว = 714 ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
พอดีไปเจอมาที่เวบ pantip.com เลยนำมาฝากพี่ๆ ครับ ถ้าใครเคยอ่านแล้วก็ขออภัยด้วยครับ
- - - - - - - - - -
บัญญัติ 20 ประการเมื่อขับออฟโรดบนทางราบ
ไลฟ์ แอนด์ ออลวีลไดร์ฟ : บัญญัติ 20 ประการเมื่อขับออฟโรดบนทางราบ. ชนินทร์ พงษ์เสือ
แม้หลายคนจะออกตัวว่าเป็นขาลุย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โอกาสที่จะขับรถบนเส้นออฟโรด เต็มพิกัดนั้นมีน้อยกว่า บนทางเรียบหลายเท่าตัว ดังนั้นการเรียนรู้ เทคนิค บางประการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ การขับออฟโรดคันเท่บนทางเรียบ ซึ่งบางคันมีตัวถังสูงโย่ง หรือบางคันก็บรรทุกสัมภาระมาเต็มพิกัด ดังนั้นเทคนิคการขับย่อมมีความแตกต่างจากการเดินทางด้วย รถเก๋ง หรือ รถสปอร์ต
การใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับเส้นทางก็เป็นสิ่งที่สำคัญ มีการวิเคราะห์กันว่าการขับรถด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ความรุนแรงจะมีมากกว่าที่ความเร็ว 50 กม./ชม. (ตัวเลขโดยประมาณที่ใช้ในการทดสอบชน) ถึง 4 เท่า หรือ 8 เท่าเมื่อเทียบกับความเร็ว 25 กม./ชม.16 เท่าเมื่อเทียบกับความเร็ว 12 กม./ชม. และ 32 เท่าสำหรับความเร็ว 6 กม./ชม.
นี่คือ บัญญัติ 20 ประการเมื่อต้องขับออฟโรดบนทางราบที่ผู้ขับควรและไม่ควรปฏิบัติ
สิ่งที่ควรทำ
1.การกดคันเร่ง และส่งกำลังควรกระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรกระชากอย่างรุนแรง เพราะรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเฉพาะคันโตๆ ไม่ค่อยชอบการกระทืบคันเร่ง หรือการเบรกอย่างดุเดือด รวมถึง การเปลี่ยนเลนอย่างฉับพลัน การเข้าถึงข้อจำกัดพื้นฐานทางกายภาพของรถยนต์เหล่านี้ (หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เป็นรถที่มีความเฉื่อยชา ก็คงไม่ผิด) คือ หนทางที่จะทำให้ผู้ขับสามารถเดินทางด้วยความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มความประหยัดน้ำมัน
2. ควรทิ้งระยะจากคันหน้า พอสมควร หรือเมื่อเบรกก็ไม่ควรพุ่งเข้าไปใกล้กันชนท้ายของคันหน้าจนเกินไป นี่คือหลักการพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่าสิงห์ออฟโรดหรือสิงห์ทางเรียบควรท่องจำให้ขึ้นใจ ถ้าไม่อยากโทรเรียกประกันมาเคลมอุบัติเหตุ
การทิ้งระยะห่างจากรถยนต์คันหน้ามีความสัมพันธ์กับความเร็วที่ใช้ ยิ่งขับเร็วก็ควรเผื่อระยะไว้ให้มากหน่อย และเพื่อความปลอดภัยสุดๆ ควรทิ้งระยะห่างจากคันหน้าอย่างน้อยที่สุด 3 วินาที
ฝรั่งหลายคนที่เคยมาใช้ชีวิตในเมืองไทยยังชอบเหน็บว่า การขับรถโดยเฉพาะเมื่ออยู่บนทางหลวงต่างจังหวัด แล้วไปจี้ท้ายคันหน้าเพื่อให้เร่งความเร็วขึ้น หรือเตรียมตัวแซงทันทีที่มีโอกาสนั้น ถือเป็นความคิดที่โง่บรรลัย โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าขับออฟโรดคันโตคนอื่นจะกลัว เลยเที่ยวไล่บี้ชาวบ้านบนถนนหลวง อย่างนี้น่าจะถูกยึดใบขับขี่ให้หมด
3. ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า เมื่ออยู่บนทางลาดยาง ความเฉียบคมในการบังคับและควบคุมของรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อจะมีไม่เท่ากับรถเก๋ง ดังนั้นควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับอย่างยิ่ง
4. ในทริปที่เดินทางไกลมากๆ ต้องระมัดระวังในเรื่องของความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าของผู้ขับด้วย โดยเฉพาะเมื่อต้องขับบนทางเรียบๆ โล่งๆ ตรงๆ ซึ่งชวนให้ง่วงนอนดีนักแล หากคุณเป็นคนขับ แล้วรู้สึกว่าเหนื่อย หรืออ่อนเพลีย จงจำไว้ว่า อย่าฝืนอีกต่อไป ควรหยุดพักสักครู่ให้ร่างกายกลับมาสดชื่นอีกครั้ง แล้วจึงค่อยเดินทางต่อ
อย่าคิดว่าการเปิดเพลงดังๆ หรือใช้ความเร้าใจจากเสียงเพลงประเภทเฮฟวี่เมทัล หรืออัลเตอร์เนทีฟ จะช่วยคุณได้ เพราะในเมื่อร่างกายไปไม่ไหวแล้ว ต่อให้มีอะไรมากระตุ้นก็ไม่มีผล
5. ใครจะแซงก็ให้เขาไป เพราะบรรดานักขับหลายคนคิดว่า การถูกแซงเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี ทั้งที่ความจริงแล้ว นี่คือเรื่องของความมีน้ำใจและความปลอดภัย แม้ว่ารถยนต์ที่ตามหลังมาจะมีมารยาทไม่ดีก็ตาม เช่น ยกไฟสูง หรือ ขับจี้ท้าย
การปล่อยให้คันหลังแซงขึ้นหน้าในจุดที่ปลอดภัย ยังเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยตัวคุณเองด้วย แต่หลายคนมักไม่มองเช่นนี้ และพยายามเร่งเครื่องหนีเพื่อไม่ให้แซง จนเหมือนกับแกล้งกัน ทำให้คันหลังต้องเร่งเครื่องขึ้นไปอีก และต้องแซงในช่วงความเร็วสูง ซึ่ง ณ วินาทีนั้น อาจมีรถคันอื่นแล่นสวนทางมา จนทำให้ทั้งตัวคุณเองและคันที่ตามหลังมาเกิดอุบัติเหตุได้
หากพวกขับบ้าระห่ำที่ตามจี้ท้ายคุณอยู่ต้องการรีบแซง ก็ปล่อยไป ให้ไปเผชิญโชคชะตากันเอาเอง ซึ่งคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตและความปลอดภัยเข้าไปเกี่ยวพันกับนักขับประเภทนี้ เพราะฉะนั้น ทำใจเย็นๆ ขับชมทิวทัศน์ สองข้างทางและเดินทางไปเรื่อยๆ ดีกว่า
6. แม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่การขับในระยะไกลๆ ก็ควรเปิดไฟต่ำไว้ เพื่อให้รถยนต์ที่แล่นสวนมา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
7. ก่อนตัดสินใจแซงทุกครั้ง มองที่กระจกมองข้างและหลังให้ดีว่าไม่มีรถยนต์คันหลังแล่นมา เพราะบ่อยครั้งที่เกิดอาการแซงซ้อน หรือแซงรวดเดียว 2 คันจากรถยนต์ที่ตามหลังคุณมาโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่แย่และไม่ควรปฏิบัติ นอกจากนั้นควรเปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณทุกครั้งแม้ว่าจะไม่มีรถข้างหลังตามมา
8. อันนี้อาจทำยากหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ดูถูกเพื่อนร่วมถนนทุกคน แค่คิด (เล่นๆ) ว่า เพื่อนร่วมถนนทุกคันเป็นคนขับรถที่ไม่ได้เรื่องและไม่มีความระมัดระวัง ซึ่งนั่นจะทำให้คุณมีความระมัดระวังและตื่นตัวมากขึ้น เพราะเหมือนกับขับอยู่ท่ามกลางอันตราย และอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา เช่น การตัดหน้า หรือแซงโดยไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยว เหมือนกับเป็นการสร้างความระมัดระวังให้กับตัวเองโดยอาศัยความไม่วางไว้ (แบบสมมติ) จากเพื่อนร่วมถนน ที่คุณตั้งขึ้นมาในใจ
9.จำไว้เสมอว่า ในการขับทางไกลโดยเฉพาะเมื่ออยู่ตามต่างจังหวัด ถนนที่ไม่มีการตีเส้นแบ่งเลนไว้ตรงกลาง ก็เป็นถนน 2 เลนแบบสวนกัน เพราะบ่อยครั้งที่หลายคนคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าครองถนน หรือบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวันเวย์ ท่องจำให้ขึ้นใจว่า เลนของคุณอยู่ทางซ้าย อย่าแล่นกินเลนไปทางขวา หรือขับอยู่ตรงกลาง โดยเฉพาะเมื่อถึงจุดอับของถนน หรือตามโค้งต่างๆ นอกจากนั้น ควรตั้งสติให้มั่นและเตรียมแผนสำรองไว้ในใจ เพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจโผล่ขึ้นมาบนถนนแบบกะทันหัน
10.มองให้ไกล โดยเฉพาะในช่วงทางโค้ง หากทัศนวิสัยอำนวย ก็ควรมองลักษณะของโค้งต่อไปด้วย การขับอยู่ในโค้งหักศอก บางครั้งเสากระจกบังลมหน้ากลายเป็นสิ่งที่เกะกะและบดบังทัศนวิสัย เพราะฉะนั้น ควรมองทะลุผ่านทางกระจกหน้าต่างบนประตูไปเลย เพื่อมองสภาพเส้นทางข้างหน้า
เทคนิคในการขับรถทางไกล คือ การคาดการณ์และรับมือกับสถานการณ์อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรมีสติและตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นบนถนน อาจทำให้เกิดอันตรายกับตัวคุณเองได้
11.มัดเจ้าตัวเล็กให้อยู่กับที่ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักขับที่มีลูกอ่อนจนถึงวัยซน แม้ต้องฝืนใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเด็กๆ มักทำให้เกิดความรำคาญ และทำลายสมาธิในการขับ พยายามหาสิ่งบันเทิงมาดึงดูดความสนใจให้เด็กๆ นั่งอยู่กับที่ (เด็กโตควรคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย) เช่น วิดีโอเกม หนังสือ ขนม เครื่องเล่นซีดี รวมถึงการหยุดพักให้บ่อยหน่อยเพื่อไม่ให้เบื่อ หรือในระหว่างพักก็ปล่อยให้วิ่งเล่น จะได้เหนื่อยแล้วหลับไปเองเมื่ออยู่ในรถ
12.ยึดสิ่งของหรือสัมภาระท้ายรถให้แน่นหนา และทางที่ดีควรมีตาข่ายคลุมกองสัมภาระ หรือติดตาข่ายแบบยืดได้กั้นกลางระหว่างกองสัมภาระกับผู้โดยสารด้านหลัง ป้องกันวัตถุลึกลับบินมากระทบหัวเมื่อมีการเบรกกะทันหัน หรืออย่างน้อยหากเกิดอุบัติเหตุ เมื่อรถตีลังกาไปมา ของเหล่านี้ก็ไม่ร่อนมากระแทกกับหัวของพวกคุณเอง ในกรณีนี้ คงมีเฉพาะบรรดา SUV แบบ 5 ประตู ที่มีห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย ส่วนปิกอัพก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าให้มั่นใจ กองสัมภาระที่อยู่บนกระบะท้ายก็ควรมัดให้แน่น และหาอะไรมาคลุมเพื่อไม่ให้ปลิวไปกระแทกกับรถยนต์คันหลัง
13.ในการขับบนเส้นทางชนบท โอกาสที่จะเจอกับบรรดาสัตว์ทั้งหลายบนถนนมีค่อนข้างสูงมาก หากเป็นไปได้ ไม่ควรถอดการ์ดกันกระแทกออก เพราะหากเกิดการชน จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถได้เป็นอย่างดี
14.ตรวจสอบแรงดันลมยางรวมถึงสภาพของยางเป็นประจำ หากเป็นไปได้ควรทำให้กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่แค่เฉพาะเมื่อต้องออกเดินทางไกล การตรวจสอบแรงดันลมยาง ควรทำในขณะที่แรงดันลมภายในยังเย็นอยู่ (หลังจากจอดทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง หรือก่อนออกจากบ้าน)
การขับรถโดยที่มีแรงดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน จะทำให้เกิดความร้อนสะสมบนแก้มยาง จนระเบิดได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการควบคุมทิศทางและเมื่อมีการเบรก ก็อาจเกิดอาการเถไปยังทิศทางของล้อที่มีแรงดันลมต่ำกว่าข้างอื่น
15.เมื่อรถเสียควรจอดบนไหล่ทาง ในจุดที่ดูแล้วปลอดภัยจากรถยนต์คันอื่น และหลังจากนำรถเข้าจอดในจุดที่ปลอดภัยแล้ว ในกรณีที่เครื่องยนต์ขัดข้อง ไม่ควรนั่งอยู่ในรถ ควรออกมานั่งข้างนอกในจุดที่ห่างไกลจากตัวรถและถนน
ในกรณีที่ต้องจอดเปลี่ยนยาง สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญคือ สภาพการจราจรบนถนน หากจุดที่รถของคุณยางแบน มีรถแล่นไปมามากมาย ควรขับต่อไปอีกเพื่อหาจุดปลอดภัยที่สุดในการจอด เพราะคงไม่ดีแน่ หากขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ ยกยางอะไหล่ แล้วมีรถสักคันแฉลบออกมาเสยตูมเข้าเต็มท้าย บางครั้งอาจจะต้องยอมเสียยางซึ่งเส้นละหลายพันบาท เพื่อแลกกับความปลอดภัยของชีวิตที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
16.เรียนรู้การทำงานของระบบเบรกในรถคุณ ถ้าออฟโรดคู่ใจมีระบบป้องกันล้อล็อก หรือเอบีเอส การใช้งานให้ถูกวิธีคือ การกดเบรกให้เต็มแรงและกดค้างไว้อย่างนั้น ระบบเอบีเอสถึงจะทำงาน ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องที่ว่าล้อจะล็อก หรือรถจะเสียการทรงตัว จากนั้นจึงหักพวงมาลัยหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้า
17.สำหรับรถที่ไม่มีเอบีเอส ควรกดเบรกให้หนัก แต่ไม่ใช่การกระทืบจนแป้นจม ซึ่งเทคนิคง่ายๆ (ในเชิงคำพูด แต่ยากที่จะปฏิบัติ) คือ ควรเบรกให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอาการล้อล็อก โดยเทคนิคนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ จนกะน้ำหนักถูก
สำหรับการเบรกจนล้อล็อกตาย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ล้อหน้าจะไม่สามารถบังคับควบคุมทิศทางได้ แต่จะไถลทื่อไปตรงๆ ทางออกของปัญหานี้ คือ ถอนเท้าออกจากแป้นเบรกเล็กน้อยเพื่อลดแรงดันของน้ำมันเบรก จนกว่าเสียงยางบดถนนเพราะอาการล้อล็อกตายจะหมดไป
18.ควรฝึกจับอาการลื่นไถล และเรียนรู้ที่จะจัดการกับเหตุการณ์เหล่านั้น เช่น อาการหน้าดื้อโค้ง หรือ UNDERSTEER เกิดขึ้นเมื่อยางของล้อหน้าสูญเสียแรงยึดเกาะ และตัวรถไม่สามารถเลี้ยวไปตามโค้งได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าผู้ขับจะพยายามบังคับพวงมาลัยแล้วก็ตาม หากเกิดปัญหานี้ อย่าตกใจ ควรถอนคันเร่ง จากนั้นพยายามบังคับพวงมาลัยเพื่อดึงรถให้เข้าสู่เส้นทาง การหมุนพวงมาลัยมากเกินไปไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะยางคู่หน้าสูญเสียประสิทธิภาพในการควบคุมทิศทางไปแล้ว
อาการท้ายปัด หรือ OVERSTEER เกิดขึ้นเมื่อล้อหลังสูญเสียการยึดเกาะ จนมีลักษณะเหมือนกับว่าล้อหลังพยายามจะหมุนแซงล้อหน้าไปให้ได้ และทำให้ท้ายรถปัดออกไปทางด้านข้าง ซึ่งถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะการกดคันเร่งมากเกินไปในขณะที่ออกจากโค้ง ก็ให้ถอนคันเร่งและบังคับให้ล้อหน้าเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ถ้าเกิดขึ้นเพราะถอนคันเร่งกะทันหัน ซึ่งก่อให้เกิดการถ่ายน้ำหนักจากด้านหลังมาที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ก็ควรกดคันเร่งต่อและควบคุมรถให้แล่นไปในทิศทางที่ต้องการ
19.เมื่อขับอยู่บนถนนลาดยางมะตอย หากมีสิ่งของ เช่น กรวด น้ำมันหล่อลื่น หรือน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่บนถนน โอกาสที่จะลื่นไถลมีค่อนข้างสูง เพราะจะเป็นตัวการที่ทำให้ล้อมีการหมุนเร็วขึ้น หากหลีกเลี่ยงได้ ควรหลบ หรือถ้าทำไม่ได้ ควรลดความเร็วเมื่อต้องแล่นผ่าน นอกจากนั้น การขับโดยที่ยางแบนก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการลื่นไถลสูงเช่นกัน
20.ฝึกฝนทักษะการขับและการเรียนรู้เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้บนถนน โดยอาจเข้าร่วมการฝึกอบรมรูปแบบต่างๆ อย่าคิดว่า เมื่อขับออฟโรดแล้ว ต้องฝึกฝนทักษะในด้านนี้เพียงอย่างเดียว การหาโอกาสเข้าอบรมการขับบนทางออนโรด จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางมากขึ้น และมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคุณสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
โดยส่วนใหญ่ การฝึกอบรมแบบนี้มักมีขึ้นในสนามแข่ง และเปิดโอกาสให้คุณได้พบกับรูปแบบของปัญหาต่างๆ ที่มีโอกาสเผชิญในสภาพการใช้งานจริง อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่าการทดลองด้วยตัวเองตามถนนหลวง แม้ต้องเสียเงิน แต่ก็นับว่าคุ้มค่า เพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตของคุณและคนที่คุณรักอีกด้วย
- - - - - - - - -
ปล.พี่ E (ตัวใหญ่) ผมขอเปลี่ยนชื่อจาก ไปเรื่อย เป็น เป้ นะครับ รู้สึกเรียกชื่อเล่นจะง่ายกว่า
|