เปิดใจ ' ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ บิ๊กค่าย ปตท

จาก Auto
IP:61.90.149.126

เสาร์ที่ , 16/8/2551
เวลา : 17:56
อ่านแล้ว = ครั้ง

เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว

แจ้งลบ

ส่งหาเพื่อน

เปิดใจ ' ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ '

+ อันดับข่าวอ่านมากที่สุดนี้
‘โกร่ง’ แฉข้อมูลเงินเฟ้อมีปัญหา...
แผนฟื้นชีพ ร.ส.พ.ได้ผล...
ลูกจ้างได้เฮ!ประกันสังคม...
ตะลึง!‘ทักษิณ..สู้’โตก้าวกระโดด...
'ประเสริฐ' แจงกรณีหุ้น...
‘นกแอร์’ร่วงตามรอยวันทูโก...
‘ทักษิณ’ลี้ภัย...

+ ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์
หุ้นไทย เปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 706.17 ... 14:41:14
หุ้นไทย ปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 707.95 บ... 12:48:58
หุ้นไทย เปิดตลาดที่ระดับ 705.67 บวก 0.07... 09:58:21
ดัชนีหุ้นหั่งเส็ง เปิดตลาด 21,383.71 บว... 09:43:24
เตรียมขบวนต้อนรับ 'น้องเก๋ ' กลับไทย เที... 09:41:43
........................................... 08:42:38
หุ้นไทย ปิดบวก... 16:51:28

อ่านทั้งหมด >>

ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? ถ้าวันนี้ไม่มี ปตท.

เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่ทีมข่าว “สยามธุรกิจ” ได้นั่งคุยกับ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หลายเรื่องราวที่ได้รับทราบ คำนิยามที่สั้นๆ ที่เราคิดว่า “ตรง” ที่สุดกับ ปตท. ในวันนี้คือ “ปตท. คือ คนไทย” หรือ “คนไทย คือ ปตท.” แต่ทุกครั้งเมื่อมีการแถลงตัวเลขผลการดำเนินงานในรอบไตรมาสออกมา ปตท. ก็มักจะถูก ครหาว่า..ร่ำรวยเกินจริง? และบ้างก็ลงโทษหนักกว่านั้น กล่าวหาว่า ปตท. โกยกำไรจากการขายน้ำมัน โกยกำไรจากรายได้ “ท่อก๊าซธรรมชาติ” และ.. มีอำนาจเหนือตลาดกระทั่ง! เกิดขบวนการ “ทวงคืน ปตท.”

>> เริ่มต้นจากประเด็นน้ำมัน?

“สยามธุรกิจ” ตั้งคำถามกับกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้วยคำถามที่กระชับและเข้าใจง่ายว่า “ถ้าวันนี้ไม่มีปตท. ราคาน้ำมันในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร”

คำตอบที่กระชับและเรียบง่ายดุจเดียว กันคือราคาน้ำมันจะแพงกว่าราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบัน 3 บาทเป็นอย่างน้อย!!

เช่นเดียวกับราคาในประเทศ สปป.ลาว กัมพูชา และ พม่า ที่ขายแพงกว่าประเทศไทย ประมาณ 5-10 บาท เนื่องจากไม่มีบริษัทน้ำมันแห่งชาติ เช่นเดียวกับประเทศมาเลเซีย ที่ขายน้ำมันในราคาถูกเพราะเขามี “ปิโตร นาส”

เพราะฉะนั้น! ถ้าวันนี้ไม่มี ปตท. ตลาด การค้าน้ำมันจะตกอยู่ในมือต่างชาติอย่างแท้จริง

ราคาจะถูกกำหนดโดยมาตรฐาน เดียวกันคือ “ขึ้นเร็ว..ลงช้า” ไม่ใช่ “ขึ้นช้า.. ลงเร็ว”

ซึ่งหากจะมองอย่างเป็นกลางและยุติธรรมต้องยอมรับว่าการประกาศราคาน้ำมันที่ผ่านมา ปตท.เป็นเพียงค่ายเดียวที่ประกาศขึ้นราคา..ช้าที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นรายแรกที่ประกาศลดราคา..ก่อนใคร

ถามว่า ปตท.มีรายได้จาก “น้ำมัน” มากนักหรือ คำตอบคือ “เล็กน้อย” เมื่อเทียบกับรายได้จากการขุดเจาะและสำรวจก๊าซธรรมชาติ และรายได้จาก “โรงกลั่นปิโตรเคมี”

เนื่องจากรายได้จากการขายน้ำมันวันนี้ ปตท. แทบไม่เหลือค่าการตลาด หรือ “กำไร” จากเนื้อน้ำมันแม้แต่บาทเดียว!

ราคาขายปลีกที่กำหนดกันวันต่อวันที่อ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ก็เพราะว่าสิงคโปร์เป็นตลาดที่มีการ ซื้อขายน้ำมันมากที่สุดของภูมิภาค ดังนั้น ราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจึงเป็นราคาที่สะท้อนราคาจริงในตลาดโลก

กรณีท่อก๊าซธรรมชาติ เป็นอีกเรื่องที่ ปตท. ถูกกล่าวหาว่า..ผูกขาด! คือได้สัมปทานรายเดียว ห้าม “คนอื่น” ทำแข่ง

บิ๊ก ปตท.กล่าวในประเด็นนี้ว่า สาเหตุแท้จริง ไม่ใช่เป็นการ “ผูกขาด” แต่เป็นเพราะ “ไม่มีใครกล้าลงทุน”

เนื่องจากประเมินแล้วไม่น่าจะคุ้มการลงทุน

ย้อนกลับไปมองการสร้างท่อก๊าซเส้นแรก หลังประเทศไทยเจอก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย มีการประกาศหาผู้ลงทุนแต่ไม่มีใครเสนอตัว เพราะกลัวไม่คุ้มกับการลงทุน เนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะมีโรงไฟฟ้ารับซื้อก๊าซที่ขนจากอ่าวไทยสักกี่โรง ซึ่งหากมีน้อยเกินไปก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการและการดูแลรักษาสุดท้ายจึงเหลือแต่ ปตท.ในฐานะบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติที่ต้องรับภารกิจดังกล่าว

ปตท.หาทางออกด้วยการก่อตั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำก๊าซส่วนที่ถูกคัดทิ้งไปทำประโยชน์อย่างอื่นสร้างรายได้อีกทาง อาทิ การทำเป็นก๊าซหุงต้ม และเมื่อประกาศสร้างท่อก๊าซเส้นที่สองก็ยังไม่มีใครกล้าลงทุนทั้งที่ไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายห้าม “เอกชน” รายอื่นสร้างท่อก๊าซ หรือโรงแยกก๊าซแข่งกับ ปตท.ใครก็สามารถเสนอตัวเข้ามาทำได้

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบริษัทน้ำมันต่างชาติ หรือนักลงทุนทั่วไป!!

“ปัจจุบันเรามีพระราชบัญญัติประกอบกิจการ พลังงานที่ประกาศใช้เมื่อปี 2550 ซึ่งมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 7 คนมาควบคุมการลงทุน เรื่องก๊าซและไฟฟ้า ซึ่งหากใครจะสร้างท่อก๊าซหรือโรงแยกก๊าซก็ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการผูกขาดของรายใดรายหนึ่ง ถ้าปตท.อยาก ทำท่อก๊าซเส้นที่ 3 อยากสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่ ก็ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการชุดนี้ คน อื่นก็เช่นกัน ไม่มีใครมี “อภิสิทธิ์พิเศษ” บิ๊ก ปตท. กล่าว

การเจรจาซื้อข่ายก๊าซต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาล การวางท่อแต่ละสายต้องอยู่ในการควบคุมของรัฐบาล แต่วันนี้ ปตท.กลับถูกกล่าวหา..ผูกขาด มีอำนาจเหนือตลาด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า

บิ๊ก ปตท.แสดงความรู้สึกต่อเรื่องนี้ว่า...การ “ยกเว้น” ไม่ได้ส่ง “ผลดี” กับ ปตท.เลย

ตรงกันข้าม! กลับทำให้อำนาจการแข่งขันลดลงด้วยซ้ำ เพราะเหตุว่า? หากปตท.ต้องปฏิบัติ ตามกฎของ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าแล้ว ราคาน้ำมันของของ ปตท.จะต้อง “ขยับขึ้น” ตามราคาแท้จริงของตลาดจะลดต่ำกว่า “คู่แข่ง” หรือ “บีบ” ขายในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงไม่ได้เลย

เพราะจะเข้าข่าย “ความผิด” ตาม พ.ร.บ.ที่ห้ามกระทำการในลักษณะ “มีอำนาจเหนือ ตลาด” ราคาก๊าซแอลพีจีจะต้องทะยานมากกว่า ที่ขายอยู่ในปัจจุบันอย่างน้อย 2 เท่าตัว ไม่ใช่ราคา 11.50 บาท

การขายในราคาลิตรละ 11.50 บาท หรือตันละ 332 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาในตลาดโลกตันละ 950 ดอลลาร์หรือมีส่วนต่างที่ต่ำกว่ากันถึงตันละ 600 ดอลลาร์ในนิยามของ พ.ร.บ.แข่งขันทางการ ค้าถือว่า “ปิดกั้น” คู่แข่ง

หมายความว่าถ้าใครเข้ามาผลิตแอลพีจีขายก็จำเป็นต้องขายในราคาเดียวกับปตท.หรือขายตามราคาตลาดโลกก็ได้ แต่ถามว่า ใครจะซื้อ?

แต่ในฐานะที่เป็นบริษัท “พลังงานของชาติ” ปตท.ไม่สามารถเลี่ยงขายก๊าซแอลพีจีในราคาดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนของประเทศ และถ้าปล่อยให้ยันราคาแบบนี้ไปเรื่อยๆ นานเท่าไหร่ ปตท.ก็จะยิ่งเจ็บตัวมากเท่านั้น เนื่องจากต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศมาขายในราคาต่ำกว่าทุน!

และข้อมูลที่น่าตกใจ ณ เวลานี้คือ อัตราการใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมเคยใช้เพียง 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 14.2% และส่วนใหญ่เป็นการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ สูงถึง 22.7%

ซึ่งถ้ายังคงใช้ในปริมาณที่มากเช่นนี้ต่อไป คาดว่าปี 2552 อาจจะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นจากที่เคยใช้ในปัจจุบันอีก 1 ล้านตัน เท่ากับว่า ปตท.จะต้องใช้เงินอุ้มส่วนต่างอีกถึง 600 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยอย่างต่ำ 18,000 ล้านบาท

แม้เงินส่วนต่างที่ ปตท.ต้องชดเชยไปก่อนนั้นรัฐบาลจะชดใช้ให้ในภายหลัง แต่ก็ไม่มีเงื่อนเวลาการคืนที่ชัดเจน ซึ่งหากปตท.ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้าจะกระทำการเช่นนี้ไม่ได้เลย เช่นเดียวกับ.. “เอ็นจีวี” ที่ปตท.ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล “อุ้ม” ราคาช่วยชาติ

บิ๊ก ปตท. กล่าวว่า หากปตท.ยังสามารถสนับสนุนราคาก๊าซธรรมชาติในราคาที่ประชาชนรับได้ต่อ ไปอีก 5 ปีข้างหน้า จะช่วย “คนไทย” และ “ชาติ” ประหยัดเงินได้ถึง 600,000 ล้านบาท!!!

คือ...แอลพีจี 3 แสนล้านบาท เอ็นจีวี 3 แสนล้านบาท และหากรวมเงินภาษีที่ต้องจ่ายคืนกระทรวง การคลังอีก 3 แสนล้านบาท และเงินลงทุนขยายงานของกลุ่มปตท.อีก 3 แสนล้านบาทแล้วเท่ากับ ว่า ปตท.จะต้องใช้เงินเพื่อการต่างๆ มากถึง 1,200,000 ล้านบาท!!! เกือบเท่างบประมาณของประเทศ 1 ปีที่ใช้เงินประมาณ 1,600,000 ล้านบาท

ในด้านการจ่ายคืนทรัพย์สินให้กับกระทรวงการคลังภายหลังการแปรรูป ปตท.ก็ปฏิบัติตาม คำสั่งศาล ทุกประการทั้ง...ที่ดินเวนคืนทรัพย์สินบนที่ดินเวนคืนสิทธิเหนือที่ดินเอกชนที่มีการวางท่อผ่าน ยกเว้น!! ทรัพย์สินบนที่ดินซึ่ง ปตท. เป็นผู้ลงทุนซื้อในภายหลัง ซึ่งพระราชบัญญัติกำหนดให้เป็นสมบัติของ ปตท.

อย่างไรก็ตาม! สุดท้ายศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่า ปตท.คืนทรัพย์สินหมดหรือยัง และปตท.พร้อม ทำตามคำสั่งศาลแบบไม่มีบิดพลิ้ว นี่คือ..ความจริง

บิ๊ก ปตท.กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ ปตท.ยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางมรสุมที่โหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่าคือ..พูดความจริง ยืนอยู่บนความถูกต้อง

เพียงแต่ “ความจริง” และ “ความถูกต้อง” นั้น อาจไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ทุกหย่อมหญ้า จึงมีทั้ง “คนเข้าใจ” และ “ไม่เข้าใจ”

แต่! อย่างไรก็ตาม!! ไม่ว่าใครจะวิจารณ์ว่าอย่างไร ถ้าเราไม่เป็นอย่างนั้น เราอยู่ได้!!!

แต่หากเรากระทำการที่ไม่โปร่งใส ไร้ธรรมาภิบาล แม้จะไม่มีใครวิจารณ์ เราก็อยู่ไม่ได้

เพราะสุดท้าย คนที่ลงโทษคือ “สังคม” คือ “คนไทย” ไม่ใช่ “คนวิจารณ์”

ก่อนปิดฉากการสนทนา “สยามธุรกิจ” ถามย้ำอีกครั้ง...ถ้าวันนี้ไม่มี ปตท.ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?

คำตอบยังกระชับ และ ชัดเจน เช่นเดิม น้ำมันแพง ก๊าซแพง รายได้ด้านพลังงานถูกส่งกลับไปยังประเทศของนักลงทุนต่างชาติ

พลังงานไทยถูกกำหนดโดย..คนต่างชาติ

ถามว่า??? คนไทยจะยอมหรือ!!!

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413330935

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1