WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


เรื่องจริงที่น่าเจ็บปวดในเวลานี้ ราคาพลังงานไทยแพงแค่ไหน
Auto.
จาก Auto
IP:202.80.239.130

เสาร์ที่ , 12/5/2555
เวลา : 10:17

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

การต่อสู้ในเชิงเหตุผลในเรื่องราคาพลังงานยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความสงสัยว่าทำไมราคาพลังงานของไทยถึงได้มีหลายมาตรฐาน !!!?

ถ้าเป็นค่าภาคหลวงของพลังงานไทย ไม่ยึดตลาดโลก แต่กลับจะเป็นราคาต่ำติดดินระดับโลก

แต่ถ้าเป็นราคาน้ำมันขายปลีกของไทยก็บอกว่าจะต้องยึดราคาตามกลไกตลาดโลก แต่พอมีคนจับได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกมีราคาลดลงแต่ราคาน้ำมันไทยกลับมีราคาที่สูงขึ้น ดังกรณีความผิดปกติที่ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามพลังงานมาอย่างใกล้ชิดได้ตั้งข้อสังเกตของราคาน้ำมัน 2 ช่วงเวลาดังนี้

พ.ศ. 2551 ราคาน้ำมันดิบที่เวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จึงสามารถคิดราคาต้นทุนน้ำมันดิบได้ที่ 30.09 บาทต่อลิตร ในปีนั้น ราคาน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 42.50 บาท

เดือนมีนาคม พ.ศ.2555 ราคาน้ำมันดิบที่เวสต์เท็กซัสลดลงมาเหลืออยู่ที่ 105 เหรียญต่อบาร์เรล นอกจากนั้นในช่วงเวลานั้นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากเป็น 30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 20.14 บาท แต่ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ก็อยู่ที่ 42.58 บาท อยู่ดี

ประเด็นนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าทำไมราคาน้ำมันของไทยจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดโลกอย่างที่กล่าวอ้างกัน?

ที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะการประกาศขึ้นราคาและลดราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้น ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ก็จะมีการประกาศขึ้นราคาโดยทันทีและขึ้นได้มาก ในขณะที่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงก็จะลดลงอย่างช้าๆ และอัตราที่น้อยกว่า ด้วยเหตุผลว่ากลัวปั้มน้ำมันที่ขายปลีกจะขาดทุนทันทีจึงต้องลงช้าๆ

พอเป็นแบบนี้หลายๆปีเข้ามันก็เลยเกิดการสะสมราคาในลักษณะ “ขึ้นเร็วทันตลาดโลก-ลงช้ากว่าตลาดโลก” ด้วยเหตุผลนี้พอเอาตัวเลขข้ามปีมาเปรียบเทียบกันจึงเกิดความไม่สอดคล้องกับราคาตลาดโลกอย่างที่เห็น

ตรรกะแบบนี้ดูจะแปลกอยู่มากเพราะเวลาราคาน้ำมันจะลดลงกลับเป็นห่วงคลังน้ำมันของแต่ละปั้มว่าจะขาดทุน แต่เวลาจะขึ้นราคากลับไม่ห่วงว่าประชาชนจะต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าคลังน้ำมันของปั้มน้ำมันที่มีอยู่เดิม!!!
ความจริงข้ออ้างนี้เป็นข้ออ้างที่เอาผู้ประกอบการปั้มน้ำมันมาบังหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ถือมีคลังน้ำมันมากที่สุดก็คือบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ทั้งโรงกลั่น และกลุ่มบรรษัทที่เข้าน้ำมันดิบต่างหากที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในการที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงช้ากว่าตลาดโลกและเพิ่มขึ้นเร็วทันตลาดโลกมาโดยตลอด

นอกจากนี้ทุกวันนี้สิงคโปร์เป็นประเทศกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นของไทยไปโดยปริยาย โดยข้ออ้างในเหตุผลที่ว่า:

“ถ้าไทยราคาต่ำไปกว่าที่สิงคโปร์พ่อค้าคนกลางจะมาแห่ซื้อน้ำมันหมดจากโรงกลั่นไทย” นั่นหมายความว่าเรากลัวว่าจะขายได้ไม่พอกับความต้องการ เพราะกลัวคนมาซื้อจากโรงกลั่นไทยจำนวนมากแล้วไปส่งออก จึงต้องปรับราคาให้เพิ่มขึ้นตามสิงคโปร์

“แต่ถ้าไทยราคาสูงไปกว่าที่สิงคโปร์ พ่อค้าคนกลางจะมาแห่ซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์เพื่อนำเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก” ทำให้ราคาในประเทศไทยสู้ไม่ได้ จึงต้องปรับราคาให้ลดลงตามสิงคโปร์

นั่นหมายความว่าไม่ว่าราคาต้นทุนโรงกลั่นของไทยจะเป็นอย่างไร ก็จะยึดถือราคาที่สิงคโปร์เป็นหลัก ไม่ว่าราคานั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม โดยไม่สนใจต้นทุนที่แท้จริง ใช่หรือไม่?

และถ้าโรงกลั่นที่สิงค์โปร์รับรู้ว่าประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ยึดหลักที่ว่าต้องปรับราคาอ้างอิงตามสิงคโปร์ เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่กลไกตลาดปกติ แต่เป็นกลไกกำหนดโดยสิงคโปร์เท่านั้น ดังนั้นหากสิงคโปร์ต้องการทำกำไรอย่างมหาศาลจากการกลั่นก็จะสามารถขึ้นราคาได้ตามอำเภอใจโดยปราศจากการแข่งขัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือประเทศไทยยอมฮั้วกับการขึ้นราคาที่สิงคโปร์ ใช่หรือไม่?

ความจริงแล้วถ้าฮั้วให้เท่าราคากับสิงคโปร์ก็น่าจะสร้างความสงสัยให้กับประชาชนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีข้อที่น่าสังเกตมากกว่านั้น

โดยคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้จัดทำเอกสาร เรื่อง “พลังงานไทย…พลังงานใคร?” ได้อธิบายเรื่องดังกล่าวความตอนหนึ่งว่า:

“ความมั่นคงของคนไทยมีมูลค่าปีละกว่าแสนล้านบาทที่ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋าจ่ายให้โรงกลั่นน้ำมัน... เราต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงกว่าที่คนสิงคโปร์ซื้อจากประเทศไทย สูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่คนไทยต้องจ่ายเป็นแบบนี้

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ + ค่าโสหุ้ยน้ำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์
= ราคาหน้าโรงกลั่นไทย

ทั้งนี้ค่าโสหุ้ยดังกล่าวประกอบไปด้วย ค่าคนส่ง+ค่าสูญเสียระหว่างขนส่ง+ค่าประกันภัย+ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน

สมมุติว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ 20 บาท และค่าโสหุ้ยนำเข้าจากสิงคโปร์อยู่ที่ 2 บาท คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันหน้าโรงกลั่น 22 บาท ในขณะที่คนสิงคโปร์จะซื้อน้ำมันได้ในราคา 20 บาท

การที่บวกค่าโสหุ้ยเหล่านี้เข้าไปนี่แหละ ที่ทำราคาขายในประเทศต้องสูงขึ้น ทั้งๆที่กลั่นอยู่ในกรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง นี่เอง พูดง่ายๆก็คือเงินที่โรงกลั่นบวกเพิ่มนั้นเป็นเหมือน “เงินกินเปล่า” หรือเป็น “กำไร” ร้อยเปอร์เซ็นต์ของโรงกลั่น เนื่องจากไม่ได้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมาจริง

โรงกลั่นอยากขายน้ำมันในประเทศมากกว่า เพราะขายได้ลิตรละ 22 บาท แต่ถ้าขายสิงคโปร์จะได้แค่ 18 บาท เพราะต้องจ่ายค่าขนส่งเองอีก 2 บาท

นอกจากคนไทยต้องซื้อน้ำมันที่ราคาแพงแล้ว โรงกลั่นยังส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศด้วยราคาที่ถูกกว่าที่ขายให้คนไทยเสียอีก
ก็เวลาขายคนไทย ราคาน้ำมันจะเป็นราคาหน้าโรงกลั่นบวกด้วย ค่าโสหุ้ยต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เมื่อโรงกลั่นไทยเหล่านี้ต้องขายน้ำมันส่งออกไปสิงคโปร์ กลับต้องหักค่าโสหุ้ยออก เพื่อให้เป็นราคาตลาดโลกที่แท้จริง จึงสามารถแข่งขันได้

ดังนั้นราคาที่เขาขายคนไทยจึงเป็นราคาตลาดเทียมภายใต้การสมยอมของภาครัฐที่ยอมให้โรงกลั่นไทย บวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่เกิดขึ้นจริงให้คนไทยต้องรับภาระไปเสียนี่

เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วรัฐบาลจึงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ “คนไทย”ต้องจ่ายแพง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงประเทศไทยสามารถกลั่นน้ำมันได้มากกว่าความต้องการของคนไทยมากว่า 11 ปีแล้ว

ก็เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจเอกชนมากกว่าผลประโยชน์ของคนไทยน่ะสิ โดยอ้างว่าต้องให้แรงจูงใจกับโรงกลั่นเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการหยิบยื่นข้อเสนอว่าเมื่อกลั่นน้ำมันในประเทศ จะสามารถขายได้ราคาเหมือนน้ำมันนำเข้าจากต่างประเทศ

ถ้าเป็นตอนเริ่มต้นสร้างโรงกลั่นก็พอจะรับกันได้ แต่ตอนนี้โรงกลั่นส่งออกน้ำมันเท่ากับบางประเทศในกลุ่มโอเปก มีรายได้มากกว่าส่งออกข้าว แต่รัฐบาลยังอ้างว่าต้องให้แรงจูงใจ

เพราะฉะนั้น ที่ว่าน้ำมันลอยตัวตามราคาตลาดโลก เป็นกลไกของการค้าเสรี ก็เป็นเรื่องไม่จริงใช่ไหม อย่างนี้ควรจะเรียกว่ารัฐบาลอนุญาตให้โรงกลั่นมีเสรีภาพในการผูกขาดจะดูเข้าท่ามากกว่า”

ที่น่าสนใจราคาพลังงานขึ้นสูงมากขนาดนี้แล้ว คนไทยก็ยังอยู่ได้ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สังคมไทยจึงต้องเผชิญสภาพข้าวยากหมากแพงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ !!!

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000058328



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       ยิ่งกว่าการทำนาบนหลังคน

 แก้ไขเมื่อ : 12/5/2555 10:51:44



เวรกรรมของคนไทย...ครับ
จาก : mit-27-27(mit-27-27) 12/5/2555 10:50:34 [113.53.23.104]
กด like ครับ
จาก : Taka_vvti(Taka_vvti) 12/5/2555 20:26:36 [110.169.188.65]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

mit-27-27 จาก Mit-27 113.53.23.104 เสาร์, 12/5/2555 เวลา : 10:49  IP : 113.53.23.104   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 30748

คำตอบที่ 2
       ไม่รู้ว่ารอจนลูกโตมาขับ 2.7 ได้ ราคาพลังงานไทยจะอยู่ในสภาพที่เป็นจริงรึเปล่า
หรือรอจนหลานโตมาขับ 2.7 ได้ จะได้เห็นรึเปล่าก็ไม่รู้ (ไม่ขาย 2.7 อยู่แล้ว จะใช้จนไม่ผมก็รถต้องพังก่อนกันแหละ)



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

teelaban จาก teelaban 203.155.220.236 จันทร์, 14/5/2555 เวลา : 12:54  IP : 203.155.220.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 30759

คำตอบที่ 3
       พลังงานไทย ดีเซลถูก แก๊สถูกแต่อย่างอื่นแพง ออกซ้ายเข้ากระเป๋าขวา
เราเข้ากองทุน เพื่อให้ราคาดีเซลและแก๊สถูก เพื่อให้คนทั้งหลายมีชีวิตอยู่ได้

บ้านเราผลิตปิคอัพดีเซลขายในประเทศเป็นธุรกิจ ถ้าปล่อยราคาดีเซลลอยตัวไม่อุ้มไว้ ธุรกิจนี้พังครืนลงมาแน่นอน บริษัทรถยนต์ในประเทศไทยค่อนข้างมีอิทธิพลกับแนวความคิดของรัฐบาลอยู่มาก เพราะพวกเขาก็ไม่พร้อมที่จะให้รัฐบาลไทยลอยตัวราคาดีเซล แพงกว่าเบนซินแน่นอน เช่นกัน เพราะไทยยังขายปิคอัพดีเซลคอมมอนเรลได้คุ้มทุนในประเทศอยู่

แต่ถ้าลอยตัวดีเซลแก๊สทุกชนิดก็ต้องลอยตัวเช่นกัน รัฐบาลก็ไม่พร้อมจะรับภาระทุกอย่างเหมือนกัน เพราะจะแพงทั้งแผ่นดิน
จึงต้องให้เบนซินแพง ส่วนแก๊สก็จะถูกและดีเซลถูกกว่าเบนซิน



ลอยตัวไปเลย ถึงอย่างไรสินค้าก้อขึ้นราคาอยู่ดี จะได้ล้มกระดานจัดระเบียบใหม่ครับ
จาก : rote(rote) 15/5/2555 21:08:32 [101.108.221.119]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 14/5/2555 เวลา : 13:21  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 30760

คำตอบที่ 4
       ปี 2554 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป มากเป็นอันดับ 5 ของสินค้าส่งออก มุลค่า 3แสนกว่าล้าน ส่วนข้าว เป็นอันดับ 10 มูลค่า 1.9 แสนล้าน กลุ่มคนที่ทำธุรกิจน้ำมัน รวยๆๆๆ รวยแล้วรวยอีก ประชาชนทั่วไปรับภาระค่าน้ำมันที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จงช่วยดลบันดาลให้พวกคนที่เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวง รีดไถ ประชาชน ขอให้มีอันเป็นไป ขอให้มันสูดกลิ่นเงินจนเป็นมะเร็ง ตายอย่างทรมาน ....สาธุ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

mit-27-27 จาก Mit-27 113.53.55.200 อังคาร, 15/5/2555 เวลา : 21:52  IP : 113.53.55.200   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 30765

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,25 ธันวาคม 2567 (Online 11919 คน)