คำตอบที่ 1
       จากประสพกราณ์ ใช้งานมาจะ 20กว่าปี ใช้รถมาหลากหลาย

ใช้งานรถ จริงๆๆๆ แล้วคงจะไม่มีเวลามารอคิวต่อแถวเติม CNG ครับ

เพราะค่าแรง คนขับรถ ตอนนี้้แพงมาก ลูกค้าก็รีบเอาของ

เอาเวลาที่เสียไป มาลบกับค่าส่วนต่าง CNG ไม่คุ้มครับ

รถดีเซลรุ่นใหม่ๆๆๆ ทำได้ ก.ม. 2 บาท ใช้งานอย่างเดียวอย่างอื่นไม่ต้องสน

ยิ่งบรรทุก 2.5 ตัน ไม่ต้องพูดถึง วิ่งไม่ออก ลูกจ้างเหยียบรถ พังหมด...

ดีเซล...ดูแลดีๆๆถ่ายน้ำมันเครื่องตามเวลา รถผมบางคัน ตอนนี้ 7 แสนกว่า กม.แล้ว ยังไม่เปิดเครื่องเลย

กินแต่เครื่องล่าง กับยางรถ...

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 2
       รถแก๊ส LPG ตอนนี้มีใช้อยู่ 2 คัน บรรทุกหนักไม่ได้ วิ่งไม่ออก ทางไกลไม่ไหว กดน้ำมันอย่างเดียว

รถดีเซล ( น้ำมันการเมือง รัฐบาลไหน ? ก็ไม่กล้าขึ้น ) เสริมแหนบ เปลี่ยนโช้ค ขยายล้อกะทะ ใส่ยางใหญ่ 215
ถ้า..ไม่ขยายล้อกะทะ บรรทุก 2.5 ต. วิ่งทางไกล ยางทนไม่ไหวครับ

ไว้วิ่งทางไกล ทำเวลาได้สบายมาก คนขับรถก็ไม่เครียด

ป.ล อาทิตย์หน้าจะไปออก กะบะเกียร์ออโต้ ดีเซล มาลองใช้ดูอีกคัน





 แก้ไขเมื่อ : 20/7/2557 8:43:44

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 3
       คิดถูกแล้วที่ตัด Mitsu 2.4 CNG ออกไปก่อนเพราะว่าตัวนี้ใช้เครื่อง 2.4 ที่เป็นโมเดลเก่ากว่า 2.7 มาใช้งานอีกน่ะ เทคโนโลยีเก่ามาก ไม่ค่อยทนมือทนเท้าเท่าไหร่ ถ้าวิ่ง 3-4 แสนโลฝาสูบต้องเอาออกมาทำแล้ว เพราะเครื่องรอบจัดทีเดียว ทดเฟืองท้ายไว้สูงเพื่อเรียกกำลังมาเนื่องจากเครื่องยนต์ไม่มีเทคโนโลยี Mivec II เข้ามาทำให้กำลังน้อยกว่าชาวบ้านเขา
อีกทั้งที่ผมบอกให้ตัดไปเลยเพราะ มิตซูทำการตลาดรถตัวนี้แปลก ๆ คือเครื่องมันมาด้วยเทคโนโลยีไม่สูง เขาเอาไว้ให้ชาวบ้านใช้ในต่างประเทศใช้กันจนรถผุพังไปเลย หรือบางทีโดน RPG ระเบิดพังทั้งคันไปเลยไม่ต้องเสียดายรถ วิ่งแถวตะวันออกกกลางพังก็ซ่อมง่ายๆ ด้วยพื้นฐานของรถคือไม่มีอะไรต้องซ่อมยากเย็นหรือซ่อมแพงเลย
แต่ Mitsu thailand วางค่าซ่อมตัวนี้ไว้แพงระยับ เทียบเคียงกับราคาการซ่อมรถดีเซลในค่ายตัวเองเลย เห็นแบบนี้แล้วขนลุกซิครับ
วิ่งไปแสนโลจ่ายค่าเปลี่ยนสายพาน 1 หมื่นกว่าบาท อุ่อาจารย์รุ่งที่ปากน้ำบางคล้าซ่อมกันแบบถูก ๆ เลย ใช้ของแท้ทั้งหมดยังต้องมีถึง 7-8 พันบาท ยอมรับว่าอะไหล่แพงจริงและ Mitsu ก็ไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้เลย ตัดตัวเลือกนี้ทิ้งเลย
มิตซุตัวนี้นอกจากราคาตอนซื้อรถป้ายแดงถูกกว่าชาวบ้านแล้ว มองหาข้อดีไม่ออกเลยจริง ๆ

ส่วน TOYOTA NISSAN เปรียบเทียบกันเครื่องกำลังพอกัน แต่การทนแก๊ส Vigo 2.7 โดยเฉพาะตัวเครื่อง CNG ที่มาจากโรงงานทนทานมากกว่าเห็น ๆ การเลือก 2 ตัวนี้ มันจะเกี่ยวพันไปถึงจะซื้อรถที่ติดหรือไม่ติด CNG ด้วย
การพิจารณา คุณลองถามตัวเองดังนนี้ก่อน

1. พ่อคุณไม่รู้เรื่องรถอะไรเลย จะเอารถเข้าซ่อมศูนย์อย่างเดียวหรือไม่ ถ้าเกิน 1 แสนโลไม่คิดเข้าศูนย์แล้ว ผมว่าป่วยการที่คุณจะเลือก Hilux 2.7 CNG จากโรงงานครับ เปล่าประโยชน์

2. สู้ราคาค่าอะไหล่ไหวหรือไม่ Hilux 2.7 CNG จากโรงงาน อะไหล่หลายตัวจะแพง กรองแก๊สราคา 2000-2500 บาท รถแท๊กซี่ CNG ไม่กล้าเปลี่ยนในศูนยื ต้องไปตัดต่อระบบประกันขาด แล้วหาที่เปลี่ยนเอง เอากรองแก๊สจากข้างนอกไปเปลี่ยน ราคา 300-500 บาท นอกจากนี้ยังมีราคาหม้อต้ม หัวฉีดแก๊สจะแพงเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนตามระยะ ถ้าคุรคิดว่าจะรับราคาอะไหล่ตัวนี้ไม่ไหว อยากดัดแปลงอยากซ่อมข้างนอก ขอให้เลิกคิดที่จะออกรถที่ติดแก๊สจากโรงงาน ไม่ว่า Nissan TOYOTA ตัดความคิดนี้ทิ้งไป

NGV ความประหยัดจะอยู่ที่ 1.2 บาท กรณีวิ่งตัวเปล่า ถ้าบรรทุกหนักก็จะขยับมากกว่านี้ คือกินใกล้ 2 บาท
ส่วน LPG Hilux จะกินประมาณ 1.6-1.7 กรณีวิ่งตัวเปล่า ถ้าบรรทุกหนักก็จะมีประมาณ 2.5 -3.0 บาท
ถ้าเป็นดีเซลตัวเปล่าเลย 2.2-2.5 บาท บรรทุกหนัก 2.5 ตัน จะกินประมาณ 3.2-3.5 บาทต่อกม


เรื่องอื่น ๆ ขออนุญาตมาต่อพรุ่งนี้นะครับ วันนี้ไม่มีเวลาพิมพ์แล้ว

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 4
       อีกอย่าง คุณต้องแยกให้ออกระหว่างเครื่อง j ที่เอามาติดแก๊สวิ่งงานบรรทุก กับรถปิคอัพที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินแท้ ๆ ก่อนนะครับ
ญาติภรรยาผมเขาก็เคยทำแบบคุณทั้งที่ผมเตือนแล้วอย่าทำ คือการเอาสตราด้า 2.5 ดีเซลตัวเก่าไปวาง J เพื่อใช้งานรถ ผมเตือนแต่แรกแล้วว่าไม่คุ้มที่จะทำแบบนั้น ไม่ว่ารถอะไร เครื่อง J มันเป็นเทคโนโลยีเมือ 30-40 ปีที่แล้วนะครับ มันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับรถปิคอัพ รถ SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์เก่ามากแล้ว ที่ญี่ปุ่นโล๊ะทิ้งกันเกือบหมดแล้ว แทบไม่ค่อยมีราคาแล้วด้วย อีกทั้งจอดไว้ตามเซียงกงบ้านเรา กว่าจยกลงกับเครื่องเรา มันต้องดัดแปลงทั้งนั้นไม่ใช่งานสวมเลย เพราะฉะนั้นโอกาสจุกจิกมีมาก ซ่อมยาวเพราะเครื่องไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับรถปิคอัพงานบรรทุก เพราะงั้นหาความคุ้มไม่เจอสำหรับใครที่คิดทำแบบนั้น ผมไม่เคยแนะนำ

ถ้าเป็นรถที่ออกแแบบมาเพื่อเป็นปิคอัพบรรทุก ไม่ว่าเบนซินหรือดีเซล มันจะมีความทนทานในตัวของมันเองในระดับนึงของรถ ที่วาง section นั้นไว้
ถามว่าทำไมผมจึงรู้ ก่อนหน้านี้ผมเคยออกมาเขียนในเวปแรก ๆ คนไม่ค่อยเชื่อ ผมไม่ได้เก่งที่รู้ แต่ผมรู้คำตอบก่อนที่จะมาเขียนลง มันเหมือนคุณไปเล่นไฮโลกับเจ้าที่เขารุ้คำตอบ ลูกเต๋าอยุ่แล้ว ผล........ ถ้าคุณทำใจได้ก็จะรู้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ตอนนั้นผมจึงกล้าเขียน สวนคำตอบที่คนอื่นเอามาโพสต์กันในเวปที่นี่หรือที่อื่น ๆ หรือที่ช่างเทคนิคในศูนย์ โตโยต้าชอบเอามาบอกอย่างโน้นอย่างนี้

เดือน กค. นี้ทั้งเดือน ผมต้องไปนั่งเรียนยืนเรียน เดินแกว่งไปมาไปวันวันเพื่อฆ่าเวลาตัวเอง ไม่ได้ทำงานหรอก แต่เพื่อไปเรียนรู้เครื่องยนต์ที่จะส่งกลับไปขายญี่ปุ่น โครเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย โซนโอชิเนีย บางส่วนจะส่งไปขายอเมริกา และแคนาดา คิดดู ผมอายุ 38 แล้ว ผมยังต้องมานั่งเรียนเหมือนเด็ก ปวช. บางทีก็มีการบ้านกลับไปทำ ขนาดขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ รถยนต์ผมยังต้องกลับไปนั่งเรียนใหม่เอาเรื่องความทรงจำในอดีตทิ้งไป แล้วมาเริ่ม 1 2 3 ใหม่ทุกครั้ง เพราะเทคโนโลยีมันเดินหน้าไปตามโลกอยุ่ตลอดเวลา มันไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เพื่อนสมาชิกกลุ่มเราที่ทำงานอยู่โตโยต้าก็เหมือนผมนี่แหละ เพราะวิศวกรบางคนของโตโยต้า ก็ต้องมีการบ้านกลับไปทำเหมือนกันนอกเหนือจากเรื่องงาน แต่ผมขี้เกียจไม่เคยทำ


เครื่องยนต์ทุกเครื่องดีหมด มันก็เหมือนรถทุกคันมีส่วนดีส่วนเสีย แต่มันต้องแยกให้ออกให้เหมาะกับเราตามการใช้งาน ตามแต่ละภูมิประเทศ
เพราะโตโยต้าถ้าประกอบเครื่องยนต์ดีเซลขายอย่างเดียว เจ๊งแน่นอน เพราะอัตราส่วนการส่งออกระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ แทบจะ 50:50 ในขณะเดียวกันจะประกอบเอาเฉพาะเครื่องเบนซินขายอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะโรงงานอยู่ในไทย ทุกอย่างมีเหตุผลทั้งนั้น

ต่อใหม่วันจันทร์ครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 5
       คุณรีบเอาคำตอบ แต่เวลาซื้อรถผมแนะนำเลยว่าไม่ต้องรีบ เพราะคำตอบที่ผมจะบอกคุณไปให้ คือคุณต้องทนท่ซี้ใช้รถไปก่อนแน่นอน

1. Nissan 2.5 เบนซิน เมื่อวานผมโทรไปถามลูกน้องที่ย้ายไปทำโรงประกอบ Nissan ใหม่แล้ว แต่พอดีไม่ได้คำตอบมากมายเท่าไหร่เขาอยู่ Line NP 300 แต่ Navara ยังขึ้นไลน์โรงงานเก่าอยู่ คำตอบที่ได้ คือมันไม่จุกจิกเรื่องเครื่องยนต์ คุณใช้งานยาวขนาดไหนล่ะ วันล่ะ 100 โลปีนึงตก 36,500 กิโลเมตร 10 ปี ใช้งานประมาณ 4 แสนโล ผมว่าเหลือ ๆ ถ้าคิดจะใช้งานแค่นี้ เก็บเงินที่ถูกกว่า Hilux 2.7 vvti 1 แสนบาท ไปออก Nissan ดีกว่าครับ เงินเหลืออีก 1 แสนบาท ศุนย์บริการ Nissan ดูดีกว่าไม่ห่วยขนาด Mitsu อะไหล่ถูกกว่า Mitsu แพงพอพอกับโตโยต้าคือถูกแพงพอกัน แต่ศูนย์ไม่ได้เริ่ดเหมือน ISUZU TOYOTA อย่าคาดหวังมากนัก แต่ก็ดีกว่า Mitsu Ford Chev Mazda เยอะ

2. Hilux 2.7 ถ้าคุณจะใช้งานยาววิ่งกันจนรถพังไปเลย หรือใช้งานเกิน 10 ปี ยังไงก็มีอนาคตมากกว่าทุกรุ่นที่ถามมาครับ ในคลับมีหลายคนที่มาซื้ออะไหล่ของเหลวจากผมเพื่อไปเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง ปีนึง วิ่ง 1 แสนโล ใช้งานรถ 2 ปีวิ่งไป 2 แสนโล ถามผมบอกต้องทำอะไรกับรถไหม ผมบอกไม่ต้องปล่อยไปเลย ดูแลตามปกติพอ ส่วนใหญ่พวกนี้วิ่งใช้งานรถกันยาว ซึ่งยาวในที่นี้ยังไงก็วิ่งเกิน 8 แสนโลกันทุกคัน เครื่อง 2TR-FE วิ่งทะลุกหลัก 1 ล้านกิโลเมตรสบายมาก จะมีปัญหาก็แค่ฝาสูบที่อายุจะอยู่ราว 4-5 แสนโลหรือมากกว่านั้นสำหรับบางคันที่ถนอมมากจะอยู่ได้ยาวกว่าไม่ต้องเปิดมาซ่อม เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะรถใช้แก๊สการทรุดตัวของบ่าวาล์วจะเกิดมากที่ระยะนี้จนต้องเอาออกมาซ่อม แต่ถ้าซ่อมแล้วก็จบใช้งานต่อไปทะลุกหลัก 1 ล้านกิโลเมตรแน่นอน อีกทั้งเครื่องยนต์มีอะไหล่ในเซียงกงและอะไหล่ตามร้านต่าง ๆ เยอะ มาก ในอนาคต 10 ปีอะไหล่ก็ยังมีอีกเพียบ เพราะเครื่องยนต์ส่งขายในตลาดโลกเยอะไปหลายทวีป ในอเชียญี่ปุ่นออสเตรเลียก็เยอะ ผู้นำเข้าอะไหล่เก่ามือ 2 จากบ้านเรามีไม่น้อยจาก 2 ประเทศนี้ การซ่อมบำรุงในอนาคตดูดีมีอนาคตกว่า Nissan ที่จะไม่มีอะไหล่เซียงกงเข้ามา เนื่องจาก Nissan จำกัดตลาด
มีเจ้าของอุ่ซ่อมรถคนนึง มาซื้ออะไหล่ของเหลวจำนวนมากจากผมไป เขาเปิดอู่ซ่อมในกรุงเทพ เขาขับรถปิคอัพ 2.7 มาซื้อของจากผม ผมถามว่าใช้รถ 2.7 เหมือนกันหรือเนี่ย เขาไม่ได้เป็นสมาชิกที่นี่ ไม่ได้เล่นเวป ผมถามเขาว่าทำไมจึงซื้อ 2.7 มาใช้ ผมซ่อมรถมาหลายอุ่แล้วไม่เคยเจอเจ้าของอู่ใช้ 2.7 แบบนี้ซักที เขาบอกตัวนี้เอาไว้ใช้งานขนของวิ่งซื้ออะไหล่ในอู่ ตัวนี้ 2.7 สุดยอดแล้วคือทนทาน ไม่จุกจิกหรือต้องดูแลอะไรมาก เอาเวลาไปซ่อมรถชาวบ้านได้ตังค์ ดีกว่ามาซ่อมรถตัวเอง


3. วีโก้ดีเซล ถ้าจะซื้อมาใช้ส่วนใหญ่เขาจะกำหนด Life time ไว้ประมาณ 5 ปีสำหรับรถบริษัท 5-8 ปีสำหรับรถชาวบ้านทั่วไป เกินกว่านี้ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากปัจจุบันเครื่องดีเซลมาด้วยเทคโนโลยีที่สูง มีระบบไฟฟ้าอิเล้กทรอนิกส์ไม่ต่างจากเบนซินและพ่วงเทอรโบอินเตอร์เข้ามาด้วย ค่าซ่อมบำรุงตามระยะทางแพง ในวงรอบ 1 แสนกว่าโล - 3 แสนโลจะมต้องซ่อมระบบคอมมอนเรลทีนึง เสียเงินหลายหมื่นในช่วงนี้ ซึ่งเป็นปกติ ของรถดีเซลในช่วงปลายอายุก่อนจะมาเป็นคอมมอนเรลก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ถ้าระบบเทอร์โบเสีย อันนี้ก็จะโดนอีกหลายหมื่นเหมือนกัน ตัวเครื่องไม่เป็นอะไรหรอก แต่อย่างอื่นที่เป็นระบบพ่วงตามมาของเครื่องยนต์คือ ระบบคอมมอนเรล รบบไอเสียมลพิษ เทอรโบ อินเตอร์และระบบไฟฟ้า พวกนี้ที่เป็นวงรอบที่ต้องเสียและซ่อมตามระยะทางจะแพงกว่าปิคอัพเบนซิน เครื่องดีเซลใช้ทะลุกหลักล้านกิโลเมตรเหมือนเครื่องเบนซินทำได้แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทำแล้วเนื่องจากค่าซ่อมตามระยะทางกว่าจะไปถึงเวลานั้นแพงกว่าเบนซินมาก ( ยกเว้น Mitsu 2.4 ที่ทำประหลาดกว่าให้ค่าซ่อมเบนซินแพงเท่าดีเซล) คนทั่วไปจึงไม่นิยมแล้วที่จะทำแบบนั้นด้วยการใช้รถดีเซลยุคใหม่ ๆ ไปยาว ๆ ขนาดนั้นถ้าเทียบกับเครื่องดีเซลในอดีตที่ไม่ซับซ้อนอะไรเลย รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า ไม่ต้องซ่อมอะไรใช้งานไปยาว ๆ ก็ยังซ่อมถูกกว่าทั้งหมด ถ้ารถดีเซลรุ่นใหม่ขายทิ้งก่อนวงรอบการซ่อมจะมาถึง

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 6
       ถ้าบรรทุกหนัก ๆ ข้อดีในการเลือกเครื่องดีเซล ได้กำลังมาที่รอบต่ำกว่า ไม่ต้องเหยียบคันเร่งมากกว่าเหมือนเบนซิน ถ้าได้ระบบ VN Turbo จะเห็นได้ว่าทั้งแรงและประหยัด ซึ่งเครื่อง 2.7 จะสู้เรื่องพละกำลังตรงนี้ไม่ได้ ถ้าบรรทุกหนักและต้องการกำลังดีดีด้วยเหยียบทำเวลาเหมือนรถส่งผลไม้ตลาดไทด้วย ซื้อรถปิคอัพดีเซลจะเหมาะกว่า

แต่ถ้าไม่เน้นพละกำลังมากนัก คือพอใช้งานได้ บรรทุกไหวเพราะยังไงก็ต้องทำช่วงล่างเหมือนกันเนื่องจากบรรทุกเกิน 1 ตัน ไปที่ 2.5 ตัน ถ้าคิดว่าต้องการประหยัด ออกรถปิคอัพเบนซินมาใช้ดีกว่า ทุกทุกการใช้งาน 1 กิโลเมตร คือความประหยัดที่ได้เงินที่เหลือ ถ้าเทียบกับดีเซล ถ้าวิ่งเยอะยิ่งคุ้มค่า


*************************************************************************

แต่การจะเลือกซื้อรถขอให้ฟังตรงนี้ก่อน

1. ถ้าจะเลือกปิคอัพดีเซล วีโก้ในตอนนี้ ขอให้ล้มเลิกความคิดนี้เสียเลย ทนใช้ Mazda วาง J ไปอีก 7-8 เดือน เพราะ New Hilux ใหม่จะออกแล้ว ความแตกต่างในด้านมิติของรถมีมากอยู่ อีกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล ในทุก 5 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดมาก จริง ๆในวีโก้ตัวเดิมดีเซลในห้วงเวลา 10 ปีของโมเดลนี้มีการเปลี่ยนแปลง หลัก ๆ อยู่ถึง 3-4 ครั้งในด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล ทำให้ผลลัพธ์มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก เทคโนโลยีดีเซลมาเร็วไปเร็วและก้าวเร็วกว่าโลกยุคใหม่ ๆ เครื่อง 2.5 ตัวแรก ๆ กินน้ำมัน 11-13 km/l อืดกว่ามลพิษเยอะกว่า ในขณะที่ปัจจุบันประหยัดกว่ามากที่ 13-15 km/l รถวิ่งดีกว่ามลพิษน้อยกว่าและซ่อมแพงกว่า
เพราะฉะนั้น ๆ ไหนไหน ก็ทนใช้รถมานานล่ะ ถ้าจะซื้อดีเซล ให้ทนรอไปอีก 7-8 เดือน กำเงินไปดาวน์คันใหม่ออกก่อนใครเพื่อนได้เลย ล้มเลิกที่จะซื้อเครื่องดีเซลในวันนี้เวลานี้ไปได้เลย

2. ถ้าจะซื้อ Hlux 2.7 เบนซิน การพัฒนาของเครื่องยนต์เบนซินแบบนี้จะเชื่องช้าอืดอาดกว่ามาก 10 ปีที่ผ่านมาของโมเดลนี้แทบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาอะไรในตัวเครื่องยนต์เลย ถ้ามีโมเดลหน้าจะต่างกันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเรียกได้ว่าไม่ได้ตกยุคแต่อย่างใด
รถ Hilux 2.7 เบนซินเกียร์ธรรมดาที่ออกมารุ่นหลังปี 2010 จะเหมือนกันกับ Fortuner 2.7 2wd ที่ออกมารุ่นหลัง คือรถราคารถใหม่ป้ายแดงแพงมโหฬารเลยครับ เข้าทาง TOYOTA อย่างจังเบอร์และลูกค้าก็โดนฟันหัวแบะ มีอย่างที่ไหนรถสมรรถนะด้อยกว่าเดิมทุกอย่าง Option ก็ด้อยกว่าเดิมหมด แต่ราคารถแพงกว่าเดิมเป็น แสนบาท ซึ่งเป็นผลมาจากลูกค้าชาวไทยอยากได้รถปิคอัพเบนซิน เกียร์ธรรมดา ไม่ต้องมี Option อะไรมากขอแค่ กระจกไฟฟ้า ซทลก็พอ ส่วนรถ Fortuner ต้องการแค่ 2wd Option ไม่ต้องมากขอแค่ TVเครื่องเสียงเบาะหนังหรู ๆ หน่อย เข้าทางค่ายรถยนต์บ้านเรากันอย่างจัง กำไรงามขนาดนี้มีใครบ้างไม่ทำ
แต่อย่างว่ารถมันจะปิดโมเดลแล้ว คุณซื้อ Hilux เบนซินแบบนี้ตอนนี้ได้ส่วนลดเป็นแสนบาท ทาง TOYOTA ยังกำไรเพียบเลยครับ
ถ้าได้ส่วนลดน้อย ๆ ผมก็มองไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ กับราคารถป้ายแดงที่ตั้งไว้แพงโอเวอร์เลยครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 7
       ด้วยเหตุผลดังกล่าว ที่ผ่านมาผมเวลาแนะนำคนซื้อรถมือ 2 ผมไมได้แนะนำว่าทุกรุ่นควรซื้อมือ 2 ในตลาดมีรถไม่กี่รุ่นที่ซื้อมือ2ได้
เหตุผลที่ซื้อมือ 2 เพราะรถ 2.7 รุ่น 4wd ไม่มีแล้ว ทำไมต้องซื้อใหม่ป้ายแดงรถที่แย่กว่าเดิม option น้อยกว่าเดิมแต่ราคากลับแพง ๆ โคตร ๆ กว่าเดิมเยอะมาก

หรือ Hilux 2wd ตัวเกียร์ออโตเดิมที่มีอัตราทดที่สูงกว่าบรรทุกหนักได้ดีกว่า Option มากกว่า แต่รถใหม่ป้ายแดงไม่มีแล้ว ต้องมาซื้อรถใหม่ที่แย่กว่าเดิม Option น้อยกว่าเดิมทุกอย่างแต่ราคาก็แพงโคตร ๆ อีกเช่นกัน
ผมเลยแนะนำตอนนั้นหลายคนว่าเป็นมือ 2 ดีกว่า อีกทั้งรถ 2.7 ซื้อมือ 2 ไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนรถรุ่นอื่น ๆ เพราะพื้นฐานรถ 2.7 ค่อนข้างทนทานมากและอะไหล่ซ่อมไม่แพงจนเกินไป รถไม่จุกจิกมีอะไหล่เยอะในตลาดสามารถเล่นมือ 2 ได้


ผิดกับรถอีกหลาย ๆ รุ่นผมไม่เคยแนะนำใครซื้อเป็นมือ 2 ห่าง ๆ ไว้น่ะดีอย่าไปฝันถึงมัน

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 8
      
คุณ ออโต้ ข้อมลูแน่นเปี๊ยะเลย สุดยอดดดดด


ผมก็รู้ว่ารถใหม่จะออก แต่ไม่เอารถรุ่นใหม่ๆ เข็ดแล้ว รถใหม่ๆๆ ออกมาครั้งแรก จะพบข้อบกพร่องมากมาก

แก้.กันไปพักหนึ่ง ค่อยลงตัว..

วีโก้ ตอนนี้ ส่วนลด รวมๆๆ กันแล้ว เกือบจะแสนหนึ่ง พอดี.. ยังไม่มี รถกะบะแค้ป เกียร์ออโต้

ก็เลย ลองซื้อมาใช้ดู

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 9
       ข้อมูลแน่น อธิบายได้ดีเหมือนเดิมครับท่านประธาน

ส่วนตัวเลือกที่มีมา วีโก้คุ้มในระยะยาวมากกว่า ยิ่งใกล้ๆช่วงเปิดตัวรุ่นใหม่น่าจะต่อรองราคาได้อีกพอสมควร เผลอๆราคาลดแล้วลงไปใกล้กับนาวาร่าเลย

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 10
       จาก R.400
ผมก็รู้ว่ารถใหม่จะออก แต่ไม่เอารถรุ่นใหม่ๆ เข็ดแล้ว รถใหม่ๆๆ ออกมาครั้งแรก จะพบข้อบกพร่องมากมาก
แก้.กันไปพักหนึ่ง ค่อยลงตัว.

**********************************************

จะบอกว่าเรื่องนี้คือเรื่องปกติของทุกค่ายครับ แต่จะบอกว่าแก้แล้วลงตัวคงไม่ถึงขนาดนั้น บริษัทรถเกือบทุกบริษัทที่เป็น Mass production ไม่เกี่ยวกับรถเฉพาะทางอย่างรถแพง ๆ ลัมโบ เฟอรรารี่ มายบัค ถ้าเป็นรถตลาดทั่วไปข้อมูล feedback การเคลมจากลูกค้า การเก็บตัวอย่างการใช้งาน การวิ่งทดสอบตอนที่เราเห็นกันอยู่นี้ก่อนเป็น FTP full trial production เขาจะนำมาพัฒนาปรับปรุง Product ใหม่ ๆ อยุ่เสมอ เพราะบริษัทรถทุกบริษัทเขาจะมีทีมงานมากมายในแต่และแผนก เช่นฝ่ายนี้ทดสอบการใช้งาน ฝ่ายนี้แก้ไข ฝ่ายนี้เอาข้อมูลจากลูกค้ามาแก้ไข ฝ่ายDesign แก้ drawingใหม่ เขามีงานทำกันตลอดเวลานั่นแหละครับเพราะรถมันต้องถูกพัฒนาแก้ไขอย่างต่อเนื่อง อย่างรถ Hilux Vigo ดีเซล ถ้านับเฉพาะโฉมนี้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ในส่วนนี้ครั้งใหญ่ ๆ เห็นเป็นรูปธรรมก็ 4 ครั้งเข้าไปแล้วไม่นับเรื่องยิบย่อยอื่นอีก ตัวรถก็เปลี่ยนแปลงไป ประมาณ 4 ครั้งด้วยรายละเอียดเทคนิคที่เห็นกันอยู่ คือการเปลี่ยนแปลงมันน่าซื้อรถรุ่นใหม่ (ถ้ามีเงินและกำลังเพียงพอ) อย่างเครื่องดีเซลใหม่ที่กำลังจะมาถึงแรงม้าและแรงบิด มลพิษก็จะถูกพัฒนาใหม่ แน่นอนว่ายังไงมันก็ต้องดีกว่าของเดิมไม่มีทางทำแล้วแย่กว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไปก็จะพัฒนาต่อเนื่องไปอีกโดยเอาตัวอย่าง Defect ข้อมูลจากลูกค้าทั่วโลกมาแก้ไขถ้าสนใจเรื่องพวกนี้มีเงินเพียงพอก็น่าซื้อครับ ถ้าจะออกรถใหม่อยู่แล้ว ก็ควรมองรถตัวใหม่เลย

แต่... รถเวลาเขาเอามาวิ่งทดสอบเขามักจะเอารถรุ่น Top ของรุ่นมาทดสอบอย่างเช่น Hilux ดีเซลตัว 3.0 4x4 ถ้าเป็นขับ 2wd เขาก็จะเอาตัวเครื่อง 2.5 กับ 3.0 มาทดสอบจะเป็น 4ประตูหรือแคป แต่ส่วนมากจะเป็น 4 ประตู มันไม่มีหรอกที่จะเอารถ ยกสูงขับ 2wd พรีรันเนอร์มาทดสอบ หรือ SUV ตัวใหม่ของ TOYOTA ที่กำลังจะออกมาแล้วมาวิ่งอวดสายตาประชาชนอยู่ในขณะนี้ ปิดลายพรางสติกเกอร์อำพรางไว้ เขาจะเอารถรุ่น TOP ดีเซล 4x4 option เต็มมาทดสอบ ไม่มีใครเขาเอารถ PPV 2wd มาทดสอบ หรือเอารถ PPV รุ่นล่างสุดเครื่อง 2.5 ไม่มีอะไรเลยมาทดสอบ เพราะฉะนั้นเวลาซื้อรถผมมักจะไม่ซื้อรถในกลุ่มนี้ เพราะมันจะไม่ได้รับการทดสอบการใช้งานมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลียที่เขา Design รถออกมา หรือในบ้านเราก่อนผลิตจริงรถพวกนี้ก็จะไม่ถูกวิ่งทดสอบเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างเพียงพอ อีกทั้งรถบางรุ่นไม่ได้ถูก Design ไว้ตั้งแต่แรกเริ่มการทำรถ จะมีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นอย่างเช่น วีโก้พรีรันเนอร์ หรือในบางประเทศรถกลุ่มแบบนี้เวลามีปัญหามันได้รับการตอบสนองการแก้ไขให้ตรงจุดยาก เพราะรายงานการใช้การทดสอบมันไม่มีตั้งแต่แรก การแก้ปัยหาคือเอา defect จากลูกค้าที่ใช้ในประเทศนั้นไปแก้ไขถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วจึงจะแก้ไขเป็นกรณีไป เพราะฉะนั้นรถในกลุ่มนี้ผมจึงไม่ซื้อและไม่เคยแนะนำให้ใครซื้อ รถมันถูกพัฒนา design ออกมาด้วยความสมบูรณ์ในเวลานั้นเสียทั้งเวลาเงินมากมาย พอจะเอารถกลุ่มนี้ไปขายที่บางประเทศก็ Add เข้า Drawing ตัดตรงนั้นลดตรงนี้ เอาแผ่นปิดมาอุดช่องว่างเฉย ๆ แล้วทำสเปกขึ้นใหม่โดยไม่ได้มีเทสต์การใช้งานหฤโหดผ่านบททดสอบเหมือนรุ่นอื่นที่มาวิ่งจริงบนถนน ยังไงมันก็ไม่สมบูรณ์เท่ารถที่ถูกออกแบบมาแต่แรกโดยไม่ได้แก้ Drawing แน่นอน

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 11
       หมายเหตุ

รถถ้าติดแก๊ส อัตราเร่งจะต้องเหมือนเดิมทุกประการ ถ้าขับในระดับปกติคนที่ไม่มีความชำนาญในการเทสต์รถจะมองไม่ค่อยออกว่าอัตราเร่งของน้ำมันและแก๊สจะมีความแตกต่างกันยังไง การที่รถติดแก๊สแล้วมีผลอัตราเร่งที่เปลี่ยนไปการสึกหรอของเครื่องยนต์จะมากขึ้น ด้วย รถที่ใช้แก๊สจะสามารถใช้งานได้ตามปกติถ้าพบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของอัตราเร่งแสดงว่าช่างติดต้งมาไม่ดีและอาจจูนแก๊สได้ไม่ดีพอ ซึ่งช่างหลาย ๆ อู่จูนเป็นได้แค่ Auto tune เท่านั้น ทำให้มีปัญหาเวลาใช้งานรอบสูง ๆ หรือตอนบรรทุกหนัก หรือตอนขึ้นเขา ถ้าทำได้เหมือนน้ำมันรถก็จวิ่งเหมือนน้ำมันไม่มีผลต่ออัตราเร่งและการใช้งานเมื่อใช้แก๊ส การสึกหรอของเครื่องยนต์ก็จะต่ำที่สุด การจูนแก๊สไม่สามารถจูนให้บางหรือให้จ่ายแก๊สเยอะ ๆ ได้ เพราะต่างก็ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอมากกว่าปกติทั้งสิ้น

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 12
       ก่อนอื่นขอขอบคุณพี่ Auto มากๆนะครับที่ช่วยมาตอบคำถามของผม และขออนุญาตตอบคำถามก่อนนะครับ
1.เรื่องปํญหาการเติมแก๊สของผมไม่น่ามีครับ เนื่องจากปั้มแถวที่ผ่านเป็นปั้มใหญ่ (ถ้าแก๊สไม่หมดนะเลยอยากเพิ่มถัง เผื่อเอาไปวิ่งไกลๆด้วย)
2.เรื่องการเข้าศูนย์ผมคิดว่าจะเอาเข้าศูนย์ตลอดครับ ยกเว้นอยากเปลี่ยนกรองแก๊สครับดูราคาแล้วกลัวครับ เลยอยากขอคำแนะนำด้วยนะครับ แต่เรื่องระบบอย่างอื่นคงเปลี่ยนของศูนย์ครับ (เนื่องจากไม่มีความรู้กำลังค่อยๆหาเพิ่มเติมอยู่ครับ)

คำถามครับ
1.วีโก้(กระบะ) เครื่องเบนซิน 2.7 ต่างกับเครื่อง เบนซิน2.7ที่ติดก๊าซจากโรงงานหรอครับ ผมเข้าใจว่าเป็นเครื่องเดียวกันแต่ทางโตโยต้าเอามาติดระบบแก๊ส (คุยกับเซลเค้าว่างั้นนะ) เคยเห็นโฆษณาว่าวีโก้รุ่นใหม่จะเคลือบเพชร(ไดมอนเทคอะไรซักอย่าง)ไม่ใช่หรอครับ
2.รถวีโก้ตัวล่าสุดใช่ที่เปลี่ยนตอนปลายปี2013 รึเปล่าครับ ที่เปลี่ยนพวงมาลัยสามก้านเป็นสี่ก้าน แล้วเปลี่ยนหน้าตาวิทยุกันโทนสีภายใน ตัวก่อนหน้าใช่ตัวที่เป็นสามก้านกับวิทยุจอเขียวๆรึเปล่าครับ
3.ถ้าวีโก้ตัวสามก้านวิ่งน้อยๆตัวCNG น่าจะราคาประมาณเท่าไรครับ
4.ถ้าเพิ่มถึงอีก2ถังใต้ท้องราคาประมาณเท่าไรครับ มีคำแนะนำไหมครับ
5.สงสัยเรื่องระบบการติดแก๊สครับ เป็นเค้าว่ามีระบบ Flash (เฉพาะของวีโก้) โอบิสวัน โอบิสทู อย่างไงดีกว่ากันครับ แล้วราคาติดสามถังโดยทั่วไปประมาณเท่าไรครับ มีของที่ไหนแนะนำไหมครับเท่าที่ผมรู้คือของ SCG ที่อื่นไม่ทราบครับ อยากทราบเป็นความรู้อาจไม่เอาไปติด รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ แล้วทำไมไม่ค่อยมีถังไทป์ทูติดเลยครับ ราคาแพงกว่าไทป์วันมากหรอครับ
5.(ไปๆมาคำถามผมจะไหลไปถึงดีเซลแล้วครับแต่พี่ AUTO แนะนำว่าให้รอไปก่อน7-8เดือน)อยากให้แนะนำรถดีเซลหน่อยนะครับ(กะบะสำหรับบรรทุก)

ถ้าไม่รบกวนเกินไปอยากขอคำแนะนำแบบฉบับยาวๆนะครับหรือขอlinkให้อ่านก็ได้ครับ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่นเน็ตเท่าไรเลยนานๆทีถึงจะมาตอบนะครับ




 แก้ไขเมื่อ : 25/7/2557 11:09:26

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 13
       ตอบ

1. NGV เหมาะสำหรับคนมีที่เติมสำหรับรถเชิงพาณิชย์จะช่วยประหยัดได้มากผลต่างที่มากกว่ากัน 2 บาท ต่อกิโลเมตรคือกำไร หรือรถส่วนบุคคลทั่วไป ใช้น้ำมันก็ได้แก๊สก็ได้ อย่างรถเบนซ์ E200 NGT ก็ใช้กันเยอะแยะไป รถที่บ้านผม Altis CNG น้องชายผมใช้อยู่ก็ แฮปปี้ดีไม่อยากไปใช้รุ่นอื่นเลย เพราะประหยัดมาก ไม่มีแก๊สก็วิ่งน้ำมันไปบ้างไม่เดือดร้อน วิ่งก็ใช้ได้ดีกว่าซื้อรถอีโคคาร์ใช้

2. กรองแก๊สท่อทางเข้าออกมีขนาดไม่เท่ากัน ในท้องตลาดไม่มีอะไหล่ตัวนี้ขายแน่นอนครับ สั่งศูนย์อย่างเดียว ถ้าอยากประหยัดก็เบิกวรจักรได้ส่วนลด ก็ซื้อเก็บเป็นอะไหล่สำรองไปเลย ยังไงก็ต้องใช้ ยิ่งรถอยู่ในประกันแล้วห้ามไปตัดต่อดัดแปลงกรองแก๊สข้างนอกมาใช้เด็ดขาด เพราะจะเป็นข้ออ้างในการรับประกันเนื่องจากแก๊ส NGV บ้านเราสกปรกมาก ค่าออกเทนไม่ดีเท่าไหร่ ตอนที่ TOYOTA เอามาติดตั้งแรก ๆ กับรถยนต์ในประเทศเรานั้นมีปัญหาต้องเคลมหัวฉีดกันบานเลยครับ ทางผู้ผลิตจากอิตาลีไม่รับผิดชอบเพราะเป็นปัญหาจากคุณภาพแก๊สของบ้านเราเอง

**************************************************************

1. เครื่อง 2TR-FE ถึงแม้จะมีรหัสเดียวกันลงในรถหลายรุ่น แต่แตกต่างกันอย่างมากในหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถ 2wd 4wd ก็ยังต่างกัน รถ Fortuner กับ Hilux เครื่องก็ต่างกัน ถ้าเป็นรถตู้ยิ่งต่างกันไปใหญ่ หน้าตาถึงแม้จะเหมือนกันแต่มีรายละเอียดทางเทคนิคต่างกันมากอะไหล่มีหลายรุ่นจนน่าปวดหัว เครื่องยนต์ 2TR-FE ที่ติดแก๊สมาจากโรงงานจะมีรายละเอียดปลกย่อยที่แตกต่างกันจากรุ่นปกติเข้าไปอีก คือช่วงฝาสูบ บ่าวาล์ววมีการใช้ชิ้นส่วนที่ทนความร้อนได้มากขึ้นราคาแพงขึ้น หัวเทียนเบอร์ที่ใช้แตกต่างกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการออกแบบเพื่อรองรับการใช้แก๊สโดยตรง ตรงนี้ผมเคยถามบริษัทผู้ผลิตวาล์ว Nitton เขาเป็นคนบอกมารถที่ทุกรุ่นที่ผลิตใช้ในประเทศไทยไม่มีค่ายรถยนต์รายใดสั่งบ่าวาล์วแบบนี้เลย ยกเว้นรถส่งต่างประเทศสเปกวาล์วก็จะเป็นอีกแบบนึงที่สามารถทนความร้อนได้ดีกว่า

2. ใช่
3. ราคารถยนต์ไม่ทราบลองคุยกันเอง
4. เพิ่มถังต้องเสียเงิน หลายหมื่นบาทสำหรับการเพิ่มถัง NGV ลองถามอู๋ดูครับมีข้อเสียคือราคาติดตั้งแพง อะไหล่แพงกว่า LPG ซึ่งการที่จะให้คุ้มค่าคือซื้อรถมาวิ่งงานกันจริงจัง ระยะทาง 1 กิโลเมตรที่วิ่งไป คือเงิน 2 บาท ที่ประหยัดได้ต่อ 1 กิโลเมตร ถ้าเทียบกับเชื้อเพลิงแบบอื่น ๆ ซึ่งการที่คุณจะซื้อ Vigo CNG มาวิ่งงานอันดับแรกคือลงทุนแพง สิ่งที่คุณลงทุนแพงไปตั้งแต่ต้นจะได้ตอบแทนกลับมาคือการวิ่งงาน เพราะฉะนั้นรถ Vigo cng คือรถที่คุณต้องคาดว่าเอามาวิ่งงานค่อนข้างมาก ปีนึงอย่างน้อยซัก 5 6 หมื่นโลโน่นเลย 10 ปีต้องมีวิ่งอย่างน้อย 5 แสนโล จะเห็นผลเลยว่ามีข้อดีกว่าซื้อรถปิคอัพเบนซินรุ่นอื่น ครับ และถ้าเทียบกับปิคอัพดีเซลคอมมอนเรล ใน 5 แสนโลด้วยกัน ดีเซลคุณอาจต้องซ่อมเหนื่อยใจกว่าหรือต้องขายรถทิ้งไปก่อน ในขณะที่เบนซิตัวนี้คุณซ่อมระบบแก๊สตามปกติกับเปลี่ยนชุดหล่อเย็น ซัก 2 รอบในวงรอบ 5 แสนโล

5. การ Flash กล่อง ECU ครับ
เรื่องนี้เท้าความไปเริ่มแรก เครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบัน ต้องการออกเทนการเผาไหม้ที่ 91-98 แต่บ้านเรา ตอนออกเทนน้ำมันเบนซินไว้ที่ 95 ทำให้รถยนต์ต้องปรับเสปกเครื่องยนต์ลงมาส่งผลให้รถมีแรงม้าน้อยลงกินน้ำมันมากขึ้นกว่าการใช้สเปกน้ำมัน 97-98 ทีนี้รถของเราที่ใช้ออกเทน 91-97 มันไม่สามารถจุดระเบิดได้มีประสิทธิภาพกับแก๊ส NGV เนื่องจากแก๊ส NGV มีออกเทนที่ 120 ส่งผลให้การเผาไหม้ช้า การสึกหรอสูงเครื่องยนต์ไม่มีกำลังเวลาใช้แก๊ส อาการคือไฟอ่อนในสมัยก่อนนี้เอง
การแก้ไขจึงต้องมี TAP เพื่อปรับองศาไฟจุดระเบิดให้รองรับออกเทนที่สูงขึ้น 120 ได้โดยอัตโนมัติขณะใช้แก๊ส
ต่อมาระบบมันพัฒนาขึ้น การใช้ TAP ต้องไปต่อสายกล่อง ECU ช่างก็ต้องจูนเป็นมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเขียนโปรแกรมที่กล่อง ECU มาเลยให้รองรับกับแก๊สได้ มันจึงสามารถปรับโหมดของตัวมันได้เลย ลดความยุ่งยากของช่างหรือการซ่อมบำรุงไปในตัว ช่างไม่ต้องจูนไม่ต้องซ่อม เวลาเสียที่ระบบแก๊สก็มีแค่สาย หัววฉีดหม้อต้ม ช่างที่ไหนก็เปลี่ยนได้แล้วจบไม่ต้องไปจูนใหม่

6. รถดีเซลที่น่าเล่นสำหรับปิคอัพเพื่อการบรรทุกก็มี TOYOTA นี่แหละ รองลงมาตอนนี้ ISUZU ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะประหยัดมากกว่าดีเซลยี่ห้ออื่น เทียบกับ LPG แล้วใกล้เคียงกัน แต่อย่าเทียบ NGV เพราะน้ำมันยังไงก็ประหยัดสู้แก๊สไม่ได้
ส่วน Nissan ตัวใหม่ก็ต้องรอสำหรับรถตอนเดียว และต้องลองขับก่อนว่าชอบหรือไม่ ถ้าเป็นตัวเก่ามีปัญหาว่ากินน้ำมันมากกว่า ยี่ห้อเจ้าตลาด ตัวใหม่ก็อาจจะไม่ประหยัดกว่าเดิมด้วย ส่วน Mitsu Ford Chev Mazda อย่าไปมองเลย
Hilux ตัวใหม่ที่จะออกมายังไงมิติรถก็กว้างขวางก็เดิม แชสซีย์ใหญ่ขึ้น เฟืองท้ายใหญ่แข็งแรงมากขึ้น น่าจะบรรทุกได้สะใจมากขึ้น แต่ในด้านอื่นก็ลด Cost กันหนักหน่วงแบบน่ากลัวเลยทีเดียว คุณภาพไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ลูกค้าคนไทยไม่สนใจคุณภาพรถและ Option เท่าไหร่ แต่สิ่งที่แลกมาคือรถไม่ได้จุกจิกอะไรมากมาย ศูนย์บริการพอจะฝากความหวังได้อยู่

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 14
       รถปิคอัพดีเซลรถเปล่าจะกินน้ำมันน้ำมันโลล่ะ 2.2 -2.5 บาท ถ้ารถหนักมากโลล่ะ 3-4 บาท คิดเป็นตัวเลขกลม ๆ คร่าว ๆ เฉลี่ย 3 บาท / กิโลเมตร สมมุติถ้าวิ่ง 5 แสนกิโลเมตร เสียค่าน้ำมัน 1.5 ล้านบาท วิ่ง 1 ล้านกิโลเมตรเสียค่าน้ำมัน 3 ล้านบาท

รถปิคอัพเบนซินรถเปล่าจะกินน้ำมันน้ำมันโลล่ะ 1.3 บาท ถ้ารถหนักมากโลล่ะ 2.-2.2 บาท คิดเป็นตัวเลขกลม ๆ คร่าว ๆ เฉลี่ย 2 บาท / กิโลเมตร สมมุติถ้าวิ่ง 5 แสนกิโลเมตร เสียค่าแก๊ส 1 ล้านบาท วิ่ง 1 ล้านกิโลเมตรเสียค่าแก๊ส 2 ล้านบาท
***************************************************************************************

เงินที่ประหยัดได้ต่อไลฟ์ไทม์ของการใช้รถบางคน จึงบอกเหมือนได้รถมาฟรีคันนึง หรือ เหลือ + กำไรต่อในรถคันหน้าได้อีก ถ้าซื้อมาแล้วมีงานวิ่งเป็นกิจวัตรมันก็จะทำเงินให้เราค่อนข้างเยอะครับ
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังตอนไปที่อู่อาจารย์รุ่ง ที่บางคล้า เจ้าของโรงงานแห่งนึงเขาโล๊ะทิ้งรถปิคอัพยี่ห้อตลาดทั้งหมดในโรงงาน แล้วหันมาใช้ ปิคอัพ TATA CNG ตามปกติแล้วเขาเสียค่าน้ำมันดีเซลรถปิคอัพเดือนล่ะ 2 แสนบาท พอใช้ปิคอัพ CNG เหลือค่าแก๊สเดือนล่ะ 40,000 บาท ประหยัดไปได้เดือนล่ะ 1.6 แสนบาท แค่ปีนึงปีเดียวประหยัดไปได้ 1.92 ล้านบาท รถ TATA CNG ใครก้รู้ว่าซ่อมบ่อยจะตายไปแถมห่วยไม่มีคุณภาพ อู่อาจารย์รุ่งแทบจะกลายเป็นสำนักซ่อมรถพวกนี้เพราะศูนย์ TATA เพิ่งพาไม่ได้เลย ใคร ๆ ก็ไม่อยากซื้อรถพวกนี้ใช้ทั้งนั้นเพราะเสียเวลาทำเงิน แต่เจ้าของโรงงานมีตรรกะวิธีคิดแปลก ๆ เขามีรถพร้อมซัพพอร์ต คันไหนซ่อมก็ซ่อมไป ที่เหลือก็เอามาวิ่งต่อ
1 ปีเหมือนได้เงินคืนมา 1.92 ล้านบาท 3 ปีของการใช้รถได้เงินมา 6 ล้านบาท รถจะซ่อมบ่อยซ่อมแพงก็ยังคุ้มค่ากว่าเดิมมาก ตรรกะวิธีคิดแบบนี้ คนรวยคิดจริง ๆ เพราะเขาคิดแบบนี้จึงรวย แค่เปลี่ยนวิธีคิดก็ได้กำไรมา 6 ล้านบาทแล้วในเวลา 3 ปี โดยที่แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลง การทำงานเลย เพราะฉะนั้นความคิดหลายความคิดไม่มีถูกหรือผิดลองเลือกให้เหมาะกับตัวเราครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย