WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


เกร็ดความรู้รถใช้แก๊ส 2.7 vvti หรือรถยี่ห้ออื่นภาค 2 เนื่องจากกระทู้เดิมเต็มรับภาระโหลดมาก
Auto.
จาก Auto
IP:171.96.53.209

อาทิตย์ที่ , 10/3/2556
เวลา : 20:49

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       เกร็ดความรู้รถใช้แก๊ส 2.7 vvti หรือรถยี่ห้ออื่นภาค 2 เนื่องจากกระทู้เดิมเต็มรับภาระโหลดมาก หลายคนเปิดไม่ได้ หรือเปิดช้ามาก เพราะโหลดของกระทู้มาก บางทีคนอื่นดูรูปไม่เห็นสำหรับคอมพิวเตอร์บางท่านที่ เนตเต่า ช้าเหลือเกิน


ตอนนี้เลยต้องตั้งกระทู้ใหม่เพื่อลดภาระกระทู้เดิมลง อย่างไรก็ดีการเริ่มอ่านกระทู้นี้ควรอ่านกระทู้เดิมให้หมดลงเสียก่อน แล้วค่อยมาอ่านกระทู้นี้่ต่อไป กระทู้เดิมได้รวบรวมความรู้ไว้มากแล้ว และควรอ่านกระทู้อื่น ๆ ไปด้วย เพราะความรู้มีอยู่ทุกกระทู้ในเวป TOYOTA 2.7 แห่งนี้
http://www.weekendhobby.com/offroad/toyota2700club/Question.asp?ID=1960



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 6 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

คำตอบที่ 151
       ไปเจอเรื่องราวประสบการ์ณการใช้งานของการดัดแปลงใช้งานน้ำมัน E85 เอามาฝากเพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับรถหลาย ๆ รุ่น ที่ไม่เหมาะจะติดแก๊ส อย่างเช่นรถ Ecocar ขนาดเล็กการติดแก๊สจะทำให้ฝาสูบพังที่ระยะ 60,000 -80,000 km การใช้น้ำมัน E85 อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่านำรถไปติดแก๊ส เพราะการมาเปิดฝาสูบเล่น ตั้งวาล์วคงไม่สนุกนัก

http://www.innovaclub.net/SMF-Board/index.php?topic=27101.0

บอกไว้ก่อนนะครับเหมาะสำหรับรถไม่ติดแก๊สและไม่เหมาะจะติดตั้งแก๊ส จำเป็นต้องใช้น้ำมันตลอด แต่เขาจะดัดแปลงหันมาใช้ E85 แทน โดยใช้น้ำมันอย่างเดียวไม่ได้ใช้แก๊สกับน้ำมัน E85 ควบคู่กันไป
และก็ต้องไม่ลืมนะครับ มันคือการดัดแปลงไม่ได้ต่างจากการดัดแปลงเพื่อติดตั้งแก๊ส ถ้าเป็นรถใหม่ป้ายแดงประกันเครื่องยนต์ขาดเหมือนกัน

***********************************************************
ความประหยัดระหว่างน้ำมัน E85 และก๊าซ การใช้งานยังไงก๊าซก็ประหยัดกว่าเพราะการกินเชื้อเพลิงและราคาน้ำมัน E85 ลิตรล่ะ 25 บาท ปั๊มหาได้ยากกว่าปั๊ม NGV ในขณะที่ราคาแก๊ส ลิตรล่ะ 10.5-14.5 บาท



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 5/5/2557 เวลา : 13:44  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 37845

คำตอบที่ 152
       ผมเดินทางกลับไปนครพนมอีกครั้ง เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากไปงานแต่งงานญาติภรรยา เที่ยวนี้วานเพื่อนเอกหัวไทร ช่วยกันขับรถไปให้เพราะไม่มีการพัก ออกเดินทางตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนวันเสาร์ ไปถึง ที่โน่นค่ายพระยอดเมืองขวางก็ราว 10 โมงวันอาทิตย์ ใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง ขากลับออกจากนครพนม ก็ราว 11 โมงหรือ 5 ทุ่ม วันอาทิตย์กลับมาถึง กทม. ก็ 11 โมงเช้าวันจันทร์ เรียกว่าเดินทางตลอด ขับรถไม่มีการแตะเบรคแวะพักที่ไหนเลย นอกจากเติมแก๊ส มีสถิติการใช้เชื้อเพลิงมาฝากดังนี้

1. เติมแก๊สจากบางพลี สมุทรปราการเต็มถัง จากนั้นไปเติมอีกทีปั๊มแก๊สสบายดีที่โคราช วิ่งรวดเดียวข้ามเขาปักธงชัย เสียค่าแก๊สไป 677 บาท เฉลี่ย 2.02 บาท / กม จำระยะทางที่ไมล์ไม่ได้ ช่วงนี้ผมเป็นคนขับเอง

2. จากนั้นไปเติมอีกทีที่แยกเมืองพล ปั๊มสุดท้ายที่ขายราคา 13.59 บาท แถมน้ำ 1.5 ลิตร เติมอีก 175 บาท เฉลี่ย 1.45 บาท / กม จำระยะทางที่ไมล์ไม่ได้ อันนี้น่าจะเติมไม่ค่อยเข้า ผมเติมเวลาประมาณ ตี 2 ตี 3 ช่วงนี้เพื่อนเอกหัวไทรเป็นผู้ขับขี่

3.จากนั้นวิ่งยาวไปเติมปั๊มสุดท้ายก่อนขึ้นเทือกเขาภูพาน มีปั๊มเกิดใหม่ที่นี่อีกแห่งนึง 13.95 บาท / ลิตรเหมือนกัน เติมอีก 250 บาท เฉลี่ย 1.59 บาท / กม จำระยะทางที่ไมล์ไม่ได้ อันนี้น่าจะเติมไม่ค่อยเข้าเหมือนกัน ผมเติมเวลาประมาณ ตี 5 กว่า ๆ ช่วงนี้เพื่อนเอกหัวไทรเป็นผู้ขับขี่

4. ปั๊มนี้แล้วไม่มีการเติมอีกเพราะแก๊สแพงถ้าเราวิ่งข้ามเขาภูพานไปแล้ว เราจะกลับมาเติมปั๊มเดิมเท่านั้น จากนั้นวิ่งข้ามเทือกเขาภูพานตอนประมาณ 6 โมงเช้า ผมขับเองช่วงนี้ไม่มีการแตะเบรคตลอดการขึ้นเขาลงเขา ใช้เกียร์ช่วยอย่างเดียว จากนั้นไปแวะงานแต่งงานเสร็จแล้ววิ่งเลาะแม่น้ำโขงไปทางสะพานมิตรภาพออกไปท่าอุเทนพาเพื่อหว้พระธาตุท่าอุเทนแล้ววนกลับมาแวะบ้านพ่อตา ที่อ. โพนสวรรค์ ทานอาหารเย็นนอนพักจนถึง 5 ทุ่ม แล้วเดินทางกลับ กทม. ช่วงนี้ผมขับเองตลอด ขากลับข้ามจากเทือกเขาภูพาน มีการใช้เบรคเพียงครั้งเดียวตลอดเส้นทาง เนื่องจากกะระยะจังหวะผิด จากนั้นแวะเติมแก๊สปั๊มแรกตอนลงจากภูพาน ผมเติมแค่พอวิ่งได้ 300 บาท ตอนตี 2

5. จากนั้นผมขับคนเดียวไปจนถึงเมือง พล ขอนแก่น แวะเติมแก๊ส เต็มถัง 640 บาท การเดินทางครั้งนี้ถ้านับจากปั๊มแรกก่อนภูพานจนวกกลับมา อ. พล ขอนแก่นระยะทาง 515 กิโลเมตร ใช้แก๊สไป 300 ขากลับเติมพอวิ่งได้ + เติมที่พล 640 รวม 940 บาท เฉลี่ย 1.83 บาท / กม.

6. จาก อ. พล เพื่อนเอกหัวไทรขับขี่ไปจนถึงก่อนโคราชเติมแก๊สเต็มถังที่แถมน้ำ 1.5 ลิตรอีกประมาณ 250 บาท ประมาณ 125 กม. เฉลี่ย 2 บาท / กม

7. ผมเปลี่ยนมาขับเองช่วงข้ามเขาปักธงชัย ไม่มีการใช้เบรคอีกเช่นกัน ใช้เกียร์ช่วยตลอดยาวจนลงจากเขา วิ่งยาวจนถึง กทม. เติมแก๊สอีกเต็มถัง ที่สมุทรปราการปั๊มเดิม 12.59 บาท / ลิตร เต็มถังไป 670 บาท ระยะทาง 412 กม. ตก 1.62 บาท /กม.

สรุปโดยรวม ๆ ใช้แก๊สครั้งนี้ไป 2740 บาท กับระยะทาง 1660 กิโลเมตร เฉลี่ย 1.65 บาท /กม. หรือประมาณ 8.0-8.2 กิโลเมตร / ลิตร การขับใช้ความเร็ว 80-90 km/h เปิดแอร์ 27-28 องศา ขับโดยไม่มีการพักรถนอกจากแวะเติมแก๊สเพียงอย่างเดียว ความเร็วคงที่เกือบตลอดเส้นทาง ไม่มีการแตะเบรค ตลอดเส้นทางการขึ้นเขามีการใช้เบรคเพียงครั้งเดียวตอนขาลงจากเทือกเขาภูพานเท่านั้น สถิติเลยออกมาดีมาก ๆ
ทุกท่านก็ทำได้ถ้าขับรถให้ช้าลงอีกนิด รักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ไม่เกิน 2000 rpm จะประหยัดและปลอดภัย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 14/5/2557 เวลา : 14:05  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 37908

คำตอบที่ 153
       ความคุ้มค่าในการใช้รถ
ข้อมูลนี้วัดยากมากแต่ละคนมีพื้นฐานการใช้งานรถแตกต่างกันออกไป เรื่องพกวนี้บอกได้เลยว่าถ้าจะวัดคงพูดถึงในเรื่องความประหยัดและค่าซ่อมแซม ส่วนเรื่องอื่น ๆ คงไม่พูดถึงก็แล้วกันเพราะมันชี้วัดยาก ผมยกตัวอย่างเรื่องระยะเวลาการใช้รถและการเลือกยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์

-โต้งเพื่อนผมที่อยู่ที่ทำงานเดียวกันเขาเป็น QC มีหน้าที่รับ Part จาก Maker วันนึงเขามีโอกาสไป Audit โรงงานทำชิ้นส่วนเขาถามเจ้าของโรงงานว่าทำไมจึงซื้อรถอย่าง BMW X1 ,X3 ไม่กลัวค่าซ่อมหรือ เจ้าของเค้าบอกว่าเขาไม่กลัว เนื่องจากรถ BMW จะมีวารันตีซ่อมฟรี BSI 5 ปี เขาใช้งานรถแค่ 3-4 ปีก็ทิ้งแล้ว คำว่าทิ้งของเขาคือไม่สนใจราคาขายต่อจะเหลือกี่บาท ซื้อมา 2-3 ล้าน ขายต่อเหลือ 5 แสนก็ไม่กลัว และเขาจะไม่ซ่อมรถอะไรทั้งสิ้นจะใช้แค่ 3 ปี ก็ทิ้งเลย ไม่ใช่เพราะเค้ารวยแต่รถเขาซื้อเพื่อหักภาษีมา ตรงนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ซึ่งเขาจะเปลี่ยนรถเป็นประจำสำหรับเจ้าของธุรกิจแบบนี้
หัวหน้างานฝ่ายการพยาบาลของแฟนผมเขาก็คล้าย ๆ แบบนี้ คือ สามีเขาทำธุรกิจได้เงินแต่ละปีค่อนข้างมาก ในทุก 3 ปีเขาจะซื้อรถให้ภรรยา 1 คัน เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี จดทะเบียนในนามบริษัท เขาไม่สนจะซื้อรถอะไร พอ 3 ปีเขาก็เปลี่ยนใหม่ทันที รถคันเดิมจะเหลือราคากี่บาทเขาไม่สนใจเพราะเขาแทบจะทิ้งเลย อย่างเช่นรถยี่ห้อ เชฟโรเลตเขาก็ซื้อ ซึ่งแน่นอนว่ายี่ห้อแบบนี้คนทั่ว ๆ ไปเขาคงไม่มีทางซื้อแน่นอน แต่คนทำธุรกิจสามารถซื้อได้


----กรณีแบบคนอย่างเรา ๆ ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือประกอบอาชีพส่วนตัวรายได้ไม่ได้มากมายนัก ไม่ได้ซื้อรถเอาไปลดหย่อนภาษี หลายคนใช้รถ 4-5 ปี ขายออก หรือ 7-8 ปีปล่อยออก แบบนี้ท่านเป็นหนี้ค่าเสื่อมราคารถยนต์ หรือหนี้ไฟแนนซ์แน่นอน เพราะศักยภาพคนเราไม่เท่ากันในการหาเงิน รวมถึงใช้รถยนต์เพื่อประกอบการงานธุรกิจ ถึงแม้ว่าหลายคนจะพยายามเลือกรถตลาด และเน้นราคาขายต่อ แต่รถยนต์ขายยังไงก็ขาดทุนเพราะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ ในรถยนต์คันนึงถ้าเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นตลาด รถยนต์คันนึง ๆ มีอายุการใช้งานมากกว่า 5-6 ปี จึงจะเริ่มเสียแต่การเสียของรถญี่ป่นรุ่นตลาด มันไม่ได้เสียแบบจุกจิกกวนใจแบบซ่อมตรงโน้น ออกอาการนี้ แล้วต้องหันมาซ่อมตรงนั้น คือมันซ่อมไม่เยอะ ราคาไม่แพง แล้วพื้นฐานมันไม่ได้ซ่อมกันบ่อย ๆ หรือซ่อมแซมยากเย็นอะไรนัก สำหรับคนที่อยากเก็บรถไว้ใช้ยาว ๆ จริง ๆ แล้วรถญี่ปุ่นรุ่นตลาดถ้าเป็นรถบ้าน ๆ ทั่วไปที่มีระยะทางการใช้งานไม่มากไม่น้อยเกินไปการซ่อมบำรุงมันทำแค่ระยะตามปกติเท่านั้น โดยเฉพาะรถปิคอัพหรือรถ PPV ค่าซ่อมอยู่ในอัตราต่ำกว่ารถเก๋งที่มีค่าซ่อมสูงกว่าเพราะทนทานน้อยกว่า

แต่กลับกันนถ้ารถคันนั้นเป็นรถยุโรป รถเยอรมันอย่าง Benz BMW Audi หรืออื่น ๆในระดับเดียวกัน ค่าซ่อมจะแตกต่างกันกับรถญี่ปุ่นค่อนข้างมาก อย่างเช่นในระยะเวลา 6-7 ปี รถเบนซ์ อีคลาสปี 2002-2005 ผมเคยเจอเจ้าของใชน้อยมากวิ่งเฉลี่ยปีล่ะไม่เกิน 1 หมื่นกิโลเมตร ค่าซ่อมในวันที่ออกขายหลังจากเช็คระยะศูนย์เบนซ์ เปลี่ยนคอมแอร์ ซ่อมช่วงล่าง ทำอื่น ๆ เล็กน้อย หมดไป 2 แสนกว่าบาท รถซื้อมา 3 ล้านกว่า ขายต่อเหลือไม่ถึง 1 ล้านบาท รวมค่าซ่อม 2 แสนกว่า ค่าน้ำมันโลล่ะ 3.5 - 4.0 บาท เท่ากับว่า ทุกทุกการใช้งาน จะมีค่าใช้จ่าย ประมาณกิโลเมตรล่ะ 30 บาทขึ้นไป ลองคิดูว่าเราวิ่งไป เทากับทำแบ๊ง 20 หล่นหายร่วงไปตามถนนไปทีล่ะ 20-40 บาท ทุกการวิ่ง 1 กิโลมตรแบ็ง 20 ก็หายไปใบนึง
ถามว่ารถแบบนี้คุ้มไหม สำหรับคนซื้อมือ 1 ป้ายแดงคุ้มครับ ไม่งั้นเขาคงไม่ซื้อ เพราะอาจด้วยฐานะ ภาพลักษณ์ทางสังคม หรืองานการหน้าที่ธุรกิจที่ทำอยู่เขาอาจไปต่อยอดได้มากมาย แต่ถ้าถามคนจะไปซื้อมือ 2 ของเขามา ตอบตรง ๆ หาความคุ้มไม่เจอครับ ถึงแม้มีอู่นอกที่จะซ่อมถึงก็ตาม รถอย่าง TOYOTA ค่าเปลี่ยนแร๊กพวงมาลัย 2 หมื่นกว่า - 4 หมื่นกว่า บอกตามตรงแพงครับ แต่ถ้าเทียบกับ BMW ค่าเปลี่ยนแร๊ก แสนสาม (1.3 แสน) ไม่นับอย่างอื่นที่จะเสียตามมาในระยะเวลาเริ่มที่ 4-5 ปี มือ 2 อย่าดีกว่าสำหรับรถยุโรปไม่มีใครแนะนำซื้อรถพวกนี้เป็นมือ 2 ถึงแม้คุณจะมีศักยภาพในการซ่อมก้ตาม ถึงถามค่าซ่อมน่ะไหวแต่ไหวแค่ไหนอีกเรื่องนึง คนอื่นใช้งานไม่เป็นไรแต่เราซื้อมาใช้งานหวยอาจออกไปที่เราก็ได้

รถญี่ปุ่นมีอีกยี่ห้อนึงที่ค่าซ่อมแพงบรรลัยโคตร ถ้าเป็นมือ 2 ราคาร่วงกระจุยกระจาย คือยี่ห้อ Lexus ซึ่งคนทั่วไปคิดว่ามันคือค่าซ่อมเรทโตโยต้า รถในเครือเดียวกันเข้าศูนย์โตโยต้าได้ทุกแห่ง คำตอบน่ะจริงแค่ข้อท้าย ๆ แต่คนทั่วไม่ได้ทราบเลยว่าค่าซ่อมเช็คระยะที่ศูนย์เลกซัส เรทน้อง ๆ รถยุโรปเลยทีเดียว อย่างเช่นผมเคยเจอคนที่ลงประกาศขาย Lexus ค่าเช็คระยะ 8 หมื่นกิโลเมตร เสียค่าใช้จ่ายทุกรายการประมาณ 6 หมื่นบาท ไม่นับการเปลี่ยนอะไหล่นอกเหนือจากนี้ คนที่ซื้อมือ 1 ป้ายแดงมาคือเจ้าของธุรกิจ เปิดบริษัท หลังจากนั้นใช้แค่ไม่กี่ปีก็ขายออก ราคาตกเป็นล้านบาท เขาไม่อยากเสียค่าเช็คระยะแพงแพงหลังจากหมดประกัน ซึ่งมันเป็นไลฟ์ไทม์ที่เขาเปลี่ยนรถกันทุก 3-4 ปีอยู่แล้ว แต่คนทั่วไปจะไปซื้อมือ 2 รถพวกนี้มาใช้ มันเหมือนกับการไปรับมรดกหนี้สินเอามาชดใช้เปล่า ๆ ซึ่งไม่น่าจะเห็นด้วยเอาเสียเลย
หรือจะไปทำตามเขาเปลี่ยนรถกันทุก 3-4 ปี ทั้งที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ผมว่ามันเกินกำลังไปหน่อยแต่ถ้ามีศักยภาพถึงก็เอาครับ เพราะความต้องการของคนเราไม่อาจจะเหมือนกันทุกคน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 26/5/2557 เวลา : 16:25  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 37964

คำตอบที่ 154
       ในรถญี่ปุ่นรุ่นตลาดทั่ว ๆ ไป ค่าดูแลในระยะ 0- 1 แสนกิโลเมตร จะอยู่ที่ 3x,xxx-5x,xxx บาท ถ้าวิ่งจนถึงระยะ ไม่เกิน 2 แสนโลก็จะเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยประมาณ 2x,xxx-4x,xxx บาท อัตราค่าดูแลตามระยะทางจะอยู่ไม่เกิน 6x,xxx -9x,xxx บาท รวมระยะ 1 แสนกิโลเมตรแล้ว คือรถตลาดจะเสียค่าใช้จ่ายไม่เกินนี้สำหรับบ้านเรา ถูกแพงว่ากันตามยี่ห้อ แต่ผลสรุปคือจะไม่หนีจากนี้ไปกรณีเข้าศูนย์ทุกระยะ เพราะทุกค่ายรถยนต์ต่างชูจุดแข็งในเรื่องการบริการหลังการขายและค่าซ่อมบำรุงรักษาสำหรับรถตลาด ในรถ Ford Chevrolet ก็พยายามที่จะแข่งขันกับรถญี่ปุ่นในเรื่องค่าดูแลตามระยะทาง จึงได้กำหนดให้รถเข้าเช็คระยะที่ 15,000 km เพือลดค่าใช้จ่ายของลูกค้าลงให้สามารถเปรียบเทียบแข่งขันกับค่ายญี่ปุ่นได้ เพราะ 2 ค่ายนี้ค่าบริการแพงเอาเรื่องถ้ากลับมาเช็คที่ระยะ 10,000 kmจะสู้คู่แข่งไม่ได้ จึงต้องใช้การยืดระยะออกไป เรื่องน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ยังไงทุกยี่ห้อก็ใช้ได้เกิน 1 หมื่นโลสามารถลากยาวได้ แต่ยาวกว่านี้ก็ไม่ไหวเพราะบ้านเราไม่เหมือนเมืองหนาว ค่ายรถญี่ปุ่นจะกำหนดให้เช็คระยะ 15,000 km จะกำหนดการเข้าเช็คระยะตามฟอร์ด หรือเชฟโรเลตก็ทำได้เพราะน้ำมันเครื่องอยู่ได้แต่ทุกค่ายก็ไม่ทำเพราะถือว่าค่าบริการดูแล ถูกกว่าฟอร์ดและเชฟโรเลตอยู่แล้ว เพราะ 2 ค่ายอเมริกันนั้นขนาดเช็คระยะที่ 15000 โลค่าบริการยังถือว่าแพงจัดเอาเรื่อง เหมือนเข้าศูนย์โตโยต้า 2 ครั้งแต่ค่าบริการ รวมอยู่ในรถอเมริกันเข้าศูนย์ครั้งเดียว ส่วนเรื่องความทนทานการบำรุงรักษาตามระยะทาง รถอเมริกันไม่ได้ทนทานไปกว่ารถญี่ปุ่นเลย พูดง่าย ๆ บางตัวเสียหายเร็วกว่ารถญี่ปุ่นอีกและจุกจิก คนต่างชาติเองในต่างประเทศจึงหันมาหารถค่ายญี่ปุ่นมากขึ้น จะไปบอกว่ารถทนทานมากจนต้องยืดเวลาการเช็คระยะออกไปไกลกว่ารถญี่ปุ่นนั้น ไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่เป็นเพราะค่าบริการถ้าเทียบตัวต่อตัวถือว่าแพงห่างกันมากถ้าไม่ทำแบบนี้แข่งขันกันไม่ได้ อีกทั้งงานในศุนย์ล้นมือ

- ถ้าเป็นรถยุโรปในกลุ่มแบรนด์เนม Benz BMW Volvo Audi Volksawagen Landrover ค่าบริการดูแลตามระยะทางจะอยู่ที่ 1xx,xxx - 3xx,xxx บาท สำหรับรถที่ใช้ไม่เกิน 4 ปี 1 แสนกิโลเมตร ถ้าใช้มากกว่า 5 ปี หรือมากกว่า 1 แสนกิโลเมตร อยู่ในระยะ 5-10 ปี 1 -2 แสนกิโลเมตรนับแต่ป้ายแดง ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 แสนบาท คือเสียเงินตั้งแต่ป้ายแดงจนถึงเวลา 10 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 3xx,xxx-5xx,xxx บาท จะมากน้อยกว่านี้ก็ไม่เท่าไหร่ ถึงแม้จะเข้าอู่นอกก็ตามที แต่ถ้าจะใช้เกินกว่านี้ก็ต้องพร้อมเสียมากกว่านี้หรือหาอะไหล่เองเพราะไลฟ์ไทม์ในการใช้รถยุโรปไม่เกิน 10 ปี เกินกว่านี้รถพร้อมเสียจุกจิกมากเพราะรถทำมาจากวัสดุรีไซเคิ้ลและอะไหล่หมดสภาพ รถยุโรปเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทนทานเหมือนสมัยเบนซ์ W124 โลงจำปา แต่เมื่อมันเก่าแล้วคือหมดระยะรับประกัน 3- 5 ปี ต้องซ่อมจุกจิกกว่ารถญี่ปุ่นและเรทค่าซ่อมมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ารถญี่ปุ่นตามที่แสดงข้างต้น ค่าซ่อมจะค่อนข้างแพง ค่ายรถยนต์ทางฟากยุโรปจึงชูจุดขายที่มีวารันตีซ่อมฟรีสำหรับรถในประกัน 0-3 ปี หรือ 0-5 ปีลูกค้าไม่ต้องจ่ายอะไรเลยใช้งานอย่างเดียว เพื่อตัดค่าใช้จ่าย 1xx,xxx - 3xx,xxx บาท สำหรับรถที่ใช้ไม่เกิน 4 ปี 1 แสนกิโลเมตร ตัวนี้ออกไป แล้วยืดระยะเวลาการเช็คระยะเป็น 15,000 km เพราะทราบดีว่าเกินกว่านี้ลูกค้าจะไม่ถือครองรถเอาไว้อีก ต้องมีการเปลี่ยนมือ รถยนต์ในยุโรปไม่จำเป็นต้องทนทานอีกต่อไป พออายุเข้าใกล้ 10 ปี ต่อให้สภาพดีแค่ไหนไลฟ์ไทม์การใช้งานของรถยนต์ในกลุ่มยุโรปก็มักจะหมดลงไปด้วย ( ยกเว้นรถเพื่อการสะสมจึงควรเก็บไว้ใช้งานต่อ )



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 28/5/2557 เวลา : 14:43  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 37987

คำตอบที่ 155
       ลองนึกถึง

รถยนต์ BMW Benz ค่าเปลี่ยนแร๊กพวงมาลัยเฉพาะค่าอะไหล่ประมาณ 1.3 แสน บาท
ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น จะอยู่ราว 1x,xxx -5x,xxx บาท ยกเว้นรถยี่ห้อ Lexus
ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นหรูยอดนิยมอย่าง Lexus RX300 ราคาแร๊กเฉพาะค่าอะไหล่อยู่ที่ 84,000 บาท

ค่าซ่อมรถจะตามระดับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 9/6/2557 เวลา : 09:47  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38042

คำตอบที่ 156
      

วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเข้าไปอู่อาจารย์รุ่ง ที่บางคล้าเพื่อไปซ่อมแก้ถังแก๊สที่มีเสียงดัง พอดีมีรถตู้ 2.7 เข้ามาซ่อม 1 คัน
ผมเลยถามได้ความรู้มาฝากดังนี้

รถตู้คันนี้มีปัญหาจากการทำแอร์มาก่อน ทำให้เครื่อง Heat พอเครื่องร้อนจนดับคนขับรถที่ไม่ใช่เจ้าของรถก็พยายามสตาร์ทจนติดแล้วฝืนขับต่อ พอเครื่องดับรอจนเครื่องเย็นก็สตาร์ทเพื่อขับต่ออีก สุดท้ายเครื่องน๊อกดับไม่ติดอีกเลย ลากมาเข้าอู่อาจารย์รุ่ง
รถยนต์เครื่องพัง ต้องเปิดฝาสูบออกมาซ่อม แต่เคสนี้ไม่ใช่ซ่อมฝาสูบอย่างเดียว ต้องเปลี่ยนเสื้อสูบด้วย เนื่องจากคนขับรถพยายามฝืนขับต่อมาจนเครื่องน๊อคดับไปหลายครั้งก็ยังฝืนต่อจนไม่ติดเลย ทำให้เพลาบาลานซ์ข้างเครื่องยนต์เสียหายใช้การไม่ได้ แบริ่งไหม้หมดต้องเปลี่ยนเสื้อสูบ เพราะอะไหล่ตัวนี้ซ่อมไม่ได้เลยต้องเปลี่ยนเสื้อสูบอย่างเดียว

รถคันนี้อู่อาจารย์รุ่งเลือกซ่อมน่ะครับ ฝาสูบไม่เป็นอะไรเปลี่ยนวาล์วบางตัวที่เสียหาย เสื้อสูบเปลี่ยนใหม่เป็นของมือ 2 ราคาไม่แพง ถูกกว่าที่คิดเยอะ ราคาผมไม่บอกก็แล้วกัน เพราะคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะไปเดินเซียงกง ผมบอกเลยเดี๋ยวนี้เซียงกงมันไม่ใช่สวรรค์สำหรับท่าน ที่เหมือนคนตาบอดที่คิดจะไปเดินเดี๋ยวชนอะไรหัวร้างข้างแตก หัวแบะหน้าหงายกลับมา เพราะฉะนั้นบอกไปก็เท่านั้น
เสื้อสูบของรถตู้ 2.7 กับเครื่องยนต์ที่ลงใน Vigo Fortuner ไม่เหมือนกันนะครับ ทิศทางการไหลของรูน้ำมันต่างกัน อาจารย์รุ่งเขาชี้ให้ดูเป็นความรู้ เพราะฉะนั้นถ้าคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไปเดินเซียงกงแล้วหาของมือ 2 มาเล่น ทดแทนของเดิมที่เสียหาย ท่านจะได้เอาส้นเท้าก่ายหน้าผากทีหลัง




สรุปเคสนี้เสียแบบไม่น่าเสีย ได้ไม่คุ้มเสียประหยัดแบบไม่น่าประหยัด รถตู้คันนี้ผมถามจารย์รุ่งว่าวิ่งมาเกิน 5 แสนกิโลเมตรแล้วหรือยัง จารย์บอกว่าเกินแล้วเครื่องยนต์ยังไม่เป็นอะไรเลย รถคันนี้ NGV น่ะครับ แต่มาเสียเพราะการไปทำแอร์นี่แหละทำให้ปัญหาตามมาแล้วยังมาเจอคนขับรถที่ฝืนขับต่อทั้งที่รู้ว่ารถมีปํยหาความร้อน ได้ไม่คุ้มเสียประหยัดแบบไม่น่าประหยัดเอารถไปทำแอร์กับอู่ทั่วไปใช้อะไหล่ไม่ตรงรุ่น
อีกหมายเหตุนึง นอกจากเสื้อสูบของเครื่องยนต์ 2.7 ที่ไม่เหมือนกันแล้ว แอร์ก็ไม่เหมือนกัน การซ่อมคอมแอร์แอร์โดยใช้อะไหล่ผิดรุ่น ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ( แอร์ตอนนี้ถือเป็นกฎข้อห้าม ในการเข้าอู่นอก วิ่งเข้าศูนย์โตโยต้าปลอดภัยสุด )



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 9/6/2557 เวลา : 10:26  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38043

คำตอบที่ 157
       เพลียกับ MAZDA THAILAND

อาทิตย์ก่อนมีเพื่อนพยาบาลสาวนคนนึงให้ผมไปช่วยดูรถ ให้หน่อยเนื่องจากมีไฟโชว์แปลก ๆ ขึ้นมารวมถึงมีเสียงดัง เป็นรถ MAZDA 2
ผมไปดูให้ปรากฎว่าไฟโชว์หายไปแล้ว เลยตรวจดูรถไม่มีอะไรผิดปกติ เลยข้ามจุดนี้ไป
ส่วนเรื่องเสียงดังปรากฎว่าที่มาของเสียงคือคอมแอร์มีปัญหาที่หน้าคลัทซ์ต่อแล้วมีเสียงดัง ผมเห็นว่าเคสนี้ควรเข้าศูนย์ MAZDA เพราะรถยังอยู่ในประกัน 3 ปี 1 แสนกิโลเมตร ให้เข้าไปเคลมชิ้นส่วนอะไหล่เพราะคอมแอร์มีราคาแพงประมาณ 12,000 บาท สมควรรีบเคลม
ผมให้ไปเคลมที่ศูนย์ไซม์ดาร์บี้ศรีนครินทร์ เพราะเป็นศูนย์ใหญ่ เพื่อนผมโทรมาบอกว่า ทางศูนย์บ่ายเบี่ยงไม่รับเคลม......... เนื่องจากรถเคยเกิดอุบัติเหตุมีร่องรอยชนด้านหน้ามาก่อน ผมบอกว่ามันก็แค่ชนไม่หนัก ยังไม่ถึงเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ แต่ทางศูนย์บ่ายเบี่ยงในการรับประกันรถ


เพลียใจกับรถแบบนี้จริง ๆ รถน่ะดีมาก ผมขึ้นไปนั่งเปิดแอร์ยังชอบเลย เพราะมี HEATER ด้วย เขาเอาไว้รับส่งลูก เปิดแอร์ใช้ HEATER ตอนฝนตกได้ด้วย สบายมาก เพียงแต่แค่คอมมีเสียงดัง แต่ศูนย์มาสด้าศูนย์ใหญ่ยังไม่ยอมรับผิดชอบหาทางบ่ายเบี่ยงเสมอ
ใครใช้รถยี่ห้อแบบนี้ บอกได้เลยว่าทำใจอย่างเดียว ที่ ลูกค้าเบื่อรถยี่ห้อ FORD MAZDA CHEVROLET หรือรถยี่ห้ออื่น ๆ ก็เพราะแบบนี้แหละ ทำไงก็ไม่เจริญ ลูกค้าไม่มีทางประทับใจเอาเลย เข้าศูนย์ไปหาดีแทบไม่ได้ซักศูนย์
เพราะถ้าเป็นเคสแบบนี้ถ้าเป็น TOYOTA ให้เคลมไปนานแล้ว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 13/6/2557 เวลา : 11:47  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38068

คำตอบที่ 158
       ตอนนี้กำลังดัง เพราะเป็นอีก 1 ปัยหาของ Mazda ที่ยังจัดการปัญหาของลูกค้าไม่ได้
http://www.allnewmazda3.com/index.php?PHPSESSID=dob8hpl9n5mleehffeaibj6n13&topic=1943.0

รวมปัญหาของผม ที่กระทู้นี้ครับ http://www.allnewmazda3.com/index.php?topic=1152.msg12734#msg12734
รถใช้ไม่เท่าไหร่ รายการปัญหายังคงเท่าเดิม ไม่มีอะไรแก้ไขหายขาด
แถมเป็นอีกรอบ ไฟ engine ขึ้น ผมเลยเอาเข้าศูนย์อีกรอบ (26 พ.ค.)

ผมเดือดร้อนอย่างไร?? ในการเข้าศูนย์แต่ละครั้ง ต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ (สำหรับ มนุษย์เงินเดือนอย่างผม)
ใครจะรับผิดชอบกับความปลอดภัยของครอบครัวผมครับ (มันมีข้อบกพร่อง จากโรงงานแบบนี้)
จะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ จริงไหมครับ
ปัญหาก็คือ รถที่ไม่มีคุณภาพ บกพร่องจากโรงงาน เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมเดือดร้อน
ผมจึงอยากให้ต้นเหตุของปัญหามาช่วยแก้ปัญหาให้ผม จึงตัดสินใจ ทำเรื่องไปที่ speed line
สืบเนี่ยงจากกระทู้นี้ครับ http://www.allnewmazda3.com/index.php?topic=1215.msg14048#msg14048
ตั้งแต่ 13 พ.ค. ทำตาม กระบวนการเรื่อยมา
จนถึง 12 มิถุนายน 1 เดือน ยังสรุปไม่ได้
เข้าที่ประชุมมา 2 รอบ จะต้องรอเข้าที่ประชุมอีก พฤหัสหน้าอีก (19 มิ.ย)
ที่ยังสรุปไม่ได้คือ ทางต้นเหตุของปัญหา(รถยี่ห้อนี้) พยายามยัดเยียด ปัญหามาให้ผมรับผิดชอบ โดยเสนอระยะประกันเพิ่ม (มันไม่แก้ปัญหาของผมไม่ได้ครับ)
อยากถามเพื่อนๆ ใน club ครับ ว่าผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 16/6/2557 เวลา : 15:43  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38084

คำตอบที่ 159
       พังแล้วนะครับ


ฮ่า ฮ่า ที่พังคือหม้อต้มแก๊สน่าจะพังแล้ว เมื่อวันเสาร์ไปเข้าอู่แก๊สที่อู่อนันต์ ซอยปรีดีพนมยงค์ 44 ให้ช่วยดุแก๊สหน่อยเพราะกินแก๊สมากผิดปกติ คือกินประมาณ 2.8 ต่อกิโลเมตรในการวิ่งในเมือง ของเดิมปกติอยู่ที่ 2.3-2.5 บาท / กิโลเมตร ช่างวิเคราะห์แล้วมันมีปัญหาเครื่องสั่นอยู่เล็กน้อยผมยอมรับว่าจริงแต่ไม่สั่นมากเหมือนครั้งสมัยหัวฉีดแก๊สพัง ช่างเลยถามว่าพี่เปลี่ยนหัวฉีดแก๊สกับหม้อต้มมานานหรือยัง ผมบอกว่าหัวฉีดพังไปตอน 8 หมื่นโล ส่วนหม้อต้มยังไม่คเยเปลี่ยน นี่วิ่งมาได้ 1.7 แสนโลแล้ว ช่างก็เลยลองจูนแก๊สดูก่อนปรากฎว่าเขาบอกออโตจูนไม่ได้ อยากให้ลองเปลี่ยนหม้อต้มดูก่อนเพราะอายุมันนานมากแล้วอีกทั้งแรงดันหม้อต้มไม่ค่อยนิ่งวิ่งขึ้นลงที่ 1.3-1.6 บาร์ตลอด อีกทั้งเครื่องเดินไม่เรียบนิ่งสนิท ผมเองก็เห็นว่าอายุมันานมากแล้วก็อยากให้ปเลี่ยนซักทีเหมือนกันหม้อต้มของเดิมเป็น Zavoli ตัวใหม่ที่เปลี่ยนเข้ามาคือ AC Autoas ตรงรุ่นกับยี่ห้อเรา หลังจากเปลี่ยนแล้วเครื่องเดินนิ่งขึ้นมาเลยแล้วเขาไปจูนแก๊ส ส่วนอัตราสิ้นเปลืองต้องรอเก็บผลอีกระยะตอนนี้ยังไม่ได้เติมแก๊สเลย

หม้อต้ม AC มีขนาดสเปกบอกด้านหลัง 140 kw x 1000 14,000 w หาร 1 แรงม้า = 746 w จึงได้เสปกหม้อต้มตัวนี้ออกมาที่ 187 แรงม้า
ถือว่าเหลือเฟือถ้าจะเอาใหญ่กว่านี้และแพงเกินความจำเป็น หม้อต้มตัวนี้ขนาดเล็กมากแต่ประสิทธิภาพดีมไม่ค่อยจุกจิกภายหลังราคาไม่แพง ราคาหม้อต้มตัวนี้อยู่ที่ 2000 ต้น ๆ เท่านั้น ราคารวมเปลี่ยนแล้วช่างอู่นี้คิดผม 3200 บาท รวมจูนทำทุกอย่างแล้ว
แต่อายุหม้อต้มทุกตัวอยู่ที่ประมาณ 1 แสนกว่า จะกว่าต้น ๆ หรือกว่าปลาย ๆ ไม่ทราบแล้วแต่เป็นคันคัน ๆ ไป ยังไงก้อยุ่ประมาณนี้ทั้งนั้นสำหรับรถบ้าน ยกเว้นรถเพื่อการพาณิชย์จะอยู่ได้ยาวกว่านี้อย่างน้อยก็ 2 แสนโลขึ้นไป






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto จันทร์, 23/6/2557 เวลา : 09:06  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38110

คำตอบที่ 160
       ขนาดความบางเล็กของหม้อต้ม AC มันเล็กดีจริง ๆ ก็น่าจะถูกใจอยู่หรอก ใหญ่ไปก็ไม่มีประโยชน์ราคาไม่แพงด้วย แค่ 2000 บาทต้น ๆ เท่านั้น
ใช้รถ 2.7 ยังไงก็ซ่อมถูก ไม่ค่อยมีอะไรพังเสียหาย หลายคนกลัวเกินความจำเป็น ใช้งานรถได้ 1 แสนกว่าโล รีบขายรถออกกลังต้องซ่อมรถ ทั้งที่จริงรถ 2.7 มันแทบไม่ได้จุกจิกหรือต้องซ่อมอะไรที่แพงมากเลย ยังไงก็สบายใจที่พังซะได้จะได้เปลี่ยนซักทีเท่านี้ก็ใช้ได้อีกนาน 1 แสนกว่าโล ยกเว้นหัวฉีดรอดูอาการว่าจะเสียอีกเมื่อไหร่


ขอบคุณภาพจาก
http://www.iwebgas.com/smf/index.php?topic=5437.0>





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto จันทร์, 23/6/2557 เวลา : 09:12  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38113

คำตอบที่ 161
       ผมเองก็พึ่งไปจัดตัวนี้มา Tomasetto AT12 RMAT3800 สำหรับรถติด NGV ด้วยความที่ลูกเก่าเป็นของ EMME ที่ถูกใช้งานมาแล้ว 180,000 หลังจากมีอาการกินแก็สคล้าย ๆ คุณ AUTO จากเดิมวิ่งนอกเมือง อยู่ไม่เกิน 1.2 บาท แต่เล่นซดไปซะ 1.8 บาท จะเท่า LPG เอา ก็เลยจัดการเปลี่ยนแล้วก็ปรับจูนใหม่ ซะ ทีนี้กลับมา กินเหลือ 1.5 บาท ซึ่งยังไม่เป็นที่พอใจนัก แต่ยังคงมีอาการ ออกตัววืดอยู่นิด ๆ ไม่เหมือนก่อน ซึ่งสงสัยว่าหัวฉีด กำลังจะกลับบ้านเก่าแล้วหละ เพราะเริ่มจะดังไพเราะขึ้นทุกวัน ๆ ไม่เป็นไร ใช้ไปก่อน เดือนนี้หมดไปกับหม้อต้ม 5500 บาท รวมติดตั้งและปรับจูน





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tonpai753 จาก ต้นไผ่ จันทร์, 23/6/2557 เวลา : 10:37  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38116

คำตอบที่ 162
       ทดสอบอัตราสิ้นเปลืองแล้วนะครับ หลังจากเปลี่ยนหม้อต้มใหม่มาเป็นของ AC ตัวบางขนาด 140 KW
ผลอัตราสิ้นเปลืองวิ่งในเมืองตอนนี้ได้ 2.2-2.3 บาท / กม คิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองที่ 5.8 km/l วิ่งนอกเมืองได้ 1.7-1.8 บาท / กม คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 7.0-7.2 km/l ก็ยังถือว่าประหยัดมากครับกับหม้อต้มตัวนี้
ถ้าใครใช้ชุดแก๊สมานานเก่ามากแล้ว หม้อต้มแรงดันไม่นิ่งแต่ยังใช้การได้อยู่ มีการกินเชื้อเพลิงมากขึ้น ก็อาจต้องลองเปลี่ยนหม้อต้มดูนะครับ
หม้อต้มถ้าลูกใหญ่เกินไปแรงม้ามากเกินไป ยังไงก็กินชื้อเพลิงมากกว่าซึ่งก็เกินความจำเป็น ลองหันมาใช้ขนาดที่พอดีกับเครื่องจะประหยัดไปได้




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 124.120.117.235 ศุกร์, 11/7/2557 เวลา : 16:45  IP : 124.120.117.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38246

คำตอบที่ 163
       ทดลองโหลดไฟล์ Youtube หลังจากไม่ได้หยิบกล้อง compact มาใช้นานเลยลองทำดู
http://www.youtube.com/watch?v=YbdCKyizZWs&feature=youtu.be

Fortuner 2.7 vvti 4x4 offroad set up before go to trip

- ตรวจเช็ครถยนต์ขั้นพื้นฐานก่อนออกทริปในวันที่อยากจะหยุดเพื่อไปท่องเที่ยว
- ตรวจเช็คระบบแก๊สหม้อต้ม AC Autogas ตัวเล็กบางแต่ประหยัดแก๊สพอควร
- ตรวจเช็คระดับไฟแบตเตอรี่ GS Hybrid 150 เพื่อรองรับการใช้ Winch 12,000 lb เพิ่ม Cable tire สำหรับรัดตะขอวินซ์สามารถปลดล็อคนำออกมาใช้งานได้ง่ายและสามารถใส่สายรัดเข้าไปใหม่ได้เลย ไม่ต้องตัดสายCable ให้เสียไป สะดวกกับการใช้งานและการดึงพับเก็บ
- เช็คการทำงานอุปกรณ์ไฟฟ้าและการชาร์จไฟของอัลเตอร์เนเตอร์หรือไดชาร์จ
- ตรวจเช็คอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินที่จำเป็นในการเดินทาง ปั๊มลม Puma 12V สายลากรถ 8 ton รองเท้าเซฟตี้ที่ต้องมีประจำรถยามฉุกเฉิน





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.169.197.154 อาทิตย์, 13/7/2557 เวลา : 14:19  IP : 110.169.197.154   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38253

คำตอบที่ 164
       เกี่ยวกับเรื่องหม้อน้ำ เผื่อบางท่านสงสัยกันว่ามันจะต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่ หรือว่าตอนมันรั่วแล้วจึงค่อยเปลี่ยน ความจริงหม้อน้ำไม่ต้องเปลี่ยนแต่อย่างใดถ้ามันไม่รั่วหรือสกปรกเกินเยียวยา แต่มันมีสัญญาณบ่งบอกก่อนที่มันจะรั่วซึม ว่าควรต้องเปลี่ยนแล้ว วิธีการดูว่ามันควรจะต้องเปลี่ยนคือให้สังเกตุที่ตัวเรือนหม้อน้ำถ้ามันมีการเปลี่ยนสีหรือมันเริ่มมีสีเหลืองออกมามากขึ้น แทนที่มันจะเป็นสีดำอย่างเดิม นั่นละครับสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานหม้อน้ำอาจจะรั่วได้ ถ้าเราเห็นแบบนี้ก็เตรียมเก็บเงินเปลี่ยนหม้อน้ำได้เลย ไม่ควรซ่อมเหตุผลเพราะว่าตัวเรือนหม้อน้ำมันเป็นอลูมิเนียม ถ้ามันหมดอายุคือทั้งตัวมันหมดอายุซึ่งจะรั่วตรงไหนก็ได้ เราปะผุตรนี้ได้ตรงอื่นก็อาจจะรั่วได้อีกเหมือนกัน โดยมากหม้อน้ำแบบนี้เขาไม่ค่อยซ่อมแต่นิยมปลี่ยนกันเลยมากกว่า ราคาหม้อน้ำ 2.7 รุ่น เกียร์ออโตราคา 5,xxx บาท ถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 4,xxx บาท 2 ตัวนี้อะไหล่ไม่เหมือนกันนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าของ Hilux กับ Fortuner เหมือนกันหรือเปล่า


พอดีมีเคสตัวอย่างนึง เป็นผู้ใช้รถ 2.7 ไม่ได้ติตดามอ่านความรู้ในทุกกระทู้ของเวป 2.7 ทำให้เกิดเรื่องเสียหายตามมา
ผมแนะนำไปในคำตอบ 23 ของลิ้งค์นี้ หม้อน้ำถ้ามีการเปลี่ยนสีที่ตัวเรือนจะต้องหาทางเปลี่ยนหม้อน้ำ เพราะหม้อน้ำหมดอายุถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว มีท่านนึงใช้รถวีโก้ 2.7 ปรากฎว่าเคสแรกหม้อน้ำรั่ววิ่งน๊อคดับไป พอติดเครื่องเติมน้ำเปลี่ยนหม้อน้ำก็ยังใช้รถต่อไปโดยไม่ซ่อมระบบหล่อเย็นจุดอื่น ผลคือท่อ By pass รั่วอีกทีนี้เครื่องพัง เอาเข้าซ่อมอู่ซ่อมรถตู้ โทรมาหาผมรายการเปลี่ยนซ่อม
1. ฝาสูบปาดออก
2. เปลี่ยนปะเก็นฝาสูบ
3.เปลี่ยนแหวน 3,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20,700 บาท ถามผมว่าราคาแพงไหม ผมบอกไม่แพง เครื่องเบนซินราคาค่าซ่อมเท่านี้จริง ๆ ครับ แต่มันเป็นเรื่องเสียที่ไม่ควรจะเสีย ถ้าเจ้าของรถทำตามคำแนะนำ เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ปัจจุบันเขาซ่อมเสร็จแล้วรถมาวิ่งได้ปกติ แต่มีปัญหาเกจ์ความร้อนขึ้นน้อย แสดงว่าน่าจะพังไปแล้วจากเครื่องฮีท

ผมให้มองกลับไปบ้าง ถ้าเป็นดีเซลคอมมอนเรล เครื่องฮีท ซ่อมเท่าไหร่
20,000 x 2 = 40,000 บาท
20,000 x 3 = 60,000 บาท
20,000 x 4 = 80,000 บาท
คำตอบคือ ถ้าเครื่องดีเซล commonrail ฮีทคุณจะต้องเสียค่าซ่อมราว 3-4 เท่าตัวของเครื่องเบนซิน นั่นคือราคา 6 - 8 หมื่นบาท บวก ลบ และเสี่ยงกับการซ่อมไม่จบถ้าอู่ไม่มีฝีมือพอกับเปลี่ยนอะไหล่ (ของแท้ )ไม่ครบ ที่เรียกว่าซ่อมไม่ถึงนั่นแหละ

หม้อน้ำไม่ได้บอกให้ระวัง แต่ถ้าถึงอายุเปลี่ยนสีก็ควรต้องจับเปลี่ยนหม้อน้ำแล้วนะครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto จันทร์, 4/8/2557 เวลา : 18:35  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38362

คำตอบที่ 165
       มีตัวอย่างน่าสนใจอีกเคสนึง คือวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีลูกค้าท่านนึงไปแวะเอาน้ำมันเครื่องที่บ้านผม เบอร์โทรเขาอยู่ในหน้าลิ้งค์ซื้อขายน้ำมันอาทิตย์ที่แล้ว เลยคุยปสก. ให้ฟังว่าเขาใช้งานรถวันล่ะ 200 กิโลเมตร เขาใช้รถ Corolla altis ไม่ติดแก๊สทำงานอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเบิกค่าน้ำมันได้เดือนล่ะ 20,000 บาท ตอนแรกใช้รถ Hilux Tiger ดีเซลรถเดิม ๆ ไม่ได้แต่ง ใช้งานไป 5 แสนกิโลเมตร แหวนหักเครื่องพัง ใช้งานตามปกตินี่แหละ จึงต้องเปลี่ยนรถใหม่ พอเปลี่ยนรถใหม่ครั้งนี้ตัดสินใจเอารถเก๋งเครื่องเบนซินเลย เพราะเบิกน้ำมันได้อยู่แล้ว เขาบอกใช้เบนซินสบายใจกว่า


ในเหตุการณ์นี้ผมเคยเจอเคสคล้าย ๆ แบบนี้มาครั้งนึงแล้ว เรื่องกรณีแหวนลูกสูบหักขณะใช้งานปกติ ตอนนั้นเกิดกับรถ Land Rover Discovery TDI เครื่องดีเซล 2.5 ลิตร ยุคก่อนเป็นคอมมอนเรล ซึ่งเจ้าของไม่กล้าซ่อม กลัวเฮี้ยน ... เฮ้ยไม่ใช่ แต่เป็นเพราะ Landrover ขณะนั้นรวมถึงเวลานี้ ราคาค่าซ่อมใช้อะไหล่จากอังกฤษ ใครก็รู้ว่ายี่ห้อนี้ซ่อมแพงบรรลัย เลยต้องทิ้งรถหรือขายรถไปให้กับ สำนักวิทยายุทธ อู่ปีศาจ หรืออะไรก็ตามที่ตั้งฉายาเรียกกัน ซึ่งสมัยก่อนกระทู้เรื่องอู่ ปีศาจในเวปนี้ดังมาก เป็นมหากาพย์ทีเดียว

เรื่องที่แหวนหักนี้ถามผมผมก็ตอบไม่ได้หรอกว่าเพราะอะไร คือจนปัญญาจะตอบ แต่ให้รู้ว่าเคยเจอเคสแบบนี้กับเครื่องดีเซลมา 2 ครั้งแล้ว ดีเซลเวลาซ่อมมันจะซ่อมแพง อย่าอ้างซ่อมถูกตามที่เขาบอกเล่าต่อต่อกันมา เก็บความเชื่อนั้นไว้ดีกว่า
ของจริงมันต้องเอาตัวเลขจริงมาคุยกันว่าราคาเท่าไหร่ ยังไง แล้วท่านจะทราบว่าอะไรมันถูกแพงกว่ากัน ไม่ใช่ไปพูดตามเค้ามา เค้าเล่าว่า เค้าบอกว่า ดีเซลซ่อมถูก ใช้งานทนทาน ไม่มีปัญหาจุกจิก ซึ่งของจริงต้องมาไล่ดูกันก่อนว่านี้มันปี คศ. 2014 แล้วนะ



เคยซ่อมฝาเครื่อง 2L ก็หมื่นกว่าแล้ว สาเหตุจากสายพานไทม์มิ่งรูด ซ่อมจบหมดไป 2หมื่น
จาก : Aod SRT(Aod SRT) 5/8/2557 15:40:58 [202.12.74.165]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 4/8/2557 เวลา : 18:53  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38363

คำตอบที่ 166
       เบนซินไม่ได้ซ่อมถูกทุกเครื่อง ถ้าเกิดไปซ่อมเบนซินรถยุโรปบางรุ่นหรือเบนซินที่เป็น TOYOTA LEXUS บางรุ่นท่านก็จุกหายใจไม่ออกเหมือนกัน ขณะที่ดีเซลถ้าจะซ่อมถูก ๆ ต้องเป็นดีเซลในก่อนยุคมีเทอร์โบ ซึ่งคงต้องย้อนหลังไป ก่อนปี 1996 ซึ่งเครื่องในตระกูลนั้นทุกยี่ห้อยังซ่อมไม่แพงเท่าสมัยนี้ มีเงิน 30,000 เอาจบได้ไม่จุกจิกเกินไป สมัยนี้ขยับขึ้นมาบ้างเป็น 40,000 บาท แต่ถ้าเป็นดีเซลคอมมอนเรลจะแพงกว่านี้คือมากกว่า 4 หมื่น แน่นอน พอเครื่องพังกลับไปถามหามือ 2 เพราะสู้ค่าซ่อมไม่ไหว แต่ไปเจอราคาเครื่องคอมมอนเรลมือ 2 กลับหงายท้องไปเลย


เครื่องยนต์ดีเซลน่ะดีนะครับไม่ใช่ไม่ดี อย่างที่เรารับรู้กันว่าข้อดีเครื่องดีเซล(เฉพาะ สมัยนี้ ) มลพิษต่ำ ให้อัตราเร่งที่ดี ประหยัดน้ำมันเป็นกม/ ลิตรมากกว่าเบนซินในจำนวนลิตรที่เท่ากัน มีแรงบิดและแรงม้ามากขึ้น ตบแต่งได้ง่ายขึ้น ซึ่งในโลกยุคปัจจุบันเครื่องยนต์เบนซินที่มีขนาดใหญ่ประเภท 6 สูบ 8 สูบ 12 สูบ มีให้เห็นน้อยลงเพราะการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมรวมถึงการประหยัดพลังงาน กระแสสังคมไม่ค่อยตอบรับ เราจะเห็นรถอย่าง Chevrolet cameron Ford Mustang รถประเภทนี้ที่มีเครื่องยนต์ใหญ่หลายสูบค่อย ๆ หายไปจากโลกนี้ เพราะเราสามารถเครื่องเบนซินและดีเซลที่มีขนาดเล็กกว่าแต่ให้กำลังแรงม้าที่มากกว่าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่หลายสูบอีกต่อไป ดีเซลขนาดเล็กจึงพัฒนาและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ต้องเข้าใจว่ามันมาพร้อมเทคโนโลยีที่แพงขึ้น ถ้าเต็มใจจ่าย คือ...... จบ แต่ผมเห็นหลายท่านต้องบอกส่วนใหญ่ไม่ได้เต็มใจจะจ่ายแบบนั้นมันเลยไม่จบ
มีหลายต่อหลายคนอยากจะได้เครื่องดีเซลมาลงกับรถเก๋งขนาดเล็ก หรือ SUV ขนาดเล็กที่มาขายในบ้านเรา แล้วพากันตั้งคำถามทำไมบริษัทรถยนต์ไม่นำเข้ามา คือมันก็มีคำถามอีกนั่นแหละว่านำเข้ามาแล้วท่านจะซื้อหรือเปล่า หรือได้แต่พูดกันเฉย ๆ เพราะดูยอดจำหน่ายรถบ้านเราที่เป็นเครื่องดีเซลในกลุ่มนี้ก็พอจะมองออกแล้วว่ายอดขายวิ่งไปได้เท่าไหร่ อย่าง MAZDA CX 5 ราคา 1.7 ล้านบาท BMW X1 2.0 ดีเซล ราคามากกว่า 2 ล้านกว่าบาทแพงกว่ารุ่นเบนซิน 5 - 7 แสนบาท ซึ่งยอดขายมันไม่ได้สวยหรูนัก สิ่งที่มันออกมาแบบนี้ฝ่ายการตลาดก็มองออกอยู่แล้วว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร คนบ้านเราอยากได้แต่ไม่เต็มใจจะจ่าย
ล่าสุด มี ค่ายรถยนต์ประกาศรถที่จะเอามาทำตลาดแน่นอนแล้วว่า จะไม่นำดีเซลเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา
Mazda 2 ที่จะเปิดตัวในบ้านเราอีกไม่ช้านี้ จะลงเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น ส่วนดีเซลจะทำตลาดเฉพาะเวอร์ชั่นยุโรป
Nissan จะเปิดตัวรถ SUV Qhasai หรือใช้ชื่อในบ้านเรา Nissan X-trail ก็จะนำเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 หรือ 2.5 ทีอยู่ใน Nissan Tiana มาใส่เท่านั้น ส่วนดีเซลจะทำตลาดเฉพาะเวอร์ชั่นยุโรป ในบ้านเราถ้าไม่ขึ้นไลน์ประกอบ จะได้เห็น Nissan X-trail แค่รุ่น 2wd อย่างแน่นอน รุ่น 4wd เลิกคิดได้เลย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 8/8/2557 เวลา : 09:31  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38371

คำตอบที่ 167
       การที่บริษัทรถยนต์จะเอารถรุ่นใดเข้ามาทำตลาด จ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าโดยไม่เกี่ยวกับอะไรเลย แค่ตัดสินใจว่าเอารุ่นนี้ลงทำตลาด ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมีตั้งแต่หลักพันล้านบาทขึ้นไปต่อรุ่น จำนวนนี้จะจ่ายให้กับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ไม่นับค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในการลงมือทำ วิศวกรชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาตั้งแต่เริ่มคิดจะทำ ค่าเตรียมการผลิต จิปาถะ
ในเอเชีย รวมถึงภูมิภาคอื่นของโลกด้วย ราคาน้ำมันโดยทั่วไปที่บริษัทรถยนต์เขาคิดคือ 37-40 บาท / ลิตร ดีเซลจะแพงกว่าเบนซินโดยธรรมชาติ และถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซลยูโร 4 - 5 น้ำมันดีเซลต้องพัฒนาคุณภาพตามไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าราคาน้ำมันจะแพงขึ้นอีก บริษัทรถยนต์เค้าไม่ได้นับค่าน้ำมันดีเซลลิตรล่ะ 30 บาท เหมือนที่เรากำลังคิด และไม่ได้นับเบนซินลิตรล่ะ 48 บาท แต่เค้าคิดทุกประเทศรวม ๆ กัน โดยเฉลี่ยมันเป็นเท่านี้ ซึ่งประเทศที่เค้าส่งรถยนต์ไปขายส่วนใหญ่ เค้าก็รู้ว่าน้ำมันแพงแต่แพงในที่นี้หมายถึงค่าน้ำมันดีเซลกับเบนซินมันไมได้ต่างกัน อย่างเครื่องยนต์ใกล้กัน ระหว่างดีเซลกับเบนซิน ถ้าดีเซลกินน้ำมัน 11-13 km/l ประหยัดกว่าแต่ราคาน้ำมันแพงกว่าอีกทั้งตัวรถยนต์จะแพงกว่ามาก ในขณะที่เบนซิน กินน้ำมัน 9-10 km/l กิน้ำมันมากกว่า แต่ค่าน้ำมันถูกกว่า รถยนต์ถูกกว่าหลายแสนบาท แรงจูงใจให้คนมาซื้อรถดีเซลเอาไปใช้งานจึงไม่มี ค่ายรถยนต์นอกจากทำขายในบ้านเราแล้วยอดผลิตมันต้องเพียงพอในการส่งออกหรือพัฒนาเครื่องยนต์ร่วมกันกับประเทศอื่น ๆ ที่จะส่งไปขายด้วย ทีนี้แรงจูงใจในการซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องดีเซลในประเทศอื่น ๆ รอบตัวเรามันไม่มี ประเทศอื่นเค้าก็ไม่ซื้อกัน การที่ประเทศไทยจะทำรถยนต์ออกขายแล้วเป็นเครื่องดีเซล จึงเป็นไปไม่ได้เลย
มีคำพูดของกูรูแวดวงผู้สื่อข่าวยานยนต์นี้แหละผมฟังรายการวิทยุของเค้า เค้าตอบคนที่ถาม แค่คิดก็เจ๊งแล้วครับ
เค้าพูดไม่ได้เกินเลย เอาแค่คิดจะทำก็ขาดทุนล่วงหน้าไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดต่อ เพราะยิ่งเดินหน้าต่อก็ยิ่งเจ๊ง เพราะการเริ่มต้นคิดจะเอามาทำทุกอย่างที่เริ่มต้นมีค่าใช้จ่ายหมด มันไม่ใช่การมโนภาพเอาอย่างที่ลูกค้าต้องการ แค่ตัดสินใจจะเอามาทำ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าโดนเป็นพันล้านบาท ไม่ต้องคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ายังขืนเดินหน้าต่อไป ข้อมูลการตลาดเครื่องดีเซลสำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กในบ้านเราแทบไม่ต้องทำวิจัยเลย บริษัทรถยนต์ในบ้านเราที่มีฐานการผลิตไม่ได้นำเข้า จึงไม่มีใครตัดสินใจหรือกล้าจะทำ เพราะแม้ประเทศในเอเชียอื่นก็เช่นกัน รถขายไม่ได้แน่นอนยอดมันไม่พอจำหน่ายได้ ยกเว้นโซนยุโรป
อย่าไปคิดว่าทำไมรถปิคอัพทำได้ รถเก๋ง SUV จึงทำไม่ได้ บ้านเราคือผู้ผลิตรถปิคอัพ 1 ตัน ที่มีตลาดอันดับ 1 ของโลก รถปิคอัพเสียภาษี 3% แถมยังได้รับการส่งเสริมมากมายจากรัฐบาล ยอดผลิตยอดขายเฉพาะโตโยต้ารายเดียวขายวีโก้ไปทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคัน ในจำนวนเป็นดีเซลไม่ใช่น้อย ๆ ถึงขนาดตั้งโรงงาน STM ที่นิคมอมตะผลิตเครื่องยนต์อย่างเดียว ขณะที่สมการรถเก๋งหรือ SUV ที่ไมได้มาจากพื้นฐาน PPV มันไม่ได้เป็นแบบนั้น การเสียภาษีคนล่ะอย่าง รถนั่งขนาดเล็กอย่าง Ford Fiesta ราคาขายในบ้านเรา 6-7 แสนบาท ขณะที่เป็นเครื่องดีเซล เกียร์ M/T Option น้อยกว่าแต่ราคาขายที่ส่งไปยุโรปเฉียด 9 แสนบาท ถ้ารถรุ่นดีเซลทำตลาดในบ้านเรา แน่นอนลูกค้าไม่ซื้อเกียร์ MT ต้องเป็นเกียร์ ATเท่านั้น และอ๊อพชั่นต้องมากกว่านี้คือได้เท่าตัวเบนซินหรือมากกว่า แต่ปัญหาเมื่อเจอราคาขายในบ้านเราแถมอัตราภาษีไม่ได้ถูก ราคายังไงก็เกิน 9 แสนบาท ซึ่งไม่ต้องทำวิจัยที่ไหนเลย ลูกค้าแทบไม่มีใครซื้อแน่นอน อีกทั้งเก๋งขนาดเล็กดีเซลกลุ่มลูกค้าจริง ๆ แล้วได้ลองขับหรือยัง ฟิลลิ่งอาจไม่ตอบโจทย์คนเคยขับรถเก๋งเบนซินมาก่อน ถ้าใครไม่ชินคงไม่ชอบ เพราตลาดในยุโรปเขามีเก๋งดีเซลเกียร์ธรรมดาแค่พอใช้งาน มันก็เป็นรถคันนึง ประมาณ 10 ปีหรือซ่อมใหญ่ก็ต้องทิ้งรถคันนั้นแล้ว รถดีเซลในยุโรปอะไหล่คือเปลี่ยนไมได้ซ่อม บ้านเราถนัดกับงานซ่อมแต่ว่าไม่ได้คิดต่อ รถดีเซลที่ส่งยุโรปหลายรุ่นหรือ Landcruiser บ้านเราที่เป็นเครื่องดีเซล อู่ซ่อมดีเซล เดนโซ่บ้านเราซ่อมไม่ได้ เพราะเค้าทำมาต้องเปลี่ยนไม่ได้เอาไว้ซ่อมซึ่งราคามันแพง ไม่ใช่แพงธรรมดาแต่แพงเป็นแสนบาท ซึ่งมันจะต่างจากปั๊มคอมมอนเรลที่ลงอยู่ในรถกะบะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 8/8/2557 เวลา : 11:30  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38372

คำตอบที่ 168
       ตัวอย่าง Mazda CX5 ดีเซล ราคา 1.7 ล้านบาท เป็นรถที่นำเข้าจากอาเซียนด้วยกัน ภาษี 0% ราคาตัวดีเซลแพงกว่าเบนซิน 5 แสนบาท ถ้าเทียบรุ่นล่างสุดแต่ได้อ๊อพชั่นมากกว่าและได้ 4wd กลับกันถ้ารถคันนี้นำเข้าจากกลุ่มประเทศที่ไม่ได้มาจากอาเซียนด้วยกันหรือทางฝั่งยุโรปซึ่งต้องมีภาษีนำเข้า จะทำให้ Mazda CX5 ราคาทะลุเกิน 2 ล้านอย่างแน่นอน เอาแค่รุ่น Top ตัวนี้ลูกค้ายังไม่ค่อยซื้อเลย แถมอยากให้ตัด 4wd ออกด้วย เพราะอยากประหยัด อยากจ่ายน้อยลง ซึ่งรถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 15 km/l เบนซิน 2.5 ก็ทำได้ 15 km/l ( ข้อมูลการทดสอบองคุณ Jimmy ) ในขณะเดียวกันลูกค้ากลุ่มเบนซิน 2.5 ก็อยากได้ Mazda CX5 รถ 4wd แต่ลูกค้า CX5 ดีเซลต้องการถอดเหลือแค่ 2wd ซึ่งถอดใจไม่สู้ราคาทั้งค่าตัวและค่าน้ำมัน
ตัวอย่างชัดชัดในประเภทรถนำเข้าที่เด่นที่สุดคือ Landcruiser Prado LC 150 ถ้าเป็นเบนซิน 2.7 ขายราคาคันล่ะ 3.3 ล้านบาท แต่พอเป็นดีเซล 3.0 เครื่องพล๊อตเดียวกับวีโก้ 3.0 บ้านเราแต่แรงม้ามากกว่า ราคาขายทะลุไปถึง 4.5 ล้านบาท ราคาแพงต่างกัน 1.2 ล้านบาทขายต่อราคาลงมาแทบพอกัน ถ้าหวังเอาแค่ประหยัดน้ำมันอย่างเดียวเลิกคิดได้เลย ไม่คุ้มหรอก ต้องมองเรื่องอื่นด้วย
โอกาสที่จะได้เห็นรถยนต์ดีเซลที่ผลิตในประเทศเราเองในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถ SUV ที่ไม่ได้มาจากพื้นฐานรถปิคอัพคงเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตลาดและกำลังซื้อในบ้านเรารวมถึงภูมิภาคนี้ไม่เอื้ออำนวย ถ้าลูกค้าต้องการคงมีแค่กลุ่มรถนำเข้าที่มีราคาสูงและจากเกรย์ เพราะตลาดคนล่ะกลุ่มกับรถ Mass producton ทั่วไปและมีกำลังซื้อที่สูงกว่ากัน


จะบอกว่าเครื่องดีเซลประหยัดแล้วจะทำให้ลูกค้าหันมาซื้อเครื่องดีเซล คำตอบน่ะไม่ใช่เสมอไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้นประเทศเศรษฐีน้ำมันในอาเซียนหรือภูมิภาคอื่นของโลกเขาก็ซื้อดีเซลกันหมดแล้วซิ ในความเป็นจริงประเทศที่ราคาเบนซินลิตรล่ะ 6-7 บาท ดีเซลลิตรล่ะ 5-6 บาท เค้าก็ไม่ซื้อดีเซลใช้กันอยู่ดี เค้าก็ซื้อเบนซินใช้ ทั้งที่ซื้อดีเซลก็ประหยัดค่าน้ำมันมากกว่า หรือในอาเซียนอย่าง อินโดนิเซียที่รัฐบาลอุดหนุนราคาน้ำมัน คนทั่วไปใช้รถ MPV 7 ที่นั่ง รถแทบทั้งหมดเป็นเครื่องเบนซินขนาดเล็ก ทั้งอืดและกินน้ำมัน แต่ถ้าทำดีเซลไปขายในประเทศนี้ก็ไม่มีใครซื้อตัวอย่าง TOYOTA INNOVA บ้านเราเคยทำตลาดเครื่องเบนซิน 2.0 และดีเซล 2.5 มาครั้งนึงใน Lot เริ่มแรก หลังจากนั้นก็ต้องหยุดเครื่องดีเซล 2.5 ไป ...เพราะไปไม่เป็นท่า ตลาดส่วนใหญ่ขายดีเซลไม่ได้ทั้งบ้านเราและภูมิภาคอื่น เพราะฉะนั้นคำตอบเรื่องประหยัดน้ำมัน จึงไม่ใช่เหตุผลที่คนจะเลือกซื้อรถแม้ว่าประเทศนั้นจะมีราคาน้ำมันที่ถูกหรือแพงก็ตาม
ในบ้านเราราคาดีเซลอยุ่ที่ 30 บาท แต่ว่าเวลาบริษัทรถยนต์เขาเอามาคิดแนวโน้มการขายแต่ล่ะปี แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคิดราคาที่ 30 บาท ตรงนี้ผมเคยถามหัวหน้างานของผมที่เขาไปอบรมที่ญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เขาบอกว่าบริษัทรถยนต์จะคิดราคาน้ำมันดีเซลที่ 37-40 บาท เบนซินก็คิดไว้ที่ 37-40 บาทเช่นกัน แต่บ้านเราจะเอาแก๊สโซฮอลมาคิด เพราะราคาไม่เกิน 40 บาท แต่ในขณะที่ประเทศอื่นเขาจะคิดที่เบนซิน 91 ธรรมดาเพราะไม่มีแก๊สโซฮอล เพราะฉะนั้นลืมไปเลยว่าบ้านเราราคาน้ำมันลิตรล่ะ 30 เนื่องจากค่ายรถยนต์รู้ว่าราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงของบ้านเรานั้นเกิน 36 บาทมานานแล้วซึ่งราคาถูกที่สุดถ้าเทียบกับภูมิภาคนี้ ทุกบริษัทจำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงจุดนี้ไม่มีใครกล้าทุ่มสุดตัวกับเครื่องดีเซล ซึ่งกรณีนี้มันจะต่างกับในยุโรปที่ราคาน้ำมันในยุโรปลิตรนึง เกิน 60 บาท และราคาน้ำมันดีเซล ก็จะแพงกว่าเบนซินซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าทั่วไปยอมรับมานานแล้วในการจะใช้รถยนต์เพราะฉะนั้นในยุโรปจะเป็นตลาดของคนใช้ดีเซล คนใช้พร้อมจ่ายเท่าไหร่ ต่างจากคนบ้านเราที่ยังคิดว่าน้ำมันดีเซลคือลิตรล่ะ 30 บาท คนใช้รถไม่พรอมจะจ่าย ถ้าเกิดเพดานดีเซลทะลุขึ้นมา คนบ้านเราก็ไม่พร้อมจะรับตรงนี้อยู่ดี คงเห็นตลาดมือ 2 ปั่นป่วนเปลี่ยนเครื่องติดแก๊สอีกเช่นเคย อย่างที่บอกดีเซลปัจจุบันน่ะดี ในด้านดีมีดีในเรื่องประหยัดน้ำมันที่ดูจ่ายน้อยกว่าแต่ในด้านอื่นจะจ่ายมากกว่าทุกอย่างถ้าพร้อมจ่ายทุกเงื่อนไขคือ...... จบ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 8/8/2557 เวลา : 14:05  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38373

คำตอบที่ 169
       จบแบบ ปิ๊ง ๆ

หลังจากผมประสบปัญหามาระยะหนึ่ง คือ ออกตัวสะดุด เวลาใช้แก็ส และกินแก็ส รถติด ngv แต่กินเกือบเท่า lpg เปลี่ยนหม้อต้มแล้วยังไม่หายสนิท
สอบถามช่างที่ชำนาญ ชุดแก็ส ที่ติดรถผมอยู่ ได้ความว่า ชุดนี้ถ้าใช้งานเกิน แสนโลแล้ว หากมีปัญหา จะแก้ให้จบยาก ทางช่างจึงแนะนำให้เปลี่ยนชุดหน้าใหม่ ทั้งหมดจะดีกว่า จกนั้นเป้นต้นมา ผมก็คิดที่จะหา ชุดแก็ส มือ 2 โดยใช้หม้อต้มเดิมที่พึ่งเปลี่ยนมา ก็เลยหามตามเนต ได้ชุด AC 300 ISA 2 ซึ่งเป็นรุ่นรองท๊อปของ AC มาในราคา 6500 (ชุดสาย ECU map sensor) จากนั้นผมก็ถามทางร้านว่า ใช้หัวฉีด อะไรดี ทางร้านแนะนำว่า ถ้าดี ๆ ทางร้านแนะนำ HANA สีน้ำเงิน จะเหมาะกับ 2.7 มากที่สุด ปลายไม่ตก แต่ทางร้าน ขายเฉพาะหัวฉีด HANA คิดราคา 6500 ซึ่งผมก็เอะใจว่ามันต้องมีถูกกว่านี้ซิ ก็หาตามเนตอีกเช่นเคย ไม่เจอตัวแทน HANA อยู่ท่านหนึ่ง ของหัวฉีด HANA สีน้ำเงิน ของใหม่ขาย 4200 บาท เมื่อได้หัวฉีดมาสอบถามทางร้านคิดค่าติดตั้งเท่าไหร่ ทางร้านแจ้งว่า 4000 อะ ตกลง ในขณะที่ร้านอื่นคิด 6-8 พัน ผมจึงตกลงปลงใจไปร้าน ที่ถามตั้งแต่ทีแรก เพราะจากการสืบประวัติแล้ว งานดี งานจบ สวยเนียน ก่อนไปผมยังถาม ถ้าซื้อใหม่ทั้งชุดพร้อมติดตั้งจากทางร้าน เท่าไหร่ ทางร้านตอบว่า 29000 บาท (ชุดแก็ส AC STAG4-plus รุ่นต่อจากชุดประหยัด) ราคานี้ไม่รวม กรองแก็ส อย่างดี และ TAP ปรับองศาจุดระเบิด

เท่ากับงานนี้ผมประหยัดไป
1.ชุดสาย ECU map sensor AC 300 ISA 2 = 6500 บาท
2.ชุดหัวฉีด hana สีน้ำเงิน = 4200 บาท
3.กรองแก็สอย่างดี ของ LEAF (เปลี่ยนทุก 30,000 โล) = 1300 บาท
4.สวิทช์แก็สรุ่นใหม่ของ AC = 950 บาท
5.TAP ปรับองศาจุดระเบิด AC-02 (ปรับตามรอบเครื่อง) = 3500 บาท
6.ค่าแรงติดตั้ง = 4000 บาท
7.ท่อยางแก็สและท่อน้ำหม้อต้ม = 550 บาท

รวมทั้งสิ้น 21,000 บาท กับชุดแก็สรุ่นรองท๊อป ที่สามรถปรับการจ่ายแก็สตามน้ำมัน ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าซื้อชุดแก็สใหม่ทั้งหมดเลย และสเปคนี้ จะต้องจ่ายในราคา 33,000 บาท ซึ่งเท่ากับงานนี้ผมประหยัดไป 12,000 บาท เต็ม ๆ

จากการใช้งาน เมื่อวาน วิ่งไป ร้อยกว่าโล อาการออกตัวสะดุด หายเป็นปริดทิ้ง อัตราการกินแก็ส เหลือ 1.1 บาท คันเร่งเบาวิว เหมือนน้ำมัน

ของเก่า เป็น EMME ECU-07 + TAP AEB 501N ใครอยากได้ บอกมาเลย

 แก้ไขเมื่อ : 12/8/2557 21:43:51

 แก้ไขเมื่อ : 12/8/2557 22:23:52





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tonpai753 จาก ต้นไผ่ อังคาร, 12/8/2557 เวลา : 21:41  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38382

คำตอบที่ 170
       จาก ต้นไผ่ แบบนี้เราก็ไม่เจอสาเหตุของชุด Emme ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ฟังดูน่ากลัวว่าเจอปัญหาของชุดนี้แล้ว จบการแก้ปัญหาไม่ได้ต้องเปลี่ยนใหม่ดีกว่า หรือคุ้มกว่าที่จะไปแก้ปัญหา ถ้าเป็นแบบนี้ชุดแก๊ส Emme คงต้องเลิกใช้สำหรับผู้ที่เคยติดตั้งยี่ห้อนี้มาแล้ว


*************************************************************************

มีเรื่องกระทู้แนะนำของสมาชิกท่านนึง
วันจันทร์ 11 ตอนกลางคืนท่านนึง 085-1211556 สตาร์ทรถไม่ได้วิ่งมาก็ดับไป ผมเลยให้ลองไล่สายไฟตัดปั๊มติ๊กดู ตรงกล่องรีเลย์ ปรากฎว่าไม่ติดอีก เลยให้ลองสตาร์ทด้วยแก๊สก็ไม่ติดอีก ทีนี้ก็ต้องลองพ่วงแบตปรากฎว่าไม่ติด รถคันนี้ติดแก๊สมาจากอู่อาจารย์รุ่ง ปากน้ำบางคล้า มันก็ง่ายในการบอกทางโทรศัพท์เขาก็เลยโทรไปถามอาจาร์ยรุ่งซึ่งก็ได้แนะนำอย่างผมแต่พอไม่ติดอาจารย์รุ่งเลยให้ถอดสายไฟกล่องรีเลย์ปั๊มติ๊กมาต่อตรงก็สตาร์ทติดได้ วันนี้จะเข้าไปอู่อาจารย์รุ่งเพื่อเปลี่ยนกล่องรีเลย์ปั๊มติ๊กใหม่ให้ฟรี
สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. ผมยืนยันเสมอว่าถ้าติดแก๊สต้องตัดปั๊มติ๊กรถยนต์ทุกครั้ง ทุกคัน ไม่งั้นไม่น่าติดแก๊ส รถที่เจอปัญหาสำหรับการไม่ตัดปั๊มติ๊กมีเป็น ร้อยเป็นพันคัน แต่รถที่เจอปัญหาสำหรับผู้ที่ตัดปั๊มติ๊กมี 2 คัน คือรถเพื่อนเราตอนที่เราก่อนเข้าไปทุ่งใหญ่นเรศวรครั้งแรกขารีเลย์หลวมขยับใหม่ก็หาย กับคันนี้ น่าจะกล่องรีเลย์เสียถอดสายมาต่อตรงก็จบเลย เพราะฉะนั้นท่านต้อเลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน คือฝั่งแรกไม่ตัดปั๊มติ๊กที่รถมีปัญหามากมีเป็นร้อยร้อยคัน กับฝั่งที่ 2 ที่ตัดปั๊มติ๊กรถมีปัญหา 2 คันหรืออาจมากกว่านี้ คือถ้าเป็นผมผมไม่พร้อมจะเสี่ยงหรือถ้าจะเสี่ยงก็ต่ำที่สุดคือผมยืนฝั่งที่ 2 ตัดปั๊มติ๊กและเลือกเติมเบนซิน 95 ลิตรล่ะ 48 บาท ตัดปัญหาในอนาคตทั้งหมดออกไป

2. ท่านติดแก๊สไม่ว่าจากที่ไหนมาให้ทดสอบการสตาร์ทด้วยแก๊ส ว่าระบบใช้งานได้หรือเปล่า ต้องลองเทสต์ดูทั้งเครื่องร้อนและเครื่องเย็น ปี 1 ลองเทสต์ระบบซักคร้งนึงด้วยตัวเอง ศึกษาวิธีการสตาร์ทแก๊สดูบ้างจะได้รู้ว่าทำงานปกติหรือเปล่า เพราะมันง่ายที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาจากอาการรถสตาร์ทไม่ติดได้หรือช่วยเรายามฉุกเฉินได้ สามารถแยกอาการปัญหาจากระบบน้ำมันและแก๊สให้ออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด อย่างท่านนี้ผมให้ลองสตาร์ทแก๊สแล้วไม่ติด ทำให้ไม่สามารถเดาได้ว่าระบบน้ำมันเสียหายหรือไม่ทั้งที่จริงเป็นแค่ระบบน้ำมันเสียหาย สตาร์ทแก๊สก็น่าจะแก้ปัญหาออกไปได้แล้วแท้แท้ ยังไงก็ลองทดสอบระบบของรถยนต์ท่านเองปีล่ะ 1 - 2 ครั้ง เอาไว้เผื่อยามฉุกเฉิน

3. ที่บอกกำลังไฟแบตเตอรี่ ผมเตือนเสมอควรมีติดรถไว้ เราจะได้รู้ว่าแบตหรือไดชาร์จเรามีปัญหา หรือไม่ เพราะถ้าเคสนี้เรารู้แล้วว่าแบตเตอรี่และไดชาร์จไม่มีปัญหาทำงานปกติก็ไม่ต้องเสียเวลาหารถมาพ่วงแบตเตอรี่อีก ตัวบอกไฟแบตเตอรี่ในรถยนต์เราสำคัญมากจำเป็นต้องมีติดรถไว้ ทุกคัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 13/8/2557 เวลา : 08:35  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38384

คำตอบที่ 171
       มีเคสน่าสนใจเกี่ยวกับผู้ใช้รถ ดังต่อไปนี้

- รถยนต์อย่างเชฟโรเลตนั้น บริษัทประกันตีทุนประกันภัยไว้ไม่สูงมากนัก คือให้ทุนต่ำ แต่เบี้ยจะเล่นไว้สูงมากเป็นกลยุทธอย่างนึงของบริษัทประกันภัยกับรถแบบนี้ ถ้ารถยนต์ของท่านมีปัญหาเกิดอุบัติเหตุหนักข้อมูลการเบิกอะไหล่นั้นน่าตกใจทีเดียว คืออะไหล่แพงมาก ถ้าเอาคิดรวมกันเฉพาะค่าอะไหล่จะพบว่าราคาค่าซ่อมเฉพาะค่าอะไหล่อย่างเดียว จะใกล้เคียงราคาทุนประกันแล้ว + กับทุนประกันที่บริษัททำไว้กับรถยี่ห้อนี้ต่ำ บริษัทประกันภัยจึงเลือกที่จะจ่าย 80% ของทุนประกันภัยเพื่อให้เจ้าของรถและบริษัทประกันภัยแยกทางกันด้วยดี บริษัทประกันภัยไม่อยากซ่อม เพราะปัญหาอะไหล่แพง ซ่อมยาก รออะไหล่นาน อู่ก็ไม่อยากซ่อม เพราะซ่อมอาจไม่จบ เป็นกลยุทธอย่างนึงของบริษัทประกันภัยที่ทำกับรถยี่ห้อนี้ คนเป็นเจ้าของรถที่ใช้รถยี่ห้อนี้ก็เจ็บปวดตั้งแต่ซื้อมายันขายออกล่ะครับ วันสาทรจีนที่ผ่านมาเอาแค่ผมกลับบ้านฉะเชิงเทราเส้นทางเดียว ผมเจอรถยกขึ้นไสลด์รถยี่ห้อเชฟโรเลตถึง 2 คันเป็นรถ Optra และ Zafira คำขวัญว่ารถยี่ห้อนี้ :ขวัญใจรถยก: ' ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริง ๆ เชฟโรเลตประเทศไทยถ้ายังไปปรับราคาอะไหล่ให้ลดลงถูกกว่าเจ้าคลาดคงอยู่ในไทยอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ

- รถอีโคคาร์ทั้งหลาย ราคารถยนต์ไม่แพงเท่าไหร่ แถมโปรโมชั่นกันแหลก แต่สิ่งที่แอบแฝงในนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าคืออะไร
--------- บริษัทรถยนต์ได้ ลดต้นทุนการผลิตในรถพวกนี้ลง ถึงแม้จะมีบางคนตั้งคำพูดไว้สวยหรู แต่ที่จริงรถแบบนี้ในบ้านเราถือเป็นรถราคาประหยัดและลดต้นทุนทุกอย่างลงไปเท่านั้นเพื่อให้ทำราคาขายได้ นอกจาก Option ที่ทุกคนเห็น หลายสิ่งหลายอย่างไม่มีในงานมาตรฐานการชุบตัวถังหรือพ่นสี การบุเก็บเสียง
-------- บริษัทประกันภัยทำคล้าย ๆ กับรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลตแต่เบี้ยประกันจะไม่แพงกว่าเชฟ แต่ได้ถูกปรับขึ้นมาแล้ว 10-15% สำหรับรถอีโคคาร์ เพราะราคาค่าซ่อมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ ค่าอะไหล่แพงมากกว่ารถรุ่นตลาด ต่อให้รถที่ท่านซื้อมาเป็นยี่ห้อตลาดแตราคาอะไหล่จะถูก + ขึ้นมาแพงกว่ารถในเซกเม้นอื่น ๆ มาก ทั้งที่คุณภาพต่ำลงเยอะ ก็ถือเป็นกลเม็ดของบริษัทรถยนต์ในประเทศไทยที่กดราคารถยนต์ลงแต่ บวกค่าอะไหล่ไว้แพง อีโคคาร์อาจไม่ใช่หนทางสดใสในประเทศไทยเท่าไหร่นักเพราะคนไทยไม่ชอบรถที่มี Cost down ต่ำเกินไปและรถที่อะไหล่แพงเกินไป อนาคตจะหายไปจากตลาด ซึ่งเช่นเดียวกัรถ Hybrid อย่าง TOYOTA Prius หรือ Camry ซึ่งกำลังจะหายไปจากตลาดในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิงเพราะปัญหาค่าซ่อมที่อะไหล่นั้นแพงเอาอย่างมาก ๆ โดยที่ยังไม่ได้รวมค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่กับ Inverter อีกเป็นแสน เจ้าของรถส่วนใหญ่ก็ถอดใจขายทิ้งกันหมดแล้ว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 13/8/2557 เวลา : 09:08  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38385

คำตอบที่ 172
       ปัญหาคือ ผมเจอเจ้าของรถที่ติดแก็ส หลายคันมาก ที่ไม่รู้วิธีสตาร์ทรถด้วยแก็ส ว่าต้องทำอย่างไร มันสตาร์ทด้วยแก็สได้ด้วยหรอ ประมาณนี้
และ อีกส่วนมากจะเป็นพวกที่ใช้แก็สซะเพลินจนลืมเติมน้ำมัน พอน้ำมันหมด รถสตาร์ทไม่ติด และก็สตาร์ทรถด้วยแก็สไม่เป็น



น้าต้นไผ่ บอกวิธีให้ด้วยครับ ยอมรับ ว่า ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เป็น แก๊ส BRC แต่ก็รู้ว่ามันทำได้
จาก : phanup10(phanup10) 20/8/2557 8:14:41 [1.47.71.88]
BRC สตาร์ทแก็สไม่ได้ครับ
จาก : Auto.(Auto.) 27/8/2557 15:37:57 [202.80.239.130]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tonpai753 จาก ต้นไผ่ 202.29.212.11 พุธ, 13/8/2557 เวลา : 09:13  IP : 202.29.212.11   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38387

คำตอบที่ 173
       จากที่ได้คุยกับทางช่างแชมป์ ที่เคยเป็นตัวแทนจำหน่ายและ ติดตั้งแก็สยี้ห้อ EMME มาก่อน ได้ความว่า ในสมัยนั้น (พ.ศ. 2553) ชุดแก็ส EMME เป็นชุดแก็สที่มีคุณภาพดี ระดับต้น ๆ ของเมืองไทย และชุด EMME ECU-07 ก็เป็นรุ่นตัว TOP สุดในขณะนั้น ซึ่งรุ่น ECU-07 เอง ก็เป็นรุ่นสุดท้ายที่ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในไทย และปัจจุบันก็เหลือตัวแทนจำหน่ายเพืยงรายเดียวในประเทศไทยนั่นคือ "สแกนอินเตอร์" และตัว software ก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้ว ซึ่งจุดอ่อนหลัก ๆ ของชุดแก็ส ยี้ห้อ นี้ คือหัวฉีด และหม้อต้ม ที่เมื่อรถที่ใช้แก็สมาเกินแสนโล แล้วจะต้องเจอทุกราย หม้อต้มไม่มีชุดซ่อม หัวฉีด คาริเบทแล้วเดี๋ยวก็เป็นอีก และก็ไม่มีจำหน่ายทั่วไป ซึ่งหัวฉีดที่จะนำมาแทนกันได้คือ valtek 3 ohm ที่จะสามารถใช้กับชุดนี้ได้ ซึ่งตัวผมเองได้ได้ลองหายืมมาเปลี่ยน กับเจ้าโก้ ของผมแล้ว ก็ยังไม่หาย นั่นหมายความว่า งานนี้หม้อต้มไปด้วย แน่นอน ซึ่งถ้าเปลี่ยน 2 อย่างนี้ ราคาจะไปจบอยู่ที่ หมื่นกลาง ๆ และด้วยที่บอกข้างต้นว่าตัว software ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้ว ทำให้ไม่มีการปรับปรุง แก้ไข ปรับปรุง ชดเชย อะไรต่าง ๆ นา นา ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องฟังชั่นการตอบสนอง ขณะเหยียบคันเร่ง ตัว ecu เองก็ไม่มีการชดเชย ในด้านนี้ ในขณะที่ รุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบัน มีหมดทุกยี้ห้อ จึงได้ความว่า ถ้าเปลี่ยน ชุดใหม่เลย เป็นขอ AC รุ่นต่อจากรุ่นประหยัด สนนราคาจะอยู่ที่ 29000 บาท ผมก็เลย ขอเวลารวบรวมทุนทรัพย์อยู่ 2-3 เดือน แต่ด้วยขณะนั้น นึกสงสัย ว่าถ้าใช้หัวฉีดเก่า แต่เปลี่ยนหม้อต้มใหม่อาการจะหายไหม เพราะอาการเหมือนแรงดันไม่พอ ขณะเร่งเครื่อง ก็เลยคิดว่าลองเปลี่ยนหม้อต้มก่อน ถ้าเปลี่ยนแล้วไม่หาย เราก็เอาหม้อต้มตัวที่พึ่งเปลี่ยน ไปใช้กับชุดแก็สชุดใหม่ได้ ก็เลยจัดซะ หม้อต้ม โทมาเซสโต้ at12 ngv ที่เป็นยี้ห้อตลาด ทน และมีซ่อมขายอยู่ทั่วไป พอเปลี่ยนเสร็จ อาการก็ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่หายสนิท ก็เป็นตามแผนที่วางไว้ คือรอเปลี่ยนส่วนหน้ายกชุด แต่ด้วยตัวผมเอง ศึกษาเรื่องแก็สมาพอสมควร ก็เลยคิดว่า หาชุดแก็ส มือ 2 ที่เขาถอดขายดีกว่า น่าจะประหยัดไปหลายบาท แล้วค่อยมาเอาหัวฉีดมือ 1 ใส่ ซึ่งระบบแก็สระหว่าง LPG กับ NGV สำหรับส่วนหน้านั้นแตกต่างกันอยู่ตัวเดียวคือ หม้อต้ม นอกนั้นใช้แบบเดียวกับ LPG ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ตั้งเป้าลยว่า ชุดแก็ส ที่เราจะเปลี่ยน จะต้องเป็น ยี้ห้อ ตลาด และต้องมีการพัฒนาอยู่ ตลอด ในประเทศไทยมีตัวแทนเยอะ หลังการขายดี เพื่อที่เวลามีปัญหา จะได้แก้ไม่ยาก และยิ่งเป็นชุดแก็สรุ่น ท๊อป ยิ่งดี เพราะบางอย่าง มีเวลาจำเป็นต้องใช้ ดีกว่าเวลาจำเป็นต้องใช้แล้วไม่มี ก็เลยเป็นที่มาของการ รวบรวมชุดแก็ส มือ 2 ออกมาเป็นความคิดที่กระทู้ ด้านบน ที่ได้ติดชุดแก็สรุ่น รองท๊อป ในราคามือ 2 ที่ประหยัดกว่า มือหนึ่งไปเป็นหมื่น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tonpai753 จาก ต้นไผ่ 202.29.212.11 พุธ, 13/8/2557 เวลา : 10:07  IP : 202.29.212.11   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38389

คำตอบที่ 174
       เมื่อวานนี้เกิดเหตุน้ำท่วม กทม บางจุด รถติดวินาศที่ติดไม่ใช่อะไรนะครับ เครื่องดับ รถตายกลางถนนกันเป็นจำนวนมาก ผมเสนอแนะไว้อย่างนึง รถผมเวลาเข้าไปลุยป่าข้ามลำธารนี่ผมไม่กลัวเลยนะครับ โดยเฉพาะข้ามลำธารนี่สนุกถ้าไม่ลึกเกินไปเกินกว่ารถจะรับได้

แต่รถติดในกทม หรือน้ำท่วมแบบสำโรงบางนายาวไปจนถึงปากน้ำสมุทรปราการแบบนี้ ไม่ดีเอาเลย และไม่สนุกแน่นอน คนที่บอกไม่กล้าเอารถไปลุยออฟโรดกลัวเครื่องพัง กลัวน้ำเข้า กลัวช่วงล่างพัง ผมจะบอกว่าถ้าคุณเจอเรื่องแบบนี้เด็ก ๆ ไปเลย เพราะรถมันไม่ได้เป็นอะไรหรอก
แต่รถใช้ในเมืองการสึกหรอจะสูงกว่าทั้งช่วงล่างและเครื่องยนต์ ถ้าไปเจอการลุยน้ำท่วมหนัก ๆ แบบนี้ในกทม มันไม่เหมือนการไปลุยข้ามลำธารในป่าแบบออฟโรดเพราะลุยจากน้ำไม่เกิน 5 นาทีก็ขับขึ้นมาแล้ว ช่วงล่างหรือรถมันไม่เป็นอะไร แต่ถ้าลุยน้ำท่วมกทม ช่วงล่างมันมีโอกาสเสียหายสูงมากจากน้ำเข้าระบบเบรค เกียร์ คลัทซ์ เฟืองท้าย ลูกปืนล้อ เซนเซอร์ต่าง ๆ พาลจะเสียแม้ว่าจะเป็นรถดีเซลก็ตามแต่มันเป็นคอมมอนเรลมีเซนเซอร์ อีกทั้งรถมันถูกแช่น้ำนาน ๆ ต่อให้รถคุณสูงก็ตาม น้ำมันจะเข้าภายในซีลต่าง ๆ ทำให้เสียหายโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งน้ำจะเข้าไปแฉะที่พรมหรือตามซอกรถต่างๆ ทำให้สนิมขึ้นได้โดยง่าย อย่าชะล่าใจแม้ว่าจะซื้อกันเป็นเก่งยกสูงอย่างรถกะเทย CRV JUKE ก็ตาม
โชคดีเมื่อวานนี้ผมไม่ได้มีบ้านอยู่ปากน้ำ เลยไมได้ไปลุยกับเขาไม่งั้นต้องจัดการรถกันเป็นการใหญ่


ผมยกตัวอย่างในภาพ ที่เราชอบไปลุยออฟโรดกัน แบบนี้คือมันขำขำ รถมันไม่ได้เป็นอะไร กระแทกน้ำออกหรือรถวิ่งดันน้ำออกก็จบ คือรถไปลุยออฟโรดได้สบายมาก
แต่ไปวิ่งลุยน้ำท่วมในกทม มันคนล่ะกรณีกัน มันแช่น้ำซึ่งน้ำมันปะทะทุกด้านเข้ามาจากรถวิ่ง ยังไงมันก็สร้างความเสียหายให้กับรถอย่างมาก ยิ่งฝ่ากระแสน้ำเป็นชั่วโมงแบบนั้นอะไรจะเหลือ ถ้าไม่ได้มีกิจธุระจำเป็นต้องกลับบ้านถึงขนาดนั้น รบกวนโทรบอกคนที่บ้าน แล้วเปิดโรงแรมนอนดีกว่า อย่าขับรถกลับไปเลย สร้างปัญหาและภาระกันบนท้องถนนให้ผู้อื่นเพิ่มมากเข้าไปอีก เมื่อวานนี้ ตี 3 นะครับ กว่าจะกลับถึงบ้านกันแล้วกลับมาทำงานกันต่อ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่เอารถไปลุย กทม แบบนี้หรอก รถพังเปล่า ๆ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 27/8/2557 เวลา : 16:00  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38499

คำตอบที่ 175
       ดินหนังหมูขากลับ รถคุณออโต้เพลิดเพลินกับการสไลด์ ในทริปไปบ้านขนุนคลี่ กาญจนบุรี
http://youtu.be/wBJcw8hLazA
by จาก TaKa_vvti

***************************************************

พอดีที่คุณTaKa_vvti เอาลงไว้มันมีประโยชน์ดีก็เลยนำมาแชร์ให้ดู เพราะมีสมาชิกรุ่นเก่าเราบางท่านก็เคยจะเปลี่ยนไปเล่นรถยกสูงขับ 2wd หรือคนที่เข้ามาใหม่ ๆในเวปนี้ อยากจะเล่นรถยกสูง 2wd ผมเคยพูดเสมอว่ารถยกสูงประเภทนี้ไม่ว่ารถอะไรก็ตามถ้าเป็น 2wd การทรงตัวมันจะไม่ดี จุดศูนย์ถ่วงมันอยู่สูงกว่ารถทั่วไป น้ำหนักรถก็มากกว่า ล้อก็ใหญ่กว่า ต่อให้ท่านมีระบบ VSC TRC เข้ามาในรถแบบนี้การทำงานมันก็ไม่เสถียร สู้ระบบ 4wd ไม่ได้อยู่ดี คือถ้าจะมีมันต้องมี 4wd + เข้ามาด้วยแล้วจึงตามด้วยระบบช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จัดมาให้จึงจะสมบูรณ์

รถผมที่เห็นนั้นผมขับนั้นไม่ได้ใช้ เกียร์ 4wd อะไรเลยทั้งไปและกลับเนื่องจากเส้นทางมันง่าย ก็เลยเล่นสนุกเท่านั้น ถ้ามันติดหล่มก้ติดไปเพราะรถผมมีอาวุธพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่คนอื่นเค้าจะเข้าเกียร์ 4wd ( เพื่อเซฟเอาไว้ก่อนทุกคัน)
รถถึงแม้จะเป็น 4wd fulltime แต่ถึงขนาดนี้แล้วจะเห็นว่ามันคุมรถไม่อยู่จริง ๆ ไม่ประมาท ไม่ใช้ความเร็วสูงก็เอารถไม่อยู่ เพราะทางมันลื่น
ถ้าเป็น ISUZU Dmax Hilander คันในภาพจะเป็น 2wd ถึงแม้จะใส่ยาง Mud และ AT เข้ามายังสไลด์ลงข้างทาง ทั้งที่ทุกคันที่เป็นรถ 2wd เขาพยายามระวังกันแล้ว แต่มันก็เอารถไม่อยู่จริง ๆ


ลองคิดกลับไป ถ้าขับรถบนถนนปกติมาด้วยความเร็วอะไรจะเกิดขึ้น ก็ลองนึกภาพออกใช่ไหมว่ามีโอกาสจะลงข้างทางง่ายมาก ถึงแม้จะเป็นรถ 4wd fulltime เพราะรถพวกนี้มันสูงการควบคุมรถใหญ่ยิ่งลำบากถึงแม้จะใช้ความเร็วต่ำและไม่ประมาทก็ตาม ถ้าเป็นรถยกสูงแต่ขับ 2 ล้อ พวก Prerunner Plus Hilander แทบจะเลิกพูดได้เลย ว่าโอกาสมันจะลงข้างทางมันง่ายมากถ้าเจอถนนลื่น เพราะรถมันพร้อมจะเสียการทรงตัวตลอดเวลา ยังไงรถพวกนี้ก็สู้รถที่สูงแสตนดาร์ดไม่ได้ ถ้าจะซื้อรถมาใช้งานซื้อตัวเตี้ยๆ ก็เพียงพอ อยากซื้อรถครอบครัว 7 ที่นั่ง ไปหาซื้อรถพวก Space wagon Wish Innova ตัวเตี้ย ๆ ก็เพียงพอ จะซื้อปิคอัพมาใช้งานก็ซื้อตัวเตี้ย ๆ แสตนดาร์ดก็เหลือเกินพอกับการใช้งานแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อรถยกสูง 2wd ให้สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น พฤติกรรมการซื้อรถยกสูง 2wd ที่ระบาดอยู่ในบ้านเรามาหลายปีมานี้ เพราะความเท่ห์ อยากได้รถใหญ่ ๆ สูง ๆ แต่ไม่เอา 4wd เพราะอ้างว่าตัวเองไม่ใช้งาน มันทำให้สมรรถนะการขับขี่ลดลงด้อยประสิทธิภาพลงไปและจะเกิดอันตรายกับตนเองและคนอื่นได้ง่าย
จริงอยู่รถยกสูง 2wd ขับบนถนนได้จริงถ้าตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท แต่ที่เกิดอุบัติเหตุกัน มีหลายคนใช่ไหมที่บอกว่าตนเองก็ไม่ได้อยู่ในความไม่ประมาท ถ้าซื้อรถแล้วต้องมาขับเกร็งกันขนาดนั้นหรือระวังกันขนาดนั้น มันมีความสุขตรงไหน
สมาชิกเรารุ่นเก่าท่านนึง ที่ขับแค่วีโก้ 4wd เคยถามถึงเรื่องซ่อมระบบเฟืองท้าย LSD ผมถามเค้าว่าพี่จะซ่อมทำไมในเมื่อพี่ก็ไม่ได้ไปลุยอะไรที่ไหน ถ้ามันพังก็ใช้งานเหมือนรถ 2wd ทั่วไปก็ได้ เขาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าช่วงจังหวะเขาแซง 10 ล้อขึ้นมาด้วยความเร็วสูง รถเกิดแฉลบกระทันหันจะหมุนขวางถนนแต่เฟืองท้าย LSD มันดึงไว้ได้ ( เฟืองท้าย LSD ขับป้องกันการการหมุนฟรี ) รถเลยไม่พุ่งลงข้างทาง จังหวะนั้นนึกถึงหน้าครอบครัวแล้ว คิดว่าชีวิตเขาไปแน่ ๆ แต่รถมันดึงกลับมาได้ เขาเลยคิดว่ายังไงก็จะไม่ไปซื้อรถ ยกสูง 2wd เข้ามาใช้งานอย่างเด็ดขาด เขาบอกว่าถ้าตอนนั้นเขาขับรถพวกยกสูง Prerunner คงลงข้างถนนไปแล้ว ส่วนรถวีโก้ 4wd เขาพร้อมจะซ่อมอยากตรวจดูความเสียหาย เพราะมันได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในครั้งนั้น ถ้ารักจะซื้อรถยกสูงประเภทนี้ให้ซื้อรถ 4wd ไว้ดีกว่ามันก็ออกแบบมาแบบนี้อยู่แล้วเพราะเมืองนอกก็แทบไม่มีใครซื้อรถยกสูง 2wd แบบบ้านเรา ถ้าเค้าจะซื้อเขาก็ซื้อ 4x4 ถ้าไม่คิดว่าจะไปใช้งานอะไรที่ไหนท่านหาซื้อรถตัวเตี้ยๆ มันก็เหลือเฟือกับความจำเป็นในชีวิตท่านกันอยู่แล้ว อย่าอ้างว่าซื้อรถยกสูงเพื่อหนีน้ำ เพราะปีนึงท่านจะหนีน้ำกันซักกี่หน แค่รถแสตนดาร์ดก็พอใช้งานประจำวันกับชีวิตแล้ว ทุกท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเพราะเงินของท่าน ชีวิตของท่านถ้าไม่คิดว่าทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นพอ








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto ศุกร์, 5/9/2557 เวลา : 14:12  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38845

คำตอบที่ 176
       ในทริปไปกาญ เข้าไปโรงเรียนขนุนคลี่ อู่ล่อง ผมใช้ 4wd ตรงจุดนี้เพียงจุดเดียวเท่านั้น และไม่คิดว่าทริปนี้ถึงกับต้องเปิด Diff lock ไฟฟ้าใช้งาน เนื่องจากพอดีเห็นรถคันหน้าผม Ford New ranger สีส้ม 3.2 Wildtrack วิ่งลงเนินไปก่อนจะไปปัดขวางลำ ภาพเสียวมันออกมาก่อนทำให้หัวใจหล่นไปทันที นึกถึงคนข้างหลังเรา ขนาดรถคันนี้เป็นตัว 3.2 4x4 ตัวTop สุดแล้วนะครับ ระยะฐานล้อก็กว้างว่าปิคอัพคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน เจ้าของรถเปิดระบบช่วยในการขับขี่สำหรับการลงเนินมาเรียบร้อย แต่ก็เกือบคุมรถไม่ได้ 2 ข้างทางเป็นธารน้ำไหลผ่าน ถ้ารถร่วงลงไปละก็งามไส้แน่ รถผมไม่มีกล้องติดหน้ารถเลยไม่ได้บันทึกภาพมาให้ดู มอไซด์หลบข้างทางกันหมดเพราะรถทุกคันสไลด์เข้าหามอไซด์ ถ้าเป็นรถ Ford ปกติ จะไม่มี Option ช่วยในการลงเขา ถ้าซื้อซื้อตัว Top 3.2 4x4 แบบนี้สบายใจกว่า

เราไม่ใช่ยอดกระบี่ การใช้อาวุธที่มีใช้จึงต้องเต็มพิกัด + ทักษะก็ผ่านได้เรียบร้อย ว.แดงบอกวิธีคนข้างหลังทำตามก็เป็นอย่างที่ VDO คุณTaKa_vvti บันทึกให้ดูนั่นแหละ ลงและขึ้นมาได้อย่างเนียน ๆ ไม่เสียวแต่อย่างใด กลายเป็นหนังคนล่ะม้วนไปเลย

2.7 Exclusive Difflock เดินขึ้นเนินเนียนๆ
http://youtu.be/uCXmcCYpkLo
by จาก TaKa_vvti







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto ศุกร์, 5/9/2557 เวลา : 14:39  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38853

คำตอบที่ 177
       ยืมภาพมาจาก WEEKEND ISUZU RODEO ที่ต้องพันโซ่ทั้ง 4 ล้อ ภาพบางภาพบางทีมันก็บอกเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
คนบางคนก็ยังใช้ชีวิตประจำวันในการทำงานและสนุกไปพร้อมๆ กันกับมัน
http://www.weekendhobby.com/offroad/ISUZU/question.asp?page=6&id=10496





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto จันทร์, 8/9/2557 เวลา : 13:43  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38926

คำตอบที่ 178
       ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องรถอย่างเดียว
ขบวนรถ Hilux ไม่แน่ใจว่าเป็น Hilux 2.7 4x4 อย่างเดียวเลยหรือเปล่า เนื่องจากไม่มี Scoop ดักลม เพราะแถบตะวันออกกลางรถทั่วไปจะเน้นไปที่รุ่น Hilux 2.7 4x4 เป็นหลัก เนื่องจากต้องการเน้นที่การใช้งานทนทานอย่างเดียวไม่จุกจิกและราคาไม่แพง ดูแล้วอลังการงานสร้างอย่างมาก






4.0L V6 ก็ไม่มีสคูปด้วยครับ
จาก : Aod SRT(Aod SRT) 13/9/2557 6:04:23 [49.0.98.13]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto ศุกร์, 12/9/2557 เวลา : 14:56  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38983

คำตอบที่ 179
       มีโอกาสเติม v power nitro+ e10 95 เต็มถัง (ในรอบ 4 ปี)
วิ่ง 100-120 ครึ่งถังวิ่งได้กว่า 300 กม.
ถือว่าเครื่องยังโอเคเลย ทั้งๆ ที่วิ่งมากว่า 140000 กม. แล้ว
เลือกไม่ผิดครับ สำหรับ 2.7



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Aod SRT จาก Aod SRT 49.0.98.112 ศุกร์, 12/9/2557 เวลา : 21:55  IP : 49.0.98.112   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38986

คำตอบที่ 180
       ตั้งแต่ออกมือ 2 มา ผมยังไม่เคยเติมเต็มถังเลย สูงสุดแค่ 3 ขีด มากกว่านั้นไม่มีตังค์เติม



ผมก็อาศัยว่าเบิกค่าน้ำมันได้ เลยจัดเต็มถังครับ ปกติวิ่งแต่แก๊ส
จาก : Aod SRT(Aod SRT) 13/9/2557 6:00:35 [49.0.98.13]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

tonpai753 จาก ต้นไผ่ 61.7.173.56 ศุกร์, 12/9/2557 เวลา : 23:16  IP : 61.7.173.56   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 38987

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 6 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,25 ธันวาคม 2567 (Online 2211 คน)