จาก Auto
IP:61.90.149.126
อังคารที่ , 8/7/2551
เวลา : 10:04
อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
 แจ้งลบ
 ส่งหาเพื่อน
|
http://www.etoyotaclub.net/applications/AskGuru/AskGuru_Article_Detail.aspx?Article_id=5
การยืดอายุการใช้งานเกียร์ออโต้ (ตอนที่ 1 น้ำมันเกียร์)
อยากให้เกียร์ออโต้เสียหายช้าๆ ทำอย่างไร?
หากเกียร์ออโต้เสียแต่ละครั้ง บางท่านถึงกับต้องขายรถไปเลยก็เพราะค่าเปลี่ยนเกียร์ทั้งลูก นั้นแพงเกินกว่าราคารถ แม้แต่ราคาค่าซ่อมก็แพงกว่าค่าซ่อมเครื่องยนต์หลายเท่า อีกทั้งยัง
หาช่างซ่อมเก่งๆ ไม่ได้ ยิ่งในต่างจังหวัดด้วยแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องเอาเข้ามาซ่อมในเมือง สรุปแล้วเรื่องของเกียร์ออโต้เสียกลายเป็นปัญหาที่ผู้ใช้กลัวที่สุด
จะทำอย่างไรไม่ให้เกียร์เสียหายเร็วในคู่มือของรถแต่ละรุ่นมักจะบอกอายุการใช้งานที่ยาวนาน เช่น การถ่ายน้ำมันเกียร์บางรุ่นจะให้เอาไว้ หลายๆ หมื่นกิโลเมตร ในบางรุ่นอาจจะบอกว่าใช้ได้ตลอดไปเลยโดยไม่ต้องถ่าย ก็ไม่รู้จะตลอดไปกี่ปีกี่เดือน ก็ขอให้ได้เข้าใจในเรื่องของ น้ำมันเกียร์กันเลยว่า สาเหตุที่เกียร์เสีย น้ำมันเกียร์จะมีส่วนอยู่มากที่สุด ภายในตัวเกียร์ทั้งลูกจะมีน้ำมันอยู่ภายในจำนวนมากตั้งแต่ 7-8 ลิตร ขึ้นไป แต่ทำไมเวลาถ่ายน้ำมัน เกียร์น้ำมันจะออกมาได้แค่ 3-4 ลิตร ที่เหลือออกไม่ได้นั้น แน่นอนก็จะต้องไปเจือจางกับน้ำมันใหม่ที่ใส่เข้า ไป และความเข้าใจก็จะคิดว่า ถ่ายน้ำมันเกียร์ไปแล้วก็จะใช้ได้ต่อไปอีกหลายหมื่นกิโลฯ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดๆ เบื้องต้นน้ำมัน จำนวนมากจะอยู่ได้นาน เช่น 6 หมื่นกิโลเมตร แต่เมื่อถ่ายน้ำมันเกียร์ไปแล้วอายุน้ำมันจะสั้นลงทันที สั้นลงกว่าเครื่องของครั้งแรก ก็เพราะว่า น้ำมันที่ใส่ลงไปนั้นมีเพียงครึ่งหรือไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด น้ำมันที่เสียไปก็จะไปผสมกับน้ำมันที่มีอยู่เดิม ตรงนี้เรียกว่าเจือจาง เมื่อน้ำมันเจือ จาง อายุน้ำมันจะสิ้นลง หากถ่ายครั้งแรกไปแล้ว ครั้งที่ 2 ก็จะต้องถ่ายเร็วกว่าอีกเท่าตัว และถ้าใช้เท่าครั้งแรกเกียร์จะเสียไปก่อนแล้ว ก่อนที่ จะถึงเวลาถ่ายครั้งที่ 3
จากเรื่องของน้ำมันเกียร์ที่เป็นสาเหตุมากที่สุด จากนี้มาดูว่าน้ำมัน เกียร์เสียหายได้เร็วอย่างไรบ้างในการวิ่ง ในเขตที่การจราจรติด ขัดจะต้องออกรถบ่อยๆ ต้องหยุดรถบ่อย และเวลาหยุดรถก็มักจะ เหยียบเบรคเอาไว้ ตรงนี้เองน้ำมันเกียร์จะร้อนมาก สาเหตุที่ร้อนก็
เพราะกลไกภายในเกิดการเสียดสี น้ำมันเกียร์ร้อนก็จะไหลเวียน ไประบายความร้อนที่หม้อน้ำ น้ำก็จะร้อนไปท้าย พัดลมก็จะทำ งานมากขึ้น การชดเชยรอบเครื่องก็มาก มากเพราะต้องชดเชยให้
กับระบบแอร์ และระบบเกียร์ที่เราต้องเบรคเอาไว้ทั้งหมดนี้ มีผล ทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วมาก และถ้าเราไม่รู้เลยว่าน้ำมัน เกียร์เสื่อมสภาพจะดูอย่างไร ท้ายสุดเกียร์ก็จะเสียหาย น้ำมัน เกียร์สีขุ่นข้น ดำคล้ำ ไม่มีสีแดงใสเมื่อไหร่นั่นแหละ น้ำมันเกียร์ เสื่อมสภาพไปแล้ว และเมื่อรู้ว่าน้ำมันเกียร์ขุ่นขั้น ดำคล้ำ เมื่อนั้น เกียร์ของเราเสียหายไปแล้วครับน้ำมันเกียร์จะต้องยอมถ่ายก่อนที่
จะดำ จะต้องถ่ายก่อนจะต้องล่นเวลาให้เร็วเข้ามา เช่น 2 หมื่นกิโล
น้ำมันเกียร์จะต้องยอมถ่ายก่อนที่จะดำ จะต้องถ่ายก่อนจะต้องล่นเวลาให้เร็วเข้ามา เช่น 2 หมื่นกิโล ถ้าใช้ในเมือง ผมขอถือว่าช้าไปเลย 15000 กม. ก็เปลี่ยนได้แล้ว สำหรับรถใช้ทางไกลๆ ก็ยืดเวลาออกไปได้อีก เช่น 2-3 หมื่นกิโล ก็ได้ เอาล่ะ ผมสรุปให้ตรงนี้คือรถเก่า แต่ถ้า รถใหม่ๆ บางยี่ห้อจะเชื่อฝนหรือชื่อผม ให้เขาถ่ายแต่เขาไม่ถ่ายให้เพราะไม่ถึงเวลา แต่ถ้าเราอยากจะถ่ายน้ำมันก่อนเวลา ผมว่าศูนย์เขาคงไม่
ขัดข้องหรอก ก็เราต้องการที่จะยืดอายุเกียร์เราก็ต้องยอมเสียเงิน ผมว่าเรามีสิทธิ์ที่จะทำ จากนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าใช้เกียร์อย่างไรให้พังช้า ใน คู่มือการใช้ต้องอ่านนะครับ แต่ถ้าไม่อ่านการใช้ต้องเริ่มทำความเข้าใจเลยว่า ตัวอักษรอะไรมีหน้าที่อย่างไร แล้วถ้าเข้าผิดจะเกิดอะไรขึ้น
การยืดอายุการใช้งานเกียร์ออโต้ (ตอนที่ 2 อักษรแป้นคันโยกเกียร์)
จากที่ทิ้งท้ายเอาไว้ เรื่องของอักษรที่แป้นคันโยกเกียร์ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมือใหม่และก็ซื้อรถมาใช้ ขาดคู่มือและอาจรู้ผิดวิธี
การขับรถเกียร์ออโต้ จะต้องใช้เท้าขวาข้างเดียวเท่านั้น เท้าขวาจะสัมพันธ์ในขณะ ที่เหยียบเบรคแล้วก็ไปเหยียบคันเร่ง เมื่อไม่เหยียบคันเร่งก็ต้องไม่เหยียบเบรค สลับกันเช่นนี้ เท้าซ้ายห้ามยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด ตรงนี้เป็นข้อควรจำง่ายๆ ส่วนที่ แป้นคันโยกในรถทั่วๆ ไป ตัวอักษร P คือเกียร์ที่ใช้เวลาจอดรถเพื่อไม่ให้รถ เคลื่อนที่ รถจะหยุดคล้ายๆ กับดึงเบรคมือ แต่ว่าแทนเบรคมือไม่ได้ถ้าจอดอยู่ใน ตัว P แล้ว ก็ควรจะดึงเบรคมือร่วมไปด้วย R เกียร์ถอยหลังเกียร์ถอยหลังนี้ จะ เข้าได้ก็เฉพราะรถต้องหยุดนิ่งๆ โดยเราต้องเหยียบเบรคเอาไว้ จำง่ายๆ ว่า P R รถต้องหยุดนิ่งๆ จากตัว R ถอยหลัง เราจะสามารถผลักมาที่ตัว N ตัว N คือเกียร์ ว่าง รถจะไม่วิ่ง ในขณะที่จะให้รถวิ่งก็จะต้องผลักต่อมาที่ตัว D ในขณะพลิกมาก็จะ
ต้องเหยียบเบรคเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้รถเคลื่อนที่ เมื่อเข้าตัว D แล้ว พอเรายกเท้า
ออกจากแป้นเบรค รถก็จะเคลื่อนทันทีช้าๆ และเมื่อเราเหยียบคันเร่งรถก็จะวิ่งต่อ ไปข้างหน้าตามที่เราจะเหยียบมากหรือเหยียบน้อย จากตรงนี้ ผู้ขับขี่ก็จะขับไปข้าง
หน้าได้ต่อเนื่อง และถ้าจะหยุดรถก็เพียงแค่ยกเท้า จากคันเร่งแล้วมาเหยียบเบรค
ให้รถหยุด เมื่อรถหยุดได้แล้ว เช่น หยุดไฟแดง ถ้าเห็นว่าไฟแดงจะนานเกินไป เราก็ควรจะผลักมาที่เกียร์ว่าง นั่นก็คือผลักมาที่ตัว N นั่นเอง กรณีทางลาดชัน ตัว N เกียร์ว่าง รถจะไหลได้ก็ควรดึงเบรคมือช่วยเอาไว้ และเวลาออกรถก็ทำเหมือนเดิม ดึงเอาเท้ามาเหยียบเบรค แล้วก็ เข้าเกียร์มาตัว D แล้วปลดเบรคมือ แล้วก็ยกเท้ามาเหยียบคันเร่งครับ ผมคิดว่าถ้าจะทดลองทำตามที่บอกตรงนี้ สำหรับมือใหม่หัดขับก็น่าจะ ทดลองดูได้
ในเรื่องของตัวอักษรอื่นๆ ก็ยังจะมีอีกรวมทั้งคำว่าโอเวอร์ไดร์ฟ ผมจะเขียนในฉบับต่อไปไม่อยากให้ยาวมากนัก ก็เพื่อให้จำกันได้ง่ายนั่นเอง ก็ขอปิดท้ายด้วยสุขภาพของเกียร์ว่า ถ้าใช้ทั่วไปก็ใช้ตัวอักษร D เท่านั้น จงอย่าไปยุ่งอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะวัยรุ่นผู้ชายก็มักจะไปยุ่งกับ D3 D2 เพราะต้องการลากรอบเครื่องยนต์เพื่อให้ได้ความเร็วตามต้องการ ตรงนั้นแหละ ที่อาจจะพลาดแล้วทำให้เกียร์เสียหายได้ง่าย เกียร์ออโต้ ถ้าใช้ถูกวิธี มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามเวลาที่เหมาะ เกียร์ก็จะไม่เสีย ยังมีอีกนะครับในเรื่องของ 4 3 2 1 หมายถึงสปีดของเกียร์ที่มีสปีดตาม
ตัวเลย จะต้องใช้ให้ถูกให้เหมาะใช้ตอนไหน ขณะที่รถกำลังวิ่งใช้ได้เลยหรือไม่ ตรงนี้คือคำตอบที่จะเขียนต่อไป รวมถึงคำว่าโอเวอร์ไดร์ฟ และในรถบางรุ่น ตัว S ตัว เขามีเอาไว้ทำไมแล้วจะใช้กันเมื่อใด ก็อย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ
การยืดอายุการใช้งานเกียร์ออโต้ (ตอนที่ 3 การเปลี่ยนเกียร์)
จากที่บอกเอาไว้แล้วว่าตัว D คือเดินหน้า การผลักเป็นแป้นไปที่ตัว D รถก็จะเคลื่อนที่ไปข้าง หน้าตลอดโดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับแป้นคันโยกอีกเลย ตรงนี้แหละครับที่ผมคิดว่า ถ้าจะเข้าใจให้
ถูกก็คงจะเป็นการวิ่งในทางเรียบๆ เท่านั้น แต่ถ้าทางขึ้นเขาลงเขาก็ควรจะรู้ว่าตัวเลขต่อมา
ต่อจากตัว D นั้น อาจเขียนว่า 4 3 2 1 หรือตัว L ความหมายตรงนี้คือ สปีดของเกียร์
ถ้ารถมีห้าสปีด สามสปีด สี่สปีดที่เราจะกำหนดเอง เลข 4 ก็คือ 4 สปีด เลข 3
คือสามสปีดลดสปีดลงมา ตัว L ก็คือคำว่าโลว์ สปีดเดียวเท่านั้น จากตัวเลขที่
ี่ลดถอยลงมาขณะที่รถวิ่งขึ้น - ลงเขา เราใช้ตัว D ได้ต่อเนื่อง แต่ถ้าลงเขา
ตัว D จะทำให้รถเร็วเกินไปจนกลายเป็นเราต้องเหยียบแต่เบรค
ปลดให้ลดช้าลงเราจะสามารถผลักแป้นคันโยกมาที่ 4 หรือ 3 ได้ในขณะ ที่รถวิ่ง ดูตามความเหมาะสมของความเร็วก็แล้วกัน และถ้าลงทางชัน มากๆ อีกทั้งยังลื่นก็ต้องชะลอความเร็วให้ช้ามากๆ แล้วผลักมาที่ 1 ก็ได้ ทางลงเขาพยายามใช้เบรคให้เหมาะและใช้เกียร์ต่ำให้ถูก ส่วนคันเร่ง เวลาลงเขาถ้าใช้เกียร์ต่ำถูกต้องก็ไม่ต้องเหยียบคันเร่งเลย เอาล่ะ และถ้า
ลงมาถึงทางเรียบบ้างแล้ว เราก็ผลักเกียร์กลับมาสู่ตำแหน่งเดิมได้ใน ขณะรถวิ่งเช่นกัน ข้อสำคัญที่แป้นคันโยก เราควรรู้จังหวะในการผลักว่า จังหวะไหนบ้างที่ต้องกดปุ่มผลักให้แม่นๆ อย่าให้เกินอย่าให้ขาด ต้องฝึก และทดลองบ่อยๆ
ต่อจากนี้ผมจะแนะนำปุ่มที่แป้นคันโยกว่าผลักอย่างไร จะนิ่งๆ ติดเครื่อง เหยียบเบรคเอาไว้หรือดึงเบรคมือเอาไว้ด้วยก็ได้แล้วลองทำตาม เริ่มที่ แป้นคันเกียร์อยู่ที่ตัว D ก่อนก็แล้วกัน จะผลักไปที่ถอยหลังไม่ได้ ถ้าไม่ กดปุ่มที่ด้ามเกียร์ ต้องกดปุ่มแล้วก็ผลักไปที่ R และ P กดปุ่มนะครับ เมื่อถึง P แล้วจะผลักมาที่ R ก็ต้องกดปุ่มเช่นกันลองดูครับ หากฝืดก็ไม่ ต้องกลัว ออกแรงนิดหน่อย เพราะล็อคตัว P นี้ อาจล็อกแน่นทำให้ปลด ฝืดไปบ้างเมื่อผลักมาที่ R ถอยหลังแล้ว จากนี้ลองดูว่าถ้าไม่ต้องกดปุ่ม ผลักเฉยๆ มาที่ N เกียร์ว่างจะผลักได้ง่ายๆ และก็ไม่ต้องกดปุ่มเลย จาก นี้เมื่อรู้แล้วว่าจาก R มา N และจาก N มา D ลองดูได้เลยว่า ถ้าไม่ต้อง
กดปุ่มก็จะผลักมาได้เช่นกัน บางรุ่นจะผลักมาได้ถึง 2 ด้วยซ้ำเช่นกันเมื่อผลักมาได้โดยไม่ต้องกดปุ่มแล้ว ถ้าผลักกลับก็ลอง ไม่ต้องกด
ปุ่มถ้าผลักมาได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกดปุ่มทุกครั้ง แต่จะบอกกฎให้เลยว่า D มา N คือการปลดเกียร์ว่าง และ N มา D ไม่ต้อง กดปุ่มใดๆ ที่ต้องจำให้แม่นๆ ก็คือ R และ P นี่แหละ ต้องกดแน่นทบทวนและทดลองต้องเรียนรู้ต้องฝึกแล้วใช้ให้ถูก
การยืดอายุการใช้งานเกียร์ออโต้ (ตอนที่ 4 โอเวอร์ไดร์ฟ)
จากที่เขียนเป็นบทนำไป 3 ตอนแล้ว ก็อยากจะให้ผู้ใช้ได้ค่อยๆ รู้ จะได้จำได้ไม่ยากนัก และก็ฝึกทำไปจนกว่าจะคล่องแต่ก็ยังไม่หมด เรื่องเกียร์ออโต้ยุคใหม่ๆ บางรุ่นบางยี่ห้อก็อาจจะไม่เหมือนที่ผมเขียน แต่หลักการจะเหมือนกัน อาจผิดเพี้ยนในเรื่องของตัวอักษรที่เป็น ตัวเลขหรือตัวอักษรพิเศษ เช่น ตัว S ตัว E ในบางยี่ห้อ และบางยี่ห้อก็ไม่มีโอเวอร์ไดร์ฟ และปุ่มกดไม่มีช่องเกียร์เป็นขั้นบันได หรือไม่ มีขั้นแต่เป็นตัวเลข +, - ก็มี ซึ่งผมก็คงต้องอธิบายเป็นขั้นเป็นตอน จะอย่างไรก็ตาม เกียร์ออโต้ก็ยังคงจะต้องใช้ให้ถูกวิธีอยู่ดี เพื่อที่เรา จะให้เกียร์ของรถเราเสียช้าที่สุดนั่นเอง
ในรถที่มีโอเวอร์ไดร์ฟ ก็หมายถึงการเพิ่มกำลังขณะขับเคลื่อนนั่น เอง เราจะเพิ่มเพื่ออะไร? เพิ่มเพื่อเร่งแรงฉุกเฉิน เพิ่มเพื่อให้ขึ้นที่ ลาดชันได้ง่าย ความหมายก็คงมีแค่นี้ ถ้ารถมี 4 สปีดในระบบ เกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ ก็คือการเปลี่ยนเกียร์ 4 มาเป็นเกียร์ 3 แค่นั้น ี้เอง และถ้าผู้ใช้กดปุ่มเพื่อให้ไฟติดที่หน้าปัดก็จะแปรออกมาว่าโอ
ดี/อ๊อฟ นั่นก็หมายถึงการอ๊อฟ หรือหยุดใช้ระบบอัตโนมัตินั่นเอง เมื่อหยุดใช้ก็จะทำให้สปีดเกียร์ที่มีอยู่ 4 สปีด หรือแค่ 3 สปีดเท่า นั้น คงพอจะนึกออกนะครับว่า ถ้า 3 สปีด สปีดที่ 4 ไม่ทำงาน รอบเครื่องยนต์จะสูงมาก รถมีกำลังจริงๆ แต่ความเร็วต่ำและก็จะ เปลืองน้ำมันมากที่สุด เพราะเท่ากับเราลากเกียร์ 3 วิ่งนั่นเอง เพื่อ
ให้จำได้ง่ายที่สุด ถ้าเห็นไฟสีเหลืองมีภาษาว่า โอดี อ๊อฟ ติดที่ หน้าปัดก็ขอให้กดปุ่มให้ไฟดับไปเลย และถ้าจะใช้นั่นก็หมายถึง ว่าเราจะใช้เพื่ออะไร เช่นเวลานี้ รถวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 60 คงที่ แต่ ่ต้องการให้เป็น 80 - 100 เร็วๆ ตรงนี้แหละครับ กดปุ่มให้ไฟติด
โอดี อ๊อฟ แล้วก็เหยียบคันเร่งลงไปเท่านี้เอง รถจะวิ่งทะยานไปอย่างเร็วและต้องสปีดเมื่อเราเร่งแซงไปแล้วเช่นกัน ขึ้นเขาก็ทำได้แบบ เดียวกันนี้ และถ้าความเร็วยังไม่ครบสปีดที่ 4 โอเวอร์ไดร์ฟก็จะไม่มีผล หรือความเร็วสูงมากไปแล้วก็จะไม่มีผลเช่นกัน ฉะนั้นแล้วควร ใช้ช่วงที่บอกเท่านั้นครับ เอาล่ะ มาต่อที่ตัว E จะมีอยู่ในกลุ่มรถเบนซ์ ความหมายก็คือ อีโคโนมี่ (Economy) การประหยัดพลังงาน เปิด สวิตช์ตัวนี้รถจะออกตัวช้า ถ้าเปลี่ยนจังหวะเกียร์เร็วเร่งออกรถจะอืดเกินไป ตัว S แปลว่าสปอร์ตรถจะออกตัวได้แรง และเปลี่ยนจังหวะ เกียร์ช้า แต่ก็มีสปีดเท่าๆ กันกับตัว E ฉะนั้น ผู้ใช้รถเบนซ์ที่มีอักษรนี้ จะสามารถเลือกใช้เปรียบเทียบดูได้อีกแล้ว ผมว่าจะเขียนให้ถึง ระบบทริบทรอนิค และแป้นคันโยกแบบขั้นบันไดไม่ทัน เอาเป็นฉบับต่อไปก็แล้วกันยังมีอีกเยอะนะครับ เกียร์ออโต้ถ้าผิดวิธี พัง เสียเงิน ก่อนเวลา และเกียร์ออโต้ยุคใหม่ใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมการซ่อม จึงจำเป็นต้องรู้วิธีและต้องมีเครื่องมือ และเครื่องตรวจเช็คที่ถูกต้อง ด้วยครับ
|
มีประโยชน์มาก 
ขอบคุณมากครับคุณ Auto 
