WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


เกร็ดความรู้รถใช้แก๊ส TOYOTA 2.7 vvti 2TR-FE
Auto.
จาก Auto
IP:27.55.203.87

พุธที่ , 15/12/2553
เวลา : 22:21

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มีบอกกันมานานแล้ว
ผมได้คุยกับแท๊กซี่ส่วนมากเป็นแท๊กซีบุคคล ซึ่งน่าเชื่อถือได้
ข้อควรปฏิบัติสำหรับรถทั่วที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับติดแก๊ส อย่างเช่น Corolla Altis Civic หรืออื่น ๆ

1 รถแบบนี้ไม่ควรใช้แก๊สเพียว ๆ ควรสลับน้ำมันบ้าง
2 ก่อนถึงบ้านสัก 5-10 กิโลเมตรควรเปลี่ยนมาใช้น้ำมันก่อนดับเครื่องครั้งสุดท้ายของการใช้งาน
3 ถ้าวิ่งความเร็วสูงมากกว่า 140 km/h ขึ้นไปรถแบบนี้ไม่ต้องตัดปั๊มติ๊ก และ ควรเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเมื่อความเร็วสูง ถ้าวิ่งทางยาว ๆ จะสลับน้ำมันเป็นครั้งคราว
4 Valve ถ้ามีการสึกหรอสูงเมื่อถึงคราวต้องเปลี่ยนส่วนมากพี่แท๊กซี่เหล่านี้นิยมซื้อของแท้เปลี่ยนที่ศูนย์บริการมากกว่าไปเปลี่ยนจากร้านหรืออู่ภายนอก ราคาต่อตัวผมจำไม่ได้ว่าเขาบอกเท่าไหร่แต่อยู่หลักร้อยต่อ1 ตัว มี 16 ตัว
5 ถ้าทำได้ดังนี้จะยืดอายุการใช้งานและช่วยลดการตั้งวาล์วทุก 4 หมื่นกิโลเมตรลงไปได้

อายุของเครื่องยนต์แท๊กซี่เหล่านี้จะยาวนานกว่าปกติคือสามารถไปได้เกิน 7.5 แสนกิโลเมตร ถ้าระยะปกติที่พังกันในส่วนสหกรณ์แท๊กซี่ 5-7 แสนกิโลเมตร




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 11 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

คำตอบที่ 301
       วันเสาร์ที่ 28 Jul,12 ผมไปเจอ พวกพี่ในกล่มออฟโรด ที่ไปทีไลป้าด้วยกัน มีความรู้มาฝากดังนี้

รถ Fortuner ที่ไปในกลุ่มทั้งหมด 4 คัน

1. คันสีดำของพี่นิพนธ์ไม่เป็นไรมาก แต่ต้องซ่อมถาดวินซ์ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นพี่นิพนธ์ซื้อ off road รถสำหรับไปวิ่งเที่ยวโดยเฉพาะแล้ว ซื้อรถของคุณเต่าบินมา เป็นสปอร์ตครูเซอร์ วางคาน วินซ์หน้าหลัง 3 ตัว มีดิฟล๊อคหน้า และ AIrlocker หลัง

2. คันสีดำของน้าหยี คอม้าชุดยกซันหักไป ตอนนี้ไปวางคานแล้วครับใช้คาน VX80 ใช้ยาง 37 หรือ 38 นี่แหละ สูงปรี๊ด

3. คันของพี่อ้วนสีบรอนท์ เงิน เอาชุดยกซันของน้าหยีมาใส่แล้วก็ใส่ยาง Mud 35 ของ Falken ไป

4.คันสีขาวของผม ไปเคลมสีตั้งแต่โดนอุบัติเหตุก่อนเข้าป่า ทำเสร็จแล้ว จากนั้นก็มาเดินท่อไอเสียเดินแนวเดิมกลับที่เดิมนั่นแหละ แล้วก็มาวางถังแก๊สใหม่แทนยางอะไหล่เดิมเพื่อใช้สำหรับลุยออฟโรดและบรรจุแก๊สมากขึ้น 36x2 แล้วก็ใส่บันไดข้าง Rock country ซื้อต่อจากพี่ในกลุ่มนี้มาใส่นั่นแหละ เพราะว่าขี้เกียจถอดบันไดแล้วตอนเข้าป่า เลยใส่แบบนี้ไปเลย
เอาแบบเดิม ๆ มีความสุขคือไม่ต้องซ่อม ไม่จุกจิก ไปในที่ที่เราพอไปได้ไม่หักโหม



ความรู้ของรถดีเซลจากพี่ในกลุ่มนี้ เห็นเขาคุยกันหลายคันเปลี่ยนเทอร์โบแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนให้แรงขึ้นแต่เป็นการซ่อมต่างหาก Fortuner 3.0 ดีเซล บางคนซ่อมไปแล้ว 2 ครั้งในเวลา 5 ปี เสียเงินกันหลายหมื่นบาท ถ้าถอดมาล้างทั้งระบบของดีเซลจากร้านสยามเดนโซ่คิดราคา 25,000 บาท ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ควรถอดเพราะถอดจะพังเร็ว แต่มีอาการก็ต้องซ่อมและก็แพงอย่างว่า
นับเป็นสิ่งที่จุกจิกและแพงทีเดียวสำหรับการใช้ดีเซลคอมมอนเรลในยุคปัจจุบัน ที่ไม่เหมือนดีเซลเครื่องไดเรกอินเจกชั่น 90 แรงม้าของ ISUZU สมัยก่อนที่ทนทานมากกว่าไม่ต้องซ่อมแพง

ถ้าอย่างพวกเราใช้เบนซินมีความสุขกว่าครับ ไม่ต้องเสียจุกจิกแบบนั้น แต่ถ้าจะไปยกสูงใส่ยาง 35 แบบเค้าผมขอบายดีกว่าไม่เอา คงไม่ไหว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 30/7/2555 เวลา : 13:22  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31873

คำตอบที่ 302
       ที่ทำงานผมเขาใช้สารเคมีชนิดนึง .......สมมุติเรียกว่า วันไฟต์ แล้วกันเพื่อผสมลงในน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 91 เนื่องจากภาคบังคับจากรัฐ ให้เติมในรถออกจากโรงงานเลย สาเหตุที่ต้องมีการเติมสารชนิดนี้ลงไป เพื่อให้เวลาขายรถไปถึงมือลูกค้าแล้วไม่เกิดปัญหา สนิมในถัง คอถังน้ำมัน แล้วป้องกันปัญหาวงจรน้ำมันเกิดอุดตันหรือสตาร์ทยาก

เพื่อนผมในแผนกเดียวกันเป็นคนทดลองเรื่องการเติมแก๊สโซฮอล 91 ลงในรถใหม่สตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกแล้วหลังจากนั้นไม่สตาร์ทเลยเป็นเวลา 4-6 เดือนผลปรากฏว่าระบบน้ำมันพังเสียหายหมดจากคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล รถหลายยี่ห้อก็เป็นอาการเดียวกันนี้ด้วยเวลาที่ต่างกันออกไป


ต่อมาจึงมีการเปลี่ยนสารตั้งต้นตัวนี้ใหม่เพราะสารที่ว่านี้มีกลิ่นมากและ พนักงานบางคนเกิดอาการแพ้สารนี้ จึงเปลี่ยนสารใหม่ ...........สมมุติชื่อว่าเป็น ทรีวันแล้วกัน ผสมลงในถังน้ำมันแก๊สโซฮอล 200 ลิตรเพื่อเติมรถใหม่ ทดลองแล้วได้ผลดีมาก หลังจากทิ้งรถไว้ 6 เดือนกลับมาสตาร์ท 1-2 ครั้งเครื่องยนต์ติดเลยไม่มีอาการสดุดอีก ระบบน้ำมันไม่พัง ไม่มีอะไรเสียหาย คาดว่ามันคงรักษาสภาพเอทานอลไว้ได้
สารตั้งต้นตัวนี้แพงกว่าเดิม เพราะนำเข้าจากต่างประเทศ ราคาในบิล 28,800 บาทแน่ะ



ถือเป็นความรู้ว่าทางญี่ปุ่นรู้ปัญหาแก๊สโซฮอลในประเทสไทยและพยายามปรับแก้กันมาตลอด เพื่อป้องกันปัยหารถที่ออกจากโรงงานกว่าจะถึงมือลูกค้าแล้วไม่ให้เกิดปัญหาเนื่องจากการเติมแก๊สโซฮอลลงไป
เพราะฉะนั้นรถที่ซื้อออกจากศูนย์บริการในวันแรก มั่นใจได้ว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้น หลังจากสตาร์ทติดแล้ว จงเตรียมเงินค่าน้ำมันเบนซิน 91 ไว้ด้วยตอนออกรถใหม่ หลังจากนั้นก็ให้เติมน้ำมันเซิน 91 ไปตลอด อย่าคิดกลับมาใช้แก๊สโซฮอลอีกต่อไป
เพราะสารตั้งต้น ทรีวันจะมีอยู่แค่น้ำมันที่เหลือในระบบเท่านั้น หมดแล้วก็คือหมดเลย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 30/7/2555 เวลา : 13:34  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31874

คำตอบที่ 303
       เรื่องน้ำมันเครื่องที่ใช้ถ้าใครไม่มีตัวเลือกเรื่องน้ำมันเครื่องที่ดีกว่าของศูนย์ได้ก็ให้ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ของ TOYOTA ราคาแกลลอนล่ะ 900 บาท ซื้อข้างนอก เพราะบางคนไปซื้อกันแพงเช่นไปซื้อยี่ห้ออื่น ๆ ราคา 1500-1800 บาท ซึ่งมันแพงเกินไป
ถ้าไม่มีตัวเลือกก็หันมาซื้อของศูนย์แต่ซื้อจากภายนอก ราคา 900 บาท เพราะผลิตภัณฑ์ตัวนี้ของ TOYOTA สั่งซื้อด้วยการว่าจ้างบริษัท Esso ผลิตให้ โดยเอสโซ่ทำตลาดน้ำมันเครื่องเกรดยี่ห้อ Mobil 1 ซึ่งถือเป็นเกรดที่ค่อนข้างสูงมากในตลาดน้ำมันเครื่องระดับบนอยู่แล้ว แถมยังราคาถูกอีกด้วย หลายคนสามารถใช้น้ำมันเครื่องราคาถูกแบบนี้ได้ หิ้วเข้าศูนย์ได้ในบางศูนย์ไม่จำเป็นต้องไปหาน้ำมันเครื่องอื่นที่ราคาแพง กว่าเกรดต่ำกว่า น้ำมันเครื่องl'สังเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับกันเลยก็คือ
fucks Mobil 1 BP Visco ยี่ห้ออื่นก็ตามสัดส่วน

ปัจจุบันผมใช้สังเคราะห์ของ ปตท. 0w-30 เพราะผมซื้อได้แกลลอนล่ะ 1230 บาท ได้บัตรเติมน้ำมัน 500 บาท
เหลือเท่ากับว่าจ่ายเป็นค่าน้ำมันเครื่อง แค่แกลลอนล่ะ 730 บาท ผมเห็น่าราคาถูกกว่าซื้อของศูนย์ก็เลยซื้อ
ถ้า ปตท. ขึ้นราคาเมื่อไหร่แพงกว่าของศูนย์แกลลอนล่ะ 900 บาท ผมก็เลิกใช้ ปตท. เหมือนกัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 อังคาร, 31/7/2555 เวลา : 09:56  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31881

คำตอบที่ 304
       รายงานการกินน้ำมันรถปิคอัพดีเซล


จากข้อมูลของ ตา TOP ณ เชียงใหม่ เขาเพิ่งซื้อ Hilux Vigo 2.5 ดีเซล 4wd โฟร์วีล เกียร์ MT เพื่อใช้ในงานธุรกิจ ของเขา
รถคันนี้เปลี่ยนเป็นยาง Mudterrain Dunlop ขนาดยาง 265/75 R16 จะใหญ่กว่าขนาดยางเดิม 265/70 นิดนึง
การกินน้ำมัน ขับปกติจะกินน้ำมันเท่ากับ Hilux vigo 2wd เกียร์ธรรมดา คือประมาณ 12 km/l ทั้งที่รถใหญ่กว่าและใส่ยางใหญ่กว่า
แต่ถ้าขับด้วยความเร็วสูงเกิน 120 เขาขับลงมาจากเชียงใหม่ ด้วยความเร็ว 120- 160 km/h ตลอดเส้นทาง จะกินน้ำมันประมาณ 9.5- 10.5 km/l รถโฟร์วีล 2.5 ดีเซล VN Terbo กินน้ำมันเท่ากับรถ 2wd 2.5 ดีเซล ตัวปกติ
ถ้าเป็น Hilux Vigo 3.0 mt 4wd โฟร์วีล การกินน้ำมันได้เลข 2 ตัว คือเกิน 10 กิโลเมตรทุกครั้ง คือประมาณ 10.5 -11 km/l

ได้คุยกันว่าความเชื่อเดิม ๆ ที่บอกว่ารถโฟร์วีลกินน้ำมันมากกว่ารถ 2wd อาจใช้ไม่ได้กับรถ พ.ศ. นี้ เนื่องจากรถในอดีตแรงม้าแรงบิดไม่มากนัก ไม่มีกล่อง ECU ควบคุม เครื่องเดิมสเปกเดิมทุกอย่าง ใส่โฟร์วีลเข้าไปอาจจะกินน้ำมันมากขึ้น
แต่รถในปัจจุบันแม้จะเป็นเครื่องเดียวกันแต่แรงบิดและแรงม้ามากมายกว่า มีกล่อง ECU ควบคุมการสั่งจ่าย ซึ่งได้เขียนไปในคำตอบกระทู้ก่อนหน้า กล่อง ecu น่าจะสั่งไม่เหมือนกันระหว่างรถขับ 2wd และ 4wd และเกียร์ MT AT ทำให้อัตราการกินน้ำมันออกมาใกล้เคียงกันหมด รถโฟร์วีล 4wd กินน้ำมันเท่ากันและมีอัตราเร่งที่ดีกว่า รถ 2wd ในรุ่นเดียวกัน

อัตราการกินน้ำมันนี้ จะพอพอกันกับปิคอัพคอมมอนเรลยี่ห้ออื่น ๆ เช่น Ford Mazda ก็จะกินน้ำมันในเรทนี้เช่นกัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.2.241 อาทิตย์, 5/8/2555 เวลา : 21:54  IP : 27.55.2.241   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31908

คำตอบที่ 305
       รายงานอัตราการกินแก๊ส Hilux 2.7

วันศุกร์ 3/08/2012 ผมเข้าไปที่อู่อาจารย์รุ่ง บางคล้า ผมเจอกับท่านนึงที่เอา Hilux Vigo 2.7 ป้ายแดงมาติดแก๊ส เขามาเช็คระยะ 1000 กิโลเมตรหลังจากติดแก๊สไปแล้ว
การกินแก๊ส Hilux 2.7 2wd เกียร์ MT เกียร์ธรรมดา อัตราการกินแก๊สอยู่ที่ 1.6 บาท ต่อกิโลเมตร ประมาณ 8.0 km/l
แต่เนื่องจากรถคันนี้ซื้อมาวิ่งส่งของ หลังจากนั้นพี่คนนี้ที่เป็นเจ้าของนำรถไปใส่หลังคาสูงมากและบรรทุกของ อัตราการกินแก๊สอยู่ที่ 1.7 บาทต่อกิโลเมตร ประมาณ 7.5 km/l
คิดเทียบกันคือ Vigo 2.5 ดีเซล = 12 km/l หรือ 2.50 บาท / กิโลเมตร รถเปล่า ถ้าบรรทุก 2.8-3.0 บาท / กิโลเมตร
ถ้าเป็น Vigo 2.7 เบนซิน = 7.5 km/l หรือ 1.60 บาท / กิโลเมตร รถเปล่า ถ้าบรรทุก 1.7 บาท / กิโลเมตร
เปรียบเทียบแล้ว 2.7 ประหยัดกว่ากัน อย่างน้อย 1 บาท / ต่อกิโลเมตร




รถ Fortuner 2.7 4x4

ของผมเองวิ่งทางยาวจาก บางพลีสมุทรปราการ ไป มหาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ใช้เส้นทางฉะเชิงเทรา ขึ้นเขาปักธงชัย วังน้ำเขียว โดยทดสอบการเติมแก๊สเต็มถังจากบางพลี กลับมาเติมแก๊สปั๊มเดิม ใช้การวิ่งวันเดียวจบครับผมไม่ได้ค้างคืน จำนวนผู้โดยสาร 6 คน ผู้ใหญ่ 4 คน เด็ก 2 คน เปิดแอร์ตอนหน้าและหลังใช้อุณหภูมิ 27 องศา ปรับโหมด manual เบอร์ 2 ความเร็วในการใช้เดินทางครั้งนี้ 100-110 km/h บางครั้งขึ้นไปถึง 120 km/h บางครั้งก็ลงมาที่ 60-80 km/h ระยะทางไปกลับ ทั้งหมด 566 กิโลเมตร
เติมแก๊สครั้งแรกตอนขากลับ ก่อนเข้าเขาหินซ้อน 300 บาท = 22.39 ลิตร แก๊ส 13.4 บาท/ ลิตร
เติมแก๊สอีกครั้งตอนกลับถึงบางพลี 670 บาท = 53.048 ลิตร แก๊ส 12.63 บาท/ ลิตร
รวมใช้แก๊ส 970 บาท = 75.44 ลิตร
คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง Fortuner 2.7 4x4 = 7.5 km/l หรือ 1.7 บาท / กิโลเมตร


ส่วน Fortuner 2wd การกินแก๊สเท่ากันบางช่วงเปลืองกว่า 4x4 โดยเฉพาะตอนขึ้นเขาใช้กำลังมากกว่า Fortuner 2wd การกินแก๊สขณะที่วิ่ง เฉลี่ย 1.7 -1.8 บาท / กิโลเมตร ( รถ Fortuner 2wd ไม่น่าเล่นเลย )



ทีนี้ไม่แปลกใจใช่ไหม ครับที่ผมเคยบอกว่ารถ 2.7 ถ้าเป็นรถเดิม ๆ การกินแก๊สใกล้เคียงกันหมดทุกรุ่นไม่ว่าคุณจะขับรถรุ่นใด เกียร์ออโตหรือเกียร์ธรรมดา จะเป็น 4wd 2wd การกินแก๊สจะใกล้กัน มากไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.3.151 อาทิตย์, 5/8/2555 เวลา : 22:29  IP : 27.55.3.151   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31909

คำตอบที่ 306
       ในรถ Fortuner 2.7 2wd ถ้าเป็นการขับไปจ่ายกับข้าววิ่งในเมืองรถติด กับส่งลูกไปโรงเรียน แบบนี้จะได้อัตราสิ้นเปลืองประมาณ 1.8 -2.0 บาท / กิโลเมตร แต่ถ้าวิ่งทางยาวทางไกล หรือวิ่งขึ้นเขา อาจจะเปลืองกว่า Fortuner 2.7 4x4 เพราะถ้าเป็น 2.7 4x4 วิ่งในเมืองรถติดออกตัวบ่อยจะได้ความสิ้นเปลืองที่ 2.0- 2.2 บาท / กิโลเมตร ที่ราคาแก๊ส 12.80 / ลิตร หรือประมาณ 6 km/l
แต่วิ่งทางยาว Fortuner 2.7 4x4 ดีกว่าในทุกแง่มุม
ซึ่งการที่คนเราส่วนใหญ่ซื้อรถ SUV แบบนี้มา ส่วนใหญ่ก็เอามาวิ่งทั่วไป หรือวิ่งท่องเที่ยว ใช้ในครอบครัวอย่แล้วเลือกเป็นรุ่น 4x4 จะดีกว่า
ถ้าเอามาวิ่งในเมืองรถติดออกตัวบ่อย เอาไว้ไปจ่ายตลาด รถอย่าง Fortuner 2wd ก็ไม่เหมาะสมอยู่ดีเพราะใหญ่แทอะทะ ได้แค่ฟิลลิ่งรถกะบะสู้ไปซื้อ CRV มาใช้ดีกว่า



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 6/8/2555 เวลา : 10:06  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31942

คำตอบที่ 307
       ต่อรายงานความสิ้นเปลือง Hilux 2.7 cab 4wd

วิ่งในเมืองเส้นทางเดียวกับ Fortuner กินแก๊สเท่ากันคือ 2.0-2.2 บาท / กิโลเมตร
ถ้าวิ่งทางไกล บรรทุกของ ไม่เกิน 1 ตัน ผมขับเอง ความเร็วไม่เกิน 80 km/h ผมเคยทำได้ที่ 1.60 บาท / กิโลเมตร หรือ 8.0 km/l
แต่ถ้าน้องผมขับเร็วบ้างช้าบ้าง ทางไกล จะได้ 1.8-1.9 บาท /กิโลเมตร หรือ 6.7 -7.0 km/l
ราคาแก๊ส 12.63 บาท / ลิตร
วิ่งรถเปล่าทางไกลยังไม่เคยจับอัตราสิ้นเปลือง
บรรทุกหนักเกิน 1 ตัน ยังไม่เคยจับอัตราสิ้นเปลือง เพราะเคยบรรทุกหนักตันกว่า ๆ ไปครั้งนึง โช๊คหลัง MX6 พังไปเลย จากนั้นก็เลยไม่ได้บรรทุกหนักแบบนั้นอีกทยอยแบ่งเป็นคราว ๆ ไป


ในกระบวนรถทั้งหมดถ้าเป็นปิคอัพนะครับ ไม่ว่าจะเป็นดีเซลและเบนซิน ในรุ่นรถทั้งหมดถ้าเทียบฟิลลิ่งและเรื่องภาพรวมการใช้งานทั้งหมดแล้ว การใช้งานถ้าเป็นปิคอัพ ตัวเลือกอันดับ 1 ที่ยังครองใจคนใช้ ยังเป็น Hilux 2.7 4wd AT จะเป็น cab หรือ 4 ประตู ยังถือว่าเป็นรถที่ได้ฟิลลิ่งและสมรรถนะ ความคุ้มค่าในภาพรวมยังถือว่าน่าใช้ที่สุดในรถปิคอัพขนาด 1 ตันด้วยกัน เพราะเคยมีการถามจากหลาย ๆ คนที่ผ่านมาในการใช้รถ รุ่นนี้เทียบกับรถรุ่นอื่น ๆ ปิคอัพทั้งหมดความรู้สึกจคล้าย ๆ กันเพราะเป็นรถบรรทุกแต่ว่า Hilux 2.7 4wd จะเด่นขึ้นมาในเรื่องฟิลลิ่งและการใช้งานทั่วไป ถึงแม้การใช้งานจะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่ากันกับดีเซล แต่ภาพรวมในการใช้งานคนที่เคยใช้ยังยอมรับให้ Hilux 2.7 4wd ดีกว่าน่าใช้งานกว่าในประเภทรถปิคอัพทั่วไป
ที่บอกว่าดีกว่า มีเหตุผลดังนี้
1. บางคนหลังจากขายรถ Hilux 2.7 4wd ไปแล้วซื้อ Hilux 3.0 4wd AT พบว่า ถึงแม้เป็นเกียร์ออโตเหมือนกัน แต่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการให้อัตราเร่ง smooth ต่อเนื่องมากกว่าของเครื่องเบนซิน ดีเซลยังไม่สามารถให้ฟิลลิ่งเท่านี้
2. เหตุที่ต้องเป็นรุ่นเกียร์ AT 4wd คนส่วนใหญ่ยังยอมรับเรื่องการใช้งานทั่วไปที่ได้อัตราเร่งดี ขับสนุกเครื่องไม่แรงเกินไปและไม่อืดเกินไป เวลานำไปใช้หลายคนจึงยอมรับว่ามันลงตัวกว่าการเป็นรถ 2wd ในแง่ของการใช้งานทั่ว ๆ ไป

หมายเหตุเป็นความรู้สึกล้วน ๆ สำหรับคนที่เคยใช้และและได้ขายรถ Hilux 2.7 4wd ออกไปแล้วเปลี่ยนเป็นรถปิคอัพรุ่นอื่นยี่ห้ออื่น ๆ
ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังยอมรับ Hilux 2.7 4wd AT เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ในการเป็นรถใช้งานมากกว่า



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 6/8/2555 เวลา : 13:21  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31951

คำตอบที่ 308
       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คือถอยรถเข้าบ้านเมื่อเช้านี้เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด เจอเสียงประหลาดออกมาจากห้องเครื่องยนต์ขณะดับเครื่องไปแล้ว เสียงดังฟีดเหมือนมีการรั่ว ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงจากกรองดักไอน้ำมันเบนซินที่มักจะดังแต่เสียงนั้นไม่เหมือนกันก็เลยเปิดฝากระโปรงมาดูปรากฎว่าเป็นแก๊สรั่วตรงบริเวณกรองแก๊ส ก็เลยจัดการใช้ปากตายเบอร์ 7 ขันเข้าไปใหม่ปรากว่าน๊อตคลายตัวเลยขันให้แน่นเหมือนเดิม จากนั้นใช้ฟองสบู่ทดสอบการรั่วของแก๊สในห้องเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ก็เรียบร้อย

ประแจปากตายที่ผมบอกให้ทุกท่านลองไปซื้อที่โฮมโปรหรือร้านเครื่องมือดูนะครับ ขนาดเบอร์ 5.5 อีกด้านนึงเป็นเบอร์ 7 ตัวล่ะ 20-30 บาทมีติดรถไว้ป้องกันเหตุฉุกเฉิน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.2.140 จันทร์, 13/8/2555 เวลา : 13:42  IP : 27.55.2.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 31997

คำตอบที่ 309
       ต่อรายงานความสิ้นเปลือง Hilux 2.7 cab 4wd ขณะวิ่งตัวเปล่า ยาง BF AT 31x10.5 R15

วันอาทิตย์ที่ 20/8/2555 ที่บ้านผมเดินทางไปทำบุญที่วัดเขาพลวง อ.เมือง จ.ชัยนาท ทริปนี้รายงานดังนี้
ผู้ใหญ่ 4 คนเปิดแอร์เบอร์ 2 ความเร็วเดินทางขาไป 100-110 km/h ขากลับ 60-90 km/h เติมแก๊สเต็มถังจากบางพลีสมุทรปราการระยะทางไปกลับ 440 กิโลเมตร กลับมาเติมที่บางพลี ใช้แก๊สทั้งหมด 57.395 ลิตร เฉลี่ย 7.66 km/l หรือประมาณ 1.66 บาท / กิโลเมตร ราคาแก๊ส 12.73 บาท / ลิตร โดยทริปนี้ผมมีการขับฝึกสอนทักษะขึ้นเขาลงเขาให้น้องชายด้วยการใช้เกียร์ 4wd จุดชทวิวจังหวัดชัยนาทขึ้นวัดเขาพลวงระยะทางประมาณไปกลับ 5 กิโลเมตรอีกด้วย

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับความสิ้นเปลืองของรถ Hilux 2.7 AT 4x4 อัตราสิ้นเปลืองเท่ากันกับ Fortuner 2.7 4x4 และอัตราสิ้นเปลืองยามใช้งานวิ่งทางไกลปกติทั่วไป ใกล้เคียงกับรถ Hilux 2.7 2wd เกียร์ธรรมดาที่อยู่เท่านี้เหมือนกันแต่รุ่น AT 4x4 อัตราเร่งดีกว่ากันยามบรรทุกหนักและตอนใช้งานขับขึ้นเขาลงเขา จะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.15.152 จันทร์, 20/8/2555 เวลา : 23:43  IP : 27.55.15.152   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32082

คำตอบที่ 310
       รถ Fortuner 2.7 Exclusive 4x4

วันนี้เอารถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมา พอดีรถใกล้ครบ 130,000 กิโลเมตรแล้ว ตอนนี้วิ่งได้เพียง 129,000 กิโลเมตร แต่ต้องเอาไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนเนื่องจาก 2 อาทิตย์หน้ามีคิวไปต่างจังหวัดตลอดและวิ่งไปบ้านภรรยาที่ จ. นครพนมด้วย ถ้ารอหลังจากกลับมาระยะทางการใช้น้ำมันเครื่องยังไงก็เกิน 130,000 โลแน่นอนเกินเยอะด้วย อีกอย่างใช้งานหนักก็เลยเปลี่ยนไปก่อนเลยดีกว่า
ผมไปที่ร้านแดงเจริญยนต์ อู่ช่างบุญลือ ที่อยู่เลยร้านศรีสยามมาหน่อยนึง
ค่าแรงเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 60 บาท นอกนั้นซื้อของไปเอง น้ำมันเครื่อง 1230 บาท และกรองน้ำมันเครื่องของแท้ Hilux รุ่นเบนซิน ซื้อจากร้านศรีสยาม ราคา 150 บาท ช่างเป่ากรองอากาศให้ด้วย แต่ว่ากรองอากาศเสียแล้ว คะเนดูความสกปรกกับที่เราใช้มานานมากพอเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเสร็จก็เลยวนกลับรถเข้าไปร้านศรีสยามอีกครั้งซื้อกรองอากาศแท้ Fortuner ราคา 502 บาท


คุยกับช่างบุญลือเรื่องการซ่อมรถ เพราะว่าช่างลือถนัดมากกับการซ่อมโอเวอร์ฮอลเครื่องใหม่ เผื่อใครต้องการซ่อมเครื่องยนต์ก็มาที่นี่ได้ราคาถูกและใช้เวลาเพียง 2-3 วันก็เสร็จแล้วสำหรับการซ่อมโอเวอร์ฮอลเครื่องดีเซล ถ้าเป็นเครื่องเบนซินใช้เวลาเพียง 2 วัน เบนซินจะง่ายกว่าและราคาถูกกว่าดีเซล เมื่อก่อนผมเอาโตโยต้าสตาร์เลทมาฟิตเครื่องที่นี่ จ่ายค่าซ่อมเพียง 4,800 บาท กับเครื่องเบนซิน อีกอย่างที่นี่จะสะดวกตรงที่เบิกอะไหล่แท้จากร้านศรีสยามได้รวดเร็วมากและราคาไม่แพง
มาเข้าเรื่องดีกว่า ผมคุยกับกระแตลูกชายช่างบุญลือเรื่องการซ่อมเครื่องยนต์ดีเซล เขาบอกว่าเครื่องดีเซลมือ 2 เซียงกงเดี๋ยวนี้ราคาแพงมากเครื่องดีเซลโตโยต้ายุคเก่ารหัส 2L 3L จากร้านศรีสยามราคาหลายหมื่นบาทแพงกว่าฟิตเครื่องใหม่เยอะ ลูกค้าหลายคนเลยได้รับคำแนะนำให้ซ่อมโอเวอร์ฮอลดีกว่าเพราะทำจากร้านช่างบุญลือค่าซ่อมเครื่องดีเซลแบบนี้อยู่ที่ 20,000 -30,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าเปลี่ยนอะไหล่มากขนาดไหน เขาบอกยังไงก็คุ้มกว่ายกเครื่องจากเซียงกงที่ใช้แล้วมานานหลายแสนกิโลเมตร หรือไม่รู้ว่าใช้มามากขนาดไหน แล้วราคาก็แพงให้ฟิตเครื่องใหม่จะดีกว่า ได้สภาพคืนกลับมาเกิน 90 เปอร์เซ็นต์มั่นใจว่าใช้ได้คุ้มอีกนาน รถปิคอัพดีเซลเหล่านี้ที่เห็นกันว่าอึดนั้นแท้ที่จริงแล้วยังวิ่งได้ระยะทางไม่ถึง 1 ล้านกิโลเมตร ทั้ง Big M vs Mighty X ต่างก็พังกันมาทั้งนั้นอาจเพราะด้วยอายุอานามที่มากแล้วด้วยก็ได้ เครื่องดีเซลที่เห็นเลยว่าอึดและทนทานมากก็คือ ตระกูล Isuzu KB และรุ่นมังกรทองเครื่องไดเรคอินเจกชั่น 4JA1 นั่นแหละที่เห็นวิ่งได้เกิน 1 ล้านกิโลเมตรไปหลายคัน ISUZU ก็เคยเอามาจัดประกวดกันได้เลย ถ้าเป็นรุ่นนี้น่ะทนจริงถ้าวิ่งทางเรียบทางไกลบ่อย ๆ ถ้าไม่ขึ้นเขาจะไม่มีจุกจิกให้ต้องซ่อมแต่อย่างใด ถ้าเป็นเครื่องดีเซลรุ่นอื่นไม่ทนทานเท่านี้แม้แต่เครื่องดีเซลคอมมอนเรลรุ่นใหม่ ๆ ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจะทนทานมากกว่า 1 ล้านกิโลเมตรได้จริงหรือไม่หรือถ้าใครทำได้แต่ค่าซ่อม ค่าโสหุ้ยกว่าจะถึง 1 ล้านกิโลเมตรก็บานพอควร เจ้าของจะทนใช้ได้ถึงระดับนั้นหรือเปล่า
ถ้าใครใช้ 2.7 หรือ Mitsu 2.4 หรือปิคอัพดีเซลจะยกเครื่องฟิตเครื่องใหม่ก็ลองไปหาช่างบุญลือดู ราคาค่าซ่อมไม่แพงถูกกว่าในกรุงเทพ
โดยเฉพาะ Hilux 2.7 กับ Mitsu 2.4 ถ้าต้องเปิดฝามาเปลี่ยนฝาสูบก็ไปทำที่นี่ได้เพราะว่าอะไหล่ต้องเบิกฝาสูบใหม่อยู่แล้วแค่เปลี่ยนฝาใหม่ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากเครื่องยนต์ไม่คุ้มที่จะเอาฝาไปซ่อมที่โรงกลึงเพราะรถเราใช้แก๊สกันเป็นหลัก มาซ่อมที่นี่เบิกอะไหล่ใหม่จากร้านศรีสยามฟิตเครื่อง 2 วันก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องรอรถกันนานรถเราก็ต้องใช้ทำมาหากินอยู่ทุกวัน
แต่ก็สบายใจได้ว่าถ้าเป็นเครื่อง 2.7 นั้นความทนทานและระยะทางในการวิ่งใช้งานเกิน 1 ล้านกิโลเมตรแน่นอน ดีกว่าเครื่องดีเซลและที่สำคัญค่าซ่อมเครื่องยนต์ฟิตใหม่ราคาถูกกว่าดีเซลครับ

อู่แดงเจริญยนต์ หรืออู่ช่างลือ จะอยุ่เลยร้านศรีสยามมาหน่อยนึง อยู่ฝั่งเดียวกับร้านศรีสยามอยู่ตรงทางโค้งพอดี ตรงกันข้ามคือโรงงานคาบิเทคประเทศไทย เบอร์ โทรผมไม่แน่ใจ 038-823534 เผื่อใครจะซ่อมเครื่องยนต์ช่วงล่าง งานหนักทั้งหลายลองมาที่นี่ดูครับ ประกาศนียบัตรชนะเลิศทักษะช่างฝีมือโตโยต้าการันตีคุณภาพ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.14.19 เสาร์, 1/9/2555 เวลา : 19:43  IP : 27.55.14.19   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32148

คำตอบที่ 311
       รถที่ส่งออกนอกในต่างประเทศทั้ง Hilux รุ่น 4x4 และ Fortuner มีกันโคลนหน้าแทบทั้งสิ้น
แต่ว่าที่ขายในประเทศไทยกลับไม่มีโดนตัดออกไป ผมก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมันจึงไม่มีออกมา
เพราะฉะนั้นก็เลยไปซื้อมาใส่เพิ่มเองแล้วครับ

1. Mudgard FR Fender RH 76621-0K100 ราคา 730 บาท
2.Mudgard FR Fender LH 76622-0K100 ราคา 730 บาท
3. Screw 90159-60603 ใช้ ข้างล่ะ 1 ตัว ราคา ตัวล่ะ 14 บาท ต้องใช้ของแท้ตัวนี้เพราะเป็นงานชุบโครม 3 ไม่งั้นสนิมจะขึ้นตัวถังลามไปด้วย

ใส่ติดตั้งเองอย่างง่าย ๆ ใช้ประแจ Box เบอร์ 10 ขันเข้าไปแค่พอตึงมือเท่านั้นน่ะครับ รูที่ให้มาตรงอยู่แล้วสามารถใช้ได้เลยใส่ได้พอดีเป๊ะ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.4.129 จันทร์, 3/9/2555 เวลา : 01:07  IP : 27.55.4.129   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32160

คำตอบที่ 312
       Update การเช็คระยะ 280,000 กิโลเมตรของคุณ uefa ให้ทราบนะครับ

1. คลัทซ์คอมแอร์ 2,230 บาท ไม่รวมส่วนลดและค่าแรง
2. ของเหลวตามรายการ ...(ไม่พูดต่อแล้วกัน )
3. ท่อ Pipe 1 water by pass เสีย 850 บาท
4. กรองเบนซิน
5.ลูกหมากกันโครงหน้าซ้ายขวาข้างล่ะ 1,930 บาท
6. ลูกหมากปลายแร๊กข้างล่ะ 2,790 บาท
7. ให้ตรวจเรื่องน้ำมันเครื่องหายให้ด้วย

ช่วงล่างใช้งานมาเยอะแล้ว เกือบ 3 แสนกิโลเมตร ซ่อมบำรุงเปลี่ยนลูกหมากถือเป็นเรื่องปกติ
เพราะรถ 4wd ช่วงล่างจะทนทานมาก วิ่งได้ขนาดนี้ถือว่าโอเคครับ ส่วนใหญ่ใกล้ระยะ 3 แสนโลต้องมีเปลี่ยนลูกหมากกันบ้าง จะขับขี่แบบ off road หรือ on road ส่วนมากโดนเปลี่ยนกันที่ระยะนี้ทั้งนั้น
แต่จะมีบางท่านที่ไม่เปลี่ยนโช๊คนั่นแหละหรือใช้โช๊คของเดิมติดรถกันยาว ช่วงล่างจะพังไวลูกหมากมักจะเสียที่ 1 แสนกว่าโล



ส่วนเรื่องน้ำมันเครื่องที่หายไปนั้น ผมให้คุณ uefa แจ้งช่างศูนย์ TOYOTA มหานครช่วยหาสาเหตุอีกทีนึง เพราะเครื่องยนต์ยังไม่หลวมการเผาไหม้ปกติ มีน้ำหยดปลายท่อตรงจุดอื่นไมมีการรั่วซึมแต่น้ำมันเครื่องหายไป 1 ลิตร แต่ช่างศูนย์ให้คำตอบไม่ดีเลยว่าต้องโอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์ ผมบอกว่าถ้าช่างไม่วิเคราะห์ก็ไม่ต้องทำ ถ้ารถวิ่งแค่ 2.8 แสนโลเครื่องหลวมโตโยต้าไม่ต้องขายรถกันแล้ว
สเปคเครื่องยนต์รุ่นนี้มันเป็นเครื่องรุ่นเก่าเอามาพัฒนาใหม่ สเปกน้ำมันเครื่องที่ใช้ไม่ได้สูงอะไรมากมาย เกรดใช้เพียง SM 20w-50 ถ้ารถใหม่ใช้อาจะหนืดนิดหน่อยแต่ใช้ได้หรือจะใช้น้ำมันเครื่องใสกว่า 5w-30 ก็ได้ถ้าน้ำมันเครื่องเริ่มหายก็ต้องปรับเบอร์น้ำมันเครื่องให้หนืดขึ้นเป็น 10w-40 10w-50 20w-50 ตามลำดับถ้ากินน้ำมันเครื่องก็เติมเอา สเปกให้เติมได้ 4 ลิตร / ระยะทาง 10,000 โล ถ้าเห็นว่าเติมเยอะมากกว่านี้ให้โอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์
รถใช้แก๊สโอกาสที่น้ำมันเครื่องจะหายก็มีส่วนนึง แม้จะเป็นรถใหม่



อันนี้เป็นข้อความจากพ่อค้าน้ำมันเครื่อง ลองใช้วิจารณญาณดูครับ

เนื่องจากติดแก๊สมาแล้วความร้อนของเครื่องยนต์มากว่าปรกติ แต่ถ้าเป็นช่วงแรกๆก้อสามารถใช้เบอร์ 30 ได้อยู่อ่ะ แต่ 50000kmขึ้นไป เปลี่ยนเป็นเบอร์ 40 ดีกว่าเนื่องจากน้ำมันจะมีความหนืดที่มากกว่า ถ้าใสไปแล้ววิ่งทางไกลหรือใช้งานหนักๆน้ำมันเครื่องยนต์สามารถหายได้ ดังนั้นผมจึ่งแนะนำให้ใช้เบอร์ 40

หมายเหตุ ลูกค้าแจ้งให้ผมทราบ ลูกค้าขับโตโยต้า อัลติส ใช้งานมา 30,000km ใช้เบอร์ 30 น้ำมันหายแต่พอปลี่ยนเบอร์ 40 ไม่หายแล้ว
ปล.จากพ่อค้า เรื่องการเลือกใช้น้ำมันเครื่องยนต์ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบครับ
- ต้องดูว่าใช้งานลักษณะแบบไหน ใช้งานหนัก ใช้ขับแบบเบา รอบสูงมากมากน้อยเพียงใด รถมีเทอร์หรือไม่มี เป็นต้น

จากคุณ art 111
http://www.innovaclub.net/SMF-Board/index.php?topic=22216.0>



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 12/9/2555 เวลา : 16:39  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32263

คำตอบที่ 313
       เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแต่สำคัญ

ผมไป Maker ผู้ผลิตชิ้นส่วนกับเพื่อนมีเวลาได้คุยกันเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับรถยนต์กับ Maker ด้วย มีข้อเปรียบเทียบดังนี้

1. รถเพื่อนผมใช้รถ Honda Jazz วิ่งมาประมาณ 120,000 โล ไม่ติดแก๊ส
รายการซ่อมรถมีดังนี้ แร๊กพวงมาลัยไฟฟ้าเสีย ค่าอะไหล่ 3x,xxx กว่าบาท โช็คเสีย เบ้ารองโช๊คเสีย ลูกหมากเสีย ลูกหมากปีกนกฉีกขาด รถวิ่งลุยน้ำแอ่งน้ำหรือน้ำท่วมเล็กน้อยไม่ได้จะดับหรือไม่ก็กระตกสุดไม่มีกำลัง เนื่องจากน้ำเข้า Oxygen sensor ที่ท่อไอเสีย ถ้าลุยน้ำท่วมสูงดับชัวร์
Maker เขาเลยเสริมขึ้นมาบ้างของเขาใช้ City ก็เป็นอาการแบบนี้ ขายไปแล้วทนซ่อมไม่ไหว
Maker อีกท่านนึงใช้รถอีกยี่ห้อนึงคือ Mitsu แต่ขยับรุ่นเป็น Lancer เขาบอกว่าก็เสียเหมือนกันแต่ว่าตามอายุที่รับได้มากกว่า คือโช็คเสีย เบ้ารองโช็คเสีย อายุรถ 7 ปีแล้วซึ่งรับได้กับเรื่องนี้นอกนั้นไม่มีการเสียหรือซ่อม

_______ หลังจากนั้นก็มีการคุยเรื่องความแตกต่างของรถ โดยปกติแล้วรถเก๋งจะมีความทนทานน้อยกว่าปิคอัพหรือ SUV แท้แบบ Chasisi on frame ถ้าเป็นการออกแบบรถ Honda ด้วยแล้วจะมีข้อดีคือความสวยแต่ข้อเสียคือจุดต่อโยงและโครงสร้างจะเปราะมาก รถพอเลยเวลา 4-5 ปีไปแล้วต้องซ่อมเยอะอะไหล่เสียหรือเริ่มทยอยเสีย ผิดกับรถคู่แข่งยี่ห้ออื่นที่ไม่เปราะเท่านี้
แต่โดยลักษณะธรรมชาติของรถเก๋ง จะเปราะกว่าปิคอัพอยู่แล้วเพราะโครงสร้างของรถต่างกัน

2. ทีนี้ผมเลยเปรียบเทียบให้เพื่อนผมฟังตามประสาคนปากไม่ดี
รถคุณวิ่งทางเรียบ 1 แสนกว่าโลช่วงล่างพังหมดแล้ว แถมอะไหล่ก็แพงมาก มันจะทยอยซ่อมจุกจิกน่ะ เพราะสไตล์ HondA เป็นแบบนี้
เปรียบเทียบรถผม แนวปิคอัพ 4wd วิ่งทางเรียบมาทำงานเหมือนกัน แต่วิ่งท่องเที่ยวออฟโรดเข้าป่าข้ามเขา ข้ามลำธารด้วย ไม่ต้องซ่อมน่ะรถยังทนทานมาก เปลี่ยนโช๊คกับเปลี่ยนผ้าเบรคแค่นั้นเอง
ผมบอกให้เขาหาซื้อปิคอัพ 4wd รถใหม่ซักคันนึงดีกว่า ถ้าจะเปลี่ยนรถ แล้วใช้ยาว ๆ เกิน 10 ปีไปเลยจะคุ้มกว่า



ที่ผมเปรียบเทียบเกร็ดแบบนี้ให้ฟังเพราะว่า เมื่อก่อนช่วง Vigo fortuner ออกมาเป็นรถเบนซิน 4x4 เกียร์ออโตคนส่วนใหญ่คิดว่ารถมันไม่ทนทานใช้งานไปแล้วมันจะพังจุกจิกกว่าดีเซล แต่ว่ารถนั้นมันมีการออกแบบที่ต่างกันถึงแม้จะเป็นเครื่องเบนซินเหมือนกันหรือดีเซลเหมือนกันการออกแบบเพื่อใช้งานตามจุดประสงค์นั้นจะต่างกันรวมถึงคุณภาพชิ้นส่วนด้วย ที่จะต้องต่างกันตามการใช้งาน
2.7 ลุยน้ำไม่ดับ แต่ Jazz แค่ฝนตกหนักก็เกิดอาการแล้ว
2.7 4x4 ลุยออฟโรดช่วงล่างไม่พัง ใช้งานได้ตามปกติ แต่ Jazz วิ่งทางเรียบช่วงล่างก็พังหมด
2.7 เกียร์ออโต ทำรถออกมาให้เป็นรถบรรทุกหนักเกียร์ออโตใช้งานวิ่งกันยาวหลายแสนกิโลเมตร แต่ Jazz เกียร์ออโตหรือเกียร์ธรรมดาออกอาการที่ 1 แสนกว่าโล
2.7 ทำเพื่อความแข็งแกร่งจะให้รถแรงกว่ารถเก๋งก็คงไม่ได้
2.7 จะทำรถให้นิ่มเท่ารถเก๋งเกาะถนนเท่ารถสปอร์ตก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
ถ้าทุกคนเข้าใจสมการของรถที่มีการ Design ออกมาจากผู้ผลิต เราจะเลือกรถได้ตรงตามการใช้งานไม่ผิดเพี้ยน และจะคุ้มค่า


2.7 เป็นรถที่ต้องซื้อมาใช้งานกันยาว ๆ แบบคุ้มค่าใช้งานกันเกิน 10 ปี ระยะทางการวิ่งต้องมากกว่า 5 - 8 แสนกิโลเมตร คือจะมาซื้อเพื่อใช้งานฉาบฉวย 1 แสนกว่าโล หรือ 5 ปีขายทิ้งผมว่าไม่คุ้มกับรถแบบนี้ครับ ในออสเตรเลียรถแบบนี้เขาวิ่งกัน 8 แสนกิโลเมตร จึงจะปล่อยรถออกมา



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.11.231 เสาร์, 29/9/2555 เวลา : 10:16  IP : 27.55.11.231   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32536

คำตอบที่ 314
       ใครมีแหล่งขายกรองแก๊ส บ้างครับ
ใกล้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว



ร้านที่ขายอะไหล่อุปกรณ์แก๊ส ถ้าแปดริ้วก็ร้านศรีสยาม
จาก : Auto.(Auto.) 3/10/2555 16:53:32 [202.80.239.130]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

panu10 จาก ยย 210.246.186.239 พุธ, 3/10/2555 เวลา : 14:44  IP : 210.246.186.239   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32558

คำตอบที่ 315
      
ผมเทียบสมการด้านบนให้ดูคร่าว ๆ แล้วว่าถ้าเป็นรถเก๋งเบนซินกับปิคอัพเบนซิน ใช้งานไปด้วยกันที่ 1 แสนกว่าโลค่าซ่อมบำรุงผิดกันเยอะทีเดียว
แต่ว่ารถ 2.7 ถึงแม้จะประหยัดค่าซ่อมบำรุงตามระยะทาง แต่ว่าโดยพื้นฐานรถ 2.7 เป็นรถที่กินเชื้อเพลิงสูง จะกินเชื้อเพลิงกว่ารถเก๋งที่ติดแก๊ส แต่จะแลกมาด้วยสมรรถนะความแข็งแกร่งและทนทานจึงเหมาะกับการใช้งานยาว ๆ จะคุ้มค่ากว่า
รถ 2.7 4x4 พื้นฐานเป็นรถที่ทนทานมากพอสมควรไม่กินอะไหล่ คือซ่อมบำรุงตามระยะทางแล้วจบเลย ไม่มีจุกจิกสามารถใช้งานได้ยาว ๆ ถ้าใครซื้อไปใช้งานโดยทั่วไปจะใช้งานได้ดีสมบุกสมบันมากและยังวิ่งลุยได้ดีไม่แพ้รถดีเซล แต่จะให้ข้อดีคือประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าและค่าซ่อมเครื่องยนต์ตามระยะทางถูกกว่าใช้งานได้ยาวนานกว่า หลายคนกลัวค่าซ่อม 4wd แต่ผมเคยเปรียบเทียบให้ดูหลายครั้ง สำหรับรถปิคอัพ 4wd ว่าค่าซ่อมหรือจ่ายส่วนต่างรวมถึงค่าเชื้อเพลิงไม่ได้แพงกว่ารถ 2wd ในรุ่นเดียวกันเลยแต่จะใช้งานได้ดีกว่า ทั้งนี้เพราะว่ารถใช้งานโดยทั่วไปหรือเราจะไปวิ่งเที่ยวออฟโรดบ้างก็ไม่มีปัญหารถมันทำมารองรับการใช้งานที่ทรหดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าภาพที่เราเห็นใน weekend มันคนละแนวกับการใช้งานหรือการท่องเที่ยว ถ้าเป็นแบบนั้นต้องเป็นรถที่ตบแต่งขึ้นมาเฉพาะเพื่อการทำกิจกรรม รถต้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ รวมถึงการซ่อมแซมที่จะเยอะกว่าด้วยเพราะรถเขาเอาไว้ท่องเที่ยวแบบเฉพาะทาง ถ้า 2.7 4x4 ใช้งานโดยทั่วไปแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมเพราะจะใกล้เคียง 2wd รวมถึงการกินเชื้อเพลิงที่ทำได้ใกล้เคียงกัน
รถ 2.7 ถ้าติดแก๊ส คิดสมการตรงที่ว่าเราจะประหยัดไปกิโลเมตรล่ะ 1 บาท ถ้าเทียบกับการใช้งานของเครื่องยนต์ดีเซลเดิม ทั้งนี้เพราะว่าราคาเชื้อเพลิงgas ถูกกว่าเนื่องจากตลาดในประเทศไทยปัจจุบันเติบโตมากในเรื่อง ติดแก๊ส เป็นอันดับ 1 ของโลก ก็ว่าได้ ซึ่งรถ 2.7 นำมาติดแก๊สได้โดยที่รถมีผลข้างเคียงกับเครื่องยนต์น้อยมากถ้าเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ซึ่งบางทีอาจจะไม่คุ้มค่าเมื่อติดแก๊สก็ได้ เนื่องจากรถบางรุ่นพอถึงเวลาซ่อมจะแพงหรือเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับแก๊สก็ตาม แต่ต้องซ่อมตามระยะทางการใช้งาน
รถดีเซลถึงแม้จะติดแก๊สได้แต่ว่ามักไม่ให้ผลในเรื่องความประหยัดมากนักถ้าเทียบค่าใช้จ่ายที่ลงไป เช่นการใช้เชื้อเพลิงร่วม 70: 30 เราต้องใช้น้ำมันดีเซล 70 แต่แก๊สก็ยังต้องจ่ายในส่วนของ 30 ถ้าแก๊สแพงมักจะไม่คุ้มซึ่งต้องจ่ายทั้งค่าน้ำมันและแก๊สอยู่ดี ทำให้การติดแก๊สดีเซลไม่ค่อยแพร่หลายมากนักอีกทั้ง Effect ข้างเคียงจะมาก
ผลต่างของความประหยัดในรถ 2.7 จะประหยัดกว่าดีเซลโดยประมาณ กิโลเมตรล่ะ 1 บาท ถ้าเป็น LPG และจะถูกกว่านั้นถ้าเป็น NGV และมีที่เติมเพียงพอ ถ้าเราใช้งานรถยนต์ 2.7 เทียบดีเซลเราจะประหยัดไปทุก 1 บาท ต่อกิโลเมตร ถ้าใช้ 1 แสนโลจะประหยัดไป 1 แสนบาท ในระยะทางเดียวกันและค่าดูแลจะต่ำกว่าดีเซล ถ้าใช้งานระยะยาวด้วยกันจะยิ่งเห็นผลชัดเจนในเรื่องนี้ 2.7 เป็นรถที่ต้องซื้อเอามาใช้งานในระยะยาวระยะทางการวิ่งต้องมากเพียงพอ คือยิ่งวิ่งยิ่งคุ้ม ถ้าเรามีธุรกิจที่ต้องทำเงินโดยอาศัยระยะทางการวิ่งรถด้วยแล้วถ้าคิดคำณวนออกมาจะเห็นผล อย่างเราเปลี่ยนมาใช้รถ 5 - 6 แสนกิโลเมตร ก็จะประหยัดไป 5-6 แสนบาท เฉพาะส่วนต่างจากดีเซล เราเหมือนได้รถคันนี้มาฟรี กับการใช้งานถ้าเทียบดีเซลที่เหลือคิดเป็นกำไรยังได้เพราะเราต้องใช้งานอยู่แล้ว ส่วนค่าดูแลเราจะเห็นผลค่อนข้างมากอย่างที่บอกไปคือรถ 2.7 มันไม่ค่อยจุกจิก ไม่กินอะไหล่ ถ้าซ่อมตามระยะทางก็จะจบเลยไม่จุกจิกให้ต้องซ่อมตามมาอีก ลำพังการวิ่งด้วยระยะทาง 5 แสนกิโลเมตร รถบางคันไม่ต้องซ่อมบำรุงใหญ่เลยด้วยซ้ำ ในรถตู้บางคันนที่เจ้าของรถขับเองถนอมกัน ๆ มาก 5 แสนโลยังไม่ต้องเปิดฝาสูบมาซ่อมก็มีมาแล้ว ในขณะเดียวกันปัจจุบันนี้รถดีเซลระยะทางการใช้งานมาก ๆ หลายแสนกิโลเมตรไม่ค่อยได้เห็นกันแล้วเนื่องจากหลายปัจจัยที่มีรถรุ่นใหม่ออกมารวมถึงเจ้าของรถไม่กล้าใช้ระยะยาวเพราะกลัวค่าซ่อมของดีเซลใน2.7 ถ้าได้เป็นเกียร์ออโตมาด้วย ระยะทางการวิ่งสามารถลากได้ยาว หลาย ๆ แสนกิโลเมตรที่เห็นก็ยังไม่มีใครพัง ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ของแท้ตามเวลา ถ้าเทียบกับเกียร์ธรรมดาต้องยกคลัทซ์กัน 4-5 ครั้งต่อการวิ่ง 5 แสนกิโลเมตร เลยทีเดียว
หลาย ๆ คนที่ซื้อรถมาใช้ในรุ่นนี้สามารถใช้กันได้ยาว ๆ เลย มันจะคุ้มค่ากว่าที่มาเปลี่ยนรถกันบ่อย ๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พฤหัสบดี, 4/10/2555 เวลา : 17:03  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32575

คำตอบที่ 316
       SUV หรือว่าบางคนเรียกว่าครอสโอเวอร์หรือครอสเวิรด์ ในบ้านเราก็จะมีกลุ่มตลาดขนาดใหญ่รองรับอยู่ในรถ เช่น CRV Captiva และที่จะมาใหม่คือ Mazda CX5 แต่รถกลุ่มเหล่านี้มันเหมาะสำหรับคนชอบแนวรถเก๋งและต้องการเป็นรถเอนกประสงค์ด้วย เพราะพื้นฐานของรถพัฒนาขึ้นมาจากรถเก๋ง โครงสร้างและการทำงานไม่หนีกันมากนัก จะได้ความนุ่มนวลคล้ายรถเก๋งแต่ในขณะเดียวกันก็ได้ความเป็นเอนกประสงค์แบบ SUV ไปด้วย แต่เราต้องเข้าใจว่ารถก็ไม่ได้ทนทานกว่าเก๋งมากนักจะไปใช้ลุยทางลูกรังหรือทางดินโคลนเละ ๆ หน่อยก็ไม่เหมาะแล้ว หรือจะไปลุยน้ำท่วมแบบที่เห็นปิคอัพ Hilux 2.7 Fortuner 2.7 น่ะไม่ได้เพราะรถออกแบบมาคนล่ะอย่างกันเลย
รถ ครอสโอเวอร์เหล่านี้จัดว่าค่าซ่อมค่อนข้างแพงซึ่งจะแพงกว่ารถเก๋งปกติ เพราะว่าพื้นฐานก็จะมาจากรถเก๋ง B segment ขึ้นไป อุปกรณ์และระบบต่าง ๆ ถูกพัมนาขึ้นให้ทันสมัยและมีมากกว่ารถเก๋งจุดซ่อมก็มากตามไปด้วย ซีซีของรถแม้จะไม่มากมายนักแต่ก็ต้องมีไม่น้อยกว่าพื้นฐานของเก๋งรุ่นเดิมที่พัฒนาขึ้นมา แต่รถนั้นใหญ่มากกว่าน้ำหนักมากกว่า ต้านลมมากกว่า การกินน้ำมันในรถกลุ่มนี้จัดว่าบริโภคมากกว่ารถซีดานทั่วไป เราจึงมักเห็นรถอย่างซีอาร์วีกินน้ำมันประมาณ 7-10 km/l ใกล้เคียงกับ Fortuner 2.7 ที่กินน้ำมันใกล้เคียงกัน โดยรวมแล้วรถกลุ่มนี้ซ่อมแพงกว่ารถเก๋งซีดานปกติ ในเรื่องความทนทานอย่างที่อธิบายไปว่ามันไม่ได้ทนทานมากกว่ารถเก๋งเท่าใดนักเพราะพื้นฐานมาจากกลุ่มเดียวกันแต่จุดซ่อมอาจจะมีมากกว่า เรื่องความทนทานจะให้ทนทานแบบ Fortuner 2.7 Hilux 2.7 ที่เป็นเครื่องเบนซิน ด้วยกันน่ะไม่ได้แน่นอนรวมถึงชุดส่งกำลังเกียร์ออโตเมติกจะให้ทนทานใช้กันยันรถพังแบบ 2.7 น่ะไม่ได้แน่นอนเพราะด้วยความที่รถออกแบบมาคนล่ะอย่างโครงสร้างและการใช้งานที่ต่างกันอย่างมาก
SUV ที่เป็น Chassis on frame หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า PPV เพราะบางคนเห็นว่ารถ SUV ไม่ควรพัฒนามาจากกระบะ เนื่องจากเมื่อก่อนนี้เรามองกะบะเป็นแค่รถเพื่อใช้ในไร่ในสวน รถบรรทุกทั่วไปเท่านั้นไม่ควรนำมาเปรียบกับ SUV ที่มีพื้นฐานมาจากรถเก๋ง เพราะราคาต่างกันกระบะราคาไม่มากแต่พอเอามาใส่หลังคามันก็กลายเป็นกระบะราคาหลักล้านบาท มีแชสซีย์ทำให้แข้งกระด้าง ซึ่งหลายคนก็ไม่ทราบว่าแล้วการที่มีแชสซีย์มันไม่ดีตรงไหน กับใช้ Platform รถเก๋งเพื่อมาทำ SUV มันดีกว่ากันตรงไหน
รถในปัจจุบันการพัฒนา Platform มักถูกใช้ร่วมกันกับรถอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนในการผลิต โดยรถรุ่นนึงมักจะผลิตขายไปทั่วโลกเพื่อทำให้ตลาดกว้างขึ้นต้นทุนถูกลงและกำไรมากขึ้นยกเว้นทวีปอเมริกาเหนือและตลาดญี่ปุ่นที่มักจะมีรถเฉพาะอยู่มากมาย
รถ SUV ที่มีพื้นฐานมาจากแชสซีย์จะดีกว่าในแง่ของโครงสร้างความแข็งแรงทนทาน โดยมากจะออกแบบเพื่อใช้สำหรับทางทุรกันดารเป็นหลักแต่ในขณะเดียวกัก็คงความหรูหรามากกว่ารถปิคอัพ สามารถใช้ชีวิตได้ในเมืองนอกเมืองและทำกิจกรรมยามว่างได้อีกด้วย การพัฒนารถแบบนี้ ข้อดีจะได้ต้นทุนที่ถูกลงกว่ารถ SUV แบบเดิมสามารถขายได้ในราคาที่ต่ำกว่า SUV ต้นฉบับอย่างเช่น Fortuner Pajero sport ราคารถจะถูกลงมีราคาในระดับ 0.95 -1.4 ล้านบาท แทนที่รถ SUV Landcruiser Pajero GDI ที่มีราคาแพงกว่ามากเพราะการพัฒนาพื้นฐานและการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันทำให้รถมีราคาสูงกว่า PPV

การเลือกรถมาใช้งานมันถูกแบ่งกลุ่มประเภทของลูกค้าไว้ตั้งแต่ต้น
1. รถถ้านำมาใช้งานแทนรถเก๋ง ไม่ได้ใช้งานระยะยาวอะไร ใช้แค่ 4-5 ปีก็เปลี่ยนรถ เสียดายรถใช้งานไม่มากนัก ไม่ได้มีโปรแกรมท่องเที่ยวหรือวิ่งทางวิบาก ปกติก็วิ่งในเมืองออกต่างจังหวัดบ้างไม่บ่อยนัก อย่างดีนาน ๆ ครั้งก็ไปเที่ยวตามดอยสักครั้งนึง วิ่งขึ้นดอยทางเรียบ ๆ ดอยอินทนนท์ อ่างขาง รถในกลุ่ม SUV แบบครอสโอเวอร์ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว CRV Captiva Lexus RX300 CX9 หรือที่จะมาใหม่อย่าง Mazda CX5 จัดเป็นรถที่เหมาะสม ให้ได้ทั้ง ความนุ่มนวลและการทรงตัวที่ดี สามารถใช้ความเร็วสูงได้มั่นคงกว่า ข้อเสียตามที่ได้กล่าวมา ระบบขับเคลื่อนมีทั้งแบบ 4wd fulltime 4wd realtime เพื่อความประหยัดน้ำมัน รถแบบนี้ไม่ควรเลือกเป็น 2wd เพราะการจับของล้อ 4wd ได้อารมรณ์หนักแน่นกว่า

2. รถถ้านำมาใช้งานสมบุกสมบันไม่คิดเอามาแทนรถเก๋ง แต่ต้องการความสะดวกสบายมากกว่ารถปิคอัพ ความทนทานเช่นเดียวกับปิคอัพ 4wd ให้ความหรูหราที่มากขึ้นกว่ารถเก๋งระดับ B segment เอามาใช้งานกันระยะยาวเดินทาง ตจว. บ่อยครั้งและมีการใช้งานที่เป็นระยะทางที่ค่อนข้างมากการเลือกรถ PPV จะมีความเหมาะสมมากกว่า แต่ข้อเสียจะเป็นดังที่บอกว่ารถจะแข็งกระด้างกว่า โคลงกว่า การใช้ความเร็วสูง เบรคให้จับสนิทไม่เหมาะกับรถแบบนี้แน่นอน รถ 4wd แบบนี้จะเหมาะกว่าเพราะรถก็พัฒนามาจาก Platform ของรถปิคอัพ 4wd เหมือนกัน การมาเสริมช่วงล่างปรับสภาพให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละบุคคลทำได้และทำได้โดยง่ายกว่ารถประเภทอื่น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 27.55.6.153 พฤหัสบดี, 4/10/2555 เวลา : 20:27  IP : 27.55.6.153   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32577

คำตอบที่ 317
       โดยปกติการเลือกรถ SUV แบบครอสโอเวอร์คนเลือกต่างมีเหตุผลอยู่ในใจอยู่แล้วว่าทำไมจึงเลือก อาจจะไม่ชอบรถทีมีพื้นฐานมาจากกะบะ หรือตัวเองบุคคลิกไม่ใช่ บอยปกรณ์ พรีเซ็นเตอร์ ISUZU ดาราชื่อดังที่กลางวันใส่สูตรไปลุยหน้าผา หรือมีชีวิตลุย ๆ ยามปกติก็เอารถลุย ๆ ไปใช้วิ่งในเมือง คือรถกลุ่มนี้จะเป็นบุคลิกของคนที่ไม่ใช้ชีวิตกลางแจ้งหรือทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว รถกลุ่มนี้มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกเพียงรุ่นเดียวที่เห็นคือ Captiva แต่ค่ายรถยนต์อื่น ๆ ไม่มีใครยอมทำตลาด ครอสโอเวอร์เครื่องดีเซลเลย กระทั่ง CRV มีเวอร์ชั่นดีเซลก็ไม่ยอมนำเข้ามาทำตลาดในเอเชีย หรือแม้กระทั่ง Mazda CX5 ที่มีรุ่นเครื่องดีเซลก็คาดว่าทาง Mazda จะไม่ยอมเอาเครื่องดีเซลมาทำตลาดในกลุ่มนี้เช่นกัน
การเลือกเครื่องดีเซลในรถกลุ่มนี้ให้ความประหยัดมากขึ้นเพราะว่า เครื่องเบนซินในรถแบบนี้กินน้ำมันค่อนข้างมากค่าใช้จ่ายสูง การกินน้ำมันเทียบเท่ากับ Fortuner ที่เครื่องยนต์ใหญ่กว่า การเลือกดีเซลจึงเป็นหนทางที่ประหยัดกว่าแต่ก็แลกมาด้วยการซื้อหรือลงทุนครั้งแรกที่สูงเพราะรถดีเซลจะมีราคาแพงกว่าเบนซินตอนเป็นป้ายแดงซึ่งจะแพงกว่าอย่างน้อย 1 แสนบาทขึ้นไปหรือมากกว่านั้น ทำให้ความคุ้มค่าต้องนำมาคิดกับระยะเวลาของการใช้ของรถคันนั้น เนื่องจากรถกลุ่มนี้การพัฒนาโดยพื้นฐานของรถเก๋งถึงแม้จะเป็นเครื่องดีเซล ให้ความประหยัดกว่าเบนซินก็ตามที แต่ Life time ในการใช้งานไม่ได้ทนทานหรือมีอายุการใช้งานยาวนานเหมือนกันแบบรถกะบะดีเซลหรือกะบะเบนซิน ที่ออกแบบมาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน การใช้งานต่างกันอย่างสิ้นเชิง
SUV แบบที่เป็นแชสซีย์โครงสร้างซึ่งถอดแบบมาจากปิคอัพทำให้ความแข้งแกร่งรวมถึงเครื่องยนต์ที่นำมาใช้ก็นำเอาเครื่องยนต์ของรถปิคอัพที่มีช่วงชักยาวให้กำลังแรงบิดในรอบต่ำตามธรรมชาติของรถประเภทนี้ มาใช้งานเนื่องด้วยการใช้ชิ้นส่วน Common part ทำให้รถยนต์มีราคาถูกลงมากแลละการซ่อมบำรุงก็จะถูกตามไปด้วย รถประเภทนี้ทำออกมาขายไปหลายประเทศตามแบบรถยุคใหม่ แต่คนที่เลือกรถประเภทนี้ควรมีไลฟ์สไตล์ของชีวิตที่แตกต่างกันกับการเลือกรถ SUV แบบครอสโอเวอร์ เพราะรถนั้นโคลง ช่วงล่างแข็งกระด้าง แต่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในทางวิบาก เป็นหลักและทางไฮเวย์นอกเมืองที่ความเร็วไม่สูงจนเกินไปนัก การเลือกรถประเภทนี้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังเลือกไม่ตรงจุดประสงค์เพราะมักคิดเอารถประเภทนี้มาแทนรถเก๋งหรือแทนรถ MPV แบบครอบครัว ซึ่งการใช้งานมันไม่เข้ากันหรือไปกันไม่ค่อยได้ เพราะรถไม่ได้ให้ความนิ่มนวลหรือเกาะถนนมากนัก หรือจะให้อัตราเร่งที่ดีเหมือนรถเก๋งก็ยังไม่ได้ อีกทั้งตัวรถที่ใหญ่การขับในเมืองจึงลำบากกว่ารถเก๋งเล็กอยุ่บ้าง มีลูกค้าบางกลุ่มเลือกรถประเภทนี้โดยเลือกรถเป็นรุ่น 2wd เป็นตัวตั้งเนื่องจากไม่ต้องการใช้ชีวิตกับรถหรือมีชีวิตที่ลุย ๆ หรือขับอยู่ในเมืองไม่ได้ออกต่างจังหวัด หรือออกต่างจังหวัดแต่ก็ยังเลือกเป็นรถ 2wd ทำให้รถถูกทอนสมรรถนะหายไปมาก เพราะกำลังดัดแปลงรถให้ใช้งานไม่ถูกจุดประสงค์ รถพื้นฐานถูกออกแบบมาด้วยสมรรถนะของรถ 4x4 เดิมด้วยจุดต่อลิ้งค์เชื่อมถึงกันรวมถึงคานรองรับ แต่เมื่อมาทำเป็น 2wd ยกสุงชิ้นส่วนเหล่านี้หายไปหมดทำใหรถเสียโครงสร้างที่สมดุลย์ของตัวรถไป ทำให้รถกลุ่มนี้จะโคลงกว่าปกติและการรองรับการสั่นสะเทือนจะนุ่มกว่ารถปกติ โดยค่า k ของสปริงจะผิดเพี้ยนไปต้องใช้สปริงรองรับใหม่เพื่อแทนที่ของเดิมที่หายไป เปรียบเหมือน ผู้ชายที่ถูกจับตอนเป็น ขันทีหรือกระเทย การจะไปทำงานหนักแบบผู้ชายเดิม ๆ แท้คงไม่ได้อีกแล้ว เพราะฮอรโมนผิดกันหรือจะไปเดินให้สมาร์ทเหมือนผู้ชายนักเรียนนายร้อยคงไม่ได้เพราะจุดศูนย์ถ่วงช่วงล่างหายไปหมดเสียสมดุลย์แชสซีย์รถไปแล้ว เช่นเดียวกันจะให้นุ่มนิ่มคล้ายอิสตรีก็ไม่ได้เพราะพื้นฐานเดิมยังเป็นผู้ชาย หรือเป็นรถที่มีโครงสร้างแชซซีย์ทำให้รถประเภทนี้ออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยุ่ระหว่าง ครอสโอเวอร์กับ ppv แต่ไม่ประทับใจกับการขับขี่เท่าไหร่นักเพราะไม่ตอบโจทย์ของรถด้านใดด้านนึงอย่างเพียงพอ การเลือกรถกลุ่มนี้ยังไงก็ต้องเลือกเป็นรถ 4wd



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 5/10/2555 เวลา : 08:43  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32579

คำตอบที่ 318
       กบง . กำลังจะหาทางเลิกขายเบนซินธรรมดา 91 ให้ผู้บริโภคมาใช้แต่แก๊สโซฮอลแทน คาดว่าคงอุ้มภาคเอทานอลและโรงงานได้มากมาย
ผมไม่รู้ว่าเขาจะเลิกได้เมื่อไหร่ แต่ว่าคนที่ติดแก๊สในรถยนต์แล้วผมแนะนำให้เติม 91 ไปไม่ต้องตกใจ เพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ
ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซิน 95 แทน มีขายที่ปั๊ม Caltex เป็นหลัก ไม่ต้องกลัวเปลืองน่ะครับ
แก้ไขด้วยการตั้งค่าการจูนแก๊สใหม่ รถโดยปกติแล้วถ้าออกมาจากอู่รุ่งวัฒนายนต์ เขาตั้งอุณหภูมิการเปลี่ยนแก๊สไว้ที่ 45 องศา รอบ 1000 rpm
ทำให้ไม่เปลืองน้ำมัน เพราะรถยนต์จะเดินเบาด้วยน้ำมันเพียง 30 วินาทีก็จะเปลี่ยนเป็นแก๊ส ไม่ต้องกลัวเครื่องสึกหรอน่ะครับ เพราะว่าถ้าทุกท่านทำตามคำแนะนำที่ให้ไว้ คือ สลับใช้น้ำมันตอนเดินทางไกลอยู่แล้ว หรือใช้น้ำมันที่ความเร็วสูงก็ป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ดีระดับนึง

รถโดยปกติจะถูกตั้งอุณหภูมิไว้สูงคือประมาณ 65 องศาขึ้นไปรอบมากกว่า 1200 rpm ทำให้การเปลี่ยนเป็นแก๊สช้า สิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น เราสามารถแก้ไขได้โดยวิธีดังกล่าวลดอุณหภูมิให้ต่ำลงและลดรอบให้ต่ำลง ถ้าเห็นว่า 45 องศาจะต่ำไปตัดเร็วมากก็ให้เพิ่มอีก 5 องศาคือเป็น 50 องศา จะเป็นช่วงที่ประหยัดและเหมาะสมที่สุดครับ โดยรอบเครื่องยนต์ให้ไว้ที่ 600-700 rpm
เท่านี้เราจะสามารถใช้น้ำมัน 95 ได้อย่างสบายใจและไม่สิ้นเปลืองเป็นภาระต่อเดือน........ เพียงแต่มีปัญหาในเรื่องหาที่เติมยากขึ้น แต่ก็มีข้อดีคือเติมแล้วเก็บได้นานขึ้นไม่เสียสภาพไป




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแก๊สโซฮอล
รถมีการเผาไหม้ ที่อุณหภูมิตอนใช้น้ำมันเบนซิน 300 องศา แต่เมื่อใช้แกสโซฮอล อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็น 390 องศา ขึ้นมาใกล้เคียงระหว่างกลางของรถใช้แก๊ส ในขณะที่ใช้ LPG อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะร้อนขึ้นเป็น 480 องศา และใช้ NGV อุณหภูมิที่ห้องเผาไหม้ก็จะสูงขึ้นเป็น 580 องศา ทั้งหมดเป็นค่าโดยประมาณเพราะผมจำตัวเลขแม่น ๆไม่ได้ จากที่มีการวัดโดยบริษัทผู้ผลิตแก๊สชั้นนำถึงเรื่องการสึกหรอโดยการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่าง ซึ่งหมายความว่าการใช้แก๊สโซฮอลเครื่องยนต์จะสึกหรอมากกว่าใช้เบนซิน 91 และสึกหรอขึ้นมาใกล้เคียงกับการใช้แก๊ส เนื่องจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เมื่ก่อนมผเคยต่อต้านผลิตภัณท์เสริมต่าง ๆ แต่ว่าแม้แต่บริษัทผมเองต้องออกผลิตภัณท์มาเพื่อปกป้องชิ้นส่วนจากน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยให้เติมผสมลงในน้ำมันทุก 10,000 กิโลเมตร แสดงว่าบริษัทแม่ในญี่ปุ่นก็เห็นผลประทบปัญหาจากน้ำมัน E10 ในเมืองไทยเช่นกัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 5/10/2555 เวลา : 10:12  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32580

คำตอบที่ 319
       อย่าหาว่าผมต่อต้านแก๊สโซฮอลเลย จากการที่ Honda จัดทดสอบการใช้ E85 จากนั้นไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเอทานอล มันมีความหมายกลาย ๆ ว่าเจตนายกเลิกเบนซิน 91 เพื่อโรงงานเอทานอลมากกว่าจะเห็นประโยชน์แท้จริง พลังงานทางเลือกมีได้ ถ้าทำรถออกมาเป็น E85 เลยผมเห็นด้วย รถกลุ่มนี้เขาไม่ต้องการติดแก๊สอยู่แล้วจะใช้น้ำมันเป็นหลัก ซึ่งการใช้น้ำมันจะใช้เพียง 15% อีก 85% คือเอทานอลจะทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันได้มากมาย แต่ราคา E85 ต้องถูกลงมากเพื่อจูงใจการใช้งาน ไม่ใช่พอใช้ไปสักพักก็จะบอกว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาน้ำมัน E85 เพราะตลาดโลกน้ำมันขึ้นราคาทั้งที่จริงเราใช้เอทานอลไปแล้วเกือบทั้งหมด ส่วนปั๊มควรขาย 91 ต่อไปเพราะพลังงานทุกคนมีสิทธิ์เลือกไม่ใช่บังคับเลือกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มเอทานอลเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน E85 ยังถือว่าแพงแต่ว่าเพราะเอทานอลแพงเกินไปด้วย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.112.188 อาทิตย์, 14/10/2555 เวลา : 09:06  IP : 115.87.112.188   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32673

คำตอบที่ 320
       เอาภาพโฆษณา Hilux 2.7 4x4 G 4 ประตูจากตลาดโลกมาให้ชมกัน
หลายคนจะได้ทราบว่าปัจจุบัน TOYOTA ยังขาย Hilux 2.7 4x4 อยู่นะครับ และขายในตลาดทั่วไปด้วย มีภาพยนต์โฆษณาชัดเจน
ทั้งแบบรูปลักษณ์สวยงาม อ๊อพชั่นเพียบพร้อม จอ DVD touch screen แอร์ Digital
รถ Hilux 2.7 4x4 ที่ผมบอกเขาเอาไว้ใช้งานกันจริง ๆ ทั้งในเมืองนอกเมือง และยามวิ่งออฟโรด ผ่านเส้นทางต่าง ๆ มากมาย
มันเป็นรถเพื่อเกิดมาจากสิ่งนั้น ตัวเต็ม ๆ ของรถต้องเป็น Hilux 2.7 4x4 เกียร์ออโต จะได้ทั้งสมรรถนะความคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด
สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถไว้ใช้งานทั่วไป ไว้ใช้ทำงานยามปกติ ท่องเที่ยว หรือใช้งานในเส้นทางที่ไม่ลำบากเกินไปนัก Hilux 2.7 4x4 AT คันนี้คันเดียวตอบสนองการใช้งานแบบรถเอนกประสงค์


เส้นทางอุปสรรคข้างหน้า สำหรับคนที่มีชีวิตทำงานในเมือง อยากท้าทาย อยากไปให้ถึง ด้วย Hilux 2.7 4x4 AT
ฝ่าอุปสรรคได้จริง ลุยน้ำ ข้ามลำธารได้จริง ปีนขึ้นเขาได้จริง เพราะรถ Hilux 2.7 4x4 มันถูกออกแบบมาแบบนี้ นี่คือตัวตนที่แท้จริงของมัน
http://www.youtube.com/watch?feature=endscreen&NR=1&v=W_eO5DWAmGU

ไม่ใช่แบบที่คนไทยคิดว่ารถมันไม่ทน รถมันลุยน้ำไม่ได้ รถปีนขึ้นเขาไม่ไหว รถเบนซินคนไทยเข้าใจผิดว่าต้องซื้อมาวิ่งย่องในเมืองตัวเตี้ย ๆ เกียร์ MT ซื้อมาก็แค่บรรทุกของติดแก๊ส ซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของรถรุ่นนี้






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.112.188 อาทิตย์, 14/10/2555 เวลา : 09:16  IP : 115.87.112.188   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32674

คำตอบที่ 321
       ผมไม่เห็นเขาใช้ชื่อรุ่นว่า VIGO CHAMP แต่เขาใช้ชื่อรุ่นว่า Hilux 2.7 4x4 Flex Innovation 2012


อุปสรรคข้างหน้าก็ไปถึง โฆษณาเขามีอย่างชัดเจน
แต่บ้านเราในประเทศไทยไม่เคยมีโฆษณา Hilux 2.7 4x4 จนกระทั่งปิดตลาดไปถาวร คนไทยก็ยังไม่เคยเห็น การส่งเสริมการขายรถรุ่นนี้






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.112.188 อาทิตย์, 14/10/2555 เวลา : 09:48  IP : 115.87.112.188   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32675

คำตอบที่ 322
      
อาจจะเป็นข่าวดีตรงที่ Hilux Vigo champ โฉมนี้ในต่างประเทศเขามีรุ่น Hilux 2.7 Prerunner เกียร์ AT อยู่ด้วย
สำหรับแฟน ๆ ที่ชอบยกสูงแต่ขับแค่ 2wd (แต่เดี๋ยวจะบอกว่าอย่าซื้อ)

เขาใช้ชื่อว่า Hilux 2.7 Flex เหมือนเดิม ไม่มีคำว่าวีโก้ แชมป์แต่อย่างใด ผมก็แปลกใจแล้วคำว่า Vigo champ ในประเทศไทยอยู่ที่ไหน......ไม่ใช้ชื่อ Champ เหมือนบ้านเรา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.112.188 อาทิตย์, 14/10/2555 เวลา : 10:39  IP : 115.87.112.188   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32676

คำตอบที่ 323
       คือจากรายงานการทดสอบ Hilux 2.7 Prerunner จากรูปด้านล่างซ้ายมือสุดจะเห็นตัวเลขแบบนี้

1. ถ้าใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล กินน้ำมัน 5 km/l
2. ถ้าใช้น้ำมัน เบนซิน กินน้ำมัน 6-7 km/l

ภาษาบ้านเราเค้าเรียกแดรก หรือซดน้ำมันมากทีเดียว ถ้าจะซื้อรถแบบนี้ซื้อรถ 2.7 Preruner 2wd จะกินน้ำมันมากกว่าหรือเท่ากับ 2.7 4x4 อีกน่ะครับแถมยังคาใจเหมือนที่หลายคนประสบมาคือได้แค่ 2wd แต่กินน้ำมันมากกว่า 4wd สมรรถนะก็ได้ไม่เท่ากันสู้ 4wd ไม่ได้แต่เปลืองกว่า
เพราะฉะนั้นอย่าไปเรียกร้องเอารุ่นนี้มาใช้งานถ้าจะซื้อก็เอา 4wd ตัวเต็มไปเลย ไม่คาใจ เพราะรถบ้านเรา Hilux 2.7 4x4 กินน้ำมัน 6.0-7.7 km/l ประหยัดกว่า 2.7 Preruner 2wd ที่เขาทดสอบอีกน่ะ
อีกอย่างการเติมแก๊สโซฮอล อัตราสิ้นเปลืองจะมากกว่าปกติ
ราคารุ่นเบนซิน Hilux 2.7 4x4 Flex จะถูกกว่ารุ่น Diesel 4x4 ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
http://www.youtube.com/watch?v=7dr7JgZeIFk&feature=related






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.112.188 อาทิตย์, 14/10/2555 เวลา : 10:48  IP : 115.87.112.188   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32677

คำตอบที่ 324
       อัตราการกินน้ำมันของรถในยุคปัจจุบัน

1. ถ้าเป็นรถปิคอัพ 2wd ตัวเตี้ย ๆ ดีเซลคอมมอนเรล 2.5 เกียร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 12-14 km/l
2.ถ้าเป็นปิคอัพยกสูง 2wd หรือ 4wd เครื่อง 2.5 การกินน้ำมันจะอยู่ประมาณ 11-12 km/l
3. ถ้าเป็นปิคอัพยกสูง 2wd 4wd เครื่อง 2.8 -3.2 ดีเซลคอมมอนเรล การกินน้ำมันอยุ่ที่ 9.5-11 km/l
4.ถ้าเป็นรถ PPV ดีเซลคอมมอนเรล อัตราการกินน้ำมันอยู่ประมาณเรทของรถปิคอัพไม่ต้องสาธยายแล้วเพราะมันย่อยออกมาเยอะแต่เรทใกล้เคียงกัน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลือกรถอย่าเอาข้อพิจารณาการกินน้ำมันและ ราคาอะไหล่มาคิดมากเกินไปนัก เพราะกูรูด้านยานยนต์ส่วนใหญ่ที่ขับรถทดสอบกันมาเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาฟันธงเรื่องการประหยัดน้ำมัน เนื่องจากรถยี่ห้อนึงเทียบกับอีกยี่ห้อนึงในรถระดับเดียวกันเครื่องยนต์แรงบิดแรงม้าใกล้กันเป็นเครื่องดีเซลคอมมอนเรลด้วยแล้วล่ะก็มันไม่มีความต่างกันของอัตราสิ้นเปลืองขึ้นอยู่กับวิธีการขับขี่น้ำหนักเท้ามากกว่า ใครกล้าฟันธงว่าประหยัดกว่ากันเท่านั้นเท่านี้ถือว่ามั่วข้อมูลมากไปหน่อย สมัยนี้หลายคนตกตัวเลขกันอย่างมากในการเลือกรถเพราะว่าทุกคนคำนึงถึงการประหยัดน้ำมันแต่เอาตัวเลขที่ไม่ใช่ตัวเลขแท้จริงมาคิดกันโดยขาดความรอบคอบ ยกตัวอย่างดังนี้
---------- รถ 2wd 4wd ยกสูงเหมือนกันเครื่องยนต์เดียวกัน บางคันกินน้ำมัน 12 km/l บางคันกินน้ำมัน 13 km/l ขึ้นกับน้ำหนักเท้าที่กดคันเร่งลงไปและวิธีการขับของแต่ล่ะบุคคลซึ่งรถการเลือกรถ 2wd 4wd ยกสูงเหมือนกันไม่สามารถจะได้ความแตกต่างที่ห่างกัน ที่มากเกินไป ผมมองว่าหลาย ๆ คนวาดฝันด้วยตัวเลขที่เป็นวิมานในอากาศมากเกินไปหน่อย คาดว่ารถ 4wd กินน้ำมัน 10 km/l รถ 2wd อาจจจะกินน้ำมัน 14-15 km/l ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่รถรุ่นเดียวกันสเปกใกล้เคียงกันจะกินน้ำมันแตกต่างกันถึงเพียงนั้น เพราะพื้นฐานรถรุ่นใหม่ ๆ พัฒนาไปมากรวมถึงการเป็นดีเซลคอมมอนเรล ทำให้เทคโนโลยีใกล้กัน การกินน้ำมันจะใกล้กันมาก
------------ รถ 2.5 AT 3.0AT 5 speed Fortuner คุณบอมนักจัดรายการวิทยุ 89.5 ออโตวาไรตี้ ยังไม่เคยฟันธงเลยว่าเครื่อง 2.5 จะกินน้ำมันน้อยกว่า 3.0 ในการใช้งานเค้าบอกเลยว่ากินน้ำมันพอกันแหละครับ ถ้าขับในเมืองอย่างเดียว 2.5 อาจจะประหยัดกว่ากันเล็กน้อย ถ้าคิดซื้อรถมาวิ่งในเมืองอย่างเดียวความเร็วไม่สูงนัก็เลือก 2.5 ไปเลย แต่ถ้าวิ่งนอกเมืองชอบใช้ความเร็วสูงก็ 3.0 4wd การกินน้ำมันมากกว่าเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าฟันธงหรอกว่าจะกินน้ำมันต่างกัน จนต้องเอามาคิด
------------- รถ 2.5 Pajero sport 2wd กับ Fortuner 3.0 4wd fulltime เคยเห็นไหมว่า Pajero กินน้ำมันมากกว่าเล็กน้อยทั้งที่เป็น 2wd และเครื่องเล็กกว่า ทั้งนี้ตัวเลข Pajero ออกมาที่ 11 km/l fortuner 3.0 ออกมาที่ 11-11.5 km/l ทั้งที่เป็น 4wd fulltime มันก็เป็นไปได้จริง ๆ กับการขับขี่
-------------รถ Fortuner 3.0 2wd fortuner 3.0 4wd fulltime เคยเห็นไหมว่ารถรุ่น 2wd กินน้ำมันมากกว่ารุ่น 4wd รถ 2wd บางคันกินน้ำมัน 11 km/l 4wd บางคันกิน 11-12 km/l ขึ้นกับการขับขี่และ effect และค่ายอมรับได้ของรถคันนั้นเป็นสำคัญ
-------------รถ Ford 3.2 Mazda 3.2 ขนาดแรงบิด 470 nm 200 แรงม้า 4wd อัตราการกินน้ำมัน 9.5 -11 km/l ขึ้นกับน้ำหนักเท้าในการกดคันเร่ง ซึ่งอัตราการกินน้ำมันแบบนี้พอพอกับการกินน้ำมันของรถ 2wd ยกสูงอีกหลายคันที่วิ่งบนถนนในเวลานี้

สื่อมวลชนที่ทดสอบยานยนต์ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีใครกล้าฟันธงกับการประหยัดเพราะมันไม่ค่อยต่างกันมากนักในแต่ล่ะรุ่นเพราะรถมีเทคโนโลยีใกล้กันในระดับเดียวกันในรถแบบเดียวกัน บางรุ่นบางยี่ห้อต่างกัน 1 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งนับระยะทางเวลากับการใช้งานไม่ได้ทำให้เกิดความประหยัดจนต้องเอามาใส่ใจ การเลือกรถควรใส่ใจกับการทดสอบการลองขับขี่ด้วยตนเอง ว่าชอบอะไรของรถรุ่นนั้น พิจารณา option ที่ได้มาคุ้มค่าหรือไม่ อัตราดอกเบี้ยของแถมที่ได้มา ราคาในการซื้อแต่ล่ะรุ่น ระยะวลาในการรับรถ รวมถึงความต้องการของเราเองว่าเราต้องการอะไรในการเลือกซื้อรถ เรื่องศูนย์บริการอะไหล่ จริง ๆราคาอะไหล่ถ้าซ่อมศูนย์เหมือนกันแทบไม่หนีกันแล้ว น่าจะโทษ TOYOTA ด้วยซ้ำขายรถเยอะกว่าคู่แข่งแต่ตั้งราคาอะไหล่เท่าคู่แข่งทั้งที่ต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าตามปริมาณรถที่มากกว่า การทดลองขับขี่รถเป็นเรื่องสำคัญในการเลือกรถหลายคนเสียดายหรือให้เวลาในการทดลองขับรถน้อยเกินไป ผมเคยบอกว่าถ้าเราสนใจเปรียบเทียบรถจริงควรลองขับในกลุ่มที่เราจะซื้อซัก 3-4 ยี่ห้อไม่ว่าเราจะตัดสินใจเลือกรถใหม่หรือรถเก่า สมการนี้ใช้ได้ทั้งนั้น เมื่อลองขับจนแน่ใจแล้วให้ตัดตัวเลือกรถมาเหลือแค่ที่เราจะซื้อเพียง 2 ยี่ห้อ จากนั้นเช่ารถ 2 ยี่ห้อนี้ขับทั้งวันให้ได้และให้เวลากับรถที่เราจะซื้อให้มากที่สุด เก็บตัวอย่างตัวเลขทุกอย่างที่เราพอใจให้มากที่สุดเราชอบอารมณ์คันไหนมากที่สุด เราจะได้ข้อสรุปในการเลือกซื้อรถคันนึงมาใช้งานได้คุ้มค่าที่สุดและไม่หลอกตัวเอง
ผมมองว่าเราเอาเวลาไปฝันกับตัวเลขบนอากาศหรือนั่งดูเพียงแคตตาล็อคฟังคำพูดเซลขายรถมันได้ประโยชน์น้อยเกินไป จากนั้นก็เก็บใบจองรถไว้เฉยๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 124.122.88.51 เสาร์, 20/10/2555 เวลา : 19:04  IP : 124.122.88.51   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32741

คำตอบที่ 325
       ผมยกตัวอย่าง
รถ Ford New ranger ปิคอัพไซด์ใหญ่สุดในเวลานี้ ใครหลายคนก็บอกว่ารถใหญ่ขนาดนี้กินน้ำมันมากแน่นอน
แต่เจ้าของเค้าขับได้ 13 km/l สถิติดีกว่าวีโก้ดีเซล 2.5 ขับ 2 ล้อตัวเตี้ยอีกแน่ะ ถ้าใครบอกว่ารถเค้ากินน้ำมันต้องลองมองดูตัวเองบ้างนะครับ ว่ารถเราได้เท่าไหร่สู้เค้าได้หรือไม่
รถดีเซลคอมมอนเรลถ้าเป็นยุคนี้จะเรียกว่า Generation 3-4-5 หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่คอมมอนเรลยุคแรก ๆ การกินน้ำมันค่อนข้างประหยัดและใกล้เคียงกันทั้งนั้นครับ อยู่ที่วิธีการขับขี่ของแต่ละคนมากกว่า การไปฟันธงว่ารถยี่ห้อนั้นรุ่นนี้กินน้ำมัน ข้อมูลมันจึงออกมั่ว ๆ กันมากไปหน่อยเพราะค่ายรถตอนนี้ทำเรทออกมาใกล้เคียงกันมาก การได้เปรียบเสียเปรียบน้อยมากจริง ๆ เอามาคิดเป็นส่วนต่างค่าน้ำมันไม่ได้หรอก
การจะไปเลือกดีเซล 2wd ตัวยกสูงแล้วบอกว่ารถตัวเองประหยัดน้ำมันกว่ารถ 4wd มันไม่น่าใช่ หรือบอกว่าเลือกเครื่องยนต์เล็กกว่าจะประหยัดมากกว่ารถเครื่องใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรือไปเลือกเกียร์ MT แล้วบอกว่าจะประหยัดกว่า AT ก็ไม่ใช่อีกเช่นกันเพราะรถดีเซลคอมมอนเรลพยายามเซทเกียร์ AT ให้ประหยัดกว่าเกียร์ธรรมดา MT สมัยนี้มันทำได้ง่ายเพราะว่ารถมันใช้กล่อง ECU ควบคุมและเกียร์ AT มันก็ใช้ ECU ควบคุมอีกต่อนึงการเซทค่าเขียนโปรแกรมจึงง่ายมาก พลังงานเป็นสิ่งมีค่ารู้จักประหยัดด้วยการเปลี่ยนนิสัยการขับด้วยตัวเราเอง



ขาไป กทม – เถิน – ฮอด – แม่สะเรียง – แม่ฮ่องสอน
ขากลับ แม่ฮ่องสอน – แม่สะเรียง – สบเมย – ท่าสองยาง – แม่ระมาด – แม่สอด – กทม
ระยะทางรวม 1,750 กม ทางปกติประมาณ 800 กม ความเร็วเฉลี่ย 110 กม./ ชม
ที่เหลือขึ้น ลง เขา และโค้งไปมา ความเร็วเฉลี่ย 60-80 กม/ ชม
รวมค่าน้ำมันไป-กลับ 4,000 บาท
เฉลี่ยกินน้ำมัน 13 km/l หรือตกโลล่ะ 2 บาทกว่าเท่านั้นเองกับการขับรถใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนี้และขับในเส้นทางบนดอยด้วย
เครดิตภาพ by คุณ มะม่วง
http://www.newrangerclub.com/thread-23335-1-1.html





ถ้าใครดูลิ้งค์ไม่ได้ก็เข้า google แล้วพิมพ์คำว่านมสดพาเราเที่ยวได้
จาก : Auto.(Auto.) 23/10/2555 9:13:54 [115.87.96.144]
มีคนขับ Ford 3.2 Wildtrack 4x4 AT ด้วยสถิติ 19 km/l มาแล้ว ด้วยความเร็วใช้งานจริง 70-80 km/h
จาก : Auto.(Auto.) 23/10/2555 9:21:50 [115.87.96.144]
รถดีเซลเวอร์ชั่นปี 2012 มันทำได้ทั้งนั้นขึ้นกับวิธีการขับขี่แต่ละคนมากกว่าดีกว่ามาแข่งเรื่องความแรง
จาก : Auto.(Auto.) 23/10/2555 9:25:14 [115.87.96.144]
เกียร์ธรรมดา mt 6 เกียร์ อาจจะกินน้ำมันมากกว่า เกียร์ AT เพราะรอบเครื่องยนต์ต้องเค้นตลอด
จาก : Auto.(Auto.) 23/10/2555 9:28:58 [115.87.96.144]
ถ้าขับเรื่อย ๆ เน้นเอาประหยัดต้องเลือกมาที่เกียร์อัตโนมัติ AT
จาก : Auto.(Auto.) 23/10/2555 9:31:15 [115.87.96.144]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.86.118 จันทร์, 22/10/2555 เวลา : 08:43  IP : 115.87.86.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32752

คำตอบที่ 326
       .





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.168.97.185 พุธ, 24/10/2555 เวลา : 23:38  IP : 110.168.97.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32771

คำตอบที่ 327
       สำหรับรถตอนเดียว Hilux 4x4 singlecab บ้านเรามีเพียง 2 ยี่ห้อที่ทำตลาดในไทยด้วยคือ Ford และ Mitsu triton แต่ลูกค้าคนไทยก็ไม่ค่อยซื้อทั้งที่เป็นรถเพื่อชาวนานชาวสวนชาวไร่โดยเฉพาะเพื่อทำฟาร์ม แต่ TOYOTA ไม่ได้ทำตลาดในไทย
แต่ในออสเตรเลีย Hilux 2.7 4x4 เขาเอาไว้วิ่งในสัมปทานเหมืองแร่ด้วย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.168.97.185 พุธ, 24/10/2555 เวลา : 23:41  IP : 110.168.97.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32772

คำตอบที่ 328
       Hilux 4x4 single cab เป็นปิคอัพใช้สำหรับการเกษตรและงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่คนบ้านเราไม่นิยมพอเป็นรถ 4x4 คิดว่าต้องเอาไปลุยออฟโรดเที่ยวป่าเพียงอย่างเดียว ไม่คิดเอามาใช้งานทั่วไปตามแบบปิคอัพ truck ซึ่งเขานิยมเป็น 4x4 มากกว่าเพื่อใช้งานได้เต็มที่และแข็งแกร่งทรหดในการใช้งาน

รูปแบบรถในบ้านเราออกสำอางไปหน่อย รถพรีรันเนอร์ก็เยอะไม่ใช่รถทรหดสไตล์บรรทุกแบบปิคอัพพันธ์แกร่ง





ล้อกะทะเหล็ก จะเห็นกับ 4x4 รุ่นส่งนอกสีขาวป็นส่วนใหญ่
จาก : Auto.(Auto.) 25/10/2555 0:08:02 [110.168.97.185]
รถ Hilux ตัวส่งนอกมีไฟตัดหมอกหลังมาให้แทบทุกคัน แต่บ้านเราทำไมไม่มีหว่า
จาก : Auto.(Auto.) 27/10/2555 10:12:10 [124.120.73.94]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.168.97.185 พุธ, 24/10/2555 เวลา : 23:46  IP : 110.168.97.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32773

คำตอบที่ 329
       Hilux 4x4 single cab เป็นปิคอัพใช้สำหรับการเกษตร การทำฟาร์มปศุสัตว์ ไม่ได้หรูหราอะไรเลยเพราะเป็นปิคอัพใช้งาน
แต่คนบ้านเราไม่นิยมซื้อ เห็นว่าปิคอัพเป็น 4x4 สำหรับใช้งานหนักก็ไม่ชอบ แต่เอารถขับ 2 ล้อ ไปใส่เพลาลอยเพื่อบรรทุกหนักแทน
ที่เหมือนกันเวลาดู review พวกนี้จะเห็นเขาใส่กันชนลากเทรลเลอร์ไว้ด้วยทุกคันเพื่อบรรทุกลากจูง เทรลเลอร์เพิ่มการใช้งาน

กันชนเหล็กลากเรือด้านหลัง ใครติดแก๊สวางถังด้านท้ายจะไปใส่เพิ่มก็ดีนะครับป้องกันการชนท้ายหรือเพื่อเพิ่มการลากจูงไปด้วย เห็นรถในเมืองนอกมักจะใส่กันเกือบทุกคัน

 แก้ไขเมื่อ : 26/10/2555 19:41:00





ล้อกะทะเหล็กแบบนี้ รถสีขาวแบบนี้ถ้าสังเกตุจะเห็นส่งออกต่างประเทศเยอะมาก
จาก : Auto.(Auto.) 25/10/2555 0:06:19 [110.168.97.185]
รถ Hilux ตัวส่งนอกมีไฟตัดหมอกหลังมาให้แทบทุกคัน แต่บ้านเราทำไมไม่มี
จาก : Auto.(Auto.) 27/10/2555 10:12:29 [124.120.73.94]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.168.97.185 พุธ, 24/10/2555 เวลา : 23:54  IP : 110.168.97.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32774

คำตอบที่ 330
       2-3 ปีให้หลังมานี่ผมจะเห็นรถ Hilux ที่เป็นรุ่น 4x4 เยอะมาก (ที่ส่งออกนอก) รวมถึง Nissan ด้วยที่ส่งทั้ง FRONTIER และ Navara รุ่น4x4 จะส่งนอกค่อนข้างเยอะเป็นคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน ว่าเพราะอะไร ไม่นับ Ford new ranger ที่เป็น 4x4 ทั้งนั้นไม่รุ้ส่งไปไหนบ้าง ทั้งรุ่น ตอนเดียว Single cab และรุ่น 4 ประตู Doublecab จะเป็น 4x4 แทบทั้งนั้นเลย รุ่น 2wd หายากขึ้นมากยอดส่งออกน่าจะน้อยลงไปมาก
ที่เมืองนอกเค้าไม่มีอุตสาหกรรมรถยนต์แบบบ้านเรา ภาษีนำเข้ารถยนต์ไม่ได้แบ่งแยกรุ่น 4x2 4x4 เหมือนบ้านเรา และภาษีรถไม่ได้เก็บตามซีซีเครื่องยนต์แบบที่ว่าเครื่องใหญ่โดนภาษีตามซีซี อีกทั้งรถยนต์ปิคอัพในเมืองนอกเค้าเอาไว้ใช้เป็นTruck หรือปิคอัพบรรทุกเพื่อการใช้งานหนักกันจริง ๆ ใช้งานทั่วไปหรือสมบุกสมบัน ถ้าเป็นฝรั่งมักไม่คำนึงว่าต้องเนี๊ยบเหมือนชายใส่สูทแต่ต้องเท่ห์และแกร่งพอตัว ฝรั่งจะใช้รถคุ้มหรือใช้สิ่งของนั้นจนคุ้มถึงแม้ว่าต้องจ่ายราคาจะแพงแต่ต้องใช้งานหรือตอบสนองการใช้งานได้เพียงพอหรือมีคุณภาพเพียงพอที่จะจ่ายเงินลงไป รูปลักษณ์ภายนอกไม่เน้นจนเกินไป แต่ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นจะเน้นว่ารูปลักษณ์ต้องสวยงามโดยเฉพาะภายนอกบรรจุภัณหรือหีบห่อต้องเนี๊ยบออกมาก่อน ส่วนรสชาดมาทีหลัง
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ทีรถส่งนอกส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่ว่าดีเซลหรือเบนซิน(เครื่องยนต์ไม่เกี่ยว ) จึงเห็นรถปิคอัพส่งนอกจะเป็นรุ่น 4x4 มากเป็นพิเศษ รถ Hilux ที่ไม่ได้มีขอลากรถด้านหลังมาด้วยผมเห็นเค้าใส่กันชนเหล็กลากเรือหรือขอลากเกี่ยวเพื่อการลากทั้งนั้น
ผมฟังอ.พัฒนเดชที่เขาจัดรายการวิทยุตอนเย็น ในช่วงที่เขาเล่าว่าเร็ว ๆ นี้ที่ผ่านมา ตรีเพชรอีซุซุเชิญสื่อมวลชนไปดูงานส่งออกรถปิคอัพ อีซูซุ All new ไปยุโรปในประเทศแถบโครเอเชีย ลักเซมเบิร์กที่เป็นตลาดใหญ่ฝั่งยุโรปของ ISUZU เค้านั้นเอง ฝรั่งที่นั่นมาดูงานปิคอัพบ้านเราเห็นปิคอัพในไทยสวย ๆ ทั้งนั้นเพราะบ้านเราตลาดปิคอัพขนาด 1 ตัน ตันครึ่งใหญ่มากที่สุดในโลกมีสไตล์การแต่งมากมายสวยงามทั้งนั้น ของแต่งปิคอัพบ้านเราส่งไปขายในต่างประเทศก็เยอะ ปิคอัพบ้านเขาเอาไว้ลากจูงเทรลเลอร์(ต้องติดเหล็กลากจูงด้านหลัง) บรรทุกของทั่วไป เล่นกีฬา วันหยุด ลากเรือ หรือใช้ในงานอุตสาหกรรม ใช้ในการเกษตร รถแบบนี้เค้าก็คิดว่ามันคือปิคอัพนั่นเองไม่ได้คิดว่ามันต้องแทนเป็นรถเก๋ง ส่วนใหญ่จึงเป็น 4x4

บ้านเราปิคอัพมันออกสำอางไปหน่อย ก็อย่างที่เราเห็นกัน เรื่องปิคอัพตอนเดียว 4x4 หรือสไตล์แคป 4x4 บ้านเราก็ไม่ค่อยนิยมว่ารถปิคอัพต้องเป็น 4x4 หรือไม่ หรือต้องเอามาใช้งานสมบุกสมบันหรือไม่ส่วนใหญ่เราเน้นใช้งานเรียบ ๆ มากกว่าซึ่งมองว่ารถปิคอัพซื้อเอามาใช้งานกันแทนรถเก๋งกันไปเลย หลายคนจึงไม่ได้มองว่าปิคอัพต้องแกร่งหรือต้องอึดทนทานหรือเอาไว้ใช้งานกันนาน ๆ จนคุ้ม แต่เอามาใช้งานกันไม่ต่างจากรถเก๋งกันเลยทีเดียวมองเป็นหน้าเป็นตากันมากกว่า สวยเฉียบมีเส้นสายกลมกลืนระดับรถเก๋ง รถปิคอัพต้องสวยไว้ก่อน
น้องชายผมที่ใช้ Hilux 2.7 4wd ตอนแรกเขาจะเอาปิคอัพตัวเตี้ยเกียร์ MT เขาไม่ได้อยากได้รถปิคอัพ 4wd อะไรนั่นหรอก เพราะคิดว่าไม่ได้ลุยอะไรที่ไหน อีกอย่างปกติเวลาผมไปเที่ยวออฟโรดผมมักจะเอา Fortuner 2.7 4wd ไปมากกว่าเพราะขับง่ายสบายมากกว่า ชินมากกว่า ผมเลือกรถก็เลือกตามสเปกในต่างประเทศเป็นหลักตั้งแต่ตอนเลือก Fortuner มาแล้ว ก็เลยเลือกเอา Hilux 4wd อีก เอามาใช้งานบรรทุกเหมือนกันเส้นทางเดียวกันกับที่เคยขับปิคอัพ 2wd ทุกอย่างมันมีความแตกต่างกันทั้งสิ้นเทียบกับการขับปิคอัพตัวเตี้ย 2wd คำตอบมันอยู่ที่ตัวเราอยู่แล้วและน้องชายผมก็ได้คำตอบเหมือนกันหลังจากเขาใช้รถมานาน ในวันหน้าถ้าเขาจะเลือกรถปิคอัพมาใช้งานซักคันนึงซื้อเองเข้ามาอีกรถคันนั้นต้องเป็น 4x4 เพราะหน้าที่ของมันคือปิคอัพ Truck ซึ่งต้องเป็นปิคอัพจริง ๆ ได้กำลังมากกว่าและใช้งานได้ยาว ๆ คุ้มค่ากว่าตามประสบการณ์ที่เขาเห็นและได้สัมผัสมันเอง ส่วนชีวิตประจำวันขับไปทำงานปกติก็จะเลือกรถเก๋งมาแทนที่ถ้าชอบสะดวกสบายคล่องตัวกว่าก็จะซื้อเพิ่มเป็นแบบนั้น เพราะรถปิคอัพแต่งยังไงก็ไม่นิ่มเท่ารถเก๋ง แต่ปิคอัพมันต้องตอบโจทย์ของการเป็นปิคอัพได้
http://www.youtube.com/watch?v=aC7xC4jKlvY&feature=related>





ในภาพเป็นรถดีเซล 4x4 singlecab กำลังมันพอจะลากรถพ่วงได้แน่นอน
จาก : Auto.(Auto.) 27/10/2555 12:30:52 [124.120.73.94]
แต่ถ้าเป็น 4x2 ไม่ไหวอัตราทดเกียร์รับงานหนักไม่ไหว ล้อหลังฟรีล้อหน้าไม่ขยับ
จาก : Auto.(Auto.) 27/10/2555 12:50:09 [124.120.73.94]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 124.120.73.94 เสาร์, 27/10/2555 เวลา : 12:26  IP : 124.120.73.94   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32794

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 11 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,25 ธันวาคม 2567 (Online 3098 คน)