คำตอบที่ 154
รัฐบาลกับ ปตท. ดูถ้าคราวนี้จะเอาจริงแน่กับงานนี้ที่จะขึ้นราคาแก๊ส LPG NGV ในต้นปีหน้าเริ่มตั้งแต่เดือน มกราคม 2555 เป็นต้นไป
ถึงแม้ทางสหกรณ์แท๊กซี่ไม่อยากจะรับเงื่อนไขที่ทาง ปตท. ออกบัตรเติมก๊าซให้ก็ตาม
เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่าทางรัฐบาลกับ ปตท. เชิญชวนให้แท๊กซี่หันมาใช้ก๊าซ NGV แต่พอจำนวนรถที่ใช้ NGV เพิ่มขึ้น ทุกฝ่่ายก็พาเหรดกันขึ้นราคา NGV เป็น 14.5 /kg ตรงนี้ผู้ใช้ต่างก็ไม่มีใครยอมเชื่อ ปตท. เพราะว่าปีนี้ขึ้นแล้ว 6 บาท ปีต่อไป 2556 จะขึ้นหรือเปล่าคำถามนี้เล่นเอา ปตท. ไม่ยอมตอบเพราะตอบไม่ได้
ในเวลานี้มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซทั้ง 2 ชนิดเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 1 ล้านคัน ซึ่งทุกฝ่ายก็เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้ามา แต่ทุกฝ่ายลืมไป 1 อย่างสำคัญก่อนขึ้นราคาก๊าซคือรถยนต์ส่วนใหญ่ในบ้านเราไม่ได้ออกแบบมาสำหรับติดก๊าซ
ถ้าขึ้นราคาก๊าซตามที่มีการประกาศก็คงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการรถยนต์ทั้งเก่าใหม่และวงการแก๊สแน่นอนแต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้น่าจะออกมาแบบนี้
สมมุติ VIOS YARIS JAZZ CITY
รถเหล่านี้เป็นรถซิตี้คาร์ราคาไม่แพงออกแบบมาให้ประหยัดน้ำมัน แต่คนส่วนใหญ่เอามาติดก๊าซโดยต้องการความประหยัดจากราคาเชื้อเพลิงเบนซินที่สูงขึ้น โดยถ้าใช้น้ำมันจะมีอัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ 12- 15 km/l หรือคิดเป็นเงิน 2.3-2.8 บาท /กิโลเมตร
แต่ว่าราคาก๊าซที่ถูกกว่าน้ำมัน LPG 11.3 NGV 8.5 บาท /kg ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการใช้ก๊าซเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงเนื่องจากเมื่อใช้ก๊าซแล้วสามารถประหยัดได้ถึง 50-70% ถึงแม้ติดก๊าซจะมีข้อจำกัดและจุดที่ทำให้รถด่้อยลงไปแต่ นำเงินส่วนต่างมาเป็นค่าซ่อมแซมหรือยอมรับจุดด้อยของการใช้ก๊าซ แต่ถ้าเกิดมีการขึ้นราคาเมื่อนำมาหักลบส่วนต่างแล้ว การติดก๊าซและการใช้ก๊าซจึงไม่มีความน่าสนใจ
คิดตามหลัก
- รถคันนึงเฉลี่ยการใช้ 4-5 ปีระยะทาง 150,000 กิโลเมตร
- คิดเป็นเงิน 2.3-2.8 บาท /กิโลเมตร รวม 345,000 บาทต่อการใช้รถ
ถ้ามีการติดก๊าซสมมุติ LPG รถคันนี้จะใช้เงิน ไปเพียง 150,000 + 30,000 + ค่าซ่อมแซมรถ 30,000+30,000 + ค่าซ่อมก๊าซ 10,000 + ค่าน้ำมันเบนซิน 1x,xxx เมื่อหักลบกลบหนี้ = รถคันนี้ยังมีกำไรตลอด 5 ปีของการใช้รถประมาณ 1 แสนกว่าบาท
แต่ถ้ามีการขึ้นราคาก๊าซ LPG เป็น 16-18 บาท / ลิตร อัตราสิ้นเปลืองคือ 1.5 ต่อกิโลเมตร ขึ้นไป คือค่าเชื้อเพลิงก๊าซ 220,000 up
เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่อการใช้รถ 5 ปี ด้วยสมการเดียวกัน รถกลุ่มนี้มีกำไรไม่เกิน 60,000-80,000 บาทด้วยซ้ำต่อการใช้งานวงรอบนึง 5 ปีและอาจจะน้อยกว่านี้สำหรับคนใช้งานรถไม่เกิน 25,000 กิโลเมตรต่อปี หรือประหยัดได้เพียงปีล่ะ 10,000-20,000 บาท เท่านั้น ซึ่งปัญหาก็คือรถกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ต้องออกจากระบบการใช้ก๊าซไปเนื่องจากรถยนต์ที่เราใช้กันทุกวันนี้ไม่ได้เป็นสเปกที่ใช้ในยุโรปที่ทนทานต่อการใช้ก๊าซแต่อย่างใด และส่วนต่างกำไรที่เกิดขึ้นทำให้รถกลุ่มนี้ไม่เหมาะที่จะใช้ก๊าซอีก เพราะไม่คุ้มกับการใช้ก๊าซหรือติดก๊าซ
สิ่งเหล่านี้ไม่ทราบว่าทุกคนได้กลับมายั้งคิดกันหรือไม่ ว่ารถเราเองคุ้มค่าเพียงพอจะติดก๊าซหรือเปล่า
เพราะว่าร้านติดแก๊ส ผู้นำเข้าแก๊ส มุ่งหวังแต่แสวงหาผลกำไรมากกว่าจะมาคิดเรื่องละเอียดอ่อนเหล่านี้ บริษัทรถยนต์ในไทยก็ไม่ได้ส่งเสริมรถยนต์ใช้ก๊าซแต่อย่างใด ดังจะเห็นว่ามีเพียงรถยนต์ 2 รุ่นเท่านั้นที่สามารถติดตั้งและรับรองการใช้ก๊าซจากโรงงานรถยนต์โดยตรง คือ อัลติส CNG และ Benz E200 NGT ซึ่งผู้นำเข้าก๊าซก็ไม่สามารถผลักดันให้เครื่องยนต์ในไทยมีสเปกเหมือนยุโรปที่รองรับก๊าซได้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าผู้นำเข้าหัวฉีดก๊าซจะพยายามปรับตัวเพื่อหันมาติด NGV รองรับตลาดก็ตาม แต่ในเมื่อรถยนต์ไม่ได้รองรับก๊าซ 2 ชนิด ยิ่ง NGV ก็มีข้อด้อยกว่าหลายประการ ชนิดที่ว่าเปรียบกันไม่ได้เลยนอกจากราคาถูก ซึ่งผู้นำเข้าหัวฉีดแก๊สคิดแต่กำไรของตนเองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ความคุ้มค่าในการใช้รถอีกหลายรุ่นเป็นปัญหาที่ไม่เหมาะจะใช้ก๊าซอีกต่อไป แม้ราคาจะถูกกว่าน้ำมันก็ตาม บ้านเราก็ไม่เหมือนในยุโรป จะเอาสมการก๊าซราคาถูกกว่าน้ำมันครึ่งนึงมาใช้ก็ไม่ได้ การขึ้นราคาก๊าซดังกล่าว มีผลกับตลาดในอนาคตทีเดียว